วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554


ยินดียิ่ง ยิ่งลักษณ์ กับบันไดขั้นแรก
พาดหัวเวบไซต์ ALJAZEERA:Thaksin sister to run for Thai PM (รายละเอียด)

โดย ปาแด งา มูกอ
16 พฤษภาคม 2554

พรรคเพื่อไทยลงมติวันนี้ตามคาดให้น้องสาวอดีตนายกฯทักษิณลงส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นอันดับที่ 1 เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

เป็นอันที่แน่นอนแล้วว่าคุณยิ่งลักษณ์ฯ เธอได้ตัดสินใจลงสู่เส้นทางการเมืองอย่างเต็มตัว ก็ไม่ว่ากัน ขอแสดงความยินดี และขอชื่นชมในความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ที่จะมาเผชิญกับสิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ไม่เคยประสบพบเห็น มาก่อนตั้งแต่เกิด

ขอให้อดทน รอบคอบ อย่าประมาท และอย่าประมาท

ในโอกาสต้อนรับน้องใหม่ตามประเพณีทางการเมืองอันดี ผมก็ขอนำภาพตลกๆแต่แฝงในความเป็นจริงให้คุณยิ่งลักษณ์ฯและท่านผู้อ่านได้ทัศนาดูครับ







ปิดท้ายสำหรับพรรคการเมืองที่น่าสงสารและน่าเวทนา ที่สุด

สุกอยู่ดิน กากินบ่ได้
สุกอยู่ฟ้า กายื้อบ่เถิง
ฉีกขากลวมเปรว กันท่าผู้อื่น
ต้องเขียดอย่ากลัวคาว ฉวยมือลูกสาวอย่ากลัวเสียเบี้ย = ทำอะไรอย่ากลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา

หมาบ่เห่าจ้างขบ
ป๋าตัวหลวง จ้างต๋ายน้ำตื้น

********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:ยิ่งลักษณ์ดีพอสำหรับตำแหน่งนายกฯแล้วหรือ?
http://redusala.blogspot.com

ดิฉัน ถนัดทำ มากกว่าพูด
ปู-ยิ่งลักษณ์เปิดตัวได้สวย เมื่อปฏิเสธคำท้าทายดีเบตของมาร์ค-อภิสิทธิ์ว่า "เป็นคนถนัดทำมากกว่าพูด"


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์





นางสาวยิ่งลักษณ๋ ชินวัตร กล่าวในโอกาสได้รับเลือกให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งอันดับ 1 ในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะกลายเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คู่แข่งขันของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยชี้แจงถึงประสบการณ์ของเธอว่าเหมาะสมที่จะก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ

เธอตอบข้อซักถามที่นายอภิสิทธิ์ท้าทายให้เปิดดีเบต โดยกล่าวปฏิเสธ ว่า "เป็นคนถนัดทำมากกว่าพูด"...ซึ่งนั่นทำให้คนหวนนึกไปถึงป้ายในมือผู้นำกรรมกรหญิงที่เคยยกขึ้นประณามนายอภิสิทธิ์ว่า"ดีแต่พูด"






ข่าวพาดหัวALJAZEERA:Thaksin sister to run for Thai PM 

*********

ปูVSมาร์ค:โปรดสังเกตดี ๆ ดูแววตา ใครพูดโกหก ใครพูดจริง คุณเป็นผู้ตัดสิน





http://redusala.blogspot.com

ฟ้าหญิงฯมีอุบัติเหตุรถยนต์ที่เยรูซาเลมเจ็บเล็กน้อย
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงได้รับอุบัติเหตุเล็กน้อยเมื่อวันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม ระหว่างเสด็จเยือนเยรูซาเลม ประเทศอิสราเอล จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกี่ยวข้องหลายคัน (ภาพข่าว:AP)


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
17 พฤษาคม 2554

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และทรงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย วันนี้ (16) ระหว่างเสด็จเยือนกรุงเยรูซาเลม อิสราเอล รัฐบาลและโฆษกโรงพยาบาลในอิสราเอลเปิดเผยต่อเอเอฟพี

ยาเอล บอสเซม-เลวี โฆษกประจำโรงพยาบาลฮัดดาซาห์ เปิดเผยกับสำนักข่าวต่างประเทศว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จไปยังโรงพยาบาลโดยที่ทรงมี “พระอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย” อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลฮัดดาซาห์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม

ด้าน มิคดี โรเซนเฟลด์ โฆษกตำรวจอิสราเอล กล่าวว่าพระองค์กำลังเสด็จไปทรงพบหารือกับประธานาธิบดีชิมอน เปเรส ของอิสราเอล ขณะรถพระที่นั่งประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง
ขณะที่ อาเยเลต ฟริช โฆษกหญิงประจำตัวประธานาธิบดีเปเรซ แถลงว่า ภายหลังเกิดอุบัติเหตุ พระองค์ยังคงเสด็จต่อไปพบหารือกับประธานาธิบดี และหลังจากนั้นจึงประทานอนุญาตให้นำพระองค์ไปยังโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ทำการตรวจพระวรกาย

“ขบวนเสด็จของพระองค์ ประสบอุบัติเหตุที่มีรถเกี่ยวข้องหลายคัน แต่เป็นอุบัติเหตุที่เล็กน้อยมาก” ฟริชกล่าว “พระองค์ทรงมีรอยฟกช้ำจากอุบัติเหตุ ทว่าพระองค์มิได้เสด็จไปโรงพยาบาล (ในทันที) พระองค์มีรับสั่งว่า ไม่ว่าอย่างไร พระองค์ประสงค์จะพบกับชิมอน เปเรส”

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทั้งนี้ พระองค์เสด็จเยือนอิสราเอล เพื่อทรงงานในโครงการทางด้านวิทยาศาสตร์ระหว่างทั้งสองประเทศ และร่วมลงนามในความร่วมมือ

ช่างภาพจากสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ เสด็จออกจากโรงพยาบาลฮัดดาซาห์ หลังจากทรงเข้ารับการตรวจพระวรกายเป็นเวลา 90 นาที
http://redusala.blogspot.com

ไทยเป็นตัวปัญหาในอาเซียน


สมาชิกของอาเซียนและประชาคมโลกรู้สึกเบื่อหน่าย และมองไปว่า ประเทศไทยไม่มีเจตนาที่จะแก้ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่างจริงจังตามกระบวนการของอาเซียนและข้อมติของสหประชาชาติ แม้กระทั่งรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของมาเลเซียก็หมดความอดทนต่อไทย และได้ออกมากล่าวหาว่าไทยละเมิดข้อตกลงเรื่องการส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังพื้นที่ข้อพิพาทฯ


โดย ดร.พิทยา พุกกะมาน อดีตเอกอัครราชทูต

ไม่มีใครจะปฏิเสธได้ว่า ท่าทีของรัฐบาลไทย เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้ประเทศไทยถูกมองไปในทางลบในสายตาของสมาชิกอาเซียนและประชาคมโลก 

ในขณะที่กัมพูชาสามารถสร้างภาพให้ต่างประเทศเห็นว่า เป็นฝ่ายที่รักสันติและปฏิบัติตามพันธกรณีและกฏหมายระหว่างประเทศ ความล้มเหลวของการทูตไทยดังกล่าวนี้นับได้ว่า เป็นผลงานของรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยที่วางตัวเป็นศัตรูกับทุกประเทศ

นับตั้งแต่สหประชาชาติได้มอบหมายให้อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเพื่อให้บรรลุถึงการคลี่คลายปัญหาการขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ประเทศไทยได้แสดงท่าทีที่บ่ายเบี่ยงอย่างเห็นได้ชัด ในลักษณะทีเล่นทีจริง หรือไม่ยอมให้ความร่วมมือกับอินโดนีเซียอย่างดื้อ ๆ

และไม่ยอมให้ผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้ามาทำหน้าที่ในพื้นที่ของไทยตามแนวชายแดนฯ โดยตั้งแง่นานาประการเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงฯ

ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายกัมพูชาได้แสดงท่าทีผ่อนปรนและยินยอมให้ความร่วมมือกับอินโดนีเซียในการไกล่เกลี่ยกรณีข้อพิพาทฯ โดยอ้างว่า ตนต้องการให้มีการแก้ไขข้อพิพาทฯ อย่างสันติบนพื้นฐานของกฏหมายระหว่างประเทศและตามเจตนารมย์ของกฏบัตรอาเซียน รวมถึงสนธิสัญญาและความตกลงที่เกี่ยวข้อง

ในขณะที่ไทยยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับการยอมรับการไกล่เกลี่ยของอินโดนีเซีย กัมพูชาได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการยอมให้ความร่วมมือแก่อินโดนีเซียที่จะส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาในบริเวณปราสาทพระวิหารตามมติของสหประชาชาติ

เมื่ออินโดนีเซียได้จัดทำข้อตกลงเพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้สังเกตการณ์เสร็จแล้ว กัมพูชาได้ทำหนังสือยินยอมเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคมเพื่อให้ข้อตกลงฯ มีผลใช้บังคับ ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่ยอมรับข้อตกลงฯ และยังตั้งเงื่อนไขอยู่ตลอดเวลา

ทำให้สมาชิกของอาเซียนและประชาคมโลกรู้สึกเบื่อหน่ายและมองไปว่าประเทศไทยไม่มีเจตนาที่จะแก้ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่างจริงจังตามกระบวนการของอาเซียนและข้อมติของสหประชาชาติ

แม้กระทั่งรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของมาเลเซียก็หมดความอดทนต่อไทย และได้ออกมากล่าวหาว่าไทยละเมิดข้อตกลงเรื่องการส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังพื้นที่ข้อพิพาทฯ

การเจรจาในระดับทวิภาคีน่าจะเป็นวิธีแก้ปัญหาระหว่างประเทศที่ได้ผลที่สุด แต่จนถึงปัจจุบัน การเจรจาแบบทวิภาคียังไม่มีผลคืบหน้าแต่ประการใด ในขณะที่ทหารไทยและคนไทยต้องสังเวยชีวิตจากการปะทะกับกองกำลังฝ่ายเขมรตามแนวชายแดนฯ

นอกจากนี้ รายงานการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาทั้ง ๓ ฉบับก็ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายไทย เนื่องจากปัญหาภายในของไทยเอง และข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญของปี ๒๕๕๐ ซึ่งระบุว่ารัฐสภาต้องให้ความเห็นชอบในหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ

เมื่อการเจรจาในระดับทิวภาคีไม่ได้ผลหรือไม่คืบหน้า ไทยก็ควรจะใช้ช่องทางอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงการไกล่เกลี่ยโดยประเทศที่สาม หรือการเจรจาในระดับพหุภาคีในขอบเขตที่จำกัด เพื่อมิให้ข้อพิพาทบานปลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศ จนศาลโลกต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง

อาเซียนเองก็มีกลไกสำหรับการแก้ไขข้อพิพาทในระดับภูมิภาค เช่น สนธิสัญญา Amity and Cooperation, ASEAN Regional Forum, สถาบันเพื่อสันติและความสมานฉันท์ และการประชุมสุดยอดของอาเซียน

ซึ่งประเทศไทยอาจจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เพื่อส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

*****เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ****

Respect for ASEAN Process

No one would deny that the most recent Thai-Cambodian border conflict has put Thailand in a bad light in the eyes of ASEAN and the world community, whilst Cambodia has managed to portray itself as a respectable and law abiding member. It would be all too easy to point accusing fingers at the Abhisit Government and the abrasive Thai Foreign Minister for the failure of Thai foreign policy vis-?-vis the Cambodia issue in the context of ASEAN and the international community.

Since the United Nations had mandated Indonesia, as ASEAN Chairman, to mediate the settlement of the border conflict between Thailand and Cambodia, the Thai government has not been very forthcoming in accepting the Indonesian mediation, let alone the stationing of Indonesia observers on its soil by citing technicalities. On the other hand, Cambodia has shown its willingness (at least in words) to accept mediation by ASEAN Chairman by declaring that it seeks peaceful settlement of this border dispute based on the principles of international law and the spirit of the ASEAN Charter and treaties as well as other related agreements. So, while Thailand is still struggling on how to come to terms with ASEAN mediation, Cambodia has scored points. Cambodia has lost no time in commending the efforts by Indonesia to dispatch observers to the area of the Pra Viharn (Preah Vihea) Temple in order to monitor the ceasefire in accordance with the UN mandate. Meanwhile, the Thai Foreign Ministry and the Thai Defence Ministry are still at loggerheads on the issue of deployment of observers and the GBC. When Indonesia finalized the Terms of References (TORs) for deploying the observers, Cambodia signed the Acceptance Letter on May 3rd to put the TORs into effect. Thailand has not yet accepted the TORs and still continues to put up conditions and technicalities. For ASEAN and the international community, the Thai Government’s procrastination and dubious moves could be interpreted by ASEAN members as the lack of willingness to settle the border dispute with Cambodia in accordance with ASEAN process and UN mandate.



Using bilateral mechanism may be a preferred method of resolving the border dispute but it has not hitherto made any significant progress. Moreover, the adoption of the 3 records of the meetings of the Thai-Cambodian Joint Border Committee (JBC) have not yet been approved by Thailand. The Thai government is still at a loss as to which government agency has the authority over the matter. It is still hamstrung by the 2007 Constitution that requires Parliamentary approval. Therefore, the Thai government should use all avenues available, whether they be bilateral or multilateral, to achieve a settlement of the border dispute before the issue takes on an international dimension which will be too much for Thailand to handle. The Thai-Cambodian conflict presents a great challenge to ASEAN. It can act as an obstacle to ASEAN Community to be realized in 2015. ASEAN has many mechanisms to resolve regional conflicts: The Treaty of Amity and Cooperation, the ASEAN Regional Forum (ARF), ASEAN Institute for Peace and Reconciliation, and ASEAN Summit. Thailand should engage them as much as possible to enhance peace, security, and stability in the region.
http://redusala.blogspot.com

แฉซื้อเสียงล่วงหน้าเพื่อไทยพบโอนเข้าบัญชีรายละ300-500บาท


       เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3054 ประจำวัน จันทร์ ที่ 16 พฤษภาคม 2011
         โฆษกประชาธิปัตย์ท้า “ยิ่งลักษณ์” ขึ้นเวทีดีเบตกับหัวหน้าพรรคแสดงวิสัยทัศน์บริหารประเทศ “อภิสิทธิ์” เบี้ยวลงพื้นที่ช่วยลูกพรรคหาเสียงภาคเหนือ หนีพาครอบครัวพักผ่อนที่หัวหิน เพื่อไทยฟุ้งเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯวันนี้ (16 พ.ค.) มีเซอร์ไพรส์ แฉพบโอนเงินเข้าบัญชีคนโคราชรายละ 300-500 บาท ซื้อเสียงล่วงหน้า เตรียมยื่น กกต. ตรวจสอบ หวั่นสร้างหลักฐานป้ายสีผู้สมัคร “สมชาย” โต้ไม่ได้ไปบรูไนพบ “ทักษิณ” ขอความเห็นชอบบัญชีผู้สมัคร ส.ส. ท้าตรวจสอบจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

วันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยกเลิกแผนเดินทางไปช่วยลูกพรรคหาเสียงที่จังหวัดนครสวรรค์และพิษณุโลกอย่างกะทันหัน โดยแจ้งว่ามีอาการป่วย อย่างไรก็ตาม มีการเปิดเผยในภายหลังว่านายอภิสิทธิ์ได้พาครอบครัวไปพักผ่อนที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนกำหนดการเดินทางไปช่วยลูกพรรคหาเสียงที่จังหวัดอุบลราชธานีวันที่ 16 พ.ค. ถูกเลื่อนไปเป็นวันที่ 17 พ.ค.


ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค แถลงว่า การอบรมผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคเป็นการประกาศให้เห็นถึงความพร้อมในการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการชูนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อกลับมาสานงานต่อจากที่ทำเอาไว้


“อภิสิทธิ์” ท้า “ยิ่งลักษณ์” ดีเบต


“นายอภิสิทธิ์พร้อมจะขึ้นประชันวิสัยทัศน์กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พรรคเพื่อไทยวางตัวเป็นคู่ชิงนายกฯทุกเวที” นพ.บุรณัชย์กล่าวและว่า หากประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยจะเสียโอกาสแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เพราะจะเสียเวลาล้างความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณผ่านกระบวนการของรัฐสภาไม่น้อยกว่า 5 เดือน และอาจทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาใหม่ เพราะต้องมีคนออกมาคัดค้าน


แฉแกนนำเพื่อไทยบินพบ “ทักษิณ”


นพ.บุรณัชย์จับผิดแถลงการณ์ของนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในตะวันออกกลาง ไม่ได้อยู่ที่บรูไน เพราะตรวจสอบพบว่าไม่กี่วันที่ผ่านมาแกนนำพรรคเพื่อไทยพากันเดินทางไปบรูไนเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณอนุมัติบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.
“เป็นการออกแถลงการณ์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะประเทศที่ให้ที่พำนักมีเงื่อนไขว่าต้องไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง”


อัดโหวตโนสร้างความขัดแย้ง


นพ.บุรณัชย์ยังเรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปลดป้ายรณรงค์โหวตโนที่มีสโลแกนอย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา เพราะทุกวงการมีทั้งคนดีและคนไม่ดี จึงไม่ควรทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ปลุกระดมให้ประชาชนเกลียดชังนักการเมือง ถามการรณรงค์โหวตโนยังก่อให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มด้วย


มั่นใจคนนิยมชมชอบ “อภิสิทธิ์”


นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มั่นใจว่าประชาชนจะเทคะแนนให้นายอภิสิทธิ์มากกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ได้แสดงให้เห็นฝีมือในการนำพาประเทศผ่านพ้นอุปสรรคหลายอย่างทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เคยมีบทบาททางการเมือง จะมีก็แค่เคยขึ้นเวทีคนเสื้อแดงมาบ้างเท่านั้น
“ที่เขาปลุกกระแสกันว่าเลือกนายกฯหญิงคนแรกของประเทศผมไม่คิดว่าประชาชนจะแบ่งแยกว่าต้องผู้ชายหรือผู้หญิง แต่คงดูที่ใครมีความสามารถมากกว่ากัน”


พท. ซัด “อภิสิทธิ์” ป้ายสี 4 ประเด็น


ที่พรรคเพื่อไทย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค ตำหนินายอภิสิทธิ์ที่ไปหาเสียงที่จังหวัดราชบุรีโดยใส่ร้ายพรรคเพื่อไทย 4 ประเด็นคือ 1.บอกว่าเลือกพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลถือเป็นการดูถูกประชาชน ไม่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่ใช้เสียงข้างมากตัดสิน 2.บอกว่าถ้าเลือกเพื่อไทยจะขัดแย้งไม่จบ ถือว่าใส่ร้าย ไม่ตรงข้อเท็จจริง เพราะพรรคมีนโยบายสร้างความสมานฉันท์สามัคคี ต่างจากประชาธิปัตย์ที่ยังพูดจาหาเรื่องทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง 3.บอกว่าเลือกเพื่อไทยได้ พ.ต.ท.ทักษิณจะสร้างปัญหาขึ้นอีกนั้นไม่จริง เพราะอดีตนายกฯเป็นแค่ที่ปรึกษาให้พรรค ไม่มีโอกาสได้มาทำงาน และ 4.บอกว่าเพื่อไทยทำเพื่อคนคนเดียว ยืนยันว่าไม่จริง นายอภิสิทธิ์โกหก เพราะเรามีนโยบายแก้ปัญหาให้ประชาชนทั้งประเทศ


ยันมีนโยบายแก้ปัญหาเพื่อส่วนรวม


“นโยบายของพรรคเพื่อไทยเน้น 2 เรื่องคือ แก้ปัญหาเศรษฐกิจกับการนำความสงบสุขกลับคืนมา นโยบายของพรรคทำเพื่อสวนรวม ประชาชน และเพื่อชาติ” นายปลอดประสพกล่าวพร้อมยืนยันว่า พรรคเคารพการตัดสินใจของประชาชน หากแพ้เลือกตั้งจะไม่แข่งจัดตั้งรัฐบาลกับผู้ชนะแน่นอน ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะแพ้ชนะกันไม่เกิน 4-5 เสียงนั้นน่าจะเป็นการพูดเพื่อปลอบใจตัวเอง ส่วนตัวเห็นว่านายอภิสิทธิ์ตกศูนย์ไปตัวหนึ่ง เพราะของจริงต้องแพ้ชนะกัน 40-50 เสียง


ฟุ้งเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯมีข่าวใหญ่


นายปลอดประสพกล่าวอีกว่า วันที่ 16 พ.ค. นี้ผู้มีชื่อสมัคร ส.ส. ของพรรคจะเดินทางมาร่วมประชุมกันทุกคน และจะมีการตัดสินใจตำแหน่งสำคัญของพรรค รับรองได้ว่ามีข่าวใหญ่แน่นอน


นายปลอดประสพกล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีบางพรรคการเมืองแจ้งให้ประชาชนนำโทรศัพท์ที่มีกล้องถ่ายรูปเข้าไปในคูหาด้วย เพื่อถ่ายภาพมาเป็นหลักฐานเบิกเงิน ขอเตือนประชาชนว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายและมีโทษ พรรคการเมืองที่ทำก็มีสิทธิถูกยุบพรรคด้วย


พบโอนเงินเข้าบัญชี 300-500 บาท


นายประเกียรติ นาสิมมา ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งว่ามีพรรคการเมืองบางพรรคโอนเงินเข้าบัญชีประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดนครราชสีมารายละ 300-500 บาท จึงจะไปยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบว่ามีการโอนเงินจริงหรือไม่ ใครโอน โอนเพื่ออะไร เพราะทราบมาว่ามีการอำพรางว่าเป็นเงินช่วยเหลือเกษตกร


“พรรคเกรงว่าจะเป็นการสร้างหลักฐานเพื่อป้ายสีผู้สมัครของพรรค เพราะเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคจะถูกกลั่นแกล้งมากที่สุด”


แพ้เลือกตั้งไม่แข่งตั้งรัฐบาล


นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า หากพรรคแพ้เลือกตั้งได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 2 พร้อมเป็นฝ่ายค้าน ไม่ตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคที่ชนะเลือกตั้ง


พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวหลังทำบุญครบรอบวันเกิดปีที่ 79 ที่วัดอาวุธวิกสิตาราม ย่านบางพลัด ว่าหลังเลือกตั้งความขัดแย้งจะรุนแรงขึ้นหากไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน สำหรับอนาคตทางการเมืองนั้น แม้จะออกจากพรรคเพื่อไทยมาแล้วแต่ยังให้การสนับสนุนพรรคอยู่ และพร้อมสนับสนุนทุกพรรคที่มีแนวทางเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองอย่างสันติและยกย่องสถาบัน


“บิ๊กจิ๋ว” แจงทิ้ง พท. รักษาเสื้อแดง


“ผมคงไม่กลับไปมีตำแหน่งอะไรในพรรคเพื่อไทยอีก การลาออกมาไม่ได้ขัดแย้ง แต่ทำเพื่อรักษามวลชนคนเสื้อแดงส่วนใหญ่เอาไว้ไม่ให้ไขว้เขวไปกับคนส่วนน้อยที่ยังเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อน ส่วนกรณีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ เชื่อว่าอีกไม่นานคงได้ออกมาจากเรือนจำ เพราะประเทศที่เป็นประชาธิปไตยไม่ควรมีนักโทษการเมือง”


“สมชาย” ท้าตรวจสอบไปบรูไน


นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ปฏิเสธข่าวที่เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่บรูไนเพื่อนำบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส .ไปขอความเห็นชอบ


“ผมไม่ได้ไปบรูไนเลย หากไม่เชื่อไปตรวจสอบจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้”


*************************
http://redusala.blogspot.com

ปูด ‘ธาริต’คุยโอ่หลังถอนประกัน‘จตุพร’

      เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3055 ประจำวัน อังคาร ที่ 17 พฤษภาคม 2011
       http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10725

         “ณัฐวุฒิ” อ้างได้ข่าวอธิบดีดีเอสไอเที่ยวคุยอวดที่จัดการถอนประกั “จตุพร-นิสิต” ทำนองประสบความสำเร็จได้รับชัยชนะ ตั้งคำถามได้รางวัลอะไรจากชัยชนะครั้งนี้ เตรียมส่งทนายยื่นประกันตัวใหม่ พ่วงขออนุญาตออกจากเรือนจำมาสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ “ธิดา” ย้ำชุมนุมใหญ่วันที่ 19 พ.ค. นี้ยึดแนวทางสันติ เลิกไม่เกินเที่ยงคืน 7 แกนนำที่รอดจากถูกถอนประกันตัวไม่ขึ้นปราศรัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์เผย 2 แกนนำคนเสื้อแดงเริ่มปรับสภาพเข้ากับชีวิตในเรือนจำได้ แต่ “จตุพร” ยังต้องอยู่แดนแรกรับ ยอมรับห่วงความปลอดภัยเพราะในเรือนจำมีผู้ต้องขังมาก ไม่รู้ใครคิดเห็นทางการเมืองอย่างไร

วันที่ 16 พ.ค. 2554 ที่พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เปิดเผยว่า วันที่ 18 พ.ค. นี้ทีมทนายความจะไปยื่นประกันตัวนายจตุพร พรหมพันธุ์ กับนายนิสิต สินธุไพร 2 แกนนำ นปช. ที่ถูกถอนประกันตัวต่อศาลอีกครั้ง โดยจะใช้ประเด็นคำสั่งศาลที่กำหนดเงื่อนไขประกันตัวกับพฤติการณ์ของทั้ง 2 คนที่ปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา เปรียบเทียบให้ศาลเห็นว่าไม่ได้กระทำฝ่าฝืนเงื่อนไขแต่อย่างใด เพราะไม่เข้าข่ายปราศรัยปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง นอกจากนี้ทนายความจะนำหนังสือรับรองจากนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไปยื่นต่อศาลเพื่อขออนุญาตให้นายจตุพรออกมายื่นใบสมัคร ส.ส.


“ช่วงวันหยุดยาว 5 วันนี้ไม่ได้ไปเยี่ยมนายจตุพรและนายนิสิต แต่สอบถามจากเจ้าหน้าที่เรือนจำทราบว่าทั้ง 2 คนมีสุขภาพกายและสุขภาพใจดี แต่ที่ไม่น่าเกิดขึ้นคือ เรื่องที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ที่เที่ยวไปพูดกับใครหลายคนว่าจัดการนายจตุพรได้แล้ว หากเห็นว่าการเอานายจตุพรและนายนิสิตเข้าคุกเป็นความสำเร็จ เป็นชัยชนะ ก็ขอให้อธิบายมาด้วยว่ารางวัลของชัยชนะครั้งนี้คืออะไร”


นายณัฐวุฒิยังกล่างถึงกรณีที่มีคนเสื้อแดงที่เป็นระดับแกนนำในต่างจังหวัดและแนวร่วมบางคนไม่พอใจที่ไม่มีชื่อเป็นผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่าเป็นเรื่องที่ต้องรับฟังและเป็นหน้าที่ของแกนนำในส่วนกลางต้องไปทำความเข้าใจ อย่างไรก็ตาม ต้องทำความเข้าใจร่วมกันว่าการออกมาร่วมกันต่อสู้ในนามของคนเสื้อแดงนั้น พวกเราไม่ได้ทำเพื่อเป็นใบเบิกทางในการลงสมัคร ส.ส. การต่อสู้ทุกคนมาด้วยใจ มาด้วยความเสียสละ อยากเห็นบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย อยากเห็นความยุติธรรม เมื่อต่อสู้แล้วเห็นว่ามีช่องทางที่จะไปสู้กันต่อในระบบสภาก็เสนอตัวให้พรรคการเมืองพิจารณาส่งลงสมัคร ส.ส. ซึ่งพรรคมีระบบการคัดเลือก มีกฎเกณฑ์และกติกาอยู่ บางคนสมหวังได้ลงสมัคร บางคนก็ผิดหวัง ซึ่งเป็นเรื่องปรกติ เราต้องยอมรับกติกาตรงนี้ด้วย


นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ นปช. กล่าวว่า นายจตุพรจะได้ออกจากเรือนจำมาสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อหรือไม่ แล้วแต่การพิจารณาของศาล ซึ่งตามระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ได้กำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อต้องไปแสดงตัว แต่เป็นความประสงค์ของนายจตุพร ส่วนการยื่นประกันตัวอีกนั้นจะพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการ


นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. ยืนยันว่า การชุมนุมใหญ่รำลึก 1 ปีการนองเลือดวันที่ 19 พ.ค. นี้มีตามปรกติ แต่แกนนำ 7 คนที่ศาลไม่ได้ถอนประกันตัวที่มีชื่อเป็นผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะไม่ร่วมขึ้นเวทีด้วย
“ยืนยันว่าจะเป็นการชุมนุมโดยสงบ ไม่สร้างความวุ่นวาย ซึ่งมีกำหนดการชัดเจนแล้วว่าเลิกไม่เกินเที่ยงคืน”


นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า นายจตุพรและนายนิสิตเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำได้แล้ว โดยนายนิสิตปรับตัวได้เร็วเพราะก่อนหน้านี้เคยอยู่ในเรือนจำมาแล้ว 9 เดือน จึงรู้กฎระเบียบต่างๆเป็นอย่างดี และส่งไปอยู่ในแดนที่เคยอยู่แล้ว ส่วนนายจตุพรยังให้ปรับสภาพในแดนแรกรับ แต่หลังจากนี้จะพิจารณาส่งไปอยู่ในแดนที่เหมาะสม


“สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษสำหรับนายจตุพรคือเรื่องความปลอดภัย เพราะในเรือนจำมีผู้ต้องขังจำนวนมาก เราไม่รู้ว่าใครมีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างไร ส่วนกรณีที่คนเสื้อแดงจะมาชุมนุมหน้าเรือนจำวันที่ 19 พ.ค. นี้ได้ประสานตำรวจดูแลความปลอดภัยแล้ว เชื่อว่าจะไม่มีเหตุรุนแรงเพราะมาเพื่อให้กำลังใจเท่านั้น”


***********************************
http://redusala.blogspot.com

ยิ่งลักษณ์’ชิงนายกฯประกาศไม่แก้แค้นมุ่งแก้ไขปัญหาสร้างปรองดอง

      เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3055 ประจำวัน อังคาร ที่ 17 พฤษภาคม 2011
         พรรคเพื่อไทยมีมติเอกฉันท์ส่ง “ยิ่งลักษณ์” ขึ้นปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 ท้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ประกาศชัดตั้งใจเข้ามาทำงานแก้ปัญหาให้ประชาชน มุ่งสร้างความสมานฉันท์ปรองดองให้เกิดในชาติ ไม่คิดแก้แค้นใคร หากได้บริหารประเทศพร้อมเปิดใจคุยกับทุกฝ่ายเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง “อภิสิทธิ์” ยินดีที่มีความชัดเจนให้กับประชาชนก่อนตัดสินใจลงคะแนนเสียง ยืนยันพร้อมประชันวิสัยทัศน์ทุกเวที ประชาธิปัตย์จัดลำดับผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เสร็จแล้วมั่นใจได้ไม่ต่ำกว่า 55 ที่นั่ง โฆษกภูมิใจไทยอ้อนอย่าเทเสียงให้ 2 พรรคใหญ่ หากแพ้ชนะกันไม่ขาดจะยิ่งมีปัญหามากขึ้น “จาตุรนต์” ระบุหากเพื่อไทยได้ไม่ถึง 235 เสียง โอกาสเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลยาก แม้จะชนะเลือกตั้ง

ที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา มีมติเอกฉันท์เลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวขอบคุณสมาชิกพรรคที่ไว้วางใจเลือกเป็นตัวแทนพรรค โดยยืนยันว่ามีความพร้อมและจริงใจที่จะเข้ามาทำงานให้กับพรรค
“เป็นตำแหน่งที่มีคุณค่าและมีเกียรติอย่างมาก ดิฉันมีความมั่นใจในแนวนโยบายของพรรคว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้ดังที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต และมั่นใจว่าพรรคมีบุคลากร ทีมงาน และที่ปรึกษาที่มีคุณภาพในทุกด้าน”


ต้องการเห็นสามัคคีปรองดอง


น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า การตัดสินใจเข้าสู่การเมืองในครั้งนี้ก็เพราะต้องการเห็นความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน และขอให้มั่นใจได้ว่าแนวทางของพรรคเพื่อไทยนั้นไม่คิดแก้แค้น แต่จะมุ่งแก้ไข ซึ่งจะทำภารกิจนี้อย่างเต็มที่


“จะขอใช้ความเป็นผู้หญิงก้าวเข้าหาความปรองดองเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า และจะเร่งฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้องของประชาชน เมื่อเข้ามาแล้วก็อยากเห็นการเมืองที่สร้างสรรค์ เป็นไปตามหลักนิติธรรม ขอยืนยันในความมุ่งมั่นทุ่มเทที่จะเข้ามาทำงาน และจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับสมาชิกพรรคทุกคน เพื่อก้าวไปให้ถึงจุดมุ่งหมายในการทำงานแก้ปัญหาให้ประชาชนและประเทศชาติ”


พร้อมรับการตรวจสอบตามกติกา


น.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่า พร้อมรับการตรวจสอบทางการเมืองตามกฎ กติกา มารยาท และตามหลักนิติธรรม อยากจะขอโอกาสจากประชาชนในการทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยเพื่อพิสูจน์ฝีมืออีกครั้งเหมือนกับที่ประชาชนเคยให้ความไว้วางใจกับ พ.ต.ท.ทักษิณในอดีต


น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า ภาระอันยิ่งใหญ่ของนักการเมืองคือการทำงานรับใช้ประชาชน ส่วนตัวทำธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก ขณะที่พี่ชายและพี่สาวก็อยู่ในวงการเมืองมาก่อน ทำให้รู้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างดี ประสบการณ์การทำงานผ่านงานด้านบริหารและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความรู้ทางการเมืองก็เรียนจบด้านรัฐศาสตร์โดยตรง


ให้ความสำคัญกับเยาวชน


“การทำงานกับมูลนิธิไทยคมในช่วงที่ผ่านมาได้ร่วมพัฒนาด้านการศึกษาและกีฬามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มองเห็นว่าอนาคตของเยาวชนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นอนาคตของประเทศ”
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวอีกว่า ตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อปี 2549 จนกระทั่งวันนี้ประชาชนยังเรียกร้องและต้องการการทำงานแบบ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องความขัดแย้งนั้นอยากให้ทุกคนมองข้ามไปเพื่อให้เกิดความสามัคคีปรองดอง


ยันมุ่งแก้ไขปัญหาไม่แก้แค้น


“ขอย้ำว่าไม่คิดแก้แค้น แต่พร้อมจะแก้ไข โดยมุ่งทำงานเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนเป็นหลัก โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ส่วนข้อสงสัยต่างๆนั้นพร้อมเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ภายใต้กฎกติกาที่เป็นธรรม ขอยืนยันว่าจะทุ่มเทแรงกายและแรงใจทำงานให้ประชาชนอย่างเต็มที่ จึงอยากขอโอกาสจากประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย”


ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าได้เป็นนายกฯจะนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ประเทศไทยอยู่ภายใต้หลักนิติธรรม ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักของกฎหมาย การทำงานจะนึกถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ขอย้ำว่าต้องการเห็นความปรองดอง โดยพร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับทุกคนที่เห็นแตกต่างกัน


เข้าใจการเมืองดี เชื่อประสานได้ทุกฝ่าย


“การทำงานที่ผ่านมาไม่ได้อยู่ห่างจากการเมืองเท่าไร ทำให้เข้าใจการเมืองเป็นอย่างดี การเลือกตั้งครั้งนี้ขอให้ประชาชนพิจารณาคุณสมบัติของคู่แข่งขัน ดิฉันเป็นผู้หญิงสามารถประสานกับทุกฝ่ายได้ และพร้อมพูดคุยกับทุกฝ่าย โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวพร้อมยืนยันว่า ไม่ได้เข้ามาทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มาทำเพื่อคนไทยทุกคน เชื่อว่าประชาชนจะพิจารณาอย่างรอบคอบในการลงคะแนน โดยเปรียบเทียบจากประสบการณ์ นโยบาย และทีมงาน


ผู้สื่อข่าวถามว่ามีวิธีนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เร็วเกินไปที่จะพูดตอนนี้ รอให้ประชาชนตัดสินใจก่อนว่าจะเลือกใครเข้ามาบริหารประเทศ ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน


“ยิ่งลักษณ์” ไพ่ใบสุดท้ายของ “ทักษิณ”


นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย แถลงเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มรากหญ้า 15 คน คนที่น่าสนใจคือนายคำตา แคนบุญจันทร์ อดีตแกนนำกลุ่มเกษตรกรภาคอีสาน ที่ขับรถอีแต๋นเข้ากรุงเทพฯมาให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณในช่วงที่ถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมขับไล่เมื่อปี 2549


นายศุภชัยกล่าวถึงการเปิดตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทยว่า เป็นไพ่ใบสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการเดิมพันหมดหน้าตัก จึงเป็นห่วงว่าจะทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นในทุกมิติ



ภท. วอนอย่าเทเสียงให้พรรคใหญ่

“ประชาชนควรเลือกพรรคขนาดกลาง หากเทเสียงให้ 2 พรรคใหญ่จะไม่เกิดประโยชน์ เพราะถ้าผลออกมาแพ้กันแค่ 2-3 เสียงจะยิ่งมีปัญหาไม่จบ จัดตั้งรัฐบาลลำบาก ประชาชนต้องคิดเรื่องนี้ด้วย”


นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีประเทศจะไม่สงบ การที่พรรคเพื่อไทยชู น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นมาเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าพรรคการเมืองไม่ได้เป็นของประชาชน แต่เป็นของนายทุนพรรค นี่คือตัวอย่างการเมืองที่ล้มเหลว
“วันที่ 19 พ.ค. นี้ ซึ่งเป็นเปิดรับสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง พันธมิตรฯจะไปรณรงค์โหวตโนด้วย”


“มาร์ค” นั่งพิจารณารายชื่อผู้สมัคร


ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้เดินทางกลับจากพักผ่อนที่หัวหินเข้าที่ทำการพรรค เพื่อร่วมพิจารณารายชื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ


นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ประธานกรรมการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหลังการประชุมนานกว่า 4 ชั่วโมงว่า ได้รายชื่อผู้สมัครครบ 125 คนแล้ว รอเสนอให้กรรมการบริหารพรรครับรอง ส่วนรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.เขตยังไม่เรียบร้อยอีก 8 เขต แยกเป็นภาคเหนือ 4 เขต ภาคอีสาน 4 เขต เนื่องจากมีผู้ประสงค์ลงสมัครมากกว่า 1 คน จึงต้องรอผลโพลสำรวจความนิยมในพื้นที่ก่อน และต้องรอดูคู่แข่งจากพรรคอื่นด้วย


“การจัดลำดับผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเป็นไปตามโครงสร้างพรรค คือกรรมการบริหารจะมีชื่ออยู่ในลำดับแรกๆ ตามด้วยอดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส. ทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรค เพราะคนกลุ่มนี้ทำงานให้กับพรรค”


“อภิสิทธิ์-ชวน” นำหัวขบวนปาร์ตี้ลิสต์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ 10 ลำดับแรกผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย 1.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 2.นายชวน หลีกภัย 3.นายบัญญัติ บรรทัดฐาน 4.นายเทอดพงษ์ ไชยนันท์ 5.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ 6.นายกรณ์ จาติกวนณิ 7.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช 8.นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน 9.นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี 10.นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ โดยที่ประชุมประเมินว่าจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่น้อยกว่า 55 คน


นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่า จะเปิดเผยรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมดในวันที่ 18 พ.ค. นี้ ส่วนที่พรรคเพื่อไทยเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะประชาชนอยากเห็นความชัดเจนเพื่อจะได้ตัดสินใจอนาคตของบ้านเมืองได้


คุยประชาธิปัตย์มีนโยบายชัดเจน


“ผมไม่ได้คิดเรื่องผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะต่างอาสาเข้ามาทำงานเหมือนกัน พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอนโยบายที่ชัดเจนเน้นแก้ปัญหาปากท้อง ปัญหายาเสพติด และสานต่อโครงการดีๆ เช่น การประกันรายได้เกษตรกร เรียนฟรี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ส่วนพรรคเพื่อไทยจะเสนออะไรต้องรอฟังกัน” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า ไม่มีปัญหาการขึ้นเวทีดีเบตหรือแสดงวิสัยทัศน์ที่องค์กรต่างๆจะจัดขึ้น แต่เป็นห่วงการนำเสนอของพรรคเพื่อไทยโดยพาะเรื่องนิรโทษกรรมที่อาจทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นอีก เพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้พยายามทำสิ่งเหล่านี้และทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา ทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น บ้านเมืองวุ่นวาย หากยึดติดกับเรื่องนี้ปัญหาของประชาชนที่ควรจะได้รับการแก้ไขก่อนจะถูกละเลย


ชทพ. มักน้อยหวังรักษา 25 ที่นั่ง


ด้านความเคลื่อนไหวของพรรคชาติไทยพัฒนา นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค เปิดเผยว่า พรรคพิจารณาบัญชีผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อเสร็จแล้ว โดยส่งเต็มจำนวน 125 คน ส่วนผู้สมัคร ส.ส.เขตยังไม่เรียบร้อย


“พรรคไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แค่รักษาของเดิม 25 เสียงไว้ให้ได้ก็พอใจแล้ว”


ไม่ถึง 235 เสียง พท. ตั้งรัฐบาลยาก


นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง แต่จะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่ยังบอกไม่ได้ ส่วนโอกาสในการเป็นแกนนำรัฐบาลนั้นหากได้ 235 เสียงขึ้นไปก็มีโอกาส เพราะพรรคเล็กจะมารวมกับพรรคเพื่อไทยเนื่องจากมองว่าหากไปรวมกับประชาธิปัตย์จะทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพเพราะเสียงเกินครึ่งไม่มาก การลงมติในสภาเรื่องสำคัญจะมีปัญหา เพราะรัฐมนตรีลงคะแนนเสียงไม่ได้


“ถ้าพรรคเพื่อไทยได้แค่ 200-210 เสียง แม้จะชนะพรรคประชาธิปัตย์ก็คงยากที่จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะพรรคเล็กคงไปรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ตามแรงสนับสนุน แต่หากพรรคเพื่อไทยได้เสียงใกล้เคียงกึ่งหนึ่ง ผมยังมองไม่ออกว่าจะสกัดไม่ให้พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลได้อย่างไร” นายจาตุรนต์กล่าวและว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งจะทำให้ประเทศชาติผ่านวิกฤตไม่ได้ และจะมีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลเหมือนเดิม โดยเฉพาะปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่ไม่สามารถชี้แจงในสภาได้ในช่วงที่ผ่านมา 



แต่นายอภิสิทธิ์ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลมีอำนาจต่อรองมาก หากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลอีกพรรคร่วมจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้นอีก ภาพของการบริหารไม่ได้ ทำงานไม่เป็น และการทุจริตก็จะยังคงอยู่ ที่สำคัญปัญหาสองมาตรฐานจะมีต่อไป เพราะพรรคประชาธิปัตยืไม่คิดทำอะไรกับเรื่องพวกนี้

*********************
http://redusala.blogspot.com

เปิดตัวยิ่งลักษณ์ และรายการ แดงมหาชน ทนาย คาม พลทะกลาง 



2

3
http://redusala.blogspot.com

ลำรึก ๑ ปี ผู้เสียชีวิต ซอยรางน้ำ
http://redusala.blogspot.com

สูตรการเมืองจบฉบับทักษิณ 
โพสต์ทูเดย์ สัมภาษณ์ นายกทักษิณ 16 พค.54



พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ เปิดใจครั้งแรกกับ“โพสต์ทูเดย์”หลังการยุบสภา ถึง ความมั่นใจในการเลือกตั้ง รวมถึงทิศทางการเมืองในอนาคตและทุกข้อครหา

ทั้งนี้โพสต์ทูเดย์ได้แบ่งคลิปวีดีโอการสัมภาษณ์ครั้งนี้ออกเป็น 4 ตอนดังนี้

ตอน1 ประเด็นเรื่องสุขภาพส่วนตัวและการสู้ศึกเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย


ตอน2 ประเด็นความคลางแคลงใจเกี่ยวกับสถาบันหลักของประเทศและความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย


ตอน3 ประเด็นการซื้อเสียงและการกลับประเทศไทย


ตอน4 ประเด็นเสื้อแดง-การเผาเมืองและทิศทางหลังเลือกตั้ง

http://redusala.blogspot.com

งบประมาณแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์

งบประมาณแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์

http://www.internetfreedom.us/thread-24121.html
http://www.prachatai.com/journal/2011/05/34508


Thu, 2011-05-12 01:21

พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ชื่อบทความเดิม: งบประมาณแผ่นดินที่รัฐต้องจ่ายให้ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับสถาบันพระมหา กษัตริย์ประจำปีงบประมาณ 2554 กับการทำแต้มอย่างบ้าคลั่งไล่ล่าผู้กระทำผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
 
สำรวจตาม พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2554 * มีงบประมาณที่ใช้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนี้
สำนักราชเลขาธิการ
มาตรา 25 ข้อ 1 : 474,124,500 บาท

สำนักพระราชวัง
มาตรา 25 ข้อ 2 : 2,606,293,900 บาท

สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
มาตรา 25 ข้อ 4 (1) แผนงานเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจในระดับฐานรากตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง : 225,162,400 บาท

ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
มาตรา 4 (1) ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : 2,300,000,000 บาท 
มาตรา 4 (2) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ : 600,000,000 บาท
มาตรา 4 (3) ค่าใช้จ่ายการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องใน โอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 : 300,000,000 บาท

สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
มาตรา 5 ข้อ 1 (1) แผนงานสร้างค่านิยมในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ : 51,426,200 บาท
มาตรา 5 ข้อ 1 (2) แผนงานเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจในระดับฐานรากตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง : 3,308,070,000 บาท

สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
มาตรา 5 ข้อ 8 (1) แผนงานสร้างค่านิยมในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ : 25,573,000 บาท

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
มาตรา 6 ข้อ 1 (1) แผนงานสร้างค่านิยมในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ : 10,422,800 บาท

กรมราชองครักษ์ 
มาตรา 6 ข้อ 2 : 541,205,000 บาท

กองทัพบก 
มาตรา 6 ข้อ 4 (1) แผนงานสร้างค่านิยมในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ : 30,000,000 บาท

กองทัพเรือ
มาตรา 6 ข้อ 5 (1) แผนงานสร้างค่านิยมในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ : 10,000,000 บาท

กองทัพอากาศ
มาตรา 6 ข้อ 6 (1) แผนงานสร้างค่านิยมในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ : 600,000 บาท

สำนักงานพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
มาตรา 11 ข้อ 16 (1) : 188,495,400 บาท

สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
มาตรา 17 ข้อ 1 (1) แผนงานสร้างค่านิยมในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ : 11,250,000 บาท

กรมการปกครอง 
มาตรา 17 ข้อ 2 (1) แผนงานสร้างค่านิยมในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ : 40,330,000 บาท

สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
มาตรา 18 ข้อ 1 (1) แผนงานสร้างค่านิยมในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ : 4,500,000 บาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 
มาตรา 25 ข้อ 7 (1) แผนงานสร้างค่านิยมในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ : 53,896,800 บาท

รวมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น 10,781,350,000 บาท หรือ หนึ่งหมื่นเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดล้านสามแสนห้าหมื่นบาท
ทั้งนี้ ยอดเงิน 10,781,350,000 บาท (หนึ่งหมื่นเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดล้านสามแสนห้าหมื่นบาท) ยังไม่รวม ค่าเสียหาย/ราคาที่ต้องจ่ายซึ่งไม่สามารถนับไม่ได้เป็นตัวเงิน (ชีวิต , สิทธิเสรีภาพ , ความกลัว , ความทุกข์(ถ้ามี) ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ) คลอดจน รายได้ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ครองหุ้นในบริษัทต่าง ๆ และเงินที่ประชาชนบางส่วนถวายให้ใช้ตามพระราชอัธยาศัยในโอกาสต่าง ๆ
เงินจำนวนหมื่นกว่าล้านบาท ที่ ส.ศิวรักษ์ เคยเขียนเมื่อหลายปีก่อนว่า สถาบันกษัตริย์ถูกกว่าประธานาธิบดี ส.ศิวรักษ์ อาจต้องทบทวนบทสรุปตาม "ราคา" ในแต่ละปีที่ต้องจ่ายตามจริงไว้บ้างนะครับ
นอกจากนี้ ขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ จะต้องทบทวนว่า การ “ทำแต้ม” คดีหมิ่นกษัตริย์ มันไม่สัมฤทธิ์ผล (ที่มุ่งให้คดีลดลง?) แต่อย่างใด ยิ่งจับยิ่งดำเนินคดี ผลก็คือ คนที่หมิ่นสถาบันกษัตริย์ก็ยิ่งมีมากขึ้นๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา คดีหมิ่นสถาบันกษัตริย์ถูกเทกระจาดเข้าสู่กระบวนการจับขังฟ้องร้องเป็นร้อย คดี ตามกราฟที่ผมได้ค้นข้อมูล รายงานสถิติคดีทั่วราชอาณาจักร (ตั้งแต่ปี 2548 – 2553 ) จัดทำโดยกระทรวงยุติธรรม ผมวานให้คุณอติเทพ ไชยสิทธิ์ ใช้ความสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและทำกราฟไว้ดังนี้ :

หากพิจารณาอย่างพิศดารยิ่งขึ้น การพิจารณาคดีความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ตามศาลแต่ละภาค ขอให้ท่านดูแผนที่ประเทศไทยชิ้นนี้ เพื่อดูกราฟการรับคดีในภาพถัด ๆ ไปจะได้มองภาพชัดขึ้น (ศาลภาคที่ 1 – 9)


เหล่านี้เป็นตัวเลขในปี 2548 – 2553 ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงในการบังคับใช้กฎหมาย มีผู้กระทำความผิดต่อพระมหากษัตริย์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ตามกราฟ)

หน่วยงานของรัฐทั้งหลายโดยเฉพาะทหาร ซึ่งปัจจุบันพยายามสถาปนาตนเอง เป็น “หัวโจก” ของกระบวนการล้มล้างสิทธิเสรีภาพของราษฎร คุณคิดว่าสถาบันกษัตริย์ที่ดำรงอยู่ได้ด้วยการ “ทำแต้ม” แบบนี้ ความผิดต่อสถาบันกษัตริย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คดีดองอยู่ที่ศาลชั้นต้น แล้วคุณยังแข็งขันใช้ทุกวิถีทางกวาดจับ ข่มขู่บังคับทั้งในและนอกระบบ คุณคิดว่า ตัวเลขเหล่านี้ มัน “ไม่น่าอาย” แม้แต่น้อยบ้างเลยหรือ?
 
เชิงอรรถ 
  • พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2554 : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 127 ตอนที่ 60 ก ลงวันที่ 28 กันยายน 2553 [ ดูฉบับออนไลน์ : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2553/A/060/1.PDF]
http://redusala.blogspot.com