วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

เหยื่อถูกขวางเลือกตั้ง 2 ก.พ. ชี้ 'กกต. -กปปส.' แท็กทีมจนเลือกตั้งเป็นโมฆะ-ทหารยึดอำนาจ


เหยื่อถูกขวางใช้สิทธิเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 ชี้ 'กกต. -กปปส.' แท็กทีมส่งกันไปส่งกันมาเรื่อยๆ จนการเลือกตั้งเป็นโมฆะ และภาวะสุกงอม ศูนย์หน้าอย่างทหารเข้ายิ่งประตูยึดอำนาจ
นายธวัชชัย วรธรรมโกวิทย์ ผู้ที่ถูกขัดขวางเลือกตั้งโดยมวลชน กปปส. ให้สัมภาษณ์กับThaisvoicemedia 
7 มี.ค.2559 หลังจากมีรายงานข่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติกรณีการยื่นฟ้องทางอาญา และเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ขัดขวางการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2557 จนเป็นเหตุให้การเลือกตั้งต้องเป็นโมฆะ และทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ทั้งกลุ่ม กปปส. และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฝ่ายละ 2,400 ล้านบาท นั้น (อ่านรายละเอียด)
Thaisvoicemedia ได้สัมภาษณ์ นายธวัชชัย วรธรรมโกวิทย์ ผู้ที่ถูกขัดขวางโดยมวลชน กปปส.ไม่ให้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าของการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 ดังกล่าว ซึ่งมีวีดีโอคลิปที่เขาถกเถียงกับมวลชน กปปส. ที่ขัดขวางเขาอยู่ในยูทูบด้วย
คลิปที่นายธวัชชัยถูกขัดขวางการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
นายธวัชชัย ให้สัมภาษณ์ Thaisvoicemedia หลังจาก กกต.มีมติที่จะเรียกค่าเสียหายจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ อันเป็นเหตุให้การเลือกตั้งเมื่อ 2 ก.พ.57 ต้องโมฆะว่า หลักฐานทนโท่ชัดเจนอยู่แล้วว่า กปปส.ขัดขวาง ปิดล้อม และล๊อคหน่วยเลือกตั้งไม่ให้ตน และประชาชนอีกจำนวนมากไปใช้สิทธิ์ได้ จะบอกว่าไม่ได้ขัดขวางเพียงแค่รณรงค์ไม่ให­้ประชาชนไปใช้สิทธิ์ เป็นการพูดเล่นคำอย่างน่าเกลียด ตนถูกขัดขวางถูกข่มขู่ ถูกขว้างปา จนไม่สามารถไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้ และมีอีกหลายคนที่ถูกกระชาก ถูกล้อม ถูกบีบคอ บางคนต้องปีนรั้วเข้าไป ซึ่งมีคลิปและเห็นผู้กระทำผิดอย่างชัดเจนแ­ต่หน่วยงานที่สอบสวนเรื่องนี้ไม่เคยมาสอบส­วน ซึ่งว่าไปแล้วการล้มการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีการทำกันเป็นขบวนการ รวมถึง กกต. กปปส.ด้วย เช่นที่ กกต.บางคนโพสต์ข้อความที่ว่า"ทำงานใหญ่ใจต­้องเอียง" นี่ก็หลักฐานชัดเจน ขบวนการนี้สุดท้ายก็เพื่อส่งลูกบอลให้ ทหารออกมาปฎิวัตร แล้วจะโยนความผิดให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งหมดอำนาจ เพราะยุบสภาลาออกไปแล้วได้อย่างไร ไม่ละอายหรือไม่แคร์ต่อความรู้สึกของประชา­ชนกันเลย กกต.ชุดนี้ก็เหมือนเด็กที่ไม่มีวุฒิภาวะ ชอบเล่นปาหี่ แล้วโยนขี้ให้คนอื่นทั้ง ๆ ที่เป็นความรับผิดชอบของตัวเองแบบเต็มๆ
"มันทำกันเป็นกระบวนการ คือส่งบอลต่อไปๆ เรื่อยๆ จนศูนย์หน้ายิ่งเข้าประตู ศูนย์หน้ายิ่งเข้าประตูก็คือทหารเข้ามายึดอำนาจ กกต. หรือ กปปส. ก็เหมือนเป็นผู้เล่นผู้หนึ่งในทีมฟุตบอล ส่งกันไปส่งกันมาเรื่อยๆ จนภาวะสุกงอมเสร็จ จนจังหวะมันได้เสร็จก็ให้ศูนย์หน้าเข้ายิ่งประตู" นายธวัชชัย กล่าวถึงสาเหตุที่การเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 เป็นโมฆะ

ประวิตร เสนอ ส.ว.สรรหา ช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ชี้ คสช.อาจเข้าไปด้วย เพื่อไม่ให้เสียของ



7 มี.ค. 2559 จากกรณีเมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา MGR Online พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม  กล่าวถึงแนวคิดการให้มี ส.ว.สรรหาทั้งหมดในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีว่า เพื่อจะได้ทำงานร่วมกันกับ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง ในการปฏิรูปและปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติให้เป็นตามกรอบที่วางไว้ เมื่อถามว่า ส.ว.จะกลายเป็นองค์กรหนึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านใช่หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่มีองค์กร เขาทำหน้าที่เหมือน ส.ว.ปกติ แต่หน้าที่ที่เพิ่มขึ้นมาคือเรื่องยุทธศาสตร์และการปฏิรูป
ล่าสุดวันนี้ (7 มี.ค.59) เดลินิวส์ รายงานด้วยว่า พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงแนวคิดเรื่อง ให้มี ส.ว.สรรหา ช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีนั้นว่า ตนพูดไปแล้วว่าเป็นความคิดของส่วนตัวในฐานะประชาชนว่าจะทำอย่างไรที่ให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ เพื่อให้เกิดความปรองดองให้ได้ มิเช่นนั้นจะเดินต่อไปไม่ได้ หากใครเสนอทางออกที่ดีกว่าก็ไม่ว่าอะไร แต่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)จะรับหรือไม่รับยังไม่รู้และจะไปคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขาโดยคำนึงถึงบ้านเมืองอยู่ได้ ส่วนการประชุมแม่น้ำ 5 สายในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ยังไม่ทราบว่าจะหารือเรื่องอะไร
ซึ่งเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ทวิตเตอร์ ของ วาสนา นาน่วม '@WassanaNanuam' ได้เผยแพร่วิดีโอคลิปบางส่วนที่ พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงการมี ส.ว.สรรหา ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ว่า คสช. ต้องเข้าไปอยู่ใน ส.ว.ด้วยเพื่อช่วยกันทำ เพื่อไม่ให้เสียของ 


ประยุทธ์หนุนข้อเสนอ 'ประวิตร' ส.ว.สรรหาอยู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. กล่าวถึงข้อเสนอดังกล่าวของ พล.อ.ประวิตร ไว้เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์  กล่าวว่า ต้องไปดูต่างประเทศ ซึ่งเขาก็ทำแบบนี้ มีหลายประเทศก็ทำ วันนี้เราต้องถามย้อนกลับว่าประเทศชาติของเรามีปัญหาหรือไม่ หรือสื่อคิดว่ามันไม่มีอะไรเลย ดีทุกอย่าง ดีเลิศประเสริฐศรี
"ผมเคยพูดมาตั้งนานแล้วว่ามันมีปัญหาจึงต้องมาคิดว่าทำอย่างไรให้เกิดความสมดุลในช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนผ่าน ถึงได้พูดตลอดว่ารัฐธรรมนูญก็ว่ากันไป บทเฉพาะกาลก็แยกออกมาว่าจะทำอย่างไร คำว่า 5 ปี นั้น ถ้าเขาอยู่ได้ 5 ปีจริง เขาก็ทำหน้าที่ของเขาในฐานะส.ว. ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาร่วมกับส.ส. ทั้ง 2 สภา เพราะฉะนั้น ถ้ามีอะไรที่เป็นประเด็นปัญหา เขาก็แค่ขอเปิดประชุมสภา เพื่อพิจารณาโดยอภิปราย ซึ่งไม่ใช่อภิปรายเรื่องการทุจริตเพียงอย่างเดียวก็ต้องมาพูดคุยด้วยว่าแผนปฏิรูปที่ทำมาทำไปแค่ไหนแล้วอย่างไร มีการชี้แจงมา ถ้ายังไม่ทำก็ต้องไปทำมา ซึ่งผมคิดว่าท่านรองประวิตรก็เข้าใจเช่นเดียวกับผม เพราะคิดเหมือนกันอยู่แล้ว เพียงแต่พล.อ.ประวิตรมีความคาดหวังว่า ไม่ต้องการให้ปัญหาลุกลามบานปลาย ถ้าปล่อยให้เป็นแบบเดิม ส.ว.และ สส.ต่างก็เลือกเข้ามามีญาติพี่น้อง มีลูกเมีย มันก็ไปด้วยกันหมด ประเทศชาติมันก็แกว่ง มันไปไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปจับผิดรัฐบาล แต่เป็นการช่วยรัฐบาลในการประเมินผลงานของรัฐบาล หน้าที่ของ ส.ว.เป็นเช่นนี้ หน้าที่อีกอย่างคือการเปิดประชุม 2 สภา เรื่องนี้คิดว่ามันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ส.ว.หรือ ส.ส. หน้าที่แรกคือการดูเรื่องธรรมาภิบาล ความโปร่งใสในการทำงาน รวมทั้งการเดินยุทธศาสตร์ของประเทศ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 

คสช. ลุยปราบผู้มีอิทธิพลเมืองกรุง จับตา 6,000 ราย 'เก่ง การุณ-เสธ.ไอซ์' ติดโผ



คสช. ลุยปราบผู้มีอิทธิพลเมืองกรุง จับตา 6,000 ราย 'เก่ง การุณ-เสธ.ไอซ์-ร.อ.มนัส' ติดโผ ผบ.ตร.รับ มีตำรวจทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล 'ประวิตร' โยน ผบ.ทบ. ตอบรายชื่อ บอกตนไม่รู้รายละเอียด ระบุสมองไม่ค่อยดีจำอะไรไม่ได้ 
หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เลขที่ 324/2558 ลงวันที่ 29 ต.ค. 2558 ให้ตั้งคณะกรรมการเรื่องการบูรณาการปราบปรามผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน และมีผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นคณะกรรมการ โดยเมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมการปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวภายหลังการประชุมดังกล่าวว่า ได้รับรายงานว่าขณะนี้มีผู้มีอิทธิพลประมาณ 6,000 ราย มีทั้งบุคคลทั่วไป ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น และข้าราชการทหาร ตำรวจ โดยแบ่งเป็น 16 ฐานความผิด แต่ที่ประชาชนต้องการให้เจ้าหน้าที่เร่งกวาดล้างแบ่งเป็น 8 กลุ่มหลัก แต่ที่มากที่สุดคือ ยาเสพติด นอกนั้นก็แบ่งเป็นฮั้วประมูล เงินกู้นอกระบบ นั้น
ผบ.ตร.รับ มีตำรวจทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล
ล่าสุดวันนี้ (7 มี.ค.59) สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวกรณีกองทัพภาคที่ 1 สั่งขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ว่า ส่วนตัวยังไม่เห็นรายชื่อ ในส่วนของ ตร. รับผิดชอบการตรวจสอบข้อมูลผู้มีอิทธิพลที่เป็นข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ ขณะนี้ยอมรับว่า มีตำรวจเกี่ยวข้องจริงทั้งในความผิดเกี่ยวกับการฮั้วประมูล ยาเสพติด เงินกู้นอกระบบ และค้าอาวุธ แต่ยังไม่สามารถระบุจำนวนได้ เพราะยังอยู่ในชั้นความลับ หลังจากตรวจสอบข้อมูล จะเข้าที่ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบว่ารายชื่อตรงกันหรือซ้ำซ้อนกันหรือไม่ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันการปราบปรามผู้มีอิทธิพลนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีนโยบายในการปราบปรามอยู่แล้ว

ประวิตรโยน ผบ.ทบ. ตอบรายชื่อ ผู้มีอิทธิพล บอกตนไม่รู้รายละเอียด
ขณะที่ เนชั่น รายงานด้วยว่า พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินหน้าปราบปรามผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศ โดยล่าสุดมีรายชื่อบุคคลและอดีตนักการเมืองบางคนอยู่ในข่ายพูดคุย ว่า ตนไม่รู้รายละเอียดให้ถามจากพล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. เพราะมีหน้าที่สอบสวนในเรื่องดังกล่าว ขณะนี้เริ่มเดินหน้าไปแล้ว 
ผู้สื่อข่าวถามว่ารายชื่อบุคคลที่อยู่ในข่ายมีจำนวนถึง 500 ชื่อหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่รู้ นับไม่ได้ สมองไม่ค่อยดีจำอะไรไม่ได้ ผมยังไม่ได้สอบถามอะไร เพราะยังไม่เจอกับผบ.ทบ.ต้องให้ผบ.ทบ.ตอบ ผมตอบไม่ได้”เมื่อถามย้ำว่าผู้มีอิทธิพลมีทุกสาขาอาชีพหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ เพราะมั่วไปหมดคนที่มีอาชีพดีๆจะไปมีอิทธิพลอะไร และไม่ทราบว่ามีรายชื่อสื่อรวมอยู่ด้วยหรือไม่ ต้องขอความร่วมมือทุกฝ่ายให้เลิกให้หยุด ต้องยอมกันบ้างและรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรเพื่อให้บ้านเมืองเป็นมาตรฐานและเดินต่อไปข้างหน้าและทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันได้
 
คสช. ลุยปราบผู้มีอิทธิพลเมืองกรุง ขึ้นบัญชีจับตา 'เก่ง การุณ-เสธ.ไอซ์'
 
ขณะที่ เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า  คสช. โดยกองกำลัง รักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 1 ได้มีหนังสือไปถึง ผบ.พล.1 รอ. เชิญหัวหน้าฝ่ายการข่าว เพื่อร่วมประชุมเกี่ยวกับ กลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่รับผิดชอบ ของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 1 ในวันที่ 8 มี.ค. เพื่อปราบปราม ผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศ ทั้งนี้ในหนังสือคำสั่งดังกล่าว มีการระบุรายชื่อ ผู้มีอิทธิพล 4 ราย ประกอบด้วย
 
1.นายการุณ โหสกุล หรือ เก่ง อดีต ส.ส.เขตดอนเมืองกว่า 10 สมัย ในนามของพรรคเพื่อไทย และยังเป็นผู้กว้างขวางในเขตดอนเมือง  2.พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือ เสธ.ไอซ์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก ผู้กว้างขวางที่มีลูกน้องในแวดวงทหารจำนวนมาก อีกทั้งยังมีความใกล้ชิด กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถือเป็นที่รู้จักกันอย่างดีทุกวงการ 3.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หรือ ร.อ.มนัส อดีตทหาร อีกหนึ่งคนสนิทของ เสธ.ไอซ์ อีกหนึ่งผู้กว้างขวาง ในหลายวงการ อาทิ วงการสลากกินแบ่งรัฐบาล และเคยลงสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ปัจจุบันมีภรรยาเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ใน จ.พะเยา และ 4.นายชัยสิทธิ์ งามทรัพย์ ผู้กว้างขวางย่านหมอชิต
 
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวว่า ช่วงนี้หน่วยงานความมั่นคงเริ่มเข้มงวดมากขึ้น ในการดำเนินการต่อกลุ่มผู้มีอิทธิพลตามนโยบายของรัฐบาล และ คสช.โดยที่ผ่านมาพบมีเรื่องร้องเรียนเข้าจำนวนมาก ที่ส่งสัญญาณว่าในสังคมไทยยังมีบางบุคคลพยายามเอารัดเอาเปรียบบุคคลอื่นๆ อยู่ ด้วยพฤติกรรมที่หลากหลายรูปแบบ และจากข้อมูลที่ เจ้าหน้าที่ได้รับในบางกรณีก็พบว่ามีมูล แต่ในบางกรณีก็พบว่าเป็นเรื่องของการแอบอ้างชื่อบุคคลอื่นๆ มาแอบแฝงอำพราง เพื่อหาประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง ซึ่งจะอย่างไรก็ตามเชื่อว่า เจ้าหน้าที่จะสามารถพิสูจน์ทราบ และเข้าถึงข้อเท็จจริงได้ตามหลักฐาน และองค์ประกอบที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งจะสามารถดำเนินการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ โดยอาศัยกฎหมายเป็นหลัก สำหรับรายละเอียดในการดำเนินการคงเป็นเรื่องของแต่ละหน่วยแต่ละพื้นที่ ที่จะบริหารจัดการเพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย

ตำรวจสกัดองค์กรพุทธแถลงแย้งมติผู้ตรวจการฯ ปมตั้งสังฆราช จ่อล่า 2 หมื่นชื่อถอดถอน


7 มี.ค.2559 หลังจากวานนี้ (6 มี.ค.59) พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) หรือเจ้าคุณประสาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'พระเมธีธรรมาจารย์ - เจ้าคุณประสาร' ระบุว่า ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา จะแถลงท่าทีอย่างเป็นทางการ กรณีคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน และกำหนดการเคลื่อนไหว ในวันจันทร์ที่ 7 มี.ค. 59 เวลา 10.00 น. เปลี่ยนจาก S.D.Avenue เป็น ห้องประชุมศูนย์วัดศรีสุดาราม สี่แยกบางขุนนนท์ นั้น


 
วันนี้ (7 ก.พ.59)  เดลินิวส์  รายงานว่า เวลา 9.30 น.ที่อาคารหอประชุมมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วัดศรีสุดาราม กรุงเทพฯ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลบางขุนนนท์ และทหาร ประมาณ 20 นาย ได้มาดูแลความเรียบร้อย
 
ต่อมาเวลา 10.20 น. พ.ต.อ.เมธี รักพันธุ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 7 ได้ เชิญ ผศ.ดร.เสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา ผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ รองเลขาธิการ สนพ. และพระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และผู้ที่จะร่วมแถลงข่าว เพื่อกำหนดแนวทางการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยทางตำรวจ ได้แจ้งต่อพระเมธีธรรมาจารย์ อาจจะเข้าข่ายผิดพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 และไม่ได้ขออนุญาตตำรวจก่อนแถลงข่าว อีกทั้งกังวลว่าจะมีผู้อื่นปะปนแฝงตัวเข้ามาในการแถลงข่าว อาจจะก่อความวุ่นวาย โดยใช้เวลาหารือนานกว่า 30 นาที
 
จากนั้นเวลา 10.40 น. พระเมธีธรรมาจารย์ ได้ออกมาแถลงข่าวเพียงสั้นๆ ว่า ขอยืนยันว่าศูนย์พิทักษ์ฯและองค์กรพุทธ ทำเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ไม่มีวาระ ไม่มีการเมือง และไม่มีอามิสสินจ้างแต่อย่างใด ไม่เคยคิดจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อบ้านเมือง ซึ่งการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาได้ยึดหลักการ 3 ข้อ คือ เคารพกฎหมายบ้านเมือง พระธรรมวินัย และจารีตประเพณี
 
สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า พระครูปลัดกวีวัฒน์  กล่าวว่า จากคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินต่อมติมหาเถรสมาคม(มส.)เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 เรื่องการเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ตาม พ.ร.บ.การปกครองคณะสงฆ์ 2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 มาตรา 7 ว่าผิดขั้นตอนนั้น ทางศูนย์พิทักษ์พระพุทธ ศาสนาแห่งประเทศไทยและสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา เห็นว่าคำวินิจฉัยขอชผู้ตรวจการแผ่นดินนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดแย้งต่ออำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบข้าราชการเท่านั้น เช่นกรณีตัวอย่างเมื่อ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา มีการส่งเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน พิจารณาเรื่องความผิดของพระสงฆ์ใน จ.พิจิตร แต่ตีเรื่องกลับ ให้เหตุผลไม่มีอำนาจตีความเรื่องคณะสงฆ์  ซึ่งในเรื่องข้อกฎหมายเห็นว่าควรต้องเป็นหน้าที่ของกฤษฎีกา
 
ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลทั้งหมดศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนาเห็นว่าผู้ตรวจการแผ่นดินมีเจตนาวินิจฉัยตีความกฎหมายผิด ขัดต่อจารีตประเพณี ราชประเพณี และขัดต่อจริยธรรมขององค์กรอิสระอย่างร้ายแรง  ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่คณะสงฆ์และสังคมไทยอย่างร้ายแรงเช่นกัน จึงมีมติจะดำเนินการ ดังนี้ คือรวบรวมรายชื่อพระสงฆ์ และคฤหัสถ์ 20,000 ชื่อ เพื่อถอดถอนผู้ตรวจ การแผ่นดินต่อ สนช. ส่วนการขอนิมนต์และเรียนเชิญพุทธบริษัทร่วมลงชื่อถอดถอนจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
 
นอกจากนี้ เดลินิวส์ รายงานด้วยว่า ภายหลังเสร็จการแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการพูดคุยกับพระเมธีธรรมาจารย์และคณะ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา โดยไม่มีการใส่กุญแจมือพระสงฆ์ ฆราวาส และไม่มีการเชิญตัวปรับทัศนคติแต่อย่างใด ซึ่งแตกต่างจากมติชนออนไลน์ ที่ระบุว่า หลังจากทั้ง 2 รูป แถลงข่าวได้เพียง 5 นาที ก็รีบออกจากห้องประชุม จากนั้นถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประกบตัว พร้อมทั้งนำตัวออกไปจากวัดศรีสุดาราม
 
จดหมายเปิดผนึก ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา :



 
 
ดีเอสไอ ทำหนังสือนัดสมเด็จช่วงให้ถ้อยคำในสัปดาห์นี้
 
วันเดียวกัน สำนักข่าวไทย ยังรายงานด้วยว่า พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)  กล่าวถึงการดำเนินคดีกับรถเบนซ์คลาสสิคผิดกฎหมายในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  หรือสมเด็จช่วง  เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช  ว่า พนักงานสอบสวนทำหนังสือนัดให้สมเด็จช่วงให้ถ้อยคำภายในสัปดาห์นี้ คงต้องดูภารกิจของสมเด็จช่วงว่าจะว่างในช่วงใดบ้าง เพื่อให้พนักงานสอบสวนไปพบที่วัดปากน้ำ
 
ส่วนเรื่องการรับรถผิดกฎหมายจากพิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำ เป็นขั้นตอนที่จะดำเนินการ หลังได้พบและแจ้งต่อสมเด็จช่วง ส่วนผลตรวจสอบรถยนต์ในความครอบครองของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ดีเอสไอยังรอผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการจากบริษัทจากัวร์