วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พับโครงการนาซ่า บทเรียนรัฐบาล-ฝ่ายค้าน


พับโครงการนาซ่า บทเรียนรัฐบาล-ฝ่ายค้าน

พับโครงการนาซ่า บทเรียนรัฐบาล-ฝ่ายค้าน
การเมือง ข่าวสด  http://www.khaosod.co.th/

             ล่มแบบชนิดที่ไม่ต้องเสียเวลาลุ้นอีกต่อไปแล้

            เมื่อเว็บไซต์โครงการศึกษาสภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ (SEAC4RS) ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ องค์การนาซ่า ขึ้นประกาศตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา  ระบุข้อความด้วยตัวแดงหนา

             ′นาซ่าขอยกเลิกโครงการ SEAC4RS ที่ตามกำหนดเดิมจะเริ่มในเดือนส.ค.′

             ′เนื่องจากทางการท้องถิ่น (หมายถึงรัฐบาลไทย) มิได้อนุมัติให้นาซ่าใช้พื้นที่ได้ทันตามกรอบเวลา สำหรับการสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ทัน′

              นอกจากนี้ ใน เว็บไซต์ http://espo.nasa.gov/missions/seac4rs/ ยังแจงรายละเอียดโครงการ สาเหตุที่เลือกสนามบินอู่ตะเภาเป็นสถานีวิจัย ตลอดจนระยะเวลาศึกษาว่าเหตุใดถึงต้องกำหนดช่วงนี้ เป็นเพราะปัจจัยใด ซึ่งเป็นเรื่องของวิชาการล้วนๆ

              ยืนยันว่า โครงการ SEAC4RS มีแผนสำรวจก๊าซและละอองในชั้นบรรยากาศ ตลอดจนศึกษาลักษณะของมรสุมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และองค์ประกอบทางกายภาพและเคมีในชั้นบรรยากาศต่างๆ

              เหตุที่เลือกสนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการสำคัญ เนื่องจากสภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์มีความซับซ้อนสูง โดยเฉพาะช่วงมรสุมในเดือนส.ค. การค้นคว้าวิจัยครั้งนี้ มุ่งหวังจะศึกษาประเด็นสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) ในเอเชียด้วย

              โดยนาซ่ามองว่า ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์มีประชากรหนาแน่น เช่น อินเดีย และอินโดนีเซีย จึงต้องการศึกษาผลกระทบของมลภาวะในอากาศ แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกโครงการนี้ทั้งหมดตามข่าว

              ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีท่าทีจากทางการสหรัฐอีกครั้ง

              โดย นายวอลเตอร์ บราวโนห์เลอร์ โฆษกสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย แถลงย้ำว่า เหตุผลที่นาซ่าไม่สามารถรอได้ เพราะโครงการต้องดำเนินการเฉพาะเดือนส.ค.และก.ย.เท่านั้น แต่ฝ่ายไทยโดยมติครม.ที่ผ่านมา ให้รัฐสภาอภิปรายเรื่องนี้หลังเปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเลยกำหนดเส้นตายของนาซ่าไปแล้ว 1 เดือน ก่อนสรุปถึงอนาคตโปรเจ็กต์นี้ว่า

              ′ยังไม่สามารถบอกได้ว่า นาซ่าจะทบทวนโครงการนี้อีกครั้งในปีหน้าหรือไม่′

               กรณีดังกล่าวถือเป็นบทเรียนสำคัญของประเทศ

               การนำเรื่องวิชาการมาโยงกับประเด็นการเมือง ทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสเรียนรู้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และองค์ความรู้ทางวิชาการใหม่ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

               นักวิชาการที่ติดตามเรื่องนี้สะท้อนความเห็นไปยังรัฐบาลและฝ่ายค้านดังนี้

อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ผอ.โรงเรียนสัตยาไส

               กรณีที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสอย่างมากมาย ประเมินความเสียหายไม่ได้เพราะโครงการนี้จะมาช่วยแก้ปัญหาภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น จู่ ๆ รัฐบาลย้ายเวลาตัดสินใจไปถึงการประชุมสภาเดือนส.ค. เป็นเรื่องไม่จำเป็น รัฐบาลสามารถตัดสินใจได้เองอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เป็นโครงการที่จะช่วยแก้ปัญหาภัยพิบัติ ยิ่งไม่จำเป็นต้องนำเข้าสู่สภา

               พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าฝ่ายค้านไม่ได้ออกมาแย้ง เพียงแต่ขอให้ นายกฯประกาศให้ชัดว่านาซ่าจะเข้ามาทำอะไร นักวิทยาศาสตร์เองก็รอฟัง แต่รัฐบาลกลับไม่ประกาศให้ชัด รัฐบาลมีหน้าที่แจ้งให้ประชาชนทราบรายละเอียดโครงการ และชี้แจงว่าประชาชนจะได้รับผลอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน พรรคฝ่ายค้านก็โจมตีไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเขาเองจะเป็นฝ่ายเสียคะแนนเสีย

               บทเรียนสำหรับรัฐบาลต่อไปภายหน้า คือรัฐบาลต้องพูดตรงไปตรงมา ปล่อยให้เป็นเรื่องของสภาไม่ได้ นายกฯเป็นหัวหน้ารัฐบาล สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้เราต้องการนายกฯที่มีพลัง เด็ดขาด กล้าตัดสินใจมากกว่านี้

ไชยันต์ ไชยพร
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

              รัฐบาลดำเนินการเรื่องนี้ล่าช้ามาก ทั้งที่ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว หรืออาจเปิดเวทีประชาวิจารณ์รับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน เชิญนักวิชาการจากหลายสาขามาแสดงความคิดเห็น ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจประชาชน

              ประเทศไทยมีนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถเรื่องวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ส่วนหนึ่งยังทำงานในนาซ่าหรือทำงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในทวีปยุโรป แทนที่รัฐบาลจะสอบถามไปยังนักวิชาการเหล่านี้ เพื่อให้เขาออกมาชี้เเจงว่าโครงการมีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ หากรัฐบาลต้องการให้โครงการนี้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยจริง ต้องฉลาดในการให้ข้อมูลโน้มน้าวประชาชนว่า ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อันใดจากโครงการนี้

               ฉะนั้นในอนาคตหากจะมีการใช้ประเทศไทยเพื่อเป็นฐานดำเนินการโครงการต่างๆอีกนั้น

               สิ่งแรกที่รัฐบาลต้องทำคือ เอาข้อมูลในเรื่องนั้นๆ ออกมาระดมความคิดเห็นที่หลากหลายของสังคมว่ามีความคิดเห็นอย่างไร สมควรดำเนินการโครงการต่อไปหรือไม่ ถ้าดำเนินเเล้วประเทศไทยจะได้หรือเสียประโยชน์อย่างไร

               ส่วนหน้าที่ของฝ่ายค้านที่ออกมาคัดค้านนั้น เป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่ต้องออกมาตรวจสอบและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอยู่เเล้ว

               ในทางกลับกันถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย จะต้องออกมาคัดค้านโครงการนี้อย่างแน่นอน

                อีกอย่างโครงการนี้ยังเป็นเรื่องที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน จึงห้ามพรรคประชาธิปัตย์คัดค้านไม่ได้

สิริพรรณ นกสวน สวัสดี
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

               บทเรียนหลักของรัฐบาล รวมถึงพรรคการเมืองต่างๆ คือ เรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งเริ่มดำเนินการ แต่นาซ่าขอความร่วมมือลักษณะนี้มานานแล้ว กรณีที่เกิดขึ้นน่าสลดใจว่ากระบวนการรัฐสภาไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ในสหรัฐเองเมื่อมีโครงการลักษณะนี้ก็ต้องผ่านรัฐสภาเช่นกัน

               รัฐสภาไทยควรหยิบยกเรื่องนี้มาถกกันตั้งแต่แรก เพราะมีทีมนักวิทยาศาสตร์ไทยทำงานที่นั่นอยู่แล้ว จะได้มีคำตอบที่ชัดเจน และนำเสนอต่อครม.ได้ทันเวลาซึ่งจะเป็นการตัดสินใจด้วยความรู้ ด้วยเหตุผล และโปร่งใส อธิบายได้ตั้งแต่แรก

               แม้กฎหมายหลักในรัฐธรรมนูญจะมีหลายมาตราที่กลายเป็นปัญหาในการตีความ เปิดช่องให้ฝ่ายค้านฟ้องรัฐบาลได้ รัฐบาลจึงกลัว ไม่กล้าทำอะไร แต่ถ้าเอากฎหมายมาใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามเสมอไป คุณจะไม่ได้ใจประชาชน เป็นบทเรียนที่ทั้งสองฝ่ายต้องนำกลับไปคิด

               รัฐบาลมีจุดอ่อนเรื่องการชี้แจงข้อมูล ยิ่งระยะหลังมานี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ลอยตัวต่อปัญหาแทบทุกเรื่อง ทำให้เกิดคำถามต่อภาวะผู้นำ สิ่งที่ไม่เคยทำเลยคือการตั้งโต๊ะแถลงข่าวให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน เชิญนักวิทยาศาสตร์มาชี้แจง หรือเชิญตัวแทนจากนาซ่ามาด้วยก็ได้

               เรื่องนี้รัฐบาลล้มเหลวมาโดยตลอดตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วม

               ส่วนฝ่ายค้านซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบ แต่ตอนนี้พยายามใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แท้จริงแล้วโครงการนี้เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำ ต้องถามกลับไปว่า คุณจะเอาผลประโยชน์ทางการเมือง หรือผลประโยชน์ของประเทศชาติ

               ถ้าทั้งสองฝ่ายยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนจะเสื่อมศรัทธาและไม่อยากจะเลือกใครอีก

เครดิตจากเวป http://www.khaosod.c...PQ==&sectionid
http://redusala.blogspot.com

สัญญาณ.."สงครามชิงประเทศ"..มันเริ่มขึ้นแล้ว


สัญญาณ.."สงครามชิงประเทศ"..มันเริ่มขึ้นแล้ว
สัญญาณ.."สงครามชิงประเทศ"..มันเริ่มขึ้นแล้ว
By Kenji IF
 สงครามแย่งชิงประเทศ           การสงครามชิงประเทศครั้งนี้ถือว่าใช้ "สงครามจิตวิทยา" นำในการสู้รบกันทั้งสองฝ่าย เรียกว่าหากใครหัวใจไม่เสริมใยเหล็กมีสิทธิ์แพ้เอาง่ายๆ ผมถือว่าครั้งนี้ไม่ธรรมดานับว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่ต้องบันทึก เพื่อให้ลูกหลานได้จดจำ เพราะตลอดเวลา 80 ปี ที่ประเทศเราเล่นปาหี่อ้างชาวโลกว่าเป็น "ประเทศที่มีการปกครองระบบประชาธิปไตย" ทุกอย่างมันได้เฉลยตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 แต่ครั้งนั้นมันอาจจะไม่ชัดเจน เพราะหลายคนยังกังขาเหตุผลยังสลัดมนต์มายาการสร้างภาพของคนบางคนยังไม่หมด

            สุดท้ายวีระกรรมพรรคอำมาตย์..ได้เฉลยอันธพาลในสภาอันทรงเกียรติ จนกลายเป็นทอล์คอ๊อฟเดอะทาวน์ไปทั่วโลก อีห่าลาก จับชีพจร ขู่กรรโชก กระชากแขนท่านประธานนิติบัญญัติ ตลอดจนองค์กรเถื่อนที่ได้รับการเป่ากระหม่อมลงคาถาแพ้ไม่ได้ ออกมาเล่นเกินบทบาทที่ตัวเองมี ทำความเสื่อมให้กับเจ้าของคอก จนไม่เหลือภาพที่อุส่าห์สร้างมากว่า 80 ปี
            และวันนี้พวกเขาเสมือนหนึ่ง "หมาจนตรอก" เพราะถ้าฝืนปล่อยรัฐบาลปูไปถึงสิ้นปี ความฉิบหายมาเยือนแน่ๆเข้าตำรา "วัวสันหลังหวะ" ภัยทั้งหมดที่ก่อกรรมทำเข็ญเป็นหลายพัน หลายหมื่น หลายแสนคดี คงเป็นบูมมาแลงกลับมาฆ่าตัวพวกเขาตายหมู่ ไหนสมบัติที่ตักตวงทำนาบนหลังคนไทยและแอบใช้ทรัพยากรธรรมชาติมานาน จนจากคนธรรมดากลายเป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก 4 ปีซ้อน เอาแค่คดีอยู่เบื้องหลังการฆ่าเพื่อรักษาอำนาจทุกคดีตั้งแต่ 14 ตุลา 16,14 ตุลา 19, 35 พฤษภาทมิฬ, การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ปี 52, 53


            นี่ขนาดยังไม่รวมคดีเล่นแร่แปรธาตุ ปรส.เสียหายกว่า 6 แสนล้านเศษการขายทรัพย์สินรัฐให้เอกชนในราคาถูก การขายโรงกลั่นบางจากแค่เช็คใบเดียว ทั้งที่เหลืออีกไม่กี่วันก่อนหมดอำนาจ คดีกู้มาโกงรัฐบาลอภิสิทธิ์ 2 ปี 8 เดือนมูลค่ากว่า 8 แสนล้าน


             คดีอื้อฉาวในกทม.รถดับเพลิง เรือดับเพลิง การต่อสัญญาบีทีเอส.ฯลฯ


             ผมยังมองไม่ออกว่า หากประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย กลุ่มอำนาจเก่ามันจะยืนอยู่ตรงไหนของประเทศ มันจึงไม่แปลกว่าวันนี้มันจำเป็นต้องทำสงครามครั้งสุดท้าย ก่อนการเปลี่ยนผ่านการปกครอง ที่ประเทศจะเป็นประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนสักที หลังรอมานานกว่า 80 ปีครับ     

       
              ผมถือว่ามาถึงวันนี้ฝ่ายอำมาตย์ เสียรางวัดไปเยอะพอสมควรซึ่งในอดีตพวกเขาไม่เคยคิด คาดไม่ถึงไม่เคยเสียฟอร์ม และคิดไม่ถึงว่าประชาชนจะรู้เท่าทันเขา เพราะตลอดมีสื่อในมือคอยปิดหู ปิดตา ชี้นำคนไทยมาตลอดและไม่เคยเสียสุนัขมากถึงขนาดนี้ รัฐบาลในอดีตยกเว้นรัฐบาลนายกพท ดร.ทักษิณ ทุกยุคทุกสมัยต่างเป็นแค่ตัวแทน(ตรายาง) ซึ่งคนคุมประเทศแอบชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น มาถึงเวลานี้คงเหลืออาวุธไม้ตายที่พวกเขาสามารถเอามาทล่มคู่ต่อสู้ได้ ขบวนท่าเดียวคือ "ความจงรักภักดี" ส่วนเหุผลอย่างอื่นมองดูแล้วแทบไม่สามารถนำมาใช้ได้ง่ายเหมือนครั้งเก่าก่อน


             ประชาธิปไตยบ้านเราเวลานี้ ถ้าเปรียบเสมือนคุณแม่ที่กำลังท้องแก่ คิดว่าน่าจะประมาณ 8-9 เดือนเรียกว่า ใกล้คลอดเต็มทีเพราะคนทำคลอดคือประชาชน อำมาตย์จะออกมาขัดขวางบอกว่ายังไม่ถึงเวลาหรือบอกว่าห้ามเด็กในครรถ์ออกมาดูโลกมันคงยาก เหมือนห้ามพระอาทิตย์-พระจันทร์ขึ้นลงและห้ามกฏเกณฑ์ธรรมชาติ โดยอำมาตย์เป็นคนเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น มันคงเป็นไปไม่ได้ หรือถ้าฝืนทำมันก็คงจะเกิดสภาพอย่างที่เราได้แลเห็น เพราะทุกอย่างมันจะเป็นการฉายภาพไม่ดีของพวกเขาเอง และสุดท้ายสิ่งที่เขาสร้างภาพมาทั้งหมดตลอด80ปี มันก็ไม่ต่างอะไรกับปราสาททรายครับ


             การดิ้นเฮือกสุดท้ายของอำมาตย์ในครั้งนี้ถือว่า เวลาที่เหลือของพวกเขาสั้นลงเรื่อยๆเพราะคำตอบต่อสังคมหลายอย่างมันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆอีกเหมือนกัน ล่าสุด อ.ธิดา และทีมงานเดินทางเอาข้อมูลหลักฐานเพิ่มให้กับศาลอาญาระหว่างประเทศนั้น ถือว่าคืบหน้าไปเยอะและผมถือว่านี่คือ "ไฮไล" ข้อได้เปรียบที่ตลอดเวลาฝ่ายเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาตลอด ผมว่าถ้าจะฝังหมุด ตอกตะปูปิดฝาโลงฝ่ายอำมาตย์ รัฐบาลปู น่าจะนำเรื่องนี้มาพิจารณาเป็นการเร่งด่วน เพื่อเสนอยอมรับเขตอำนาจศาล ICC เพื่อนำคดีขึ้นสู่ศาลและเอาผิดผู้บ่งการการสั่งฆาตกรรมหมู่ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เป็นภูมิคุ้มกันให้รัฐบาลสักอย่างเพื่อลดความกดดัน


             กระแสสังคมที่ลมเริ่มเปลี่ยนทิศ ประชาชนเริ่มหูตาสว่างโดยไม่มองไปพึ่งยาหยอดตา เพราะการออกมาโลดแล่นเล่นเกมส์ที่ไร้กติกา หลายอย่างที่ประชาชนรับไม่ได้ ไม่ว่ากรณีนาซ่าที่คนไทยและ7 ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่เสียผลประโยชน์ เพราะการเล่นการเมืองเพื่อเอาชนะอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและไร้ความสำนึกความรับผิดชอบ เพราะสมัยตัวเองเป็นรัฐบาลเสือกไปเชื้อเชิญเขาเข้ามา เพียงเพื่อหวังกินค่าหัวคิว โดยนายกษิตเองออกมารับสารภาพเองจนหมดเปลือก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะสมัยรัฐบาลนายกสมัคร นายนพดล ปัทมะ เป็น รมต. ต่างประเทศเล่นเล่นบทละครคลั่งชาติ กล่าวหาว่า "ขายชาติ" มาครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งที่ความจริงทางกัมพูชาเขาจะเอาเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก มันได้เกี่ยวอะไรกับประเทศไทยเลย แต่พวกเขาดึงมาเป็นเกมส์การเมืองและสุดท้ายทั้งไทยกัมพูชาเสียโอกาส เกิดการบาดหมาง แต่สุดท้ายเราได้รัฐบาลประชาชนทุกอย่างเลยกลับมาดีกันอย่างเดิม ผมว่าคอการเมืองทุกคนต่างทราบดีว่าทั้งหมดมันคืออะไรกันแน่และใครมันอยู่เบื้องหลัง



              ความโลภ โกรธ หลง ทำให้คนเราหูหนวกตาบอด ถึงเวลานี้มีคนถามว่าเกมส์มันจะจบลงยังไงหากฝ่ายอำมาย์มันไม่ยอม ฝืนกระแสสังคมและคิดว่ายอมหักไม่ยอมงอ ถ้าในใจผมๆ เชื่อว่าผมพร้อมแล้วที่จะต่อสู้กับอำมาย์ทุกรูปแบบ เวลานี้เรายังเป็นรัฐบาล ถึงแม้นว่าอำนาจทั้งหมดเรายังไม่สามารถใช้มันได้เต็มที่ แต่ก็ถือว่าเราได้เปรียบ ทั้งทางกฏหมาย ความชอบธรรม การไว้วางใจในเวทีโลก และถึงตรงนี้แล้วเราสู้เรามีโอกาส ดีกว่าเรายอมและต้องเป็นทาส โดนกดขี่ตลอดชีวิตชั่วลูก ชั่วหลาน ที่สำคัญผมประเมินดูแล้วว่าคู่ต่อสู้ไม่มีอะไรหน้ากลัวอีกต่อไปแล้วหากเราจะต้องการชัยชนะ จริงๆ ในอดีตพวกเขาอาจจะแกร่ง แข็งแรงเกินกว่าพวกเราจะไปต่อกร ต่อสู้กับเขาได้ และสถานการณ์วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดทั้งสิ้น เหตุเพราะพวกเขาขาดสติ ต้องการเอาชนะ กรรมบังตา จนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว สุดท้ายตัวช่วยคือพวกเขาเป็นตัวทำลายตัวพวกเขาเอง ดังนั้นการออกมาใช้อำนาจในทางมิชอบ ที่ตะแบงกันอยู่เวลานี้เท่าเร่งวันตายให้กับพวกเขาเอง ครับ          

               ถึงตรงนี้..เราถือได้ว่าการยกพลขึ้นบก "ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย 3 กค .54" ที่ผ่าน เบื้องต้นอำมาตย์ประเมินเราต่ำจนกลายเป็นวลีที่ว่า "ลูกไก่ในกำมือ" พร้อมจะเช็กบิลเราได้ตลอดเวลา แล้วแสร้งเป็นการทำดีโดยใช้บิ๊กบัง เข้ามาเสนอ พรบ."ปรองดอง" ที่มีคนปรุงคือสถาบันพระปกเกล้า ตามใบสั่งผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ เกมส์นี้ใช่ว่าฝ่ายเราคือนายกทักาษินจะโง่เพียงแต่จำเป็นต้องตามเกมส์ เพื่อเป้าหมายการซื้อเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อรอสัญญาณอะไรบางอย่าง (นกแสก)



           หลายกลเกมส์ที่ฝ่ายวางแผนเดินเกมส์ชนอำมาตย์ พวกเราเองแรกๆ พี่-น้องเราไม่เข้าใจ จับสัญาณถอดระหัสกันไม่ถูกโดยเฉพาะ ฝ่ายหัวก้าวหน้า ที่เห็นว่าเกมส์ที่รัฐบาล นปช. นายกทักษิน ไม่มีทางชนะ เพราะเอาแต่เล่นบทอวย จนคนที่ทำหน้าที่ผู้ที่รับบทนี้มาตลอดคือนายขวัญชัย สาราคำ ประธานชมรมคนรักอุดรโดนสวดชยันโต จากพวกเดียวกัน เรียกว่าเสียหายยับเยิน แม้แต่ผมเองยังเคยลงไปเล่นกับเขาด้วยเหมือนกัน

            หลายครั้งหลายหนที่ฝ่ายเราจำเป็นต้องเล่นตามบทที่อำมาตย์เขียน จนบางครั้งมีผลต่อขบวนการต่อสู้ ครั้งที่หนักที่สุดคือ การเข้าไปขอพร รดน้ำดำหัว นายป.ประตูหลัง ทำเอาการเลือกปทุม โมเดลถึงกับเป๋ ออกอาการเกือบโดนกรรมการนับแปด แต่ผมถือว่ามันเป็นบทเรียน และประสบการณ์สอนให้แนวทางการต่อสู้เข้มแข็ง เสริมเขี้ยวเล็บ สังเกตุดูมุกนี้ครั้งหลังๆ อำมาตย์งัดออกมาใช้ แต่ไร้ประสิทธิภาพ ดูจากหลังสนามเลือกตั้ง ปทุม โมเดล มวลชนเริ่มจับทิศทางและผลเรากลับมาชนะอย่างถล่มทลายมาตลอด ครั้งสุดท้ายเลือกตั้งใน จ.เชียงใหม่ เมืองหลวงคนเสื้อแดงอีกทางภาคเหนือ เรียกไร้ราคาชนะขาดลอยกว่า 4 แสนคะแนน เล่นเอาปิ๊ปขาดตลาดชั่วขณะ          

             วิชาตอกลิ่มลงในหินแกรนิตของจอมวางแผน เทือก หน้าดำ เวลานี้ก็ไร้พิษสงเช่นเดียวกัน นี่มันเท่ากับว่า เร่งวันตายให้ตัวมันเองเช่นกัน ในอดีตเป็นอย่างไรผมไม่ขอกล่าวถึง แต่วันนี้ผมยืนยันว่า ต่อให้ไอ้ฆาตกรแขนคด ฆาตกรฟันน้ำนม มีปีกมุดลงไปในบาดาล ก็ไม่มีทางหนีบ่วงกรรมที่ได้กระทำไว้ได้ เกรงแต่ว่าวันนี้ ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับการ์ดรับเชิญ กินข้าวเหนียวมะม่วง แกงเขียวหวานไก่ คงหนีไม่พ้น ไอ้มาร์ค ไอ้แขนคต ไอ้โกเต๊กลิ้ม ไอ้ห้อยจอมเนรคุณ ทุกท่านลองทายสิครับ บุคคลทั้ง 4 คนนี้ใครจะได้รับเกียรติรัประทาน อาหารอร่อยนี้ก่อนกันครับขออนุญาตุท่าน

หนานเมืองนำคู่มือ การปราบกบฏ มานำเสนอเพื่อเป็นแนวทางให้พี่-น้องเราครับ




http://redusala.blogspot.com

RED USA - LA Pictures for 19 พฤษภา


RED USA - LA Pictures for 19 พฤษภา

http://redusala.blogspot.com