วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ แถลงเรียกร้องยุติกระทำต่อเป้าหมายอ่อนแอ

Wed, 2014-11-19 00:44

           เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพวอนยุติการกระทำต่อเป้าหมายอ่อนแอ หลังเกิดเหตุยิงชาวพุทธในชายแดนใต้ต่อเนื่อง เรียกร้องป้องกันการถูกแก้แค้นหลังการปราบปรามของเจ้าหน้าที่ เสนอแนวทางอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ร่วมวงพูดคุยสันติสุข
           เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ (BUDDHISTS NETWORK FOR PEACE : B4P) ซึ่งเป็นเครือข่ายของชาวพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 3/2557 เรียกร้องให้ยุติการกระทำต่อเป้าหมายที่อ่อนแอ อันเนื่องมาจากกรณีคนร้ายยิงไทยพุทธเสียชีวิต 3 ราย และผู้ชาย 1 ราย เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา
            แถลงการณ์ระบุว่า เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อกรณีความสูญเสียของครอบครัวผู้บริสุทธิ์จากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ เหตุการณ์ยิงนางอิศรา ชัยฤทธิ์โชค อาชีพครู อายุ 53 ปี ที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี นางสิริรัตน์ แซ่ชั้น อายุ 32 ปี กับนางสาริณี แซ่ท่อง อายุ 54 ปี ที่ อ.ธารโต จ.ยะลา และนายนรพล แสงมณี อายุ 26 ปี ที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และเหตุยิงนายจรูญ ศรีจันทร์ อายุ 62 ปี เสียชีวิต และนางเตือนใจ บุญเกลี้ยง อายุ 48 ปี บาดเจ็บสาหัส ที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557
          แถลงการณ์ระบุต่อไปว่า การสังหารผู้หญิงและผู้บริสุทธิ์ในสถานการณ์ความขัดแย้งทางอาวุธเป็นการกระทำไร้มนุษยธรรมที่อุกอาจรุนแรง และนำพามาซึ่งความโกรธแค้นชิงชังของประชาชนที่อยู่ในสังคม ทางเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพได้มีการประชุม เพื่อเสนอข้อเรียกร้องของสมาชิกรวม 13 ข้อ ดังนี้
  • 1.ขอให้แก้ไขเรื่องการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินของชาวไทยพุทธ เช่น การลักลอบกรีดยาง การเผาบ้าน การข่มขู่ขับไล่ชาวไทยพุทธ เป็นต้น
  • 2.ขอให้ควบคุมการใช้เครื่องแบบทหาร ชุดเจ้าหน้าที่เป็นการทั่วไปเพราะทำให้ไม่สามารถแยกแยะว่าใครเป็นเจ้าหน้าที่ฯ หรือใครเป็นประชาชน หรือผู้แอบอ้าง รวมทั้งการควบคุมการขายชุดและอุปกรณ์ของตำรวจทหารเป็นการทั่วไปตามท้องตลาด
  • 3.ให้ควบคุมการใช้และการตรวจสอบควบคุมอาวุธสงครามตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
  • 4.ขอให้มีนโยบายส่งเสริมการดำรงอยู่ของพุทธศาสนิกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เช่นการส่งเสริมการประกอบศาสนกิจ บางพื้นที่ไม่มีพระ บางพื้นที่มีวัดไม่มีชาวไทยพุทธ และเรื่องการบวชเรียน เป็นต้น
  • 5.ขอให้ดำเนินมาตรการเมื่อมีการข่มขู่ทำร้ายชีวิตของชาวไทยพุทธที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง
  • 7.ขอให้กำหนดมาตรการปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบอย่างเด็ดขาดเมื่อทางราชการรู้ข้อมูลอยู่แล้ว (ต้องปฏิบัติการตามกฎหมาย)
  • 8. ขอให้ยกเลิกการใช้กฎหมายจราจรบางประเภท เช่น การใส่หมวกกันน๊อค เพื่อป้องกันการใส่หมวกกันน๊อคเพื่อปกปิดหน้าตาในการกระทำความผิด
  • 9.ขอให้จัดมาตรการความปลอดภัยต่อคนไทยพุทธในการแก้แค้นหรือตอบโต้การปราบปรามของเจ้าหน้าที่ เช่น การสังหารคนไทยจำนวน 5 รายหลังเกิดเหตุการณ์ปราบปราม
  • 10.ขอให้กวดขันกับการตรวจจับรถที่ใช้แผ่นป้ายทะเบียนแดงและรถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนอย่างเข้มงวด
  • 11.ขอให้กำหนดมาตรการนำคนผิดมาลงโทษให้มีประสิทธิภาพ จับคนผิดมาลงโทษจริงๆ ให้ได้ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธหรือมุสลิม
  • 12.ขอเสนอให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางรวมกันอย่างเป็นรูปธรรมกับกลุ่มไทยพุทธ และกลุ่มคนทั้งพุทธและมุสลิม ที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
  • 13.ขอให้มีคนไทยพุทธในพื้นที่ ร่วมในการพูดคุยสันติสุข

         แถลงการณ์ระบุในตอนท้ายว่า การออกแถลงการณ์ครั้งนี้ เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสีย และต้องการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงกับผู้ บริสุทธิ์อีกต่อไป ลงชื่อ เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ BUDDHISTS NETWORK FOR PEACE (B4P) วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557
แถลงการณ์

แถลงการณ์ ฉบับที่ 3/2557
เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ
ยุติการกระทำต่อเป้าหมายที่อ่อนแอ
          เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อกรณีความสูญเสียของครอบครัว ผู้บริสุทธิ์จากเหตุการณ์การยิงชาวไทยพุทธเสียชีวิต ซึ่งเป็นผู้หญิงจำนวน 3 ราย และผู้ชายหนึ่งราย
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2557
  • เหตุการณ์ยิงนางอิศรา ชัยฤทธิ์โชค อาชีพครู อายุ 53 ปี ที่อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี
  • นางสิริรัตน์ แซ่ชั้น อายุ 32 ปี นางสาริณี แซ่ท่องอายุ 54 ปี ที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา
  • นายนรพล แสงมณี อายุ 26 ปี ที่อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557
  • นายจรูญ ศรีจันทร์ อายุ 62 ปี เสียชีวิต และ นางเตือนใจ บุญเกลี้ยง อายุ 48 ปี บาดเจ็บสาหัส บนถนนใน บ.อัยตืองอ ม.5 ต.ศรีสาคร อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส

          การสังหารผู้หญิงและผู้บริสุทธิ์ในสถานการณ์ความขัดแย้งทางอาวุธเป็นการกระทำไร้มนุษยธรรมที่อุกอาจรุนแรง และนำพามาซึ่งความโกรธแค้นชิงชังของประชาชนที่อยู่ในสังคม
          เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ได้มีการประชุม เพื่อเสนอข้อเรียกร้องของสมาชิกดังต่อไปนี้
  • 1. ขอให้แก้ไขเรื่องการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินของชาวไทยพุทธ เช่น การลักลอบกรีดยาง การเผาบ้าน การข่มขู่ขับไล่ชาวไทยพุทธ เป็นต้น
  • 2. ขอให้ควบคุมการใช้เครื่องแบบทหาร ชุดเจ้าหน้าที่เป็นการทั่วไปเพราะทำให้ไม่สามารถแยกแยะว่าใครเป็นเจ้าหน้าที่ฯ หรือใครเป็นประชาชน หรือผู้แอบอ้าง รวมทั้งการควบคุมการขายชุดและอุปกรณ์ของตำรวจทหารเป็นการทั่วไปตามท้องตลาด
  • 3. ให้ควบคุมการใช้และการตรวจสอบควบคุมอาวุธสงครามตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
  • 4. ขอให้มีนโยบายส่งเสริมการดำรงอยู่ของพุทธศาสนิกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เช่นการส่งเสริมการประกอบศาสนกิจ บางพื้นที่ไม่มีพระ บางพื้นที่มีวัดไม่มีชาวไทยพุทธ และเรื่องการบวชเรียน เป็นต้น
  • 5. ขอให้ดำเนินมาตรการเมื่อมีการข่มขู่ทำร้ายชีวิตของชาวไทยพุทธที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง
  • 7. ขอให้กำหนดมาตรการปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบอย่างเด็ดขาดเมื่อทางราชการรู้ข้อมูลอยู่แล้ว (ต้องปฏิบัติการตามกฎหมาย)
  • 8. ขอให้ยกเลิกการใช้กฎหมายจราจรบางประเภท เช่น การใส่หมวกกันน๊อค เพื่อป้องกันการใส่หมวกกันน๊อคเพื่อปกปิดหน้าตาในการกระทำความผิด
  • 9. ขอให้จัดมาตรการความปลอดภัยต่อคนไทยพุทธในการแก้แค้นหรือตอบโต้การปราบปรามของเจ้าหน้าที่ เช่น การสังหารคนไทยจำนวน 5 รายหลังเกิดเหตุการณ์ปราบปราม
  • 10. ขอให้กวดขันกับการตรวจจับรถที่ใช้แผ่นป้ายทะเบียนแดงและรถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนอย่างเข้มงวด
  • 11. ขอให้กำหนดมาตรการนำคนผิดมาลงโทษให้มีประสิทธิภาพ จับคนผิดมาลงโทษจริงๆ ให้ได้ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธหรือมุสลิม
  • 12. ขอเสนอให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางรวมกันอย่างเป็นรูปธรรมกับกลุ่มไทยพุทธ และกลุ่มคนทั้งพุทธและมุสลิม ที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
  • 13. ขอให้มีคนไทยพุทธในพื้นที่ ร่วมในการพูดคุยสันติสุข

           การออกแถลงการณ์ครั้งนี้ เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสีย และต้องการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงกับผู้ บริสุทธิ์อีกต่อไป


เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ
BUDDHISTS NETWORK FOR PEACE (B4P)
18 พฤศจิกายน 2557

รวบ 5 นศ.'ชูสามนิ้ว' ให้ประยุทธ์ ขณะลงพื้นที่ขอนแก่น

5 นศ.กลุ่มดาวดิน ถูกรวบที่ขอนแก่น หลังชูสามนิ้ว ต้านรัฐประหาร ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ขณะลงพื้นที่ขอนแก่น ล่าสุดถูกนำตัวไปค่ายทหาร โดยกลุ่มดาวดินออกแถลงการณ์ย้ำ "ไม่ต้อนรับ 'เผด็จการ'” ขอกำหนดชีวิตตัวเอง ชี้นโยบายรัฐเอื้อประโยชน์นายทุน-เพิกเฉยต่อสิทธิเสรีภาพประชาชน


19 พ.ย. 2557 เวลา 9.50 น. มีรายงานว่า นักศึกษากลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม (ดาวดิน)  จ.ขอนแก่น จำนวน 5 คน ถูกรวบไปสถานีตำรวจ หลังชูสามนิ้ว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านรัฐประหาร ต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.  ขณะมอบนโยบายให้กับเจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในกลุ่มจังหวัดภาคอีสาน บริเวณศาลากลาง จ.ขอนแก่น 
โดยกลุ่มนักศึกษาทั้ง 5 คน สวมเสื้อสกรีนข้อความ "ไม่" "เอา" "รัฐ" "ประ" "หาร"

รายชื่อนักศึกษาที่ถูกรวบ ได้แก่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา, วสันต์ เสตสิทธิ์, เจตษฤษติ์ นามโคตร, พายุ บุญโสภณ และ วิชชากร อนุชน

11.00 น. มีรายงานว่า นักศึกษาทั้ง 5 คนจะถูกนำตัวจากสถานีตำรวจไปที่เรือนรับรอง มณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร เบื้องต้น ยังไม่มีทนาย

13.00 น. มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารกำลังสอบสวนนักศึกษา โดยผู้ติดตามนักศึกษาถูกไล่ออกมานอกห้อง ก่อนหน้านั้นมีการต่อรองแบบปะทะคารมจนทหารบอกว่าอยากกลับบ้านไปหาพ่อแม่ไหมถ้าอยากกลับก็เงียบ จนถึงขณะนี้ ทางนักศึกษายังไม่ยอมเซ็นรับเงื่อนไขปล่อยตัวของทหาร และยังไม่มีทนาย

13.35 น. หลังจากที่สอบสวนในค่ายศรีพัชรินทรเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนักศึกษาทั้งห้าคนมาที่สถานีสารวัตรทหารเพื่อรออีกทีมมาสอบสวน
ก่อนหน้านี้ สมาชิกหญิงคนหนึ่งในกลุ่มดาวดิน ให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่ไปแอคชั่นวันนี้ เพราะต้องการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่า ไม่ยอมรับอำนาจ คสช. และไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร หลังจากวานนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อว่า นายกฯ เดินทางไปได้ทุกที่ ภาคไหนก็ได้ เพราะไม่มีความขัดแย้งกับใคร ไม่มีศัตรูที่ไหน โดยกลุ่มฯ อยากจะสื่อว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางมาอีสานก็ได้ แต่ขอไม่ต้อนรับ

นอกจากนี้ นักศึกษาคนเดิมตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เมื่อช่วงเช้า ราว 8 โมงกว่าๆ มีบุคคลไม่ทราบจำนวนขับรถกระบะนิสสัน นาวารา สีดำ ติดฟิล์มทึบ ไม่มีป้ายทะเบียน ชะลอหน้าบ้านพักของกลุ่มดาวดิน อยู่สองรอบ ส่วนตัวคาดว่าเป็นฝ่ายความมั่นคง เพราะปกติแล้วในเวลานั้นจะไม่มีรถวิ่งผ่าน 
สำหรับกลุ่มดาวดิน เป็นกลุ่มนักศึกษาที่ทำกิจกรรมเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม ก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักในหน้าสื่ออย่างมากจากภาพข่าวคุกเข่าท่ามกลางสายฝน ระหว่างการประชาพิจารณ์เหมืองแร่เมืองเลย ต่อมา กลุ่มดาวดินออกแถลงการณ์ต้านรัฐประหาร รวมทั้งยังเคลื่อนไหวในประเด็นต่อต้านรัฐประหารและประเด็นทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง จนถูกเรียกรายงานตัวที่ ค่ายศรีพัชรินทร มทบ.23 และขอให้หยุดการแสดงสัญลักษณ์ทางการเมือง และหยุดเคลื่อนไหวเรื่องเหมืองแร่ จ.เลย
อนึ่ง วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่นและกาฬสินธุ์ เพื่อตรวจเยี่ยมการเตรียมพร้อมรับภัยแล้ง และการช่วยเกษตรกร พร้อมรับฟังปัญหาของชาวบ้าน
 รวมถึงปฏิบัติภารกิจอื่นๆ โดยจะเป็นแบบไปเช้ากลับเย็น 

 แถลงการณ์กลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม (ดาวดิน)
เรื่อง พวกเราไม่ต้อนรับ “เผด็จการ”
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2557
 
หลังจากการทำรัฐประหาร โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) นำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งตอนนี้กำลังทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประเทศ การทำงานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดมากมาย และในตอนนี้กำลังเป็นปัญหารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์ที่สิทธิ เสรีภาพถูกลิดรอนไปภายใต้ระบอบการปกครองแบบเผด็จการอย่างเต็มรูปแบบ หลายคนเริ่มรับรู้ได้ถึงการคุกคามที่ทวีความรุนแรงขึ้น มีเหตุการณ์การจับกุม กักขัง เพียงเพราะการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพที่ทุกคนมีมาแต่กำเนิดเกิดขึ้นมากมาย เพียงเพราะต้องการข่มขู่ให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลทหาร (คสช.) เกรงกลัวที่จะลุกขึ้นมาต่อต้าน
 
นโยบายส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เอื้อประโยชน์ให้นายทุน และเพิกเฉยต่อสิทธิ เสรีภาพ ของพี่น้องประชาชนแทบทั้งสิ้น ซึ่งนโยบายส่วนใหญ่เลือกที่จะละเลยการฟังเสียงพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการน้ำ ตัวอย่างในเรื่องของเขื่อนแม่วงก์ที่ถูกนำกลับมาเป็นนโยบายอีกครั้ง ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย การกีดกันการรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน และเรื่องแผนแม่บทป่าไม้และที่ดิน ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์การไล่รื้อบ้านและสวนยางของพี่น้องประชาชน อย่างไร้เหตุผลและไม่เป็นธรรม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลทหารเผด็จการชุดนี้ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนแม้แต่น้อย
 
ด้วยความอึดอัดที่จะไม่ทนกับระบอบเผด็จการทหารอีกต่อไปพวกเรากลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม (ดาวดิน)  จึงขอแสดงจุดยืนที่จะต่อสู้เรียกร้อง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ เสรีภาพประชาธิปไตยอันมาจากประชาชน ชีวิตเราเราขอเลือกเอง ชีวิตเราเราขอกำหนดเอง และขอแสดงเจตนารมณ์ว่าเราจะไม่ยอมรับอำนาจคำสั่ง หรือนโยบายใดๆ ที่เกิดจากรัฐบาลเผด็จการทั้งสิ้น
 
พร้อมทั้งให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกเลิกกฎอัยการศึก ที่เป็นปัญหาต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน อันควรมีแก่ประชาชน รวมถึงยกเลิกนโยบายและโครงการที่เป็นการทำลายสภาพท้องถิ่นในหลายจังหวัด เช่น แผนแม่บทป่าไม้และที่ดิน การปฏิรูปพลังงานที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ฟังเสียงประชาชน และในอีกหลายโครงการหลายนโยบาย พร้อมทั้งคืนอำนาจสูงสุดของประเทศ คืออำนาจอธิปไตยให้เป็นของประชาชน เพื่อให้ได้กลับคืนมาซึ่งสิทธิ เสรีภาพ 
 
ด้วยความเคารพต่อสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ ความเท่าเทียม และประชาธิปไตย
กลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม (ดาวดิน)

พล.อ.ประยุทธ์นึกว่านักศึกษาชูสามนิ้วมารำกระตั้ว-ย้ำไม่คิดอะไร คนไทยให้อภัยกัน


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตรวจราชการที่ศาลากลาง จ.ขอนแก่น เป็นประธานการปล่อยแถวเครื่องจักรกลสาธารณภัย เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2557 (ที่มา:เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล)

นายกรัฐมนตรีตรวจราชการขอนแก่น-กาฬสินธุ์เรื่องแก้ภัยแล้ง กรณีใบปลิวต้าน พล.อ.ประยุทธ์ ขอให้ใช้ถ้อยคำสุภาพ-ไม่ดุเดือดมากนัก ส่วนที่เจอนักศึกษาชูสามนิ้ว พล.อ.ประยุทธ์ สวนว่า "มีใครอยากจะประท้วงอีกมั้ย" และกล่าวด้วยว่านึกว่าเป็นการแสดงรำกระตั้วแทงเสือ แต่ยืนยันว่าพร้อมให้อภัย หากอยากร้องเรียนให้ไปศูนย์ดำรงธรรม
พ.อ.ประยุทธ์ ถามหลังเจอชูสามนิ้ว "มีใครจะประท้วงอีกมั้ย" เผยคิดว่าเป็นระบำนกกระตั้วแต่ยืนยันให้อภัย
19 พ.ย. 2557 - กรณีที่ประชาไทนำเสนอข่าว นักศึกษากลุ่มดาวดิน จ.ขอนแก่น จำนวน 5 คน ถูกรวบไปสถานีตำรวจและเรือนรับรอง มทบ.23 ค่ายศรีพัชรินทร หลังทำกิจกรรมชูสามนิ้ว เป็นสัญลักษณ์ต้านรัฐประหาร ต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ขณะมอบนโยบายให้กับเจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในกลุ่มจังหวัดภาคอีสาน ที่ศาลากลาง จ.ขอนแก่น นั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ในส่วนของปฏิกิริยาจาก พล.อ.ประยุทธ์ เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ระบุว่า ภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทราบว่าเป็นการประท้วง จึงกล่าวกับผู้ร่วมงานว่า "ก็อย่างนี้แหละ ประเทศจะไปได้อย่างไร มีใครอยากจะประท้วงอีกมั้ย"
ส่วน วอยซ์ทีวี รายงานคำพูด พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งระบุด้วยว่านึกว่าเป็นการแสดงกระตั้วแทงเสือ และระบุว่าไม่คิดอะไรและจะให้อภัย "ส่วนตัวคิดว่าเป็นการแสดงรำกระตั้ว" "ไม่เป็นไร ผมไม่คิดอะไร คนไทยต้องให้อภัยกัน  ขอทำงานลุยเรื่องนโยบายเพื่อจะพัฒนาภาคอีสาน คนเห็นต่างเขาไม่เข้าใจ" โดย พล.อ.ประยุทธ์แนะนำด้วยว่าหากมีเรื่องอะไรให้ไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรม
สำหรับระบำกระตั้วแทงเสือที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงนั้น เป็นการแสดงในท้องถิ่นภาคใต้ตอนบน มีเรื่องราวว่า ในเมืองเกิดเหตุร้ายมีเสือออกมาอาละวาดกัดชาวบ้าน เจ้าเมืองจึงออกประกาศถ้าใครสามารถปราบเสือได้จะมีรางวัล ในการแสดงจะมีระบำเสือ และมีตัวละครนายพรานชื่อ บ้องตัน ออกมาปราบเสือ เมื่อปราบเสือได้เจ้าเมืองจะให้รางวัล (ชมคลิปตัวอย่างการแสดง)
ภาพระบำกระตั้วแทงเสือ คณะศิษย์วัดสิงห์ จ.ชุมพร โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงนักศึกษาที่มาชูสามนิ้วว่านึกว่าการแสดงกระตั้วแทงเสือ (ที่มา: แฟ้มภาพ/Siamliondance/Youtube)
มาขอนแก่นเรื่องแก้ภัยแล้ง ส่วนใบปลิวต้านขอร้องให้ใช้ถ้อยคำสุภาพ
ทั้งนี้ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีการลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น และ จ.กาฬสินธุ์ ว่า เป็นการติดตามปัญหาการบริหารจัดการน้ำที่ยังไม่ทั่วถึง ส่งผลให้เกิดปัญภัยแล้งซ้ำซาก ยืนยันว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้ จะไม่มีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องของความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งพื้นที่ใดมีความเดือดร้อนมากจะลงไปติดตาม หากติดภารกิจก็จะมอบหมายให้รัฐมนตรีคนอื่นลงพื้นที่แทน
โดยยืนยันว่าจะดูแลประชาชนในทุกพื้นที่ ซึ่งในปี 2558 ประเทศไทยจะประสบกับปัญหาภัยแล้ง ดังนั้น จึงต้องลงไปติดตามว่าแผนบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับประชาชน เพื่อส่งผลให้ผลผลิตทางเกษตรในภาพรวมมีคุณภาพและสามารถเพิ่มมูลค่าได้ จึงต้องเชื่อมโยงไปถึงความจำเป็นในการสร้างเส้นทางรถไฟ เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และการปรับเรื่องของการอำนวยความสะดวกในด้านอื่นๆ เช่น เรื่องของการค้า เพื่อให้เกิดการพัฒนาในภาพรวมให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการผลิตสินค้าเกษตรและอาหาร โดยในโอกาสนี้ จะได้ติดตามการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรมของทั้ง 2 จังหวัดด้วย
ส่วนกรณีมีใบบลิวต่อต้านในการลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขอให้ใช้ถ้อยคำสุภาพ โดยระบุว่า ไม่เป็นไรถือว่ายังมีคนเห็นต่างอยู่ แต่ขอความร่วมมือให้ใช้ถ้อยคำที่สุภาพ ไม่ดุเดือดมากนัก โดยต้องการให้มองว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้ เพื่อทำประโยชน์ให้กับประชาชน ซึ่งต้องดูเนื้อหาด้วยว่าต่อต้านเรื่องอะไร หากระบุว่ารัฐบาลทำงานไม่ดี ไม่จริงใจ ก็ต้องไปปรับปรุงแก้ไข แต่หากรัฐบาลทำในสิ่งที่ดีขออย่าออกมาต่อต้าน ยืนยันว่ายังมีกำลังใจไม่ท้อแท้ และจะเดินหน้าแก้ปัญหาต่อไป

เสธ.มทบ.22 อ้างผู้ใหญ่ไม่สบายใจ สั่งปิดเฟซบุ๊ก "ร่วมกันเปิดประตูเขือนปากมูล ถาวร"

          พ.อ. พูลศักดิ์ สมบูรณ์ โทรจี้กฤษกร ปิดเฟซบุ๊ก "ร่วมกันเปิดประตูเขื่อนปากมูล ถาวร" อ้างผู้ใหญ๋ไม่สบายใจ หลังออกแถลงการณ์ หยุดคุกคามเสรีภาประชาชน ยกเลิกกฏอัยการศึก
          19 พ.ย. 2557 - เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา บนหน้าเฟซบุ๊ก "ร่วมกันเปิดประตูเขื่อนปากมูล ถาวร" ได้ประกาศยุติการการเคลื่อนไหว โดยให้เหตุผลว่า "ขอแจ้งปิดเฟส ยุติการเคลื่อนไหว ด้วยได้รับการแจ้งขอความร่วมมือจากทหาร จังหวัดอุบล ว่าผู้ใหญ่ไม่สบายใจ ต่อการแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซนี้ โดยบอกว่า หากไม่ยุติการเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊ก จำเป็นต้องขออนุญาติใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก ด้วยสภาพการณ์ดังกล่าว พวกเราจึงขอยุติการเคลื่อนไหว ผ่านเฟซบุ๊กนี้ จึงแจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วถึงกัน"

           นายกฤษกร(ไพจิต) ศิลารักษ์ ผู้ประสานผู้ประสานงานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) กรณีเขื่อนปากมูล ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา พ.อ. พูลศักดิ์ สมบูรณื เสธนาธิการมณฑลทหารบกที่ 22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ได้โทรเข้ามา เพื่อขอความร่วมมือให้ยุติความเคลื่อนไหวบนเฟซบุ๊ก และให้ปิดเฟซบุ๊ก "ร่วมกันเปิดประตูเขื่อนปากมูล ถาวร" เนื่องจากมีเนื้อหาที่สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกรณีการออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2557 เรื่อง หยุดคุกคามเสรีภาพประชาชน ยกเลิกกฏอัยการศึก และได้เผยแพร่ผ่านทางเฟซบุ๊ก (อ่านแถลงการณ์ที่นี่)
         ซึ่งกฤษกร ก็ได้ให้ความร่วมมือ ทว่าในเช้าวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารคนเดิมก็ได้โทรเข้ามาอีก โดยได้มีการขอความร่วมมือให้ปิดเฟซบุ๊กส่วนตัวของกฤษกร "คุณไพจิต กฤษกร ศิลารักษ์" เนื่องจากเห็นว่ามีการแสดงความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสม
"เขาโทรมาบอกว่าให้เปิดเฟซบุ๊กอีกอันหนึ่ง ผมก็บอกว่าเป็นเฟซบุ๊กที่เลิกใช้งานมานานแล้ว ตั้งแต่เดือนมิถุนา รหัสผมก็จำไม่ได้แล้ว เขาก็ไม่เชื่อ แล้วบอกว่า สร้างได้ก็ต้องปิดได้ ถ้าคุณปิดตอนนี้ไม่ได้ เดี๋ยวผมจะไปรับมาปิดที่ค่ายฯ" กฤษกรกล่าว
เฟซบุ๊ก กฤษกร ประกาศปิดเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2557
          กฤษกร ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่่อช่วงบ่ายของวันที่ 18 พ.ย. ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจราว 10 นาย ได้เข้าไปหาตนที่สำนักงานสหกรณ์เกษตรกรพิบูลมังสาหาร สำหรับการเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊กที่ผ่านกฤษกรคิดว่า การแสดงความคิดเห็นของตนและของชาวบ้านปากมูล ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมากมายต่อเสถียรภาพของรัฐบาล หรือคสช. การแสดงความเห็นบนเฟซบุ๊กที่ผ่านมาเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนแนวคิดและความเห็นเท่านั้น ไม่มีพิษภัยใดๆ การไล่ปิดความจริง หรือความคิดเห็นของคนไปตลอดแบบนี้ใช้ไม่ได้ในโลกปัจจุบัน

‘ยะใส’ ห่วงความปลอดภัย ‘ประยุทธ์’ ติงระบบ รปภ. ‘หละหลวมหรือวางยา’ หลังนศ.ชู 3 นิ้วใส่


‘สุริยะใส กตะศิลา’ โพสต์เฟซบุ๊กถามระบบรักษาความปลอดภัยนายกฯ “หละหลวมหรือวางยา” หลังปล่อยให้นักศึกษากลุ่มดาวดินชู 3 นิ้ว พร้อมเสื้อสกีนข้อความ "ไม่" "เอา" "รัฐ" "ประ" "หาร" ต่อหน้าได้
19 พ.ย.2557 หลังนักศึกษากลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม (ดาวดิน)  จ.ขอนแก่น จำนวน 5 คน ชู 3 นิ้ว พร้อมเสื้อสกีนข้อความ "ไม่" "เอา" "รัฐ" "ประ" "หาร" ต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.  ขณะมอบนโยบายให้กับเจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในกลุ่มจังหวัดภาคอีสาน บริเวณศาลากลาง จ.ขอนแก่น ก่อนถูกรวบไปสถานีตำรวจ และนำตัวไปสอบสวนในค่ายศรีพัชรินทร ต่อด้วยนำตัวนักศึกษาทั้งห้าคนมาที่สถานีสารวัตรทหารเพื่อรออีกทีมมาสอบสวนในเวลาต่อมา ตามลำดับ (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุด เมื่อเวลา 15.00 น. สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กแฟนเพจตนเองถึงกรณีดังกล่าว โดยตั้งคำถามถึงระบบรักษาความปลอดภัยของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “หละหลวมหรือวางยา นายกฯ?”
โดยสุระยะใส ระบุว่า “จากกรณีนศ. ม.ขอนแก่นจำวน 5 คน ต้านนายกฯระหว่างแสดงปาฐกถางานสู้ภัยแล้งจนถูก จนท.คุมตัวไปค่ายทหารฯ นั้น
ผมแปลกใจไม่น้อยที่เห็นภาพนี้ คือถ้าเป็นภาพคนมาชูสัญลักษณ์ประท้วงการรัฐประหารนอกสถานที่จัดงานก็คงเป็นเรื่องปกติครับ แต่นี่ นศ.ทั้ง 5 คนหลุดเข้าไปในงานแทบจะประชิดหน้าโพเดี่ยมที่นายกฯ กำลังยืนพูดอยู่ด้วยซำ้
นี่ถ้าเป็นกลุ่มหัวรุนแรงเหมือนในบางประเทศ อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้นะครับ
ผมเลยอดสงสัยไม่ได้ว่างานนี้ จนท.ในพื้นที่หละหลวมหรือมีส่วนรู้เห็น วางยาท่านผู้นำหรือไม่ ระบบรักษาความปลอดภัยของนายกฯ ที่มาจากการยึดอำนาจ เป็นทหารที่มีอำนาจสูงสุด แต่เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร?
ถ้าคิดว่านี่เป็นการเสียหน้า เสียเหลี่ยมนั้น อย่าไปเล่นงานกับเด็กเลยครับ ห้ามคนคิดต่าง ห้ามยาก แต่ต้องกลับมาดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ว่ามีพวก "เกียร์ว่าง" มั้ย โดยเฉพาะกลไกผู้ว่าฯ ตำรวจ ก็รู้ๆ กันอยู่ พวกนี้บางคน บางนาย เติบโตมาจากใคร ได้ดิบได้ดีมาอย่างไร
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการสนองนโยบายของรัฐบาลด้วย แม้นโยบายรัฐบาลจะสวยหรูปานใด แต่ถ้าฝ่ายปฏิบัติเกียร์ว่าง ไม่ร่วมมือไม่สนองนโยบายก็เท่านั้นครับ”