อัตราการเสี่ยงของประเทศไทยที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้(Default) ขึ้นสูงสุดนับแต่เดือนสิงหาคม ขณะที่การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทำให้ผู้จัดการตลาดการเงินนานาชาติพากันเทขายทรัพย์สินในไทย
มูลค่าหลักประกันการชำระหนี้ของไทยพุ่งขึ้นสูงลิ่วหลังจากนักลงทุนต่างประเทศรวมทั้งเวลส์ฟาร์โก อิ๊งค์ ถอนเงินลงทุนมากกว่า ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาทออกไปจากตลาดหลักทรัพย์ และการลงทุนพันธบัตร ตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม เป็นต้นมา เมื่อเกิดการประท้วงปิดกรุงเทพฯ เต็มท้องถนน และมีคนตายไปแล้ว ๘ ราย แปซิฟิคอินเวสต์เม้นต์ แมเนจเม้นต์ โกลด์แมนแซ็คกรุ๊ป และโกกุไซแอสเส็ทแมเนจเม้นต์ ต่างลดอัตราสำรองชำระหนี้ของตนลงตั้งแต่เดือนตุลาคมแล้ว ตามรายงานที่ยื่นเพื่อการตรวจสอบ
“เราขายมูลค่าทุนพันธบัตรในไทยของเราหมดไปแล้วเมื่อตอนสิ้นปี”ลอเร็น แวน บิลจอน นักวิจัยประจำเวลส์ฟาร์โกเฟิร์สอินเตอร์แน้ทชั่นแนลแอ็ดไว้เซอร์ ตอบการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคมนี้ “ดูเหมือนว่าความไม่ลงรอยกันขยายกว้างมากระหว่างฝักฝ่ายทางการเมือง”
หนทางแก้วิกฤติได้หลุดไปจากมือนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วตั้งแต่เธอประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในเดือนธันวาคมและกำหนดเลือกตั้งใหม่ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พวกผู้ประท้วงต้องการโค่นเธอ และยุติอิทธิพลของพี่ชายเธอ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่ถูกโค่นโดยกองทัพบกเมื่อปี ๒๕๔๙ ค่าเงินบาทตกวูบในอาทิตย์นี้จากการที่เก็งกันว่าธนาคารชาติจะชลอการปล่อยสินเชื่อเมื่อเหตุการณ์ร้ายร้อนแรงขึ้น พร้อมทั้งความคาดหมายว่าจะเกิดรัฐประหาร
“เรายังคงลดความเชื่อถือในค่าเงินบาทต่อเนื่องมาแต่ปลายปีที่แล้วโดยผลจากการที่ความวุ่นวายยืดเยื้อทำให้ภาพพจน์ของค่าเงินไม่น่าดู” ทัตสุย่า ฮิกูชิ ผู้จัดการการเงินของโกกูไวแอสเส็ทในกรุงโตเกียวกล่าวตอบคำซักถามผ่านทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม “เมื่อการเมืองตกอยู่ในสภาพอลเวง ย่อมขาดการเกื้อหนุนทางการคลัง หนทางเดียวที่จะสนับสนุนสถานการณ์เช่นนี้ได้อยู่ที่ต้องเพลามือการบริหารงานคลัง”
เขาบอกด้วยว่า โกกุไซซึ่งเป็นกองทุนมวลรวมที่ใหญ่สุดของญี่ปุ่นมีทรัพย์สินกว่า ๑,๐๘๐,๐๐๐ ล้านบาท งดการลงทุนในตลาดพันธบัตรไทยไปเมื่อปีที่แล้ว ขณะนี้ก็จะยังคงนโยบายเช่นนี้ต่อไป
ความเสี่ยงดีฟ้อลท์
อัตราการแลกเปลี่ยนเครดิตดีฟ้อลท์ (ถังแตก) เพื่อประกันหนี้ค้างจ่ายของไทยเป็นเวลา ๕ ปี ขึ้นไปเป็น ๑๕๓ เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ในนิวยอร์ค อันเป็นอัตราสูงสุดนับแต่วันที่ ๒๘ สิงหาคม ทั้งนีตามราคาของซีเอ็มเอ บัญชีเครดิตนี้ขยายตัวออกไป ๔๔ จุดพื้นฐาน นับแต่เริ่มมีการประท้วงรัฐบาลเกิดขึ้นเมื่อ ๓๑ ตุลาคม เทียบกับอัตราการเพิ่มของอินโดนีเซียเพียง ๑๙ จุดพื้นฐาน และของฟิลิปปินส์แค่ ๑๗ จุดพื้นฐาน
ราคาการปกป้องหนี้ของประเทศไทยอาจขึ้นจาก ๑๕๐ ไปเป็น ๒๐๐ ซึ่งนับว่าสูงที่สุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามรายงานของนอร์เดียมาร์เก็ต หน่วยงานของกลุ่มธุรกิจการเงินใหญ่ที่สุดของยุโรปภาคเหนือซึ่งมีทรัพย์สินที่อยู่ในการบริหารจัดการราว ๒๒๘ พันล้านยูโร ( ๙,๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) เมื่อ ๓๐ กันยายน
“ความเสี่ยงขึ้นสูงของราคาแลกเปลี่ยนเครดิตประกันหนี้ (ซีดีเอส) ยังคงระดับสูงเมื่อคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการแซกแซงโดยกองทัพ”เอมี่ ซวง นักวิจัยการตลาดอาวุโสภาคพื้นเอเซียของนอร์เดียในกรุงโคเป็นฮาเก็น เผยในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม “ความไม่มั่นคงก็เห็นๆ อยู่ ความไม่สงบก็ตรงนั้น แม้โดยทั่วไปจะดูราบรื่นก็ตาม แต่ว่าการเสี่ยงภัยและพลิกผัน มันยังไม่ถึงจุดผุดขึ้นมาให้เห็นในขณะนี้”
เงินทุนบินหนี
ตัวเลขในรายงานของตลาดหุ้น และพันธบัตรไทยตั้งแต่ ๓๑ ตุลาคม ปรากฏว่ากองทุนโลกได้ขายหลักทรัพย์ในท้องที่ (ไทย) ออกไปมากกว่าที่ซื้อเข้าแล้วราว ๘,๔๐๐ ล้านบาท ยังมีเหลืออีกประมาณ ๔,๒๐๐ ล้านบาท ค่าเงินบาทตกลง ๕.๒ เปอร์เซ็นต์ในช่วงนั้น ไปอยู่ที่ ๓๓.๑๔๘ บาทต่อหนึ่งดอลลาร์เมื่อ ๖ มกราคม ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ โดยที่ดัชนีหุ้นของตลาดหุ้นไทยตกลงไป ๑๐ เปอร์เซ็นต์
ในวันที่ ๒๒ มกราคมนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดอัตราการซื้อต่อภายในหนึ่งวันจากที่เป็นอยู่ ๒.๒๕ เปอร์เซ็นต์ เหลือ ๒ เปอร์เซ็นต์ถ้วน ทั้งนี้โดยการประเมินความเห็นจากนักเศรษฐศาสตร์ที่บลูมเบิร์กสอบถาม ๑๔ ใน ๒๑ คน อีก ๗ คนทำนายว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แบ๊งค์ชาติสร้างความประหลาดใจให้เกิดขึ้นเมื่อทำการตัดอัตราจุดพื้นฐานลงไป ๒๕ จุดในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อ ๒๗ พฤศจิกายน
กระทรวงการคลังได้ลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปี ๒๕๕๗ ลงไปจาก ๔.๘ เหลือเพียง ๔ เปอร์เซ็นต์แล้ว โดยอ้างว่าความไม่สงบเรียบร้อยจะยิ่งเป็นผลร้ายต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการลงทุนมากขึ้น และเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม กระทรวงการคลังก็ได้ลดความคาดหมายต่อความเจริญทางเศรษฐกิจลงอีกเป็นครั้งที่สองเหลือ ๓.๑ เปอร์เซ็นต์ จากเดิม ๔ เปอร์เซ็นต์ซึ่งเพิ่งลดมาหมาดๆ จาก ๕.๑ เปอร์เซ็นต์เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม
ระเบิดบางกอก
รัฐบาลยิ่งลักษณ์อดทนต่อการประท้วงบนท้องถนนที่มุ่งหมายลบล้างอิทธิพลทางการเมืองของตระกูลเธอติดต่อกันมาสองเดือน พวกพ้องของพี่ชายเธอได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมาห้าครั้งติดๆ กัน
มีระเบิดเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หนึ่งในเจ็ดจุดของการชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มกราคมเป็นต้นมา ตามรายงานของศูนย์เยียวยาทางการแพทย์ฉุกเฉิน รายงานบนเว็บไซ้ท์ของศูนย์ฯ ระบุว่า ความรุนแรงในการชุมนุมตลอดสามวันที่ผ่านมาทำให้มีคนตายหนึ่ง บาดเจ็บอีก ๖๗ ราย
กลุ่มผู้ประท้วงนำโดยอดีตสมาชิกสภาผู้แทนฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องการให้ยิ่งลักษณ์ออกไปจากตำแหน่ง แล้วยอมให้จัดตั้งสภาที่ไม่มาจากการเลือกตั้งเพื่อทำการปฏิรูประบบการเลือกตัวแทนประชาชนเสียก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง พรรคฝ่ายค้านหลัก ประชาธิปัตย์บอยคอตการเลือกตั้งในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ อดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม
จากไม่ดีเลยไปสู่เลวร้ายที่สุด
“เหตุการณ์แย่ลงจากที่ไม่ดีเลยไปเป็นเลวร้ายที่สุด” นิโคลัส สปิโร ผู้อำนวยการบริหารของสำนักบริการให้คำปรึกษาการลงทุน สปิโรโซเวอเรนสตราเตจี้ ในกรุงลอนดอน เผยในการให้สัมภาษณ์ทางอี-เมลเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม “ความเสี่ยงที่จะเกิดรัฐประหารมีมากขึ้นจากความหมดหวังที่จะหาทางออกด้วยการเจรจา” เขาเขียนตอบด้วยว่า“ความมั่นคงและนิติรัฐแห่งประชาธิปไตยถูกบ่อนทำลายในช่วงเวลาอันโชคร้าย นี่มองจากแง่มุมของตลาดหุ้น”
ผู้บัญชาการทหารบกของไทยเพิ่งพูดเมื่อเดือนที่แล้วว่าไม่แน่รัฐประหารอาจเกิดขึ้นได้ ตั้งแต่ปี ๒๔๘๙ มา ประเทศไทยมีรัฐประหารแล้ว ๙ หน และนายกรัฐมนตรีเกิน ๒๐ คน
สำหรับขณะนี้การปิดกรุงเทพฯ ยังไม่ทำความเสียหายแก่เศรษฐกิจมากจนถึงจุดที่ทำให้อธิปไตยทางการคลังของประเทศต้องเสียไป เสต็ฟเฟ็น ดี้ค นักวิจัยของสำนักบริการลงทุนมูดี้กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในสิคโปร์เมื่อ ๑๗ มกราคม เขาบอกว่าเป็นไปได้ยากที่จะมีการเปลี่ยนอันดับความแข็งแรงทางธุรกิจประเทศไทยในระยะ ๑๘ เดือนข้างหน้า
ประเทศไทยเวลานี้อยู่ในเกรด บีเอเอ ๑ โดยการจัดของมูดี้ และ บีบีบี+ ตามเรทติ้งของสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ กับฟิทช์เรทติ้ง ซึ่งเท่ากับเกรดต่ำเป็นที่สาม
ความคาดหมายของมูดี้
“ในด้านการเติบโตของเศรษฐกิจ ผมไม่เห็นว่าจะต่ำลงไปน้อยกว่า ๓ เปอร์เซ็นต์” ดี้คกล่าว “อุตสาหกรรมการประกอบสิ้นค้ายังคงดำเนินไปได้ดี เราอาจเห็นว่าอัตราเงินทุนสำรองต่างประเทศลดลงเมื่อการประท้วงเพิ่มความรุนแรงขึ้น แต่ตลาดหุ้นก็ยังคงระดับสูงอยู่เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในปี ๒๕๔๙ และ ๒๕๕๑”
หนี้ต่างประเทศสกุลเงินดอลลาร์ของบริษัทไทยในตลาดหุ้นทำให้นักลงทุนขาดทุน ๑.๒ เปอร์เซ็นต์เมื่อเกิดการประท้วงขึ้นในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ตามข้อมูลของดัชนีเครดิตในเเซียของบริษัทเจพีมอร์แกนเชส ทำให้ไทยเป็นตลาดที่แย่ที่สุดในเอเซียรองจากอินโดนีเซีย
อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของหนี้ในประเทศในช่วงนี้ขึ้นไป ๓๒ จุดพื้นฐาน หรือเท่ากับ ๐.๓๒ เปอร์เซ็นต์จุด ไปเป็น ๔.๙๓ เปอร์เซ็นต์เมื่อ ๑๕ มกราคม ตอนเมื่อ ๙ มกราคมนั้นมันขึ้นถึง ๕.๐๗ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงที่สุดนับแต่ ๑๘ กันยายน ผลตอบแทนของบริษัทไทยออย พีซีแอล จากตั๋ว ๔.๘๗๕ เปอร์เซ็นต์ ที่มีกำหนดในเดือนมกราคม ๒๕๘๖ ขึ้นไปเป็น ๖.๓๑ เปอร์เซ็นต์ จากเดิม ๕.๙๘ เปอร์เซ็นต์เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม
ความขัดแย้งทางการเมืองทำให้ไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจอันดับสองของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้สูญรายได้ไปกว่า ๑ พันล้านบาทต่อวันเมื่อการท่องเที่ยวได้รับแรงกระทบ โดยการประเมินของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจากผลของการระงับเที่ยวบินโดยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ คาเธ่ย์แปซิฟิค และการุด้า อินโดนีเซีย
“ความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่จะเกิดจากการยกระดับความรุนแรงในวิกฤติการเมืองต่อไปก็คือเศรษฐกิจโดยรวมของชาติ ซึ่งได้ชลอตัวลงไปแล้วอย่างรวดเร็ว” สปิโรกล่าว “การท่องเที่ยวและการลงทุนทางสาธารณูปโภคกำลังได้รับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น เป็นแรงให้ธนาคารชาติต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีกครั้งก็ได้”