วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

จังหวัดทหารบกพะเยา ขอความร่วมมือสื่อมวลชนงดนำเสนอข่าวต่อต้าน คสช.

จังหวัดทหารบกพะเยา (แฟ้มภาพ)

Mon, 2014-12-01 23:31

เสนาธิการ กกล.รส.จทบ.พะเยา เชิญสื่อมวลชนรับฟังคำชี้แจงตามนโยบาย คสช. เพื่อการเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้เกิดความสงบสุข  และขอความร่วมมืองดการเสนอข่าวในลักษณะต่อต้านการทำงานของ คสช. รวมถึงการวิจารณ์ การเสนอความลับราชการทุกรูปแบบ รวมทั้งข่าวสารปลุกปั่นและกิจกรรมต่อต้าน
1 ธ.ค. 2557 - สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายงานว่า ที่ห้องประชุมศูนย์บัญชาการจังหวัดพะเยา พ.อ.คณเดช พงษ์บางโพธิ์ เสนาธิการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จังหวัดทหารบกพะเยา พร้อมด้วยนายทหารฝ่ายกิจการพลเรือนฯ เชิญสื่อมวลชนประกอบด้วย ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ประจำจังหวัดพะเยา , สถานีวิทยุหลัก , วิทยุชุมชน และสื่อมวลชนท้องถิ่นในพื้นที่ เข้ารับฟังการชี้แจ้งการทำงานตามนโยบายบายของรัฐบาล และ คสช. เพื่อเป็นการเดินหน้าในการปฏิรูปประเทศให้เกิดความสงบสุข
เสนาธิการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ทหารบกจังหวัดพะเยา กล่าวว่า ที่ผ่านมา กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ทหารบกจังหวัดพะเยา ไม่เคยมีการขอให้สื่อมวลชนในพื้นที่งดการนำเสนอข่าว เนื่องจากสื่อมวลชนกับทางทหารมีความเข้าใจกันดีในการนำเสนอข่าวอย่างไรให้ไม่เกิดความวุ่นวาย หรือเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ ซึ่งในการควบคุมอำนาจของ คสช.ที่ผ่านมานั้น ก็เพื่อทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ แก้ไขปัญหาของประเทศชาติที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ และที่ผ่านมาในพื้นที่จังหวัดพะเยาเองก็ไม่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนในการต่อต้าน คสช.แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ทางกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ทหารบกจังหวัดพะเยา ถือโอกาสนี้ขอความร่วมมือพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน งดการนำเสนอข่าวในลักษณะการต่อต้านการทำงานของ คสช. รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ การนำเสนอข่าวความลับของทางราชการ ทุกรูปแบบ ข่าวสารลักษณะปลุกปั่น การต่อต้านของนักศึกษาที่มีความคิดหัวรุนแรง

'ดาวดิน' ร้อง กสม. โต้ ‘พล.ท.กัมปนาท’ การข่าวทหารมั่วยันไม่เคยรับเงินชู 3 นิ้ว

หลังจากแม่ทัพภาคที่ 1 แฉนักศึกษา ‘ชู 3 นิ้ว’ หน้า ‘ประยุทธ์’ ถูกจ้างมา 5 หมื่น เพื่อชิงพื้นที่สื่อ กลุ่มดาวดิน ได้ร้อง กสม. โต้การข่าวทหารมั่วยันไม่เคยรับเงินชู 3 นิ้ว ระบุกลุ่มไม่เคยอยู่สีไหน เผยหลังชู 3 นิ้วบ้านพักมีทหารมาสังเกตการณ์ตลอดเวลา
หลังจากที่วันนี้(1 ธ.ค.57) พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกลุ่มนักศึกษา ม.ขอนแก่น 5 คนที่ออกมาชูนิ้วแสดงสัญลักษณ์ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ลงพื้นที่จ.ขอนแก่น ในช่วงที่ผ่านมาว่า ที่ผ่านมาคสช.ได้มีการพูดคุยกับอธิการบดี และคณบดีของมหาวิทยาลัยดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนักศึกษาบางกลุ่มมีกลุ่มการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เราต้องช่วยกัน เช่น กรณีนักศึกษาที่จ.ขอนแก่น จากการที่ตนได้ดำเนินการหาข่าวพบว่ากลุ่มนักศึกษาดังกล่าวถูกว่าจ้างมา เพื่อต้องการแย่งชิงพื้นที่สื่อของนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการว่าจ้างมาจำนวน 50,000 บาท จากนักการเมืองในพื้นที่ แต่ตนติดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร
จากนั้น กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงาน ว่า เวลา 14.00 น. ของวันนี้(1 ธ.ค.) กลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม(ดาวดิน) ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดส่งถึง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยเนื้อหาระบุว่า ด้วยปรากฏตามข่าวว่า พล.ท.กัมปนาท ให้สัมภาษณ์ปรักปรำกล่าวหาว่าถูกว่าถูกจ้างมาเพื่อต้องการแย่งชิงพื้นที่สื่อ ของนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการว่าจ้างมาจำนวน 50,000 บาท จากนักการเมืองในพื้นที่นั้นอยากจะให้กรรมการสิทธิมนุษยชนตรวจสอบและพิจารณาเรื่องนี้โดยด่วน
โดย ศศิประภา ไร่สงวน หนึ่งในนักศึกษาดาวดิน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า พอได้ยินข่าวดังกล่าวแล้ว ตอนแรกก็งงอยู่ แต่ตอนนี้ได้อ่านตัวข่าวอย่างชัดเจนก็ขอยืนยันว่าว่าข้อกล่าวหาของแม่ทัพภาคที่ 1 ไม่เป็นความจริง เพราะการเคลื่อนไหวของกลุ่มดาวดินทั้งหมดนั้น ได้มีการปรึกษาหารือกันก่อน โดยไม่ได้เป็นการตัดสินใจของเพื่อนแค่ 5 คนที่ไปชู 3 นิ้วเท่านั้น แต่เป็นการปรึกษาหารือเรื่องการเรียกร้องประชาธิปไตยและไม่ต้องการเผด็จการ รวมทั้งไม่ต้องการให้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก และทำรัฐประหาร ซึ่งเป็นความคิดเห็นทั้งหมดในกลุ่มไม่ได้มีการตัดสินใจกันเพียงลำพังคนใดคนหนึ่ง
ที่ผ่านมากลุ่มดาวเดินทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนในเรื่องกฎหมาย ทุกกรณีปัญหาที่ชาวบ้านเดือดร้อนโดยเฉพาะการแย่งชิงทรัพยากร กลุ่มดาวดินก็จะเข้าไปช่วยเหลือด้วย โดยไม่เคยรับเงินรับทองและยิ่งมาบอกว่าการเคลื่อนไหวในวันที่ 19 พ.ย. เป็นการเคลื่อนไหวโดยมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังยิ่งไม่เป็นความจริง เพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นความคิดของนักศึกษาเองไม่มีนักการเมืองมาว่าจ้างใดๆทั้งสิ้น
"ไม่รู้ท่านแม่ทัพภาค 1 ได้ข่าวมาจากไหนก็ไม่รู้ และการให้ข่าวแบบนี้เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าท่านยังคุกคามเราอยู่หรือไม่ เพราะคนข้างนอกที่เขารู้ข่าว เขาจะรู้สึกอย่างไร นักศึกษาตัวเล็กๆ อย่างเรากลายเป็นลูกน้องนักการเมือง ทำให้เราดูแย่มาก เพราะที่ผ่านมาดาวดินเราได้ไปเคลื่อนไหวเพื่อสังคมมาตลอด ทำไมเราต้องมารับใช้ในการเมือง ทั้งที่เราไม่เคยอยู่สีไหนหรือเข้าข้างการเมืองฝ่ายใดอยู่แล้ว พูดแบบนี้เป็นการกล่าวหากันลอยๆ พูดไม่จริง" ศศิประภา กล่าว
ศศิประภา ยังกล่าวอีกว่า หลังเหตุการณ์ชู 3 นิ้วต้านรัฐประหาร ทำให้เพื่อนๆในกลุ่มดาวดินที่ไม่ได้ออกไปชู 3 นิ้วก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย เพราะบ้านพักที่อยู่ด้วยกันมีทหารมาสังเกตการณ์ และมีการขับรถมาดูตลอดเวลา ทำให้ไม่มีใครกล้าอยู่บ้าน กลางวันมาอ่านหนังสือกัน พอกลางคืนก็รีบปิดบ้านหนี กลายเป็นว่าผู้ใหญ่คุกคามเด็ก พวกเราอยู่กันแบบหวาดผวามาก เพราะมีรถแปลกๆขับมาดูตลอด
ส่วนกระแสในมหาวิทยาลัยนั้น ศศิประภา กล่าวว่า กระแสของน้องๆในคณะ มีทั้งให้กำลังใจและไม่เห็นด้วยบ้าง แต่ส่วนใหญ่ให้กำลังใจกันอยู่ เมื่อวันที่ 30 พ.ย.ไปซ้อมรับปริญญา มีหลายคนเดินเข้ามาถามว่า พวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง บางคนก็มองด้วยสายตาซุบซิบนินทา แต่เราก็ไม่สนใจ เพราะเราเคารพทุกคน เขาเห็นต่างได้ เพราะสิ่งที่พวกหนูทำไม่ได้ทำอะไรที่รุนแรง" น.ส.ศศิประภา กล่าว

อีสต์เอเชียฟอรั่มวิเคราะห์การเดินสายเยือนประเทศต่างๆ ของ 'ประยุทธ์'


เว็บไซต์ที่วิเคราะห์ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับเอเชียตะวันออก ชี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เยือนกัมพูชา เพื่อหาความชอบธรรมทางการทูต ทดแทนที่ถูกกีดกันจากประเทศตะวันตก โดยทั้งสองประเทศมีการรักษาท่าทีไม่แตะต้องในเรื่องอ่อนไหว
1 ธ.ค. 2557 เชียง วัณณาริธ จากมหาวิทยาลัยลีดส์เขียนบทความลงเว็บไซต์อีสต์เอเชียฟอรั่มเผยแพร่บทวิเคราะห์เกี่ยวกับการเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ ของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะตัวแทนรัฐบาลทหารของไทยเพื่อพยายามสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองทางการทูตในขณะที่ผู้นำเผด็จการของไทยกำลังถูกกดดันทางการทูตจากสหรัฐฯ และยุโรปให้รีบคืนประชาธิปไตยให้ประเทศไทย
บทวิเคราะห์ในอีสต์เอเชียฟอรั่มเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ระบุว่าประยุทธ์สนใจผลประโยชน์ในด้านความชอบธรรม ความมั่นคง และการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ รวมถึงต้องการสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในขณะที่มีความกดดันจากชาติตะวันตก ทำให้ประยุทธ์ต้องดำเนินนโยบายการต่างประเทศในเชิงสร้างความมั่นใจให้กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยยกตัวอย่างการไปเยือนกัมพูชาล่าสุด
แม้ว่าหลังจากการรัฐประหารในเดือน พ.ค. 2557 ผู้นำทหารให้สัญญาว่าจะมีการปฏิรูปและทำให้เกิดความปรองดองในชาติแต่หลายคนก็สงสัยว่ารัฐบาลเผด็จการทหารจะทำตามสัญญาในเวลาอีกไม่นานจริงอย่างที่พูดหรือไม่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าทหารอาจจะยังยึดครองอำนาจเอาไว้อีกสองสามปี ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็อาจจะเกิดความวุ่นวายตามมา
อีสต์เอเชียฟอรั่มระบุอีกว่า การไปเยือนประเทศกัมพูชามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์แต่ก็มีความยุ่งยากเพราะฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเคยแสดงความเป็นมิตรกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงก่อนหน้านี้ในเดือน มิ.ย. เคยมีการขับไล่ผู้อพยพจากกัมพูชาและบางส่วนก็หนีกลับประเทศเพราะกลัวว่าจะเกิดความรุนแรง แต่ทางการกัมพูชาก็ดูเหมือนจะประนีประนอมกับผู้นำเผด็จการทหารไทยในฉากหน้า จากการที่ฮุนเซนเคยประกาศอ้างหลายครั้งว่าทางการกัมพูชาจะไม่ยอมให้มีกลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณอยู่ในประเทศตน อีกทั้งสองประเทศยังคงมีการพบปะทางการทูตทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม อีสต์เอเชียฟอรั่มตั้งข้อสังเกตว่าผู้นำไทยและกัมพูชาต่างก็ไม่แตะต้องเรื่องที่อ่อนไหวภายในประเทศของกันและกันเช่นเรื่องข้อพิพาทพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่ทางทะเล ทำให้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและแนวคิดแบบชาตินิยมยังคงส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา
อีกประเทศหนึ่งที่มีความสำคัญต่อรัฐบาลประยุทธ์ในการสร้างความชอบธรรมด้วยวิธีทางการทูตคือประเทศพม่า โดยก่อนหน้านี้มีการหารือกันหลายเรื่องรวมถึงเรื่องผู้อพยพซึ่งในไทยมีแรงงายอพยพชาวพม่าจำนวนมากทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย
รัฐบาลประยุทธ์ยังเห็นว่าประเทศจีนเป็นประเทศสำคัญทางยุทธศาสตร์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อเป็นการรับมือกับมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และยุโรป นอกจากนี้ยังเคยพบปะกับจีนเพื่อความร่วมมือทางทหารหลังจากการรัฐประหารไม่นาน นอกจากนี้ในที่ประชุมเอเชียยุโรปซัมมิทประยุทธ์ยังเข้าพบกับนายกรัฐมนตรีจีนเพื่อพูดคุยในเรื่องของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเรื่องการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างสองชาติ
อีสต์เอเชียฟอรั่มระบุว่าประเทศไทยกำลังพยายามตีตัวออกห่างจากพันธมิตรดั้งเดิมอย่างสหรัฐฯ กันไปร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับจีนและประเทศเพื่อนบ้านซึ่งในทางเดียวกันก็ทำให้จีนมีโอกาสเสริมความสัมพันธ์กับไทยและประเทศในแถบลุ่มน้ำโขงมากขึ้น

เรียบเรียงจาก
Thailand’s Cambodian charm offensive, East Asia Forum, 29-11-2014
http://www.eastasiaforum.org/2014/11/29/thailands-cambodian-charm-offensive/

ศาลอาญาพิจารณาลับคดี 112 หนุ่มเพชรบูรณ์ขายปุ๋ย แพทย์ชี้มีอาการจิตเภท


1 ธ.ค.2557  เวลาประมาณ 15.15 น. ที่ศาลอาญา รัชดา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้พิพากษาสั่งให้ญาติและผู้สังเกตการคดีทั้งหมดออกจากห้องพิจารณาคดี ในคดีที่นายทะเนช (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปีเป็นจำเลย ถูกกล่าวหาว่าส่งอีเมล์เนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นประมาทสถาบันฯ โดยในวันนี้เป็นวันนัดสอบคำให้การว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพหรือไม่ และศาลสั่งให้พิจารณาคดีโดยปิดลับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในวันนัดสอบคำให้การจำเลยครั้งแรกศาลยังไม่มีคำสั่งพิจารณาลับแต่อย่างใด
รายงานข่าวแจ้งว่า ทนายจำเลยได้เตรียมเอกสารใบรับรองแพทย์ยื่นต่อศาลในวันนี้ด้วย โดยแพทย์จากสถาบันกัลยาราชนครินทร์ระบุว่าทะเนชมีอาการของโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง

ทนายจำเลยให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้จำเลยได้ให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่าได้ส่งอีเมล์เข้าข่ายหมิ่นฯ จริงดังที่ถูกกล่าวหาแต่เนื่องจากจำเลยมีอาการหูแว่ว หลอน และต่อมาหมอวินิจฉัยว่าเป็นอาการจิตเภทประเภทหนึ่ง จึงต้องการต่อสู้คดีในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ศาลพิจารณาลดหย่อนโทษ โดยอัยการและทนายจำเลยนัดวันสืบพยานที่ศูนย์นัดความ กำหนดนัดตรวจความพร้อมคู่ความเป็นวันที่ 23 มี.ค.2558  และนัดสืบพยาน 1 วันในวันที่ 8 พ.ค.2558 โดยฝ่ายโจทก์มีพยาน 2 ปาก ส่วนฝ่ายจำเลยมีพยาน 3 ปากได้แก่ จำเลย, พี่สาวจำเลย และแพทย์ผู้ตรวจวินิจฉัยโรคจิตเภทของจำเลย
ด้านพีสาวของจำเลยระบุว่า หลังจากนี้จะกลับไปหากู้ยืมเงินมาประกันตัวน้องชาย เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจนแต่ห่วงน้องชายมากเนื่องจากชอบมีอาการเครียดและมีโรคประจำตัวที่ต้องรับประทานยาเป็นประจำ
ทั้งนี้ ทะเนชเป็นชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบขายปุ๋ยการเกษตรทางเว็บไซต์ ไม่เคยร่วมการชุมนุมทางการเมืองหรือกิจกรรมทางการเมืองใดๆ คดีนี้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้กล่าวหา
เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ ระบุว่า ทะเนชถูกกล่าวหาว่าส่งอีเมล์ ซึ่งมีลิงก์เชื่อมโยงไปยังเนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และรัชทายาท ไปยังอีเมล์ stoplesemajeste@yahoo.com ซึ่งเป็นอีเมล์ของ Elimio Esteban ชาวอังกฤษ โดยในอีเมล์นั้นมีการส่งลิงก์ไปยัง sanamluang.blogspot ซึ่งมีข้อความเข้าข่ายดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และรัชทายาท ต่อมาลิงก์ดังกล่าวถูกปิดกั้นการเข้าถึง การกระทำของผู้ต้องหาถูกตรวจพบตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2553
ต่อมาภายหลังรัฐประหาร วันที่ 2 กรกฎาคม 2557 เขาถูกจับกุมที่บ้านพักจ.เพชรบูรณ์ แล้วถูกควคุมตัวไปที่ มทบ 11 ถูกควบคุมอยู่ 7 วัน ก่อนปล่อยตัวในวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 จากนั้นทางเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดทางเทคโนโลยี (ปอท.) ได้แจ้งหมายจับ และส่งตัวไปสอบสวนที่ สภ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ ทะเนชรับสารภาพในชั้นสอบสวนในประเด็นการส่งอีเมล์ 
ในเดือนกันยายน 2557 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีหนังสือถึงกรมราชทัณฑ์ขอให้ตรวจสอบอาการทางจิตของเขา เขาถูกส่งตัวไปตรวจที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ทั้งสองครั้งแพทย์ยังไม่ลงความเห็นวินิจฉัยเรื่องอาการทางจิตของทะเนช วันที่ 1 ตุลาคม 2557 ธเนศถูกนำตัวมาที่ศาลอาญาเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามฟ้อง ทนายความยื่นคำร้องต่อศาลขอเลื่อนวันนัดสอบคำให้การไปก่อนเพื่อรอผลตรวจจากสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ศาลกำหนดวันนัดพร้อม และสอบคำให้การจำเลยใหม่เป็นวันนี้ (1 ธ.ค.)


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.prachatai.com/journal/2014/08/55137

‘พล.ท.กัมปนาท’ ปัดแฉ ‘ดาวดิน’ รับเงิน 5 หมื่น ‘ชู 3 นิ้ว’ ระบุเพียงข้อมูลการข่าวเบื้องต้นเท่านั้น

หลังจากที่วานนี้(1 ธ.ค.57) พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกลุ่มนักศึกษา ม.ขอนแก่น 5 คนที่ออกมาชูนิ้วแสดงสัญลักษณ์ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ลงพื้นที่จ.ขอนแก่น ในช่วงที่ผ่านมาว่า ที่ผ่านมาคสช.ได้มีการพูดคุยกับอธิการบดี และคณบดีของมหาวิทยาลัยดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนักศึกษาบางกลุ่มมีกลุ่มการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เราต้องช่วยกัน เช่น กรณีนักศึกษาที่จ.ขอนแก่น จากการที่ตนได้ดำเนินการหาข่าวพบว่ากลุ่มนักศึกษาดังกล่าวถูกว่าจ้างมา เพื่อต้องการแย่งชิงพื้นที่สื่อของนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการว่าจ้างมาจำนวน 50,000 บาท จากนักการเมืองในพื้นที่ แต่ตนติดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร
จนกลุ่มดาวดิน ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดส่งถึง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยเนื้อหาระบุว่า ด้วยปรากฏตามข่าวว่า พล.ท.กัมปนาท ให้สัมภาษณ์ปรักปรำกล่าวหาว่าถูกว่าถูกจ้างมาเพื่อต้องการแย่งชิงพื้นที่สื่อ ของนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการว่าจ้างมาจำนวน 50,000 บาท จากนักการเมืองในพื้นที่นั้นอยากจะให้กรรมการสิทธิมนุษยชนตรวจสอบและพิจารณาเรื่องนี้โดยด่วน
ล่าสุดวันนี้(2 ธ.ค.57) ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า พล.ท.กัมปนาท กล่าวถึง กรณีดังกล่าวว่า ตนได้หารือและให้ข้อมูลกับ นพ.นิรันดร์ แล้วว่าข้อมูลที่ตนได้ให้กับสื่อมวลชนนั้นเป็นรายงานข้อมูลด้านการข่าวเบื้องต้น ซึ่งไม่ได้เป็นการแฉว่า นักศึกษากลุ่มดังกล่าวถูกนักการเมืองท้องถิ่นว่าจ้างมา เป็นเพียงการรายงานข้อมูลทางด้านการข่าวเข้ามาให้รับทราบเท่านั้น เพราะยังต้องรับฟังข้อมูลจากด้านอื่นสนับสนุน และต้องมีการประมวลผลด้วย
ทั้งนี้ นพ.นิรันดร์ ก็บอกว่าเด็กกลุ่มนั้นปฏิเสธว่า ไม่ได้รับเงินว่าจ้างและเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงออกด้านความคิดเห็นของแต่ละคน ทางเราก็ไม่อยากให้เกิดการทะเลาะกัน แต่ต้องการจะห้ามปรามเท่านั้น ส่วนที่มีความเป็นห่วงเกรงว่า ประเด็นดังกล่าวจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงเหมือนกับเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516
พล.ท.กัมปนาท กล่าวอีกว่า เราพยายามพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน และไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ตนรับฟังจากทุกฝ่าย และไม่ได้ปรักปรำเด็กกลุ่มดังกล่าวว่ารับเงินว่าจ้าง แต่เป็นเพียงการรายงานด้านการข่าวเท่านั้น ซึ่งตนยังไม่ได้บอกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ เราเคารพอุดมการณ์ของทุกกลุ่มและทุกฝ่าย เพื่อรักษาบรรยากาศการปรองดองให้บ้านเมือง ส่วนตนจะต้องไปทำความเข้าใจกับเด็กกลุ่มดังกล่าวหรือไม่นั้นในแต่ละกองทัพภาคมีทีมงานลงพื้นที่เพื่อไปพูดคุยเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม เราพยายามพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจกัน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุด และการยุติความขัดแย้งจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ความคิดเห็นต่างต้องอาศัยการพูดคุยเป็นหลัก ดังนั้นขอร้องทุกฝ่ายว่าอย่าทำให้เราทะเลาะกับใครเลย

หมายจับรายที่ 10 เศรษฐีหนุ่ม 2.56 หมื่นล้าน-คดีอ้างเบื้องสูงทวงหนี้


นพพร ศุกพิพัฒน์ ได้รับการจัดอันดับมหาเศรษฐีไทยลำดับที่ 31 โดยนิตยสารฟอร์บส์ ไทยแลนด์ (ที่มา: Thailand's 50 Richest นิตยสารฟอร์บส์ ไทยแลนด์)

ศาลทหารอนุมัติออกหมายจับ นพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานบริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ เจ้าของธุรกิจไฟฟ้าพลังงานลม คดีอ้างเบื้องสูงทวงหนี้ ด้านพนักงานสอบสวนนำ 2 สิบเอก 1 พลเรือน มาฝากขังผลัดแรก
 
2 ธ.ค. 2557 - เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลทหารกรุงเทพอนุมัติหมายจับที่ 138/2557 ผู้ร้องคือ พ.ต.ท.กฤษณะ จันทร์ประเสริฐ พนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ยื่นคำร้องต่อศาลขอหมายจับ นพพร ศุภพิพัฒน์ ผู้ต้องหาคนที่ 10 ในข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป
สำหรับ นพพร ศุภพิพัฒน์ ผู้ถูกกล่าวหาจากพนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ได้รับการจัดอันดับที่ 31 ใน 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2557 จากนิตยสารฟอร์บส์ ไทยแลนด โดยเขาเป็นเจ้าของธุรกิจไฟฟ้าพลังงานลม ประธานบริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ โดยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ผ่านบริษัทรีนิวเอเบิล เอนเนยี ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 63 ในบริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ โดยนายนพพรติดอันดับ 31 ใน 50 ของมหาเศรษฐีประจำปี 2557 ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร ฟอร์บส ไทยแลนด์ โดยมีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 25,600 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. พนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร พร้อมทหาร ควบคุมตัวนายวิทยา เทศขุนทศ ส.อ.ณธกร ยาศรี และ ส.อ.ธีรพงศ์ ช่อจำปี ผู้ต้องหาตามข้อกล่าวหา หมิ่นสถาบันเบื้องสูง ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยพนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าเป็นเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยนำผู้ต้องหามาขออำนาจศาลทหารฝากขังผลัดแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม ถึงวันที่ 13 ธันวาคมนี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบพยานเพิ่มเติม ทั้งนี้ ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าหากปล่อยตัวไปผู้ต้องหาอาจหลบหนี
สำหรับนายวิทยา เทศขุนทศ ผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัววานนี้ จากนั้นตำรวจจึงได้คุมตัวไปสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยนายวิทยา รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ว่าเป็นลูกน้องของนายชากานต์ ภาคภูมิ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ก่อนหน้านี้ ส่วน ส.อ.ณธกรและ ส.อ.ธีรพงศ์ อยู่ในการควบคุมของทหารและถูกคุมตัวมาฝากขังพร้อมกัน

มติ ครม.ตั้งหมอพรทิพย์เป็น ผอ.นิติวิทยาศาสตร์ - ผอ.ปัจจุบันเป็นผู้ตรวจราชการ



แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ได้รับการแต่งตั้งเป็น ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ภาพถ่ายเมื่อปี 2553 (ที่มา: แฟ้มภาพ/เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล/วิกิพีเดีย)

            คณะรัฐมนตรี อนุมัติให้ฝรั่งเศสตั้งกงสุลที่ จ.เชียงราย - แต่งตั้งข้าราชการดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ กปร. - รับโอนและแต่งตั้งรองเลขา ศอ.บต. - คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เป็น ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ส่วน ผอ.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
            2 ธ.ค. 2557 - เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานวันนี้ (2 ธ.ค.) ว่า เมื่อเวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบในเรื่องแต่งตั้ง ดังนี้
000
1. เรื่อง การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดเชียงราย
           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐบาลสาธารณรัฐฝรั่งเศสเสนอ เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดเชียงราย โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงราย และแต่งตั้ง นายกี แอแดลแบร์เฌ (Mr. Guy Heidelberger) เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดเชียงรายตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
2. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ กปร. (นักบริหารสูง) (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ)
            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
  • 1. นายดนุชา สินธวานนท์ ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
  • 2. นายลลิต ถนอมสิงห์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนา (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

            ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นตนไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
3. เรื่อง การรับโอนและแต่งตั้งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้
  • 1. นายขวัญชาติ วงศ์ศุภรานันต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี (นักปกครองระดับต้น) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (นักบริหารระดับสูง) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
  • 2. นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส (นักปกครองระดับต้น) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (นักบริหารระดับสูง) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
  • 3. นางกิตติมา นวลทวี รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง (นักบริหารระดับต้น) กระทรวงการคลัง ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (นักบริหารระดับสูง) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้

          ซึ่งกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลังได้ตกลงยินยอมการโอนด้วยแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
4. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายไพโรจน์ อาจรักษา ที่ปรึกษาด้านข้อมูลข่าวสารของราชการ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นตนไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
5. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
  • 1. คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
  • 2. พันโท เอนก ยมจินดา ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน
6. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม)
          คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้
  • 1. นางศิริรัตน์ จิตต์เสรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
  • 2. นายเสรี อติภัทธะ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
  • 3. นางรัชดา อิสระเสนารักษ์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

          ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
7. เรื่อง การเสนอแต่งตั้งนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลัง ในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป และจะมีวาระในการดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยคือถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559
8. เรื่อง การแต่งตั้งผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์และผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ
         คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ จำนวน 8 ราย และกรรมการผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน จำนวน 8 ราย ในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ จำนวนรวมทั้งสิ้น 16 ราย ดังนี้
          กรรมการผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ได้แก่ 
  • 1. นางเมทินี พงษ์เวช ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ กรุงเทพมหานคร 
  • 2. พันโท สุนทร นพกุลสถิตย์ ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ภาคกลาง 
  • 3. นายสนั่น วุฒิ ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ภาคเหนือ 
  • 4. นายสุริพล สุวรรณจันทร์ดี ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5
  • . นายอนุสรณ์ โค่ยสัตยา ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ภาคใต้ 
  • 6. นางสาวเย็นฤดี วงศ์พุฒ ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ประเภทเครือข่าย 
  • 7. พลตรีหญิง คุณหญิง อัสนีย์ เสาวภาพ ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ประเภทเครือข่าย 
  • 8. พลตรีหญิง อุษณีย์ เกษมสันต์ ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ประเภทเครือข่าย

         กรรมการผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ได้แก่ 
  • 1. นายอนุสรณ์ รังสิโยธิน ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน กรุงเทพมหานคร 
  • 2. นายสำเภา วีระนนท์ ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ภาคกลาง 
  • 3. นายภูมิพัฒน์ คงวารินทร์ ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ภาคเหนือ 
  • 4. นายจินดา วรประเสริฐ ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 
  • 5. นายอุดม แก้วประดิษฐ์ ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ภาคใต้ 
  • 6. นายสามารถ พุทธา ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ประเภทเครือข่าย 
  • 7. นายไข่ นวลแก้ว ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ประเภทเครือข่าย 
  • 8. นายคำจันทร์ จันทร์จำปา ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ประเภทเครือข่าย

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป
9. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการแบบผังภูมิที่ครบวาระ
            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการแบบผังภูมิ แทนชุดเดิมที่ครบวาระ 2 ปีแล้ว จำนวน 12 คน ดังนี้ 
  • 1. นายเอกชัย ลีลารัศมี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 
  • 2. นายวัลลภ สุระกำพลธร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 
  • 3. นางภาณุมาศ สิทธิเวคิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขานิติศาสตร์ 
  • 4. นายพินิจ กำหอม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 
  • 5. นายพินัย ณ นคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขานิติศาสตร์ 
  • 6. นายประดนเดช นีละคุปต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 
  • 7. นายบุญโชติ เผ่าสวัสดิ์ยรรยง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิทยาศาสตร์ 
  • 8. นายวชิระ จงบุรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 
  • 9. นาวาอากาศเอก ประสงค์ ปราณีตพลกรัง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 
  • 10. นายสันติ รัตนสุวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิทยาศาสตร์ 
  • 11. นางกนิษฐ เมืองกระจ่าง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาอุตสาหกรรม 
  • 12. นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขานิติศาสตร์

            ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป
10. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตรที่ครบวาระ
            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตรชุดใหม่ จำนวน 12 คน เนื่องจากกรรมการชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปีแล้วเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2557 ดังนี้ 
  • 1. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 
  • 2. นายบุญสนอง รัตนสุนทรากุล ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาอุตสาหกรรม 
  • 3. นายพงศ์พันธ์ อนันต์วรณิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 
  • 4. นายสำเริง จักรใจ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 
  • 5. นายอุดมเกียรติ นนทแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 
  • 6. นางสาวณัฐนันท์ สินชัยพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาเภสัชศาสตร์ 
  • 7. นายธีรยศ เวียงทอง ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 
  • 8. นายชำนาญ ภัตรพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเภสัชศาสตร์ 
  • 9. นายวิชา ธิติประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเกษตรศาสตร์ 
  • 10. นายนำชัย เอกพัฒนาพานิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขานิติศาสตร์ 
  • 11. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเศรษฐศาสตร์ 
  • 12. นายชัชวาล สุมนะเศรษฐกุล ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิทยาศาสตร์

             ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป

พล.อ.ประยุทธ์รับปากว่าจะพูดไพเราะ-เลิกโมโห-นัด 16 บรรณาธิการหารือพุธนี้


วีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นำศิลปินและนักแสดงเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก่อนการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. เพื่อมอบซีดีเพลงและวิดีโอค่านิยม 12 ประการ พร้อมประชาสัมพันธ์เผยแพร่การส่งเสริมค่านิยม 12 ประการ ตามนโยบายของรัฐบาล (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)
 Tue, 2014-12-02 18:24

นายกรัฐมนตรีชงมาตรการลดราคาสินค้าช่วงปีใหม่ ตั้งเป้าหมื่นร้านค้าเข้าร่วม ขอคนไทยระวังอุบัติเหตุช่วงเทศกาล พร้อมรับปากสื่อมวลชนจะเลิกขี้โมโห พูดจาไพเราะ แต่สื่อก็ต้องไม่กวนโมโห ขณะที่ 3 ธ.ค. นี้ พล.อ.ประยุทธ์และ ครม. นัดหารือ 16 บรรณาธิการสื่อ หวังว่าสื่อจะสร้างบรรยากาศดีๆ ในการปฏิรูปสู่ประชาธิปไตย
2 ธ.ค. 2557 - เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานวันนี้ว่า ที่บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการมอบของขวัญของรัฐบาลให้กับประชาชนว่า จะมีการหารือถึงข้อสรุปในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า ประเด็นหลัก ๆ คือการลดราคาสินค้า โดยจะมีร้านค้าเข้าร่วมประมาณหมื่นกว่าร้านทั่วประเทศ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ลดค่าครองชีพ และการยกเว้นค่าผ่านทางด่วนพิเศษหมายเลข 7 และหมายเลข 9 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ของวันที่ 26 ธันวาคม 2557 ถึง เวลา 24.00 น. ของวันที่ 4 มกราคม 2558 ช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ โดยนายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคนใช้ช่วงวันหยุดพักผ่อนอยู่กับครอบครัว ขอให้ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุ และไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า ภายหลังการประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวเชิญชวนประชาชนเนื่องในเดือนมหามงคลว่า ขอให้ทุกคนเป็นคนดี มีความรักความสามัคคี มองประเทศชาติเป็นหลักในการดำรงชีวิตด้วยความพอเพียง สร้างอนาคตให้ลูกหลานสามาถอยู่อย่างมีความสุข คนไทยทุกคนต้องคิดเช่นนี้  ส่วนตนตั้งใจว่า ต่อไปนี้จะเลิกเป็นคนขี้โมโห จะเป็นคนพูดจาเพราะๆ ไม่พูดจาเสียหาย กำลังคิดและกำลังทำอยู่ ขณะเดียวกันน้องๆ (พล.อ.ประยุทธ์ หมายถึงผู้สื่อข่าว) เองก็ต้องไม่กวนโมโหอีกต่อไป
ตามรายงานของเว็บไซต์รัฐบาลไทย พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้แจ้งต่อที่ประชุม ครม. รับทราบว่า พรุ่งนี้ (3ธ.ค.57) เวลา 16.00 น. จะมีการเชิญบรรณาธิการระดับผู้บริหารของสื่อมวลต่าง ๆ จำนวนประมาณ 16 คน เพื่อไปพบปะพูดคุยกันที่บ้านเกษะโกมล โดยมีนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องร่วมพูดคุยครั้งนี้ด้วย เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและบอกเล่าให้สื่อมวลชนระดับผู้บริหารได้รับทราบว่าปัจจุบันรัฐบาลได้ดำเนินการอะไรบ้าง เพราะนายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่าบ้านเมืองจะไปได้สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการที่จะชี้แจงทำความเข้าใจให้สังคมได้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง รวมถึงสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อจะได้ช่วยกันประคับประคองให้สถานการณ์ทั้งหลายดำเนินไปได้ และช่วยสร้างสรรค์บรรยากาศที่ดีในการที่จะปฏิรูปบ้านเมืองและเดินไปสู่ประชาธิปไตยตามที่ได้กำหนดไว้