วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

‘สุขุมพันธุ์’ โพสต์เฟซบุ๊กระบุ วันนี้เราสามารถระบายน้ำได้เร็วขึ้นกว่าครั้งก่อน




Wed, 2015-04-08 13:15


ผู้ว่าราชการ กทม. ได้โพสต์ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กหลังฝนตกทั่วกรุง ระบุ “วันนี้เราสามารถระบายน้ำได้เร็วขึ้นกว่าครั้งก่อน” ชี้ที่ไม่สามารถระบายได้ทันทีเพราะหลายปัจจัย

8 เม.ย.2558 หลังจากเมื่องช่วงสายวันนี้ฝนได้ตกลงมาทั้วพื้นที่กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้เกิดน้ำที่รอการระบายในหลายพื้นที่ เมื่อเวลา 11.54 น. ที่ผ่านมา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการ กทม. ได้โพสต์ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า ในหลายๆจุดน้ำรอระบายบนผิวจราจร มีลมกรรโชกแรงทำให้ต้นไม้หักลงมากีดขวางการจราจรในพื้นที่เขตบางนา เขตปทุมวัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพฯ ได้เร่งทำการแก้ไขทุกจุดที่เกิดปัญหา พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตทั้ง 50 สำนักงานเขต ประจำตามจุดต่างๆ เพื่อเร่งระบายน้ำและอำนวยความสะดวกกับประชาชน

“ขออภัยในความไม่สะดวกนะครับ เรากำลังรีบดำเนินการอยู่ครับ จะเห็นได้ว่าฝนตกลงมาในหลายพื้นที่ที่เคยมีปัญหาน้ำท่วมขัง แต่วันนี้เราสามารถระบายน้ำได้เร็วขึ้นกว่าครั้งก่อนนะครับ แต่ก็อย่างว่าแหล่ะครับ ในความเป็นจริงแล้วเมื่อฝนตกลงมาน้ำก็ควรจะระบายได้ทันที แต่ที่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเรามีปัจจัยหลายๆ อย่างครับ และปัจจัยทีสำคัญที่สุด คือพื้นที่ทางกายภาพของกรุงเทพมหานคร ในบางพื้นที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำน้ำจากที่อื่นก็ไหลมากองตรงนี้ เรามีท่อระบายน้ำที่ถนน แต่บางครั้งฝนตกหนักลมกรรโชกแรงขยะปลิวลงมาบนพื้น หรือถังขยะล้มบ้าง ขยะหรือเศษใบไม้ลอยไปอุดตรงฝาท่อตระแกรง น้ำลงท่อไม่ได้ น้ำในคลองก็ไม่ได้สูง เจ้าหน้าที่ของเราก็อาจดูแลหรือเข้าไปไม่ทั่วถึง ตรอกซอกซอยของเมืองเราก็เยอะ ยังไงผมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนด้วยนะครับ หากท่านเห็นขยะไปอุดตันตรงฝาท่อตระแกรงซึ่งอยู่หน้าบ้านท่านพอดีหรือหน้าออฟฟิตท่าน เราอาจช่วยกันเอาออกสักนิด เพราะเจ้าหน้าที่ก็จะประจำอยู่บนถนนสายหลักๆอาจยังเข้าไปไม่ถึง” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าว

ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ระบุด้วยว่า มีหลายจุดที่น้ำท่วมขังและได้รับการรายงานเข้ามา เช่น ถนนดินแดง ซอยสุทธิพร2ตลาดขวัญ ถนนวิทยุ ซอยลาซาน 63 ถนนบรมราชชนนี (สายใต้เก่า) รัชดาซอย3 พระรามเก้าซอย 7 อสมท. อโศกมนตรี แยกเพลินจิต หน้าพระบรมมหาราชวัง หน้ากรมอุตุ และจากรายงานเข้ามาล่าสุดครับว่า หลายจุดน้ำได้เริ่มลดและแห้งเป็นปกติแล้ว โดย‎จุดที่น้ำแห้งเป็นปกติแล้ว เช่น ซอยสุทธิพร 2 / ตลาดขวัญ ถนนบรมราชชนนี(สายใต้เก่า) หน้าพระบรมมห

‘วิษณุ’ แจงม.44 ไม่ใหม่ ใช้มาตั้งแต่ยุคสฤษดิ์-ถนอม แถมเปิดให้ผู้ต้องหาต่อรองไม่ต้องรับผิดได้




Wed, 2015-04-08 12:35


รองนายกฯด้านกฎหมาย ชี้แจงคณะทูตานุทูต ปม.ใช้ ม.44 ยันไม่ใหม่ ใช้มาตั้งแต่ยุคสฤษดิ์-ถนอม เทียบมาตรา 16 ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ปี 1958 ชี้คำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ยังเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาสามารถต่อรองไม่ต้องรับความผิดได้ โดยการเข้ารับการอบรม

เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา เวลา 13.30 น. ที่ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย พร้อมด้วยพ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค คณะทำงานนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตภ์วินัย รมช.ต่างประเทศ และนายพิริยะ เข็มพล รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมเจ้าหน้าที่กระทรวง เข้าร่วมบรรยายเนื้อหาและรายละเอียดเกี่ยวกับคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ให้คณะทูตานุทูตประจำประเทศไทย สื่อมวลชนต่างประเทศ และองค์การระหว่างประเทศได้รับทราบ


วิษณุกล่าวว่า ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบกับสถานการณ์ไม่ปกติ จึงจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษเข้ามาควบคุมและดูแลสถานการณ์ให้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ก่อนที่ประเทศจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน ในการปฎิรูปประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ในปัจจุบันการใช้มาตรา 44 เป็นเพียงการนำกฎหมายมาใช้แก้ปัญหาในกรณีฉุกเฉิน และสามารถใช้ได้ในระยะยาว โดยรัฐบาลจะใช้มาตรา 44 ในการแก้ไขปัญหาด้วยความระมัดระวังและใช้เท่าที่จำเป็นโดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน

วิษณุ ระบุว่า มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่อยู่ในรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว และได้เคยใช้อำนาจดังกล่าว เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อยืดวาระผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และในอนาคตจะใช้อำนาจตาม ม.44 อีก ในการแก้ปัญหาต่างๆ เช่นปัญหากรมการบินพลเรือน ปัญหาการเกษตร หรือการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษ เนื่องจากการใช้อำนาจปกติจะใช้เวลามากและไม่ทันการณ์ ดังนั้น มาตรา 44 จึงเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ด้วยช่องทางปกติ ไม่ใช่อาวุธในการกำจัดฝ่ายใด แต่เป็นการควบคุมสถานการณ์ไม่ปกติ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังมีรายงานว่า มีผู้สร้างสถานการณ์ไม่ปกติ 5 กลุ่ม คือ ผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองในอดีต กลุ่มทุนทางเศรษฐกิจ หรือผู้มีอิทธิพลที่เสียประโยชน์จากการจัดระเบียบสังคม กลุ่มที่สร้างสถานการณ์ขัดขวางการดำเนินการตามโรดแมป กลุ่มที่สร้างสถานการณ์ความไม่สงบ และกลุ่มที่รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ได้รับความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ สังคม

วิษณุ กล่าวอีกว่า อำนาจที่คล้ายคลึงกับมาตรา 44 นี้ เคยมีมาแล้วในรัฐธรรมนูญในอดีตในช่วง 5 รัฐบาล ครั้งแรกในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ต่อมาเป็นรัฐบาลของนายสัญญา ธรรมศักดิ์ รัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร รัฐบาลของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งเป็นการนำหลักการมาตรา 16 ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ปี 1958 ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีฝรั่งเศสในการออกคำสั่ง หรือกระทำการใดๆที่จำเป็น เมื่อมีสถานการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งนี้เหตุผลที่เลือกใช้อำนาจตามมาตรา 44 เนื่องจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ในอดีตไม่ประสบความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์ รวมถึงกองทัพยังต้องการมีอำนาจพิเศษ ที่มีความชัดเจนกว่าในกฎอัยการศึกหรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต้องประกาศใช้โดยอ้างเขตพื้นที่เป็นหลัก ขณะที่ถ้าหากประกาศคำสั่ง คสช. จะอ้างฐานความผิดเป็นหลัก

วิษณุ กล่าวว่า นอกจากนั้น คำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ยังเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาสามารถต่อรองไม่ต้องรับความผิดได้ โดยการเข้ารับการอบรม เพื่อไม่ต้องถูกฟ้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีในกฎหมายอื่น ซึ่งความแตกต่างในการใช้กฎอัยการศึก กับคำสั่งตามมาตรา 44 คือ 1.ประเทศไม่ได้อยู่ใต้กฎอัยการศึกอีกต่อไป ซึ่งจะเป็นผลดีในเรื่องการท่องเที่ยว และลดความรุนแรงในสายตาประชาคมโลก 2.เจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดต่อฐานความผิด 4 กลุ่มเท่านั้น 3.เจ้าหน้าที่มีอำนาจเรียก จับกุม ค้น ยึด เข้าในเคหะสถาน ห้ามการเผยแพร่ข้อมูลที่กระทบต่อความมั่นคง และกักตัวผู้ต้องหาได้ 7 วันเท่านั้น 4.การชุมนุมทางการเมืองเป็นไปได้ หากมาขออนุญาตจากคสช. 5.ความผิดของผู้ฝ่าฝืนประกาศ คสช. สามารถยกเลิกได้ด้วยการเข้ารับการอบรม 6.คำสั่งมีความรุนแรงน้อยกว่ากฎอัยการศึก และมีวิธีการไต่สวนที่นำมาจากกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา และ 7.ผู้กระทำผิดตามฐานความผิด 4 ประเภท จะได้รับการไต่สวนโดยศาลทหาร ซึ่งสามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ และบางคดีอาจยกฟ้องได้ ทั้งนี นายวิษณุ ระบุว่า คสช. จะไม่ออกคำสั่งเพิ่มได้แล้ว ยกเว้นจะใช้อำนาจตามมาตรา 44 อีก การจับกุมผู้กระทำผิดประกาศ คสช. จึงเป็นความผิดตามฐานคำสั่ง เดิม เช่นการห้ามการชุมนุม

ขณะที่ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคสช. กล่าวว่า เนื่องจากเกิดความขัดแย้งในสังคมอย่างกว้างขวาง เกิดการปลุกระดม ให้เกิดความขัดแย้ง เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้กฎหมายในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งที่ผ่านมาได้ใช้ด้วยความระมัดระวัง และใช้เท่าที่จำเป็น และมีการปฏิบัติตามหลักสากล คำนึงถึงหลักสิทธมนุษยชน

ทั้งนี้ ในปัจจุบันได้ยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว และได้อาศัยมาตรา 44 ในการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย และปราบปรามการกระทำผิดใน 4 เรื่อง คือ 1.ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.ความมั่นคงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113-118 3.ความผิดว่าด้วยอาวุธสงคราม และ 4.ความผิดต่อการฝ่าฝืนคำสั่งประกาศคสช.

อย่างไรก็ตามหากทั้ง 4 เรื่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไขจะเป็นตัวบั่นทอนการพัฒนาประเทศและขัดขวางความปรองดองของคนในชาติ ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือในการนำเสนอข่าวสาร และการงดการชุมนุมทางการเมือง

พ.อ.วินธัย กล่าวอีกว่า รัฐบาลและคสช.มีช่องทางในการเสนอความคิดเห็นทางการเมืองอยู่แล้ว และขอยืนว่าทั้งการใช้กฎอัยการศึก หรือคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/2558 เรื่อง การใช้มาตรา 44 เป็นเพียงเครื่องมือเสริมพิเศษในการดูแลชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชนเท่านั้น โดยประชาชนทั่วไปจะไม่ได้รับผลกระทบ และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่จะมีผลกับคนที่ประสงค์ร้ายและจงใจก่อเหตุความไม่สงบในประเทศไทยเท่านั้น

เลขาฯกลุ่มธรรมภิบาล ร้อง รมว.ยุติธรรม เอาผิด ม.112 ต่อ อดีต รมช.เกษตรฯ




Wed, 2015-04-08 15:10


8 เม.ย.2558 มติชนออนไลน์ รายงาน ที่กระทรวงยุติธรรม นายสรชัช ทองเพ็ญ เลขาธิการกลุ่มธรรมาภิบาล เครือข่ายภาคประชาชนต้านทุจริตและคอรัปชั่น พร้อมคณะ เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เพื่อให้ดำเนินคดีต่อ นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ อดีต รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 48 อดีต ส.ว.จังหวัดขอนแก่น ปี 51 มีพฤติการณ์พูดจากล่าวจาบจ้วง ล่วงเกิน และดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งทางกลุ่มธรรมาภิบาลได้ทำการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นจากหลักฐานของผู้ร้องเรียนแล้วพบว่ามีข้อเท็จจริง ก่อนเจ้าหน้าที่สำนักรับเรื่องร้องทุกข์กระทรวงยุติธรรมมารับหนังสือแทน

นายสรชัช กล่าวว่า มายื่นหนังสือต่อพล.อ.ไพบูลย์ เพื่อให้ดำเนินคดีกับ นายประเสิรฐ มีพฤติการณ์พูดจากล่าวจาบจ้วง ล่วงเกิน และดูหมิ่นสถาบัน จนเป็นปกติวิสัย โดยพฤติการณ์ดังกล่าวมีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้บันทึกเสียงของนายประเสริฐไว้เป็นหลักฐานด้วย

"ขอให้พล.อ.ไพบูลย์ดำเนินการตรวจสอบการกระทำดังกล่าวของนายประเสริฐ ซึ่งในวันนี้ตนได้นำหลักฐานเป็น คลิปเสียงคำพูดของนายประเสริฐ จำนวน 1 ชุด คำถอดคลิปบันทึกเสียงคำพูด 1 ชุด คลิปวีดีโอภาพ เพื่อใช้สำหรับการเทียบเคียง 1 ชุด และคำถอดเทปเสียงการอภิปรายอีก 1 ชุด มามอบให้พล.อ.ไพบูลย์ เพื่อใช้ในการตรวจสอบ"