วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ภาคประชาชนลุยถามความชอบธรรม ป.ป.ช. กรณีรับคำร้องสมาคมต้านสภาวะโลกร้อน


2 กรกฎาคม 2556 go6TV - นายพงษ์พิสิษฐ์ คงเสนา หรือ เล็ก บ้านดอน ประธานกลุ่มภาคีพลังประชาชน (ภปช.) และสมาชิกภาคีรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ วงเวียนบางเขน ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนไปที่สำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี เพื่อไปทำหน้าที่สอบถามความชอบธรรมกรณีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนได้ยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.เกี่ยวกับโครงการบริหารจัดการน้ำ3.5 แสนล้านบาท ภายหลังที่ศาลปกครองมีคำสั่ง โดยเลขาป.ป.ช.มีการนำเรื่องดังกล่าวเสนอให้ที่ประชุมป.ป.ช.ได้รับทราบในวันนี้

ทั้งนี้ เนื้อหาเอกสารที่ภาคประชาชนยื่นเรื่องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มี ดังนี้



"หมอเหวง" ลุยทวงถาม "ศาลรัฐธรรมนูญ" คืบหน้าคดีถอด "อภิสิทธิ์" พ้น สส.




          เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 56 นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ในวันนี้ ตนเตรียมยื่นหนังสือต่อ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญเพื่อทวงถามความคืบหน้าต่อการพิจารณาคดีถอดถอนสมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้ยื่นเรื่องให้พิจารณาถอดสมาชิกภาพ ตามที่กระทรวงกลาโหมมีคำสั่งถอดยศนายทหารของนายอภิสิทธิ์

เพิ่มคำอธิบายภาพ
          ทั้งนี้การถอดยศดังกล่าวถือเป็นเหตุที่ทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องพ้นจากความเป็นสมาชิกภาพ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106(5) ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 102 ที่ว่าด้วยบุคคลที่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ ห้ามไม่ให้ใช้สิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้การส่งหนังสือสอบถามความคืบหน้าดังกล่าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง ที่ระบุว่าการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา ครม. ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม ที่แปลตามความหมายว่า ความยุติธรรมที่มาช้าไม่เป็นความยุติธรรม

จับ "พี่ชายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์" อดีต รมช.มหาดไทยยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ "เจ้ามือหวยเถื่อน"

จับ "พี่ชายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์" อดีต รมช.มหาดไทยยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ "เจ้ามือหวยเถื่อน"



         วันนี้ (2 ก.ค.) ร.ต.อ.บัณฑิต อาษานอก ร้อยเวร สภ.โชคชัย จ.นครราชสีมา ได้ทำการสอบปากคำ นายรุ่งเรือง วงศ์ไตรรัตน์ อายุ 67 ปี พร้อมพวก รวม 10 คน หลังถูกเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.โชคชัย เข้าจับกุมได้ที่โกดังของร้านโชคชัยเคเบิ้ลทีวี ซีทีเอช หมู่ 1 ต.โชคชัย อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นการเข้าตรวจค้นตามหมายค้น ศาลแขวงนครราชสีมา ที่ 77/2556 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 25561 หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า สถานที่ดังกล่าวแอบรับแทงหวยใต้ดินรายใหญ่ ซึ่งภายหลังเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่สามารถจับกุม นายรุ่งเรือง วงศ์ไตรรัตน์ เจ้ามือและเจ้าของบ้าน พร้อมกับตรวจพบของกลางจำนวนมาก อาทิ โพยสลากกินรวบ จำนวน 62 แผ่น มียอดเงินรวม 203,742 บาท, เงินสดจำนวน 48,000 บาท, เครื่องคิดเลข 9 เครื่อง และปากกาอีกจำนวนหนึ่ง จึงได้ยึดมาตรวจสอบที่ สภ.โชคชัย



      จากการสอบสวนเบื้องต้น นายรุ่งเรืองรับสารภาพว่า ตนแอบเปิดโกดังหลังบ้านรับเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ หรือหวยใต้ดิน โดยมีการว่าจ้างให้พวกที่ถูกจับอีก 9 คน เป็นคนออกไปรับจากชาวบ้าน ก่อนหน้านี้ทาง บก.ภ.จว.นครราชสีมา ก็เคยได้รับหนังสือร้องเรียนถึงพฤติกรรมของนายรุ่งเรือง และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการสืบสวนทางลับ และติดตามพฤติกรรมมานานหลายเดือน จนมั่นใจในพยานหลักฐาน ก่อนจะขออำนาจศาลเพื่อขอเข้าตรวจค้น และพบว่านายรุ่งเรืองมีพฤติกรรมดังกล่าวจริง เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาร่วมกันเป็นเจ้ามือสลากกินรวบรับกินรับใช้ (หวยใต้ดิน) พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

         ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายรุ่งเรือง วงศ์ไตรรัตน์ เป็นพี่ชายคนโตของตระกูล วงศ์ไตรรัตน์ และยังเป็นพี่ชายของ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และอดีต รมช.มหาดไทย ซึ่งหลังถูกจับกุมนายรุ่งเรืองได้ขอประกันตัวออกไปสู้คดีทันที ซึ่งพนักงานสอบสวนก็อนุญาตแล้ว

เปลี่ยนหลายชื่อ-พ่วงหลายคดี-ทุนบลูสกาย! "สุทธิรัตน์ มุตตามระ" เครือข่ายทุน "บลูสกาย" ติดคดีอาญายักยอก 5 คดี?

เปลี่ยนหลายชื่อ-พ่วงหลายคดี-ทุนบลูสกาย! "สุทธิรัตน์ มุตตามระ" เครือข่ายทุน "บลูสกาย" ติดคดีอาญายักยอก 5 คดี?



        แกะรอยขุมข่ายกลุ่มทุน “Blue Sky ทีวี”กระบอกเสียงติดจรวดของคน ปชป. ตระกูลดังลงขัน ผ่าน เถกิง สมทรัพย์ วิทเยนทร์ มุตตามระ หน้าห้อง “กรณ์ จาติกวณิก” ตะลึง “สุทธิรัตน์ มุตตามระ” ภรรยาอดีตพระมิซูโอ๊ะ ร่วมมีชื่อใครเครือข่ายหนุนบลูสกาย อดีตเคยเปลี่ยนชื่อจาก “สุธาสินี เสตะพันธุ์” มีคดีอาญาคาศาลเพียบ


      ลองมาค้นกันหน่อยว่าเครือข่ายกลุ่มทุนของBLUE SKY เป็นใคร?

    ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บลู สกายทีวี จัดตั้งในชื่อ บริษัท บลู สกาย แชนแนล จำกัด จดทะเบียนวันที่ 21 ตุลาคม 2554 ทุน 5 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 2170 อาคารกรุงเทพทาวเวอร์ ชั้น 8 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ นายวิทเยนทร์ มุตตามระ นายเถกิง สมทรัพย์ นายบุรฤทธิ์ ศิริวิชัย นายภูษิต ถ้ำจันทร์ และ นายรักเกียรติ รัตนมณี เราพบว่า แต่ละคนมีเครือข่ายกลุ่มทุนรองรับ

          1.นายเถกิง สมทรัพย์ เคยทำธุรกิจร่วมกับนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายมินทร์ อิงค์ธเนศ ร้อยตำรวจเอกสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ในชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด ขวัญข้าวปิ่นทอง จดทะเบียนวันที่ 27 ตุลาคม 2541 ทุน 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 6/133 หมู่ที่ 10 ซอยโชคชัย 4 ถนนลาดพร้าว 53 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ ไม่ได้ประกอบการ จดทะเบียนเลิกกิจการวันที่ 14 มกราคม 2545

         เป็นกรรมการ บริษัท คณานัป จำกัด จดทะเบียนวันที่ 7 ธันวาคม 2537 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการออกหนังสือรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ที่ตั้งเลขที่ 99 ซอยศุภราช ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ นายถาวร สุวรรณ นางคณิต นันทวาณี นาง พรทิพา เจริญลี่นาวา และ บริษัท เลิร์นสมาร์ท จำกัด จดทะเบียนวันที่ 16 มิถุนายน 2537 ทุน 4 ล้านบาท ขายสื่อการศึกษา ที่ตั้งเลขที่ 33/7 ซอยพร้อมพงษ์ ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ บริษัท พูนเพิ่มผลิตผล จำกัด ถือหุ้นใหญ่ นายพิรุณ ฉัตรวนิชกุล พลตรีสายมิตร กัลยาณมิตร นาย วิโรจน์ เอี่ยมสกุลรัตน์ นายวีรพงษ์ เอี่ยมสกุลรัตน์ นางธัญสินี ธัมมะพจน์สถิตย์ ร่วมเป็นกรรมการ เลิกกิจการวันที่ วันที่ 31 ตุลาคม 2546


          2.นายภูษิต ถ้ำจันทร์ เป็นกรรมการ บริษัท เดอะ สตูดิโอ โปรดักชั่น จำกัด จดทะเบียนวันที่ 3 สิงหาคม 2541 ทุน 4 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 446/64-65 ถนนสุขุมวิท 71 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ นายทนง ลี้อิสสระนุกูล และ นาย ภูษิต ถ้ำจันทร์ ถือหุ้นใหญ่และเป็นกรรมการ


        3.นายวิทเยนทร์ มุตตามระ คนสนิทของนายสาธิต วงศ์หนองเตย อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี – ผู้สมัครสส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อ บริษัท ควอลิตี้ เวเคชั่น คลับ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 21 สิงหาคม 2544 ทุน 360 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 99/401-486 หมู่ที่ 2 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯประกอบธุรกิจการให้บริการห้องพัก นายกมล เอี้ยวศิวิกูล 1,800,000 หุ้น 50% นางสุธาสินี เสตะพันธุ 1,575,500 หุ้น หรือ 43.7% นางสุธาสินี มุตตามระ นายกมล เอี้ยวศิวิกูล นายวิทเยนทร์ มุตตามระ น.ส. นิภาพร มั่นหมาย เป็นกรรมการ


         นายวิทเยนทร์เคยทำธุรกิจที่พักและโรงแรมชื่อ บริษัท พัทยา ฮิลล์ (1999) จำกัด วันที่ 27 กันยายน 2542ทุน 1 ล้าน กลุ่ม ฮัทชินสัน แอนด์ โค (เอเชีย แปซิฟิค) จำกัด และบริษัท มัลติเพิล ทราเวล คลับ จำกัด ถือหุ้นใหญ่ เลิกกิจการวันที่ 1 ตุลาคม 2547

        และ บริษัท เอ็ม ที ซี มาร์เก็ตติ้ง จำกัด จดทะเบียนวันที่ 15 กันยายน 2540 ทุน 1 ล้าน ที่ตั้ง 99/349 ชั้น 1 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ บริษัท ไฮพอยท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และ นาย วิทเยนทร์ มุตตามระ ถือหุ้นใหญ่ เลิกกิจการวันที่ 1 ตุลาคม 2547

       จากข้อมูลเห็นได้ว่า ช่อง “บลู สกาย” ไม่มีความเชื่อมโยงกับนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง คนใกล้ชิดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (นายทวีศักดิ์ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บนเกาะสมุยร่วมกับบุตรชายและบุตรนายสุเทพ)



จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ



       และจากการตรวจสอบของสื่อมวลชนพบกว่า นางสุทธิรัตน์ มุตตามระ อดีตชื่อนางสุธาสินี เสตะพันธุ์ เป็นอดีตภรรยาของนายเอกภพ เสตะพันธุ สามีที่หย่ากัน นางสุทธิรัตน์ หรือ สุธาสินี นั้น ในสารบบความของศาลอาญา พบคนชื่อคล้าย เป็นจำเลยอยู่ 5 สำนวน เป็นคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์ คดีปลอมเอกสาร และคดีอื่นๆ อีก 3 คดีที่กำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาด้วย

"หน้ากากขาว" แตกสะบั้น! หลังก่อม็อบกักขฬะหน้า สตช. แฟนคลับแกนนำด่ากันเละ

"หน้ากากขาว" แตกสะบั้น! หลังก่อม็อบกักขฬะหน้า สตช. แฟนคลับแกนนำด่ากันเละ


วันที่ 2 กรกฎาคม 2556 (go6TV) เพจ V For Thailand ประกาศยกเลิกกิจกรรมอย่างไม่มีกำหนด หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ช่วงชิงการนำม็อบ  ปราศัยหยาบคายหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปิดถนนสี่แยกราชประสงค์ ทั้งที่มีคนแค่หลักร้อย รวมถึงแย่งการนำประกาศเคลื่อนทัพไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและต้องผ่านวังสระปทุม จนกลายเป็นความขัดแย้งกันในหมู่แกนนำหน้ากากขาว  มวลชนผู้สนับสนุนม็อบหน้ากากขาวเองก็ด่าถึงความไร้วุฒิภาวะ และการแย่งกันเป็นแกนนำ รวมถึงการตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคการเมืองหนึ่งด้วย










"องค์การพิทักษ์สยาม" ชิงธงการนำม็อบแล้ว ประกาศเปลี่ยนหน้ากากขาวเป็น "หน้ากากหนุมาน"

"องค์การพิทักษ์สยาม" ชิงธงการนำม็อบแล้ว ประกาศเปลี่ยนหน้ากากขาวเป็น "หน้ากากหนุมาน" นัดชุมนุมที่เก่า-เวลาเดิม



         วันที่ 3 กรกฏาคม 2556 (go6TV) ศึกชิงการนำม็อบหน้ากากขาวตลอดคืนวันอังคาร ภายหลังการประกาศพักกิจกรรมของกลุ่ม V For Thailand นำมาทั้งวิกฤติของกลุ่มผู้สนับสนุนและโอกาสของผู้มองเห็นช่องทางการช่วงชิงการนำ ล่าสุด "องค์การพิทักษ์สยาม" ประกาศชิงการนำม็อบหน้ากากขาว เปลี่ยนจาก "หน้ากากวี" เป็น "หน้ากากหนุมาน" จัดชุมนุมที่เก่า เวลาเดิม"

ภายหลังการประกาศพักกิจกรรมของกลุ่ม V For Thailand สร้างความสับสนแตกแยกให้กับผู้สนับสนุนจำนวนมาก ตลอดจนเกิดปัญหาการใส่ร้ายกลุ่มต่างๆ ไปมาตลอดคืนที่ผ่านมา และท้ายที่สุดเวลานี้ กลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ซึ่งมีทีมงานอยู่ในกลุ่มการจัดชุมนุมทุกสัปดาห์อยู่แล้ว และมีมวลชนเล็กๆ จัดกิจกรรมอยู่ในพื้นที่สนามหลวง ได้เปิดตัวชิงการนำด้วยการนำเสนอ "หน้ากากหนุมาน" และประกาศชุมนุมที่ CTW ที่เก่า เวลาเดิม และมีแกนนำเก่าๆ ของพิทักษ์สยามอย่างเช่น นายบวร ยสินทร ให้การสนับสนุน

หน้าเพจขององค์การพิทักษ์สยาม ได้มีข้อความประกาศการนำอย่างชัดเจนความว่า

"การเดินขบวนหน้ากากขาว เป็นการถือกำเหนิดจากศัทธาของพี่น้องชาวไทยผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกๆท่าน
ที่เดินขบวนแสดงออกถึง ความไม่ไว้วางใจรัฐบาลปัจจุบัน
ได้เข้ามาบริหารงาน ไม่ถึง 2 ปี 
ซึ่ง ทุกคนได้มาร่วมเดินขบวนอย่างสงบ
โดยพร้อมเพรียงกันด้วยความสมัครใจ 

พี่น้องท่านใด ยังต้องการทำภาระกิจนี้ต่อไป ขอเชิญทุกท่านไปรวมตัวกันได้หน้า CTW ตามปกติทุกๆอาทิตย์ค่ะ 


ตอนนี้เรามีน้องๆ บางส่วนได้มีจิตอาสาร่วมมือกัน เปลี่ยนสีสัน เปลี่ยนหน้ากาก ทำเป็น หน้ากากหนุมานค่ะ
หากใครต้องการรับหน้ากากหนุมานฟรี
ไปรับได้ที่ จุดหน้า CTW นะคะ ไปก่อนได้ก่อนค่ะ
ที่เก่าเวลาเดิมทุกๆอาทิตย์ค่ะ

เราต้องร่วมมือกันและกันเพื่อชาติไทย
มิใช่เพื่อบุคคลกลุ่มใด กลุ่มหนึ่งค่ะ
เราไม่มีแกนนำ แต่เรามีการ์ดที่เป็นจิตอาสา มาคอยดูแลให้ค่ะ"

"โจรหน้ากากขาว" ปลอมบัตรเครดิตตระเวนถอนเงินทั้งพัทยา ก่อนถูกรวบคาสนามบิน

"โจรหน้ากากขาว" ปลอมบัตรเครดิตตระเวนถอนเงินทั้งพัทยา ก่อนถูกรวบคาสนามบิน


ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี จับกุม 2 นักศึกษาชาวลิธัวเนีย สวมหน้ากาก “หน้ากากขาว” ใช้บัตรเครดิตปลอมตระเวนกดเงินตามตู้เอทีเอ็มเขตเมืองพัทยา

ศูนย์ประสานงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี สามารถ ยึดหน้ากากพลาสติก 1 อัน หมวกแก๊ปสีดำ 2 ใบ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมคล้ายบัตรเอทีเอ็มจำนวน 30 ใบ และธนบัตรสกุลดอลล่าห์จำนวน 460 ดอลล่าห์ได้ขณะจับกุมนายมาริอูส เคียดิอูนาส อายุ 22 ปี และ นายเดนคิส วาลคาอูสคัส อายุ 20 ปี สัญชาติลิธัวเนีย ผู้ต้องหาใช้บัตรเครดิตปลอม

พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 กล่าวว่า หลังตำรวจได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ว่า มีชาวต่างชาติใส่หน้ากากสีขาว นำบัตรเครดิตปลอมตระเวนถอนเงินตามตู้เอทีเอ็มของธนาคารในเขตเมืองพัทยา จึงส่งกำลังออกสืบสวนกระทั่งทราบว่าผู้ก่อเหตุคือนายมาริอูส กับนายเดนคิส ซึ่งเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศลิธัวเนีย และจับกุมตัวได้ขณะกำลังจะขึ้นรถทัวร์บริเวณชายหาดจอมเทียน เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับประเทศ

สำหรับบัตรเครดิตปลอมผู้ต้องหารับสารภาพ ว่า ได้สั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตจากเอเย่นต์ในประเทศอังกฤษ ซึ่งข้อมูลในบัตรส่วนใหญ่จะเป็นของผู้เสียหายที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส จากนั้นเดินทางจากประเทศลิธัวเนียนำมาตระเวนกดเงินตามตู้เอทีเอ็มในประเทศไทย โดยในพื้นที่สัตหีบกดไปแล้ว 145 ครั้งแต่ไม่ได้เงิน ส่วนพื้นที่พัทยาและศรีราชา กดไปแล้วนับร้อยครั้ง ได้เงินไปประมาณ 1 หมื่นดอลล่าห์ หรือประมาณ 3 แสนบาท ซึ่งในการกดแต่ละครั้งมักจะสวมหน้ากากพลาสติกและหมวก เพื่อปิดบังอำพรางใบหน้า โดยมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดบันทึกภาพได้ และเมื่อได้เงินจะส่งกลับไปให้เพื่อนร่วมแก๊งในประเทศลิธัวเนีย ได้ส่วนแบ่ง 40 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่งเข้ามาก่อเหตุได้เพียง 3 วัน ตำรวจจึงควบคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ขอบคุณภาพประกอบจาก TNN24


สื่อเสี้ยมมวลชน

กวีประชาไท: สื่อเสี้ยมมวลชน

คือนกน้อย ในโถส้วม ศูนย์รวมขี้
สื่อวันนี้ แสนชั่ว เป็นตัวเสี้ยม
ขี้โกหก ใส่ไฟ เผาไหม้เกรียม
ข่าวก็เทียม นั่งเทียน เขียนออกมา
 
สมาคม ผู้สื่อข่าว ก็เน่าเหม็น
ไม่รู้ร้อน รู้เย็น ไม่เห็นหน้า
วิชาชีพ กูใหญ่ ไร้จรรยา
มีปากกา อยากด่าใคร ทำได้เลย
 
ไม่ต้องเช็ค เนื้อข่าว ที่กล่าวหา
พอพลาดท่า เพลี่ยงพล้ำ ก็ทำเฉย
จะขอโทษ หรือแก้ไข ก็ไม่เคย
ยิ่งเปิดเผย ว่าใจ ไม่เป็นกลาง
 
ประชาชน ทะเลาะ กันเพราะสื่อ
ไม่ยึดถือ จรรยาบรรณ ที่มันอ้าง
เหมือนนักเขียน นิยาย ได้สตางค์
ที่เลือกข้าง พระเอก-โจร โหนความดี
 
เป็น"สื่อเสี้ยมมวลชน" พอทนไหว
ทำหน้าที่ ตีไข่ และใส่สี
คนเกลียดชัง หวังฆ่าฟัน กันทุกที
ก็เพราะมี สื่อจัญไร ในบ้านเมือง
 
 

รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องไม่สู้กับตุลาการด้วยการยุบสภา!

            ในหลายเดือนที่ผ่านมา ฝ่ายเผด็จการได้ก่อการรุกครั้งใหม่เพื่อโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยวิธีการเดิม ๆ คือ ส่งมวลชนเสื้อเหลืองสารพัดชื่อมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน เรียกร้องให้มีรัฐประหาร ประสานกับสื่อมวลชนกระแสหลักช่วยกันกระพือโจมตีรัฐบาลทั้งจริงและเท็จปะปนกัน สร้างสถานการณ์ให้เห็นว่า รัฐบาลเสื่อมความนิยมจากทุจริตคอรัปชั่นและละเมิดสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่สนับสนุนกลุ่มมวลชนเสื้อเหลืองบนท้องถนนอย่างเปิดเผย และที่สำคัญคือ การใช้องค์กรตุลาการในมือ เข้ามาสะกัดกั้นการทำงานของรัฐบาลและรัฐสภา ขัดขวางกฎหมายและโครงการต่าง ๆ ที่ริเริ่มโดยรัฐบาล และตั้งแท่นเตรียมยุบพรรค ปลดนายกรัฐมนตรี
           แต่ดูเหมือนว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยจะยังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของสถานการณ์ทั้งหมด ยังคงดำเนินยุทธศาสตร์การเมืองแบบเลือกตั้งล้วน ๆ ต่อไป ดังจะเห็นได้จากแนวทางของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และในการเลือกตั้งซ่อมสส.เขตดอนเมือง ซึ่งพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายทั้งสองกรณี
           สถานการณ์ปัจจุบันเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างกลุ่มจารีตนิยม พวกทุนเก่า และชนชั้นกลางในเมืองฝ่ายหนึ่ง กับประชาชนรากหญ้า ชนชั้นกลางในชนบทและกลุ่มทุนใหม่อีกฝ่ายหนึ่ง และก็เป็นการต่อสู้สองแนวทางระหว่างระบอบเผด็จการจารีตนิยมกับระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม เป็นการต่อสู้ที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้และจะต้องแตกหักในที่สุด
            ในการต่อสู้นี้ ฝ่ายจารีตนิยมพ่ายแพ้การเลือกตั้งใหญ่สองครั้ง แต่ก็ยังมีกลไกที่เข้มแข็ง ทั้งกองทัพ ตุลาการ พรรคประชาธิปัตย์ สื่อมวลชนกระแสหลัก องค์กรพัฒนาเอกชน และฐานมวลชนในเขตกรุงเทพและเมืองใหญ่ การเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นทุกครั้งในปัจจุบันจึงไม่ใช่การเลือกตั้งในระบอบรัฐสภาที่เป็นปกติภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง แต่เป็นการต่อเนื่องของสงครามชนชั้นและสงครามสองแนวทาง
           พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งใหญ่ทั้งสองครั้งก็เพราะประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคเพื่อไทยนั้นต้องการประชาธิปไตย ขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการประชาธิปไตย แต่ต้องการระบอบจารีตนิยม ส่วนการแข่งขันด้วยนโยบายและโครงการนั้นเป็นเรื่องรอง
           กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเขตฐานมวลชนหลักของพวกจารีตนิยมและพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็มีฐานคะแนนเสียงและคนเสื้อแดงในจำนวนที่ก้ำกึ่งกัน การเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯเป็นการต่อเนื่องของการต่อสู้สองแนวทางและการต่อสู้ทางชนชั้นระดับชาติ การแพ้ชนะการเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯจึงตัดสินกันที่ดุลกำลังของฐานคะแนนเสียงทั้งฝ่ายว่า จะสามารถระดมออกมาได้อย่างเต็มที่หรือไม่ ประเด็นนโยบายและโครงการมีความสำคัญเป็นรอง
            คำถามคือ แล้ว “คนกลาง ๆ” หรือ “คนไม่มีสี” อยู่ตรงไหน? คำตอบคือ คนพวกนี้เป็นพวกเฉื่อยชาทางการเมือง หากมีรายได้ไม่สูงก็จะหมกมุ่นกับการทำมาหากิน หากมีรายได้สูง ก็หมกมุ่นกับการหาความสุขส่วนตัว คนพวกนี้ไม่สนใจชะตากรรมของบ้านเมืองและความขัดแย้งใด ๆ ไม่สนใจการเลือกตั้งและส่วนใหญ่จะนอนหลับทับสิทธิ์
            แกนนำพรรคเพื่อไทยยังไม่เข้าใจถึงการต่อสู้สองแนวทางในระดับท้องถิ่นกรุงเทพฯ จึงยังคงดำเนินยุทธวิธีทางการเมืองเสมือนเป็นระบอบรัฐสภาตามปกติ คือสร้างกระแสเลือกตั้งด้วยกลยุทธ์การตลาด ประดิษฐ์คำขวัญนโยบายสวยหรู เสนอขายชุดโครงการหลากหลาย เอาผลงานของรัฐบาลระดับชาติเป็นเครื่องประกันคุณภาพ แต่จงใจละเลยไม่ชูประเด็นการต่อสู้ทางประชาธิปไตย ไม่ชี้ให้เห็นว่า หากต้องการประชาธิปไตย ปฏิเสธเผด็จการ ก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย
           แกนนำพรรคเพื่อไทยเชื่อลม ๆ แล้ง ๆ ว่า ด้วยผลงานระดับชาติ คำขวัญหรู ๆ ชุดนโยบายหลากหลาย จะทำให้มวลชนกรุงเทพฯ “คนกลาง ๆ” หรือ “คนไม่มีสี” สนใจหันมาลงคะแนนให้กับผู้สมัครพรรคเพื่อไทย เมื่อรวมกับฐานเสียงพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงแล้ว ก็จะชนะเลือกตั้งท้องถิ่นได้ แต่นี่เป็นความเข้าใจผิด เพราะยุทธวิธีดังกล่าวนอกจากจะไม่ได้เสียงจาก “คนกลาง ๆ” “คนไม่มีสี” แล้ว พฤติกรรมอ่อนแอโลเลในการเมืองระดับชาติของพรรคเพื่อไทยยังทำให้การสนับสนุนจากมวลชนคนเสื้อแดงลดน้อยถอยลงไปอีกด้วย ผลก็คือ พรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯและปริมณฑลทุกครั้ง และจะแพ้ซ้ำซากเช่นนี้ต่อไปอีก
          จะเห็นได้ว่า นโยบายเอาใจคนกรุงเทพฯสารพัดไม่เคยได้ผลตอบรับ ตั้งแต่การต่อสู้ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพชั้นใน โครงการรถยนต์คันแรก โครงการบ้านหลังแรก โครงการรถไฟฟ้า และโครงการอื่น ๆ คนกรุงเทพฯที่เป็น “เหลือง” และ “คนกลาง ๆ” จำนวนมากได้ประโยชน์โดยตรง แต่ก็ยังไม่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยเพราะคนกรุงเทพฯที่ “เหลือง” ก็ต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ขณะที่ “คนกลาง ๆ” ไม่สนใจใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
           ในทางตรงข้าม พรรคประชาธิปัตย์กลับมีความชัดเจนในเรื่องนี้ พวกเขาหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯและปริมณฑลด้วยการชูความขัดแย้งการเมืองระดับชาติเป็นธงนำ ปลุกระดมฐานมวลชนของตนด้วยการชูธง “ต้านระบอบทักษิณ” หากแพ้เลือกตั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลก็คือ แพ้ต่อ “ระบอบทักษิณ” ทำให้สามารถระดมพลังมวลชนของฝ่ายตนออกมาได้อย่างเต็มที่ และชนะเลือกตั้งทุกครั้ง นัยหนึ่ง พรรคประชาธิปัตย์รู้ดีว่า นี่คือสถานการณ์สู้รบ ต้องชูเป้าหมาย “ต่อต้านระบอบทักษิณ” จึงจะยืนอยู่ได้
           หากองค์กรตุลาการเดินหน้าไปถึงขั้นจะยุบพรรคและปลดนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยจะทำอย่างไร? ข้อเสนอข้อหนึ่งภายในพรรคเพื่อไทยคือ ให้สู้กับตุลาการด้วยการยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ โดยเชื่อมั่นว่า ประชาชนจะเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยเข้ามาด้วยคะแนนล้นหลามอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการยับยั้งฝ่ายตุลาการ
          แต่นี่เป็นข้อเสนอที่ไร้เดียงสาด้วยวิธีคิดของการเมืองแบบเลือกตั้งล้วน ๆ คือเชื่อว่า ฝ่ายจารีตนิยม “กลัวการเลือกตั้ง” และเชื่อว่า เมื่อยุบสภาแล้ว ฝ่ายจารีตนิยมจะต้องยอมให้มีการเลือกตั้งใหม่อย่างแน่นอนเพราะไม่มีทางเลือกอื่น นี่เป็นความเชื่อที่ผิด พรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ลืมบทเรียนจากการยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งแทนที่จะได้เลือกตั้งใหม่ กลับนำไปสู่สภาวะสูญญากาศทางการเมือง ให้พวกจารีตนิยมสร้างวิกฤตการเมืองขึ้นทีละขั้น ขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้ง จนเป็นเงื่อนไขสุกงอมให้เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
          หากพรรคเพื่อไทยสู้กับตุลาการด้วยการยุบสภาก็จะเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เพราะจะเหลือแต่รัฐบาลและรัฐมนตรีรักษาการ ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร เปิดช่องโอกาสให้พวกจารีตนิยมใช้ตุลาการ สมาชิกวุฒิสภาแต่งตั้ง และมวลชนเสื้อเหลืองบนท้องถนน ตลอดจนกองทัพในมือได้อย่างเต็มที่
         สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะต้องทำในสถานการณ์สู้รบนี้ จึงไม่ใช่การยุบสภาอย่างเด็ดขาด แต่เป็นการเดินแนวทางการเมืองแบบมวลชน ชูธงประชาธิปไตยให้สูงเด่น เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองโดยเร็ว พึ่งพาสนับสนุนมวลชนของตนอย่างเต็มที่ ดึงความเชื่อมั่นของมวลชนคนเสื้อแดงกลับคืนมา ต่อสู้กับกลไกของจารีตนิยม ทั้งตุลาการและพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มที่ด้วยแนวทางทั้งในและนอกสภา