ในช่วงเดือนที่ผ่านมาหลังทหารยึดอำนาจ มีตัวอย่างผู้ต่อต้านจำนวนไม่น้อยที่ถูกจับกุมซึ่งหน้า เรียกรายงานตัว ควบคุมตัว แจ้งข้อกล่าวหา คุมขัง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปรากฏตามสื่อนั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของส่วนที่เราไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วเป็นจำนวนเท่าไร ที่สำคัญ การปฏิบัติต่อบุคคลที่ถูกจับกุมคุมตัวก็ดูจะแตกต่างกัน ผู้ที่ไม่มีสถานะ ผู้ที่ไม่อยู่ในวงล้อมของนักข่าว ดูจะประสบชะตากรรมที่ยากลำบากอย่างเงียบเชียบ ดังเช่นเรื่องราวของนักศึกษากลุ่มนี้
พวกเขา 4 คนถูกคุมตัวจากความผิดกรณีมีสติ๊กเกอร์ต้านรัฐประหารอยู่ในครอบครอง หลังจากที่สติ๊กเกอร์นี้ระบาดตามเสาไฟและอาคารของมหาวิทยาลัยเขามาสองสามวันก่อนหน้าแล้ว
สติ๊กเกอร์ดังกล่าวมีขนาดราว 6x3 นิ้ว เขียนว่า
“ไม่เอารัฐทหาร ไม่เอารัฐประหาร”
และ
“ปล่อยให้ประชาชนตัดสินใจ”
เรื่องราวเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน ปัจจุบันพวกเขาถูกปล่อยตัวแล้วและยอมเปิดเผยข้อมูลเพื่อเป็นบทบันทึกถึงปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ โดยประชาไทขอสงวนชื่อจริงและชื่อสถาบันการศึกษาเพื่อความปลอดภัยของผู้ให้ข้อมูล
นักศึกษาทั้งหมดล้วนมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างจังหวัดและมาแสวงหาโอกาสทางการศึกษาในเมืองหลวงเช่นเดียวกับลูกหลานคนชนบทจำนวนมาก ที่ผ่านมาพวกเขามีกลุ่มศึกษาและทำกิจกรรมอาสาพัฒนาชนบทและร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นครั้งคราว จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารขึ้น
ช่วงเกิดเหตุเป็นห้วงเวลาหลังรัฐประหารราว 2 สัปดาห์ และปฏิบัติการกวาดจับผู้ต่อต้านนั้นยังค่อนข้างเข้มข้น พวกเขา 3 คนแรกถูกจับกลุมในมหาวิทยาลัยในเวลาประมาณ 21.40 น. หลังเจ้าหน้าที่กองกิจการนักศึกษาและ รปภ.มหาวิทยาลัยออกตรวจตราและไล่นักศึกษาที่ยังนั่งเล่นอยู่ให้กลับบ้านก่อนเวลาเคอร์ฟิว
เมื่อเดินออกมาจากซุ้มที่นั่งไม่ถึง 50 เมตร นักศึกษาคนหนึ่งในนั้นก็ถูกเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำอยู่มหาวิทยาลัยเข้าควบคุมตัว
“ทหารมารวบตัวมาจากสามทาง เพราะตรงนั้นเป็นสี่แยก เพื่อนคนนั้นยืนเอามือล้วงกระเป๋าสะพายแล้ว ทหารคงผิดสังเกต เพราะล้วงกระเป๋านานเกินไป กลัวมีอาวุธละมั๊ง เลยเข้ารวบตัวเลย ทหารที่เข้ามาชาร์จเพื่อนผม ทีแรกมาคนเดียว ถือปืนอูซี่ ยศน่าจะสิบเอก เข้ามาถึงล็อกคอเลย แล้วผลักและถีบขาข้างหนึ่งกะจะให้ล้มลง แต่ไม่ล้ม เลยเอาท้ายปืนอูซี่กระแทกใส่กลางหลัง เพื่อนก็นอนลง พอดีเราสองคนวิ่งมาทัน ทหารเขาก็เอาของในกระเป๋าเทออกมา เจอสติ๊กเกอร์ในกระเป๋าเพื่อนผม ส่วนผมกับน้องที่วิ่งมาติดๆ ไม่เจออะไร” คนหนึ่งในกลุ่มเล่าให้ฟัง
สิ่งที่เจอคือ สติ๊กเกอร์ 16 แผ่น โดยเจ้าตัวแจ้งทหารและตำรวจว่าเก็บได้ในบริเวณมหาวิทยาลัยแต่เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม ทหารตัดสินใจรวบตัวไปหมดทั้งสามคน โดยบอกว่าอีกสองคนแม้ไม่มีสติ๊กเกอร์ก็ผิดเพราะเป็นเพื่อนกันไม่ห้ามป
“ตอนนั้นทหารมาเป็นหมู่แล้ว ประมาณ 9 คน มีอาวุธอูซี่ ยกเว้นผู้กองไม่มีอาวุธอะไร จากนั้นเจ้าหน้าที่กองกิจกรรมนักศึกษาก็ตามมา” หนึ่งในนักศึกษาเล่าและเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่กองกิจฯ พูดว่าจับตาดูพวกเขามานานแล้ว
“ผมก็ผิดหวังกับมหาวิทยาลัยนิดหน่อย เพราะเขาน่าจะปกป้องนักศึกษาก่อน เพราะมันเป็นพื้นที่เสรีภาพในการคิดการเขียน” นักศึกษาคนหนึ่งกล่าว
นักศึกษาที่มีสติ๊กเกอร์ของกลางถูกนำตัวขึ้นรถตำรวจ แยกจากอีกสองคน และถูกนำตัวไปชี้จุดที่อ้างว่าเก็บสติ๊กเกอร์ได้ รวมทั้งไปค้นห้องพักเพื่อหาของกลางเพิ่มเติม เขาเล่าว่า เมื่อถึงห้องเจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย ตำรวจ 3 นายได้ร่วมกันตรวจค้นห้องพัก ซึ่งเขาแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าห้องดังกล่าวเป็นห้องของแฟนสาว เขาจะมาพักอาศัยในช่วงที่ต้องลงมาสอบเท่านั้น
“ระหว่างนั้นทหารก็คุยด้วยเยอะอยู่ เป็นเชิงอบรมว่าทำไปทำไม คนที่มียศร้อยโทจะพูดเพราะหน่อย คุณเอาเอกสารมาจากไหน ใครจ้างคุณมา คุณทำเพราะอะไร คุณคิดยังไงคุณถึงทำ ตอนตรวจค้นห้องพักก็ตรวจบนฝ้าเพดานด้วย ยกเตียง ค้นหนังสือ เขาจ้องหนังสือรวมบทสัมภาษณ์เรื่องประชาชนต้านรัฐประหาร มีการเอาหนังสือมาวางไว้บนเตียงนอนแล้วถ่ายรูป เจอพวกหนังสือลัทธิมาร์กซ์ เลนิน เขาก็ถ่ายรูปไว้”
“ผมอ่านหนังสือพวกนี้อยู่บ้าง ศึกษาเรียนรู้เฉยๆ เอาไว้วิเคราะห์สังคม อีกเล่มคือ ขบวนการล้มเจ้ารัสเซีย เขาเอาหนังสือมาถ่ายรูปก็จะกลับแล้ว แต่ตำรวจเห็นเสื้อนิติราษฎร์ก็บอกทหาร ทหารก็ถ่ายรูป แล้วก็เจอสติ๊กเกอร์ในห้อง ‘แก้ 112 ไม่ใช่ล้มเจ้า’ ก็ถ่ายรูปไว้อีก ตอนนั้นรู้สึกไม่ปลอดภัยมากเหมือนมีของผิดกฎหมายในครอบครองเลย” นักศึกษาผู้ถูกคุมตัวเล่า
นอกจากนี้ในกระเป๋าของเขา ทหารยังพบหนังสือตำบลช่อมะกอก ของวัฒน์ วรรลยางกูร
"เขารื้อกระเป๋าผมตอนอยู่ในแล้วเจอ แล้วก็อีกเรื่อง การก่อกำเนิดของลัทธิมาร์กซ์ ผมก็บอกเพิ่งมาอ่าน จนท.กองกิจก็มาชี้ว่า อ่านหนังสือวัฒน์ด้วย พวกอ่านอย่างนี้หัวมันจะออกซ้ายๆ"
หลังจากตรวจค้นห้องพักแล้ว ยังมีการนำกำลังไปตรวจค้นห้องของเพื่อนเขาที่ถูกจับมาด้วยกันด้วย จากนั้นทั้งหมดก็ถูกนำมาตัวมาที่สถานีตำรวจใกล้มหาวิทยาลัยในช่วงกลางดึก มีการทำประวัติและสอบสวนในคืนนั้นราวเที่ยงคืนกว่า ทั้งสามถูกแยกสอบในห้องที่ค่อนข้างมืด ไม่มีหน้าต่างและไม่รู้เวลากลางวันหรือกลางคืน โดยหนึ่งในนั้นเล่าว่าทหารถามถึงการเมืองในมหาวิทยาลัยและและถามถึงอาจารย์ที่สอนรัฐศาสตร์บางคน ในขณะที่อีกคนหนึ่งเล่าว่า ทหารและตำรวจมุ่งถาม 3 ข้อหลัก คือ โดนใครจ้างมาและจ้างเท่าไร ทำเพราะอะไร มีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร
“เขาถามว่าใครปลุกปั่นมึง อาจารย์ในมหาวิทยาลัยหรือเปล่า พวกอาจารย์นี่ตัวดีเลย แล้วก็ถามว่าผมเรียนกับใคร ผมบอกเพิ่งไปรับจ้างแบกอ้อยแล้วกลับมาสอบ ไม่ได้เข้าเรียนมา มาแค่ช่วงสอบ เขาก็เช็ควันสอบว่าจริงไหม” นักศึกษาคนหนึ่งเล่า
การซักถามเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองนั้นค่อนข้างเข้มข้นและละเอียดลออ สังเกตได้จากมีการซักถามถึงข้อความที่สกรีนบนเสื้อยืดของนักศึกษารายหนึ่งที่ถูกสอบด้วย
“เขาถามว่า อะไรคือ ‘พลังการเปลี่ยนแปลง’ ผมก็บอกไม่รู้ เขาก็บอกแล้วมึงใส่เสื้อนี้ได้ไง” นักศึกษารายนั้นเล่าและอธิบายว่า ข้อความดังกล่าวเป็นบทกวีที่สกรีนบนเสื้อชมรมกิจกรรม เขียนว่า “หลอมรวมคนหนุ่มสาว ให้เหมือนดาวที่พราวแสง พลังการเปลี่ยนแปลง นั่นคือแสงสัจธรรม”
พวกเขาได้นอนไม่กี่ชั่วโมง ก่อน 6 โมงเช้าเจ้าหน้าที่ตำรวจปลุกพวกเขามาสอบปากคำอีกครั้ง โดยพยายามชี้แนะว่าให้บอกความจริง ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เนื่องจากการอ้างว่าเจอสติ๊กเกอร์ที่หน้าตึกเรียนแห่งหนึ่งนั้นไม่มีใครเชื่อ และหากไม่ให้ความร่วมมือก็จะต้อง ‘ถึงมือทหาร’ พร้อมกับบ่นว่าหากเป็นการดำเนินการของตำรวจส่วนเดียวก็คงจะทำสนวนและปล่อยตัวพวกเขาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“สติ๊กเกอร์ไม่กี่แผ่นปวดหัวชิ____” คำสบถของตำรวจที่นักศึกษาจำมาเล่าให้ฟัง
จนถึงราว 9 โมงเช้า พวกเขาจึงได้กินข้าวกินน้ำ สุดท้ายหนึ่งในผู้ถูกสอบก็ยอมตอบว่านำมาจากเพื่อนคนนักศึกษาคนที่ 4 โดยรับมาจำนวนไม่ถึง 20 แผ่น จากนั้นตำรวจรับปากนำกำลังเฉพาะตำรวจนอกเครื่องแบบไปจับกุมและตรวจค้นห้องของนักศึกษาคนที่ 4 และยึดสติ๊กเกอร์ได้อีก 9 แผ่น
“ตอนนั้นทหารยังไม่มา ตำรวจก็เรียกไปซัก เพื่อนคนสุดท้ายยอมรับว่าเป็นคนผลิตเอง จากร้านถ่ายเอกสาร ทำมาพันใบและแบ่งคนละครึ่งกับผม อ้าววว ผมบอกเอามาไม่ถึง 20 ใบ ตำรวจที่พาไปจับก็เรียกเลยบอก พวกมึงมานี่ มึงเขียนใบสารภาพใหม่ เพราะเขียนไม่ตรงกัน พอเขียนเสร็จทหารมาพอดี ถามคำถามเดิมแล้วก็รอนาย” ตัวเอกของเรื่องเล่า
ประมาณเกือบเที่ยง 4 คนถูกสอบอีกครั้งและโดนขังต่อจนเย็น
“ตอนทหารสอบ ก็ มึง กู ทุกคำ ถามว่าบ้านอยู่ไหน อะไร ยังไง สอบเสร็จประมาณสี่ถึงห้าโมงเย็น แล้วก็รอผู้พันของทหารมาคุยด้วย เขาก็คุยเรื่องประมาณว่าใครจ้างมา “ถ้าให้ความจริง กูจะกักตัวไม่นาน ถ้าไม่ให้ความจริงก็เป็นเดือน เจ็ดวันกูต่อได้”เขาว่าอย่างนั้น”
“แนวคำถามเป็นเชิงแนวคิดเยอะ รัฐคืออะไร ถามเรื่องอุดมการณ์ เขาชอบถามวน กลับไปกลับมา 1-2 คำถาม ปาเข้าไป 20-30 นาที” นักศึกษาคนหนึ่งเล่า
ปิดตาพาตัวไปค่ายชั่วคราว พร้อมคำขู่ เตรียมขุดหลุมรอ
เหล่านักศึกษาเล่าว่า หลังเสร็จสิ้นการสอบสวนระลอกสุดท้าย พวกเขาถูกนำตัวขึ้นรถตู้เก่าๆ ไม่มีทะเบียนในช่วงค่ำ และถูกข่มขู่ระหว่างทาง
“ออกมาทีแรกก็ยังไม่ปิดตา ทหารบอกว่าหลับไปเลย คิดถึงพ่อแม่ไว้ รู้ไหมจะเอาไปไหน รู้มั้ยว่าผิดคดีอะไร พวกผมก็ไม่ได้ตอบ พอกลับรถหน้า เขาก็ไปซื้อผ้าปิดตามาปิดตาพวกเรา ตอนที่ปิดตาก็จะกล่อมประสาททำให้เราหวาดกลัว มึงกลัวไหม มีการโทรเข้าเครื่องทหารคนหนึ่งแล้วบอกปลายสายว่า เตรียมข้าวไว้ 4 สำรับ ดอกบัว ด้ายสายสิญจน์ ขุดหลุมไว้ด้วย 4 หลุม ตอนนั้นกลัวๆ หวั่นๆ แล้วเขาก็คุยว่ารถตู้คันนี้ทำภารกิจมาเยอะแล้วนะ มึงรู้จัก พคท.ไหม แต่ผมคิดแง่ดีว่าเขาน่าจะทำให้เราหวาดกลัวแล้วถามมากกว่าจะทำอะไรจริงๆ”
นักศึกษาคนเดิมเล่าว่า เมื่อถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งถูกจัดเป็นค่ายทหารชั่วคราว ทหารต้อนรับเหล่านักศึกษาด้วยถ้อยคำหยาบคาย และบอกว่าพวกเขาพยายาม ‘พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน’ ซึ่งจะไม่มีใครสามารถทำได้
“แล้วก็มีคำถามประมาณว่ารู้จักการปกครองก่อน 2475 ไหม ผมบอกว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วเขาก็บอกว่า ระบอบกษัตริย์นี่แหละ พอปล่อยให้เป็นประชาธิปไตยก็ล้มลุกคลุกคลาน ปกครองกันไม่ได้ กูก็เลยต้องมาทุบโต๊ะไง แล้วก็ถามว่าพวกมึงอยากเป็นวีรบุรุษเหรอ 14 ตุลา มันเป็นแค่นิทานเรื่องหนึ่งเท่านั้น”
จากนั้นก็พวกเขาก็แยกย้ายกันไปถูกสอบสวนอีกครั้ง หนึ่งในนั้นเล่าว่า เขายังคงถูกถามคำถามเดิมว่าใครจ้างมา และมีความพยายามปรับทัศนะ
“เขาถามว่า การปฏิวัตินี่มึงคิดยังไง ผมบอกว่า ในด้านหนึ่งมันก็ช่วยหาทางออกให้ประเทศได้ แต่ความจริงอีกด้านผมก็คิดว่า มันทำให้ผมเสียการเรียนรู้ไป ลงมาสอบก็ต้องเลื่อนอีก เสียเงิน เสียเวลา รอสอบหลังการปฏิวัติ ตอนนั้นผมพยายามจะตอบให้ดีที่สุดสำหรับการสอบสวน เขาก็บอกว่า เออ มันก็ต้องเป็นแบบนี้ แล้วเขาก็บอกว่า คิดว่ามาอยู่นี่พวกกูจะคิดถึงลูกคิดถึงเมียไหม แล้วเขาก็เปิดรูปลูกสาวให้ดู”
ขณะที่อีกคนหนึ่งถูกพาตัวไปสอบในที่ที่ค่อนข้างมืด และถามถึงการอ่านหนังสือลัทธิฝ่ายซ้ายต่างๆ พร้อมกำชับว่า พ่อแม่ส่งให้มาเรียนไม่ใช่ให้มาทำแบบนี้
อย่างไรก็ตาม มีช่วงหนึ่งที่พวกเขาถูกถามว่า รู้จักสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด หรือไม่ โดยทหารเชื่อว่า บก.ลายจุดน่าจะมีส่วนในการจ้างให้นักศึกษากลุ่มนี้ติดสติ๊กเกอร์ต้านรัฐประหาร นักศึกษาตอบว่าเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่รู้จักหน้า
“ก่อนปล่อยเข้านอนที่วัด หัวหน้าทหารก็พูดว่าถ้านอนไม่หลับจริงๆ มีเก้าอี้อยู่แล้วก็มีเชือกอยู่นะ ผูกขึ้นไปข้างบนเลยจะได้หลับสบาย” นักศึกษารายหนึ่งเล่า
เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ที่คุมกองร้อยเข้ามาพูดคุยกับนักศึกษา ทั้งหมดยืนยันว่าคนนี้พูดจาด้วยอย่างดี ดูแลค่อนข้างดี แต่กว่าจะปล่อยตัวพวกเขาก็ราวเที่ยง จากนั้นมีการนำตัวมาที่สถานีตำรวจอีกครั้ง เพื่อเซ็นเอกสารเงื่อนไขการปล่อยตัวว่าห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ อีก
เนื่องจากในช่วงที่ถูกจับเป็นช่วงสอบของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น จึงได้ถามไปว่าตกลงได้ไปสอบไหม
"วันนั้นผมมีสอบตอนบ่าย ปล่อยตอนเที่ยง ก็ยังพอไปทัน แต่สภาพของพวกผมตอนนั้นมันไม่พร้อมที่จะสอบแล้ว สุดท้ายก็เลยตัดสินใจไม่ไปสอบ ก็เสียเวลาไป"
แม้ว่าทุกอย่างจะผ่านไปแล้วและเมื่อมองย้อนกลับไปภายใต้สถานการณ์อันไม่ปกติของบ้านเมือง หลายคนอาจคิดว่าการละเมิดสิทธิลักษณะนี้ไม่รุนแรงนัก แต่สถานการณ์ช่วงนั้นภายใต้กำลังเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือและการดำเนินการอันไม่รู้ชะตากรรม ติดต่อสื่อสารกับใครก็ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้สร้างความหวาดหวั่นให้กับนักศึกษาจากชนบทกลุ่มนี้ไม่น้อย
“ช่วงที่กลัวที่สุดคือช่วงปิดตาบนรถตู้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เหมือนนานมาก เกือบๆ ชั่วโมง ทั้งที่มันใกล้มาก และตอนนอน นอนที่ค่ายชั่วคราวก็นอนไม่หลับเพราะกลัวว่าจะถูกอุ้มไปทำร้าย สื่อสารกับคนข้างนอกไม่ได้ โทรศัพท์โดนยึดหมด”
“ผ่านเรื่องนี้มาแล้ว พออกมาได้แล้วก็ต้องทำตามเงื่อนไข แต่ถามว่ายังจับหนังสือเล่มเดิมไหม ผมยังจับหนังสือเล่มเดิม ผมยังยืนจุดเดิม” นักศึกษาคนหนึ่งว่า ในขณะที่อีกคนมองว่า “เงื่อนไขนี้มันไม่จริง นิยามการเมืองของเขาอาจหมายถึงการระดมคน ชุมนุม มองเห็นได้ชัด แต่นิยามการเมืองของผมมันอยู่ทุกที่ ใกล้ตัว มันอยู่ในทุกอย่าง”