วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

ไต่สวนการตาย 10 เมษา


ไต่สวนการตาย 10 เมษา ตร.สายสืบคาดกระสุนสังหารฮิโรยูกิมาจากฝั่งทหาร

 วานนี้(4 ก.ย.55)ที่ห้องพิจารณา 403 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ชันสูตรพลิกศพนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้(ผู้ตายที่ 1) สัญชาติ ญี่ปุ่น ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช) ที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ราชดำเนิน เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 รวมทั้ง นายวสันต์ ภู่ทอง(ผู้ตายที่ 2)  อายุ 39 ปี และนายทศชัย เมฆงามฟ้า(ผู้ตายที่ 3) อายุ 44 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิต ในเวลาและบริเวณใกล้เคียงกัน จากการขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร
โดยในวันนี้ได้มีประจักษ์พยานในเหตุการณ์ 2 ปากมาเบิกความ คือ ร.ต.ต.ชาตรี อุตสาหรัมย์ (ยศขณะเกิดเหตุคือ ด.ต.) อายุ 52 ปี จากกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะตำรวจที่ได้รับมอบหมายเข้าไปติดตามและหาข่าวในที่ชุมนุมขณะเกิดเหตุ ส่วนอีกปากคือ นายอุดร วรรณสิงห์ แนวร่วม นปช. มีอาชีพทำนา จากจังหวัดร้อยเอ็ด
ร.ต.ต.ชาตรี เบิกความโดยสรุปได้ว่า วันเกิดเหตุ(10 เม.ย. 53) ได้รับมอบหมายให้ไปติดตามกลุ่มผู้ชุมนุม กลุ่มนักรบพระองค์ดำ ที่ราชประสงค์ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นรักษาความปลอดภัยของผู้ชุมนุม และ 18.00 น. กลับไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล แล้วออกไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เวลา 19.00 น. เศษ ซึ่งขณะนั้นมีการปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมระหว่างทหารกับ นปช. หลังจากนั้นทราบว่าบริเวณสี่แยกคอกวัวมีการปะทะกันเช่นกันจึงได้เดินไป และเดินกลับมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอีกครั้ง เมื่อเดินมาถึงร้านแมคโดนัลด์ซึ่งอยู่บริเวณหัวมุมถนนก่อนเลี้ยวเข้าถนนดินสอ โรงเรียนสตรีวิทยา พบว่าบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีการนำศพคลุมธงชาติ 2 ศพ ในขณะนั้นได้ยินเสียงคลายระเบิดและเสียงปืนในลักษณะต่อเนื่อง แต่ไม่ถี่ จากประสบการณ์ เสียงปืนที่ได้ยินเป็นเสียงปืนยาว ส่วนเสียงคลายประทัดเห็นว่าเกิดจากการที่กลุ่ม นปช. ใช้ระเบิดขวดที่ทำจากขวดเครื่องดื่มชูกำลังใส่น้ำมันขว้างไปยังที่ทหารปฏิบัติการอยู่ จากการสังเกตการณ์ไม่พบมีกลุ่ม นปช. ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ทหาร
ร.ต.ต.ชาตรี เบิกความต่อว่าจากนั้นได้เดินไปฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยาโดยเดินตามกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีประมาณ 30 กว่าคน บริเวณนั้นมีรถทหารจอดขวางประมาณ 2 คันในลักษณะป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินผ่านไปได้ ขณะที่กลุ่ม นปช.ขว้างระเบิดขวดข้ามแนวรถที่ขวางนั้น ก็มีเสียงปืนยาวดังจากแนวหลังรถของทหารที่เป็นลักษณะตอบโต้กันไปมา เห็นกลุ่ม นปช. แบกร่างผู้บาดเจ็บย้อนออกมาทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 2 คน โดยร่างผู้บาดเจ็บทั้ง 2 คนนั้นเห็นหน้าแต่ไม่ชัดเจน ส่วนผู้บาดเจ็บถูกยิงด้วยอาวุธปืนที่บริเวณขา ส่วนบริเวณอื่นนั้นจำไม่ได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะถูกกระสุนที่ยิงมาจากหลังแนวรถของทหาร หลังจากนั้นพยานได้เดินกลับไปบริเวณฝั่งหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา โดยยืนบริเวณบาทวิถีหน้าโรงเรียน ซึ่งขณะนั้นกลุ่ม นปช. ได้เดินผลักดันไปถึงกลางถนนดินสอ พยานเห็นเจ้าหน้าที่แต่งกายทหาร โดยเห็นครั้งละ 1 คน ทหารชะโงกหน้าดูเหตุการณ์อยู่บนบาทวิถีข้างถนน ฝั่งไปทางสะพานวันชาติและถืออาวุธปืนยาวที่ปากกระบอกปืนชี้ขึ้นฟ้า ขณะนั้นมีแสงสว่างจากหลอดไฟหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา
ร.ต.ต.ชาตรี ให้ความเห็นว่าเสียงอาวุธปืนยาวนั้นไม่น่าจะออกมาจากทางด้านข้าง แต่เป็นลักษณะที่พุ่งตรงมายัง นปช. หลังจากที่กลุ่ม นปช.ได้เดินผ่านโรงเรียนสตรีวิทยา ได้มีเสียงปืนยาวยิงตอบโต้กลับมาทำให้ กลุ่ม นปช. ต้องถอยร่นกลับที่บริเวณหัวถนนดินสออีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นพยานได้ยืนสังเกตการณ์ที่บริเวณบาทวิถีหน้าโรงเรียน ขณะนั้นได้ยินเสียงของหนักกระแทกพื้นห่างจากพยาน 1 เมตร และเห็นชายร่างใหญ่ ทราบภายหลังว่าเป็นนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ในลักษณะนอนหงาย สะพายกล้องแบบนักข่าว หันมุมกล้องชี้ไปบนท้องฟ้า ร่างนั้นนอนบนบาทวิถีหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาศีรษะหันไปทางโรงเรียน ปลายเท้าชี้ไปทางบ้านเลขที่ 149 ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา ในเบื้องต้นจะเข้าไปปฐมพยาบาล แต่เห็นร่างนายฮิโรยูกิมีจุดแดงบริเวณหน้าอกซ้าย จากนั้นจุดแดงดังกล่าวได้ขยายออกและมีเลือดไหล จากประสบการทำงานที่ผ่านมาคิดว่าแผลลักษณะนี้เกิดจากอาวุธปืนที่มีความเร็วสูง และจากประสบการณ์ทำงานของพยาน บริเวณบาดแผลที่หน้าอกด้านซ้าย ถือเป็นจุดที่ผู้ยิงประสงค์ให้ถึงแก่ความตายทันที ซึ่งผู้ยิงจะต้องได้รับการฝึกฝนมาพอสมควร
พยานได้ประคองนายฮิโรยูกิ และตะโกนแจ้งให้ผู้ชุมนุมบริเวณนั้นทราบว่ามีนักข่าวถูกยิง ผู้ชุมนุมได้ช่วยกันแบกร่างนายฮิโรยูกิ ไปที่รถพยาบาล ซึ่งขณะนั้นมีลักษณะตาค้าง แต่พยานไม่ได้ตามไปด้วย ขณะนั้นกลุ่ม นปช.มีการผลักดันตอบโต้อยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นได้ยินเสียงประกาศจากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทหารหยุดการปฏิบัติการเนื่องจากมีการตกลงกับฝ่ายผู้บังคับบัญชาทหารแล้ว หลังจากนั้นได้ยินเสียงปืนยาวดังออกมาประปรายบ้าง และพยานได้เดินทางกลับมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล อย่างไรก็ตาม ขณะที่ช่วยฮิโรยูกินั้นกางเกงยีนส์ที่ใส่ไปก็ได้เปื้อนเลือดของฮิโรยูกิด้วย และกรมสอบสวนคดีพิเศษได้นำไปตรวจพบว่าตรงกัน จากการสังเกตกลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ มีเพียงไม้กับมีดทำครัว หลังวันเกิดเหตุพยานได้กลับไปสำรวจที่เกิดเหตุพบว่า ต้นไม้ เสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ทั้ง 2 ฝั่งมีร่องรอยความเสียหายจากของแข็งกระทบ
พยานปากที่ 2 คือ นายอุดร เบิกความโดยสรุปได้ว่า ในวันเกิดเหตุประมาณ 18.00 น. มีการแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ทหารกำลังเข้าปฏิบัติการที่ถนนดินสอและสี่แยกคอกวัว พอทราบข่าวมวลชนก็ไปประจันหน้าทั้ง 2 จุดโดยพยานไปที่บริเวณถนนดินสอเพื่อดูเหตุการณ์ตรงชายขอบอนุสาวรีย์ มีรถหุ้มเกราะและรถถังของทหารจอดเรียงอยู่ประมาณ 6 คันตรงทางเข้าถนนดินสอ โดยมีทหารประจำอยู่หน้ารถถังประมาณ 100 นาย โดยขณะนั้นเจ้าหน้าที่ทหารถือโล่และตะบอง ส่วนแถวหลังจะถือปืนยาว
นายอุดร กล่าว่า ต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการผลักดันทหารให้ออกจากบริเวณนั้น แต่ทหารได้ยิงแก๊สน้ำตาหลายนัดจากหลังรถถังมาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม จึงทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมแตกออก ระหว่างนั้นมีกระแสลมตีแก๊สน้ำตาย้อนกลับไปทางเจ้าหน้าที่ทหารๆ จึงได้ถอยร่นไปทางสะพานวันชาติ ขณะนั้นพยานได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้งท้ายรถหุ้มเกราะของทหาร โดยพยานยืนอยู่บริเวณทางม้าลายปากถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา จุดที่ระเบิดลงนั้นห่างจากตัวพยานประมาณ 10 เมตร ทหารก็แตก พากันวิ่งหนีกันไปทางสะพานวันชาติ ส่วนผู้ชุมนุมและพยานก็ได้ตามเข้าไปด้วย
นายอุดร เบิกความอีกว่า พอวิ่งตามไปหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ตรงทางม้าลาย เห็นทหาร 2 นายนอนบาดเจ็บร้องขอความช่อยเหลือบริเวณบาทวิถี ฝั่งตรงข้ามโรงเรียน หลังรถถัง ขณะที่ผู้ชุมนุมกำลังเข้าไปช่วยเหลือได้ยินเสียงปืนดังจากทางแนวทหารจากทางไปสะพานวันชาติ ซึ่งตั้งแนวทั้ง 2 ข้างบาทวิถี ส่วนตรงกลางจะมีรถถังที่ถอยกลับไปกลับมาอยู่ ทหารจ้องเล็งอาวุธปืนมาทางกลุ่มผู้ชุมนุม เหตุที่สามารถเห็นได้เนื่องจากมีแสงสว่างจากหลอดไฟตามถนน ขณะที่มีเสียงปืนจากแนวทหารเข้ามามาก็เห็นประกายไฟซึ่งคาดว่าออกมาจากปลายกระบอกปืนด้วย แนววิถีที่ทหารยิงมานั้นสูงประมาณหน้าอกและศีรษะ โดยขณะนั้นไม่มีประกายไฟมาจากฝั่งโรงเรียนและฝั่งอาคารพาณิชย์ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนแต่อย่างใด แล้วมีคนร้องว่า “โดนแล้วๆ” ขณะนั้นตนเองยืนอยู่ตรงทางม้าลายเข้าโรงเรียน ขณะนั้นหันไปดูต้นเสียง เห็นผู้ชายสวมเสื้อสีแดงถือธงแดง ทราบชื่อภายหลังว่านายวสันต์ ภู่ทอง(ผู้ตายที่ 2) ล้มลง หันหัวมาทางโรงเรียน นอนตรงทางม้าลายนั้นบนถนน ส่วนปรายเท้าหันไปทางตรงข้ามโรงเรียน ขณะนั้นเห็นเลือดและมันสมองกลิ้งมาที่พยานยืนห่างไป ห่างไป 3-4 เมตร บาดแผลมีลักษณะกะโหลกศีรษะเปิดด้วย ก่อนที่นายวสันต์จะล้มลงนั้นเห็นโบกธงแดงอยู่บริเวณนั้น
เมื่อเห็นนายวสันต์ (ผู้ตายที่ 2) ล้มลง ตนจึงวิ่งไปหลบที่บริเวณต้นไม้ ต้นที่ 2 หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา นับจากประตูโรงเรียนไปทางอนุสาวรีย์ ห่างจากจุดก่อนหน้าประมาณ 6 เมตร ขณะนั้นมีชายแบกกล้องในลักษณะนักข่าวมาถ่ายภาพตรงนั้น เดินอยู่หน้าพยานห่างไปประมาณ 3 เมตร (ทราบภายหลังว่าเป็นนายฮิโรยูกิ ผู้ตายที่ 1) พอเสียงปืนดังขึ้น ชายคนดังกล่าวก็ล้มบริเวณบาทวิถีหน้าโรงเรียน ก่อนที่จะล้มชายคนดังกล่าวหันหน้าไปทางทหาร 2 นายที่นอนเจ็บอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียน การล้มเป็นการล้มแบบนอนหงาย โดยกระสุนมาจากแนวทหาร เสียงปืนดังและมีประกายไฟพุ่งมาทางชายที่แบกกล้องแล้วก็ล้มลงในจังหวะเดียวกัน
นายอุดร เบิกความต่อว่าในระหว่างที่จะเข้าไปช่วยนายฮิโรยูกิ ปรากฏเสียงปืนดังขึ้นอีก พยานจึงหลบเข้าที่เดิม ในระหว่างหมอบหลบเห็นชายอีกคนล้มลงอยู่เลยร่างนายวสันต์(ผู้ตายที่ 2 ) เลยไปแนวทหารประมาณ 3 เมตร บนถนนฝั่งตรงข้ามโรงเรียน ทราบชื่อภายหลังว่านายสยาม (เป็นผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เช่นกัน) และใกล้ตรงที่ทหารบาดเจ็บ 2 นายนั้น ก็มีชายที่ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ตรงนั้นอีกคน ทราบชื่อภายหลังว่านายจรูญ (เป็นผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เช่นกัน) หลังจากนั้นเนื่องจากเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยจึงหาทางวิ่งออกจากบริเวณที่เกิดเหตุมาที่ร้านแมคโดนัลด์
นายอุดร ยืนยันอีกด้วยว่าในกลุ่มของตนเองแม้ใส่เสื้อคลุมดำบ้าง แต่ที่ชุมนุมชายชุดดำที่ติดอาวุธปืนนั้นไม่มี ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 21.00 น. ได้ยินเสียงประกาศจากสะพานวันชาติสั่งให้เจ้าหน้าที่ยุติการยิง เจ้าหน้าที่ทหารจึงได้ถอย
 สำหรับคดีนี้จะมีการไต่สวนครั้งต่อไปวันที่ 5 ต.ค.55

ถึงคิดเจ๊กลิ้ม


นัดพิพากษา คดีสนธิ ลิ้มทองกุล หมิ่นเบื้องสูง 26 ก.ย.นี้

29 ส.ค.55  ที่ห้องพิจารณาคดี 908 ศาลอาญา รัชดา ศาลนัดสืบพยานคดีหมายเลขดำ อ.2066/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ หรือพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2551 จำเลยนำคำปราศรัยของน.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด ที่พูดบนเวทีปราศรัยบริเวณสนามหลวง เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2551 มาเผยแพร่ซ้ำที่ปราศรัยบนเวทีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ขณะที่ดารณีถูกศาลพิพากษาจำคุกแล้ว 15 ปี และถูกควบคุมตัวในเรือนจำมากว่า 4 ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างการอุทธรณ์คดี
ทั้งนี้ ภายหลังสืบพยานในวันนี้เสร็จสิ้น ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ ในวันที่ 26 กันยายน นี้ เวลา 09.00 น.
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ นำพยานเข้าเบิกความ รวม 3 ปาก โดยนายคำนูญ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.สรรหา เบิกความสรุปว่า การพูดของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้มีเจตนากระทำผิดตาม มาตรา 112 แต่ต้องการให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองบังคับใช้กฎหมายตามมาตรา 112 ซึ่งน.ส.ดารณี พูดจาจาบจ้วงและพาดพิงสถาบันเบื้องสูงหลายครั้ง เป็นความผิดซึ่งหน้า หากไม่มีใครจับกุม และถ้าปล่อยให้พูดอยู่เช่นนั้น ก็เท่ากับว่ากฎหมายบ้านเมืองเป็นหมัน
นายคำนูญ กล่าวต่อว่า ภายหลังนายสนธิ ถูกพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ตนเองเป็นคนที่ใช้ตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภา ประกันตัวให้นายสนธิ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ทั้งนี้เมื่อปี  2548-2549 พบข้อความการหมิ่นประมาทสถาบันเบื้องสูง ปรากฏอยู่ตามเว็บไซด์จำนวนมาก ซึ่งนายสนธิก็ได้พูดในการจัดรายการทางโทรทัศน์รวมทั้งพูดบนเวทีการปราศรัย เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองดำเนินการอย่างจริงจัง
นายจินดา ประดับปัญญาวุฒิ บิดาน.ส.อังคณา ประดับปัญญาวุฒิ เบิกความเป็นพยานสรุปว่า ครอบครัวได้เข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะมีความรักต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐธรรมนูญและความถูกต้อง ต่อมาเมื่อเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา น.ส.อังคณา ประดับปัญญาวุฒิ ลูกสาวคนโต ถูกยิงด้วยแก๊สน้ำตาเข้าที่ลำตัวบริเวณสีข้าง เสียชีวิตที่รพ.รามาธิบดี ขณะที่ภรรยาของตนเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส นิ้วเท้าขาดและมีบาดแผลที่ขาทั้งสองข้าง รับรักษาที่ รพ.ศิริราช โดยสมเด็จพระราชินีทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมป์
ด้านดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ ขึ้นเบิกความเป็นปากสุดท้ายว่า ได้อ่านเนื้อหาถอดเทปคำปราศรัยของนายสนธิแล้ว วิเคราะห์ได้ชัดเจนว่าผู้พูดมีเจตนาที่จะถ่ายทอดคำพูดของ น.ส.ดารณี เพื่อสื่อให้ประชาชนเห็นว่า น.ส.ดารณี มีพฤติกรรมจาบจ้วงเบื้องสูง อันเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ไม่ใช่ลักษณะของนำข้อความดังกล่าวมาพูดโดยตรง เป็นการบอกเล่าและถ่ายทอดข้อเท็จจริงที่ผู้พูดรับรู้มา เพื่อให้ผู้ฟังทราบเนื้อหาสาระของบุคคล
 ขณะที่วานนี้ (28ส.ค.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ เบิกความเป็นพยานระบุว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นการปกป้องและรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น พระประมุขซึ่งตลอดการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯไม่เคยมีใครพูดจาจาบจ้วงสถาบัน และพยานก็ไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย เพราะพยานถือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และหากนายสนธิ จำเลยไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน พยานคงจะไม่คบหากับนายสนธิมาจนถึงปัจจุบัน และในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อถึงวาระสำคัญ เช่น 12 ส.ค.และวันที่ 5 ธ.ค.ก็จะจัดกิจกรรมและให้มีการถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวและสมเด็จพระราชินีนาถทุกครั้ง ซึ่งการพูดบนเวทีปราศรัยของนายสนธินั้น เป็นการสรุปคำพูดของน.ส.ดารณี สั้นๆเพียงแค่ 5 บรรทัด เพื่อให้คนฟังทราบ และให้ตำรวจปฏิบัติตามหน้าที่โดยไม่ได้ขยายความแต่อย่างใด โดยเมื่อนายสนธิพูดเสร็จ พยานก็เห็นด้วยว่าเป็นประโยชน์และจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดดำเนินคดี กับน.ส.ดารณี ซึ่งพูดจาบจ้วงและหมิ่นเบื้องสูงหลายครั้ง และคาดว่าหากไม่มีการดำเนินคดีใดๆ น.ส.ดารณี ก็คงจะกระทำผิดซ้ำอีก 
ขณะที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เบิกความเป็นพยานปากที่ 2 ระบุว่าการพูดปราศรัยของนายสนธิดังกล่าวสืบเนื่องมาจากที่ น.ส.ดารณี แนวร่วม นปช. ปราศรัยที่เวทีสนามหลวงมีเนื้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง จึงจำเป็นต้องขึ้นพูดบนเวทีพันธมิตรฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับ น.ส.ดารณี เพราะก่อนหน้านี้พบว่าน.ส.ดารณีได้ปราศรัยในลักษณะเดียวกันนี้หลายครั้ง แต่ไม่เคยเป็นข่าวว่ามีการดำเนินการใดๆจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเลย จนเมื่อนายสนธิได้พูดกับประชาชนให้รับรู้ว่าน.ส.ดารณีกระทำการหมิ่นเบื้อง สูง จึงได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับน.ส.ดารณี และภายหลังศาลมีคำพิพากษาจำคุก ซึ่งเห็นได้ว่านายสนธิไม่ได้มีเจตนาหมิ่นเบื้องสูง เพราะคนที่ได้รับฟังการปราศรัยนั้นไม่ได้คล้อยตามหรือเห็นด้วยกับการกระทำ ของ น.ส.ดารณี แต่แสดงความไม่พอใจกับคำพูดของน.ส.ดารณี และในการปราศรัยครั้งนั้นนายสนธิ ได้ว่ากล่าวน.ส.ดารณีด้วยจึงแสดงให้เห็นเจตนาชัดเจนที่แตกต่างกัน

เผยชีวิต ชายชุดดำ



นายมานพ ชาญช่างทองคนเก็บขยะถูกกล่าวหาเป็นชายชุดดำ

       Go6TV (8กันยายน2555) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบนายมานพ ชาญช่างทอง คนเก็บของเก่าขาย ซึ่งเป็นบุคคลในภาพที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าเป็นชายชุดดำ โดยพบว่านายมานพพักอาศัยอยู่ที่บ้านใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี กับภรรยาและลูกๆ รวม 4 คน ภายในบ้านโทรมๆ ที่ปลูกขึ้นเอง ด้วยไม้เก่าแผ่นป้ายโฆษณา มาทำเป็นฝาบ้าน และสังกะสีเก่าๆ ที่เก็บได้มามุงหลังคา นอกจากนี้ ยังเลี้ยงเป็ดและปลูกผักไว้กินเอง และชาวบ้านใกล้เคียงส่วนใหญ่สงสารครอบครัวนายมานพ มักจะนำอาหารและขนมมาให้เป็นประจำ

นายมานพกล่าวว่าไปร่วมชุมนุมกับนปช. ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.2553 เนื่องจากเห็นว่าประชาชนถูกกลุ่มอำมาตย์ปล้นประชาธิปไตยไป จึงต้องการไปทวงคืนกลับมา ทำหน้าที่เป็นการ์ดอาสาช่วยดูแลความปลอดภัยให้พี่น้องเสื้อแดงที่มาชุมนุม เข้าเวรยามช่วงเที่ยงคืนถึงเช้า อีกทั้งทุกๆ วัน จะมีหน้าที่ซื้อหนังสือพิมพ์ให้แกนนำ เวลาที่เหลือก็จะเดินเก็บขวดน้ำ กระป๋องน้ำอัดลมในพื้นที่ชุมนุม เพื่อนำไปขายหารายได้ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 สถานการณ์ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศเริ่มตึงเครียด มีเฮลิคอปเตอร์โปรยใบปลิว และโยนแก๊สน้ำตาลงมา พอช่วงเย็นก็เริ่มมีเสียงปืนดังขึ้น

ซาเล้งเก็บของเก่ากล่าวต่อว่า ขณะนั้นทราบมาว่ามีกำลังทหารนำรถถังและรถหุ้มเกราะมาปิดล้อมพื้นที่ด้านโรงเรียนสตรีวิทยา และแยกคอกวัว แกนนำประกาศบนเวทีขอกำลัง 5,000 คน ไปช่วยผู้ชุมนุมที่คอกวัว จึงเดินทางไปช่วย และใช้เวลาเดินทางนานมาก เนื่องจากทหารปิดถนนหลายสาย ไปถึงเที่ยงคืนกว่า และเสียงปืนก็เงียบลง เห็นกลุ่มทหารกว่า 30 นาย พร้อมอาวุธปืน ตกอยู่ในวงล้อมของผู้ชุมนุมที่บริเวณโรงเรียนสตรีวิทยา เห็นท่าไม่ดีจึงประสานกับทางแกนนำว่าจะเอาอย่างไรกับทหารกลุ่มนี้ หากปล่อยไว้คงจะอันตราย

นายมานพกล่าวว่า จากนั้นก็เข้าไปพูดกับนายทหารผู้คุมกำลัง เพื่อขอปลดอาวุธทั้งหมด และจะพาออกไปอย่างปลอดภัย ทหารก็ยอม จึงเข้าไปปลดอาวุธ เป็นปืนทาโวร์ 4 กระบอก และเอ็ม 16 ก่อนจะนำปืนไปมอบให้แกนนำที่เวทีผ่านฟ้าฯ ระหว่างที่นําปืนออกมาก็มีช่างภาพหลายคนเข้ามาถ่ายรูป ขณะลำเลียงปืนไปที่เวที จนกระทั่งถูกกล่าวหาเป็นชายชุดดำ และจำเลยคดีก่อการร้าย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะถือปืนหลายกระบอกมายิงกับทหาร และก็ยิงปืนไม่เป็น ไม่เคยเป็นทหาร จึงขอความเป็นธรรมด้วย
"ในวันเกิดเหตุ ผมใส่เสื้อดำ และสวมไอ้โม่งดำจริง เพราะเห็นคนอื่นใส่เท่ดี จึงใส่บ้างไม่ได้คิดร้ายอะไร และที่ใส่ถุงมือก็เพื่อไว้จับกระป๋องแก๊สน้ำตาที่ทหารโยนใส่ผู้ชุมนุมเท่านั้น อีกทั้งไอ้โม่งดำคลุมหัว ก็เพราะเป็นคนหัวล้าน หากรู้มาก่อนว่าใส่ไม่ได้ก็คงไม่ทำ" นายมานพ กล่าว

นายมานพกล่าวอีกว่า ส่วนวันที่ 19 พ.ค.2553 สถานการณ์ตึงเครียดทั้งวัน หลังแกนนำประกาศบนเวทียุติการชุมนุม และให้ผู้ชุมนุมไปหลบภายในวัดปทุมฯ ตนก็เข้าไปหลบอยู่ด้านในวัด ไม่ได้ออกมา แต่ได้ยินแต่เสียงปืนดังอยู่ด้านนอก และในวัดขณะนั้นก็มีคนถูกยิงบาดเจ็บและตายหลายสิบราย จนกระทั่งเช้าวันที่ 20 พ.ค.2553 ตำรวจนำกำลังเข้ามาช่วยพาตัวผู้ชุมนุมทั้งหมดออกจากวัดและพากลับบ้าน จากนั้นก็กลับที่พักย่านบางบัวทอง ไม่ได้หนีไปไหน และยังคงขับซาเล้งเก็บขวดกระดาษเหมือนเดิม

"หลังจากอยู่บ้านได้ เดือน ก็มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอกว่า 30 คน นำหมายจับคดีก่อการร้าย มาบุกจับผมถึงบ้าน นำตัวมาแถลงข่าว โดยจับตามภาพถ่ายขณะที่ผมสวมไอ้โม่ง และสะพายปืน ถูกข้อหาบุกโรงแรมเอสซีปาร์ค ทั้งๆ ที่ไปโรงแรมยังไม่ถูกเลย ผมพยายามอธิบายแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ลองคิดดูหากเป็นชายชุดดำ หรือผู้ก่อการร้ายจริง ผมจะมานั่งเก็บขยะอยู่แบบนี้หรือ หลังถูกจับก็ต้องอยู่ในคุกนานหลายเดือน จนกระทั่งมีผู้ใหญ่นำเงิน 600,000 บาท มาช่วยประกันตัวออกมา ทุกวันนี้ผมก็ยังเก็บขยะขาย รายได้เฉลี่ย 2-3 วัน ประมาณ 300 บาท" นายมานพกล่าว