วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554


คนหน้าด้าน เกาะชายกระโปรงนายกยิ่งลักษณ์


โดย มหากมล
หลงเงาตัวเอง
          นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังคิดว่าตัวเองเป็นนายกของประเทศไทยอยู่ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง นายกของประเทศไทยขณะนี้คือนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำใจไม่ได้ เพราะไม่เชื่อเลยว่าพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไป

            เพราะความพ่ายแพ้ของพรรค จึงต้องประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อ้างว่าต้องรับผิดชอบ แต่พอเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ต้องการให้เขาเป็นหัวหน้าพรรคอีก เขายอมกลืนน้ำลายตัวเอง ยอมรับเป็นหัวหน้าพรรค ครั้นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทยได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีสิทธิ์ได้จัดตั้งเป็นรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ก็ไม่สมควรจะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยการตัดสินของประชาชน 15.7 ล้านคน นายอภิสิทธิ์ทำใจไม่ได้ ประกาศตั้งรัฐบาลเงา ไม่ได้เป็นนายกฯ จริง ขอเป็นนายกฯ เงา ก็เอาวะ! น่าละอายแท้ ๆ

พาลูกพรรคหลงเงาไปด้วย

            สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทำใจไม่ได้ที่พรรคเพื่อไทยชนะอย่างถล่มทลาย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคให้ความมั่นใจกับลูกพรรคของเขาว่า พรรคประชาธิปัตย์จะต้องชนะแน่ ได้เสียง 200 เสียงขึ้นไป บวกกับพรรคภูมิใจไทย 70 เสียง ได้เสียงเกินครึ่ง สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน ผลออกมาประชาชนผู้รักประชาธิปไตย คนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินได้ตบปากตีแสกหน้าคนพรรคประชาธิปัตย์และหัวหน้าพรรคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอย่างสาสม แต่เพราะความโง่เขลา สติแตก หน้าไม่อายบอกลูกพรรคว่าเขาตั้งรัฐบาลเงา เพื่อตรวจสอบ ทำงานแข่งกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และทำให้เพื่อนซี้ของเขา นายศิริโชค โสภา และคนอื่น ๆ ได้เป็นรัฐมนตรีเงาอย่างภาคภูมิใจ หารู้ไม่ว่าชาวบ้านเขาสังเวช สลดใจ ไม่เคยมีนักการเมืองประเทศไหนในโลกเขาทำกัน
เป็นนายกฯ จริงไม่ทำ ตั้งตัวเองเป็นนายกฯ เงาเกิดขยัน เก่งเหลือหลาย
            นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักเรียนอ๊อกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ได้เป็นนายกฯ โดยใช้อำนาจนอกระบบ ไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย ทำงานไม่เป็น จนได้ฉายาว่า ดีแต่พูด ดีแต่โกหก สร้างภาพ ผลการทำงาน 2 ปี 7 เดือน ไม่มีใครบอกได้ว่า นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกฯ ได้ทำอะไรให้คนไทยส่วนใหญ่ชื่นใจบ้าง แต่พอได้เป็นนายกฯ เงา ทำขยันไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลจากอุทกภัย ทำงานแข่งกับท่านนายกยิ่งลักษณ์ ขณะที่น้ำท่วมไม่มาก แต่พอมีน้ำท่วมมากเข้า ท่วมทุกสิ่งทุกอย่างโดยคาดไม่ถึง มีคนตาย ทรัพย์สินเสียหายมากมาย ชาวบ้านไม่เห็นหน้านายอภิสิทธิ์และลูกพรรคของเขาเลย ยังคอยดูอยู่ว่านายอภิสิทธิ์จะพาลูกพรรคทำอะไรให้ชาวบ้านได้เห็นธาตุแท้ของเขาอีก
เกาะชายกระโปรงนายกยิ่งลักษณ์จนได้
            วันนี้ (11 ตุลาคม 2554) ได้ดูข่าวอย่างคาดไม่ถึง เห็นนายอภิสิทธิ์กับลูกพรรค มี นายกรณ์ จาติกวณิช นายอลงกรณ์ พลบุตร นายศิริโชค โสภา และโฆษกพรรคตัวแสบ อวดดี นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต พากันเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

            สร้างภาพไปเยี่ยมชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมบ้านมาอาศัยอยู่ แต่ที่น่าแปลกใจคือได้พากันมาเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการช่วยแหลือผู้ประสบอุทกภัย (คปภ.) และได้พบกับท่านนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ซึ่งเกาะติดสถานการณ์น้ำท่วมอย่างขยัน ถึงเหน็ดเหนื่อยแต่ไม่ท้อแท้ ได้ฟังคำชี้แจงสถานการณ์อุทกภัย การป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย

            ไม่ทราบว่านายอภิสิทธิ์แนะนำอะไรให้ท่านนายกฯ ฟังบ้าง แต่ที่แน่ ๆ ก่อนหน้านั้นเขาแนะนำให้ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์เป็นประธานศูนย์เอง อย่าไปทำอย่างตัวเขาสมัยเป็นนายกที่ได้แต่งตั้งนายสาธิต วงศ์หนองเตย เป็นประธานการแก้ไขปัญหาอุทกภัย จนทำให้ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนด่าส่งและยังเดือดร้อนต่อไป และก็ไม่อายยังหน้าด้าน พูดแนะนำในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้อยู่นั่นแหละ
ตอบคำถามของส.ส.จตุพร และ ส.ส.ณัฐวุฒิ
            มีคำถามจาก ส.ส.จตุพร และ ส.ส.ณัฐวุฒิ ในรายการชูธง ด้วยความสงสัยว่านายอภิสิทธิ์ ไปพบนายกฯ ยิ่งลักษณ์ทำไม ผู้เขียนขอตอบให้ทราบเลยว่า เขาไปพบท่านนายกยิ่งลักษณ์วันนี้ เพราะความหน้าด้าน อกจะแตกตาย ทนไม่ได้ เห็นว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ทำงานเร็ว ประสานงานเก่งตัดสิน ใจเยี่ยม กลัวว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรีเพียงไม่ถึง 2 เดือน จะได้ใจชาวบ้านมากกว่าเขา จึงรีบกอดขา จับชายกระโปรงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ขอเด่นขอดังไปด้วย “ขอหน่อยเถอะท่านนายกฯ ชาวบ้านเขาจะพากันลืมผม”

            นี่ไงครับท่านส.ส.จตุพร และ ส.ส.ณัฐวุฒิ พฤติกรรมของคนหลงเงาตัวเอง หน้าด้าน สันดานโกหกของนายอภิสิทธิ์ จำต้องบากหน้าไปหาท่านนายกฯ หญิง ยิ่งลักษณ์ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยผู้ประสบอุทกภัย ที่ดอนเมือง ทำให้ชาวบ้านเห็นภาพแล้วหัวเราะไม่ออก อยากตบหน้าอีกสักป้าบใหญ่ ๆ...
http://redusala.blogspot.com

ปริศนา ?ภัยน้ำท่วม !  โดย...ขอม ดำดิน



            ได้เห็นเจ้าของบ้านร้องให้ น้ำตาไหลพราก
          บ้าน ทรัพย์สิน พังพินาศ  ใน ๒๖ จังหวัด
          มัจจุราชและความตาย ไม่ปราณี มากกว่า ๒๕๐ ชีวิต
          อุทกภัยในครั้งนี้ น่าสยดสยอง เสียหายหลายแสนล้าน
          ข้อเขียนของเราในวันนี้ มีแต่ความหดหู่ เขียนไปสยองไป

หัวใจไม่แจ่มใสไปได้ เพราะขณะปั่นต้นฉบับ เสียงของโฆษกรัฐบาลได้ประกาศข่าวว่าท่านนายกหญิง “น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ได้ใช้ ฮ. บินดูบริเวณน้ำท่วมเวิ้งว้าง กว้างใหญ่ไพศาล จวนเจียนจะจ่อเข้ากรุงเทพ ทำให้ชาว กทม. ถึงกับ “อกสั่นขวัญแขวน” เพราะวิตกต่อกระแสน้ำที่ไหลพุ่งลงมาจากนครสวรรค์ ผ่านเข้าสู่ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ปทุมธานี และจ่อเข้าหาคลองรังสิต ริมตะเข็บ กทม.

          ภาพที่ปรากฏขึ้นในห้วงนึกคิด...มันเหมือนพญามัจจุราชที่พุ่งออกจากแดนประหาร ในมือมีอาวุธมหากาฬ ฟาดฟันไปที่ไหนจะกลายเป็นเวิ้งน้ำนรก ที่สามารถสั่งให้ขุนเขากลายเป็นท้องทะเลและสามารถ “สั่ง” ให้ท้องนากลายเป็นมหาสมุทรพร้อมกับมีพายุลมแรงพัดกระหน่ำบ้านเรือน ผู้คน ฝูงสัตว์เลี้ยง ต้นไม้ฉีกขาด ล้มระเนระนาด  ถอนรากถอนโคน

          ภาพมันน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น ใครเห็นแทบจะช็อกตาย

          รับฟังข่าวจากรัฐบาล ทราบว่าน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้กินเนื้อที่ ๒๖ จังหวัด ล้างผลาญไร่นามากกว่า ๙ ล้านไร่ ทำให้ประชาชนมากกว่า ๒ ล้านคนได้รับความเดือดร้อน บ้านเรือนถูกน้ำท่วมมิดหลังคา เสื้อผ้า โต๊ะเก้าอี้ ของใช้ในบ้าน เครื่องไม้เครื่องมือทางการเกษตร รถยนต์ ยวดยานพาหนะ สูญเสียย่อยยับไปกับอุทกภัย ประชาชนล้มตายมากกว่า ๒๕๐ ชีวิต สูญหายอีก ๒ ราย

          นิคมอุตสาหกรรมโรจนะและนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค จมอยู่ใต้น้ำ
          มูลค่าความเสียหายประมาณว่ามากกว่าห้าแสนล้านบาท ?!
          อนิจจา..ประเทศไทย ทำไมจึงมีอุทกภัยร้ายแรงขนาดนี้ ?
          นี้เป็นคำถามในหัวใจของ “ขอม ดำดิน” ถามแล้วถามอีก ?

          ถามกับตัวเอง และได้ถามกับ “เพื่อนญี่ปุ่น” ที่มีแผ่นดินตั้งอยู่ตรงกลางอาณาจักรน้ำ มองไปทางไหนมีแต่น้ำ อันเป็นมหาสมุทรทั้งแท่ง  โดยถามว่า  พวกคุณมีความรู้เรื่องน้ำท่วมหรือไม่ ? มีการวางแผนป้องกันอุทกภัยอย่างไร ?

          คนญี่ปุ่นตอบว่า “ประเทศญี่ปุ่นมีความเก่งยอดเยี่ยมในโลก” ในการค้นหาคำพยากรณ์
เกี่ยวกับภัยน้ำท่วม (อุทกภัย) ภัยแผ่นดินไหว และภัยคลื่นสินามิ รวมถึงภัยภูเขาไฟใต้ทะเล ภัยเกาะเล็กเกาะน้อยกำลังจะจมหายไปในท้องมหาสมุทร

          เพื่อนชาวญี่ปุ่นได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ประเทศญี่ปุ่นมีศูนย์พยากรณ์ที่แม่นยำมาก อย่างเช่นกรณีญี่ปุ่นประจญภัยถูกคลื่น “สึนามิ” ถล่มพังพินาศครึ่งค่อนประเทศเมื่อไม่นานมานี้ ก็รู้จากศูนย์พยากรณ์มาก่อน  แต่คลื่นสึนามิมันใหญ่โตเกินสติปัญญาของมนุษย์ที่จะป้องกันได้

          เพื่อนญี่ปุ่นยังขยายความให้ฟังว่า  กรมอุตุนิยมวิทยาของเขา พยากรณ์ล่วงหน้าเหมือนตาเห็น โดยทำนายล่วงหน้ายาวนานถึง ๕ ปีว่าจะมีพายุกี่ลูกเกิดขึ้นในแดนอาทิตย์อุทัย 
ความรู้ดังกล่าวนี้ ได้ถูกเผยแพร่ไปยังหมู่ประชาชน ทุกซอกทุกมุม ทำให้ประชาชนได้รับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในรอบ๒-๓ เดือนที่จะมาถึง และในรอบ ๑ ปีข้างหน้า

          เมื่อรู้แล้ว...เขาก็หาวิธีป้องกัน  รวมทั้งการบอกกล่าวให้นักลงทุน ให้หาหนทางเดินทางไปลงทุนในประเทศอื่น มากกว่าที่จะยึดดินแดนของตนเองเป็นที่ลงทุน

          ทัศนะของคนญี่ปุ่นก็คือ “ให้เอาประเทศญี่ปุ่นเป็นอาณาจักรของชนชาติเผ่าพันธุ์และภูมิปัญญา” ส่วนการลงทุนในระดับอุตสาหกรรมโลก ให้แสวงหาแหล่งลงทุนในดินแดนอื่นในทุกทวีป รวมทั้งการเงินการคลัง ก็ยึดโลกเป็นที่พึ่ง

          สำหรับในประเทศของเขานั้น การพยากรณ์จักเป็นไปโดยทางวิทยาศาสตร์ ไม่ยอมให้ลุ่มหลงกับคำพยากรณ์ในเชิงศาสดา กล่าวให้ชัดได้แก่ไม่ยกย่องการพยากรณ์แบบไสยศาสตร์

          เป็นเพราะคนญี่ปุ่นเขารู้โดยทางวิทยาศาสตร์อย่างนี้ เขาจึงสร้าง “กำแพงคอนกรีต”ล้อมเมือง คล้ายกับการก่อสร้างภูเขา มีความสูงหลายสิบเมตร เพื่อจะป้องกันคลื่นยักษ์จากทะเล หรือคลื่นสึนามิไม่ให้ถาโถมเข้าถล่มเมือง

          ประเทศญี่ปุ่นได้ก่อสร้างมาแล้วมากกว่า ๓๐ ปี  แต่สร้างยังไม่เสร็จ (สร้างไม่ทัน) เกิดคลื่นยักษ์ถล่มเสียก่อน  แต่ก็ยังดีที่ได้มีกำแพงคอนกรีตปะทะเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง ถ้าไม่มีกำแพงคอนกรีตแล้วละก็ จะเกิดความเสียหายกับประเทศญี่ปุ่นมากมายหลายร้อยเท่า

          จากคำบอกเล่าของเพื่อนญี่ปุ่น ทำให้ผมต้องถามกลับมาที่ประเทศไทยว่ากรมอุตุนิยมและศูนย์ทำนายน้ำทั้งหลาย พากันมีความรู้อย่างทันสมัยหรือไม่ หรือว่า “มีไม่เพียงพอ” ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่อาจทราบความจริง

          แต่มีเรื่องที่กำลังจะเป็น “ปริศนา” คาใจก็คือ จำนวนมวลน้ำที่ไหลบ่าท่วม ๒๖ จังหวัดในปีนี้ไม่น่าจะก่อความเสียหายถึงขั้นท่วมมิดหลังคา  เพราะว่าจำนวนมวลน้ำไม่แตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมา หรือว่าแม้จะมีมวลน้ำมากกว่าปีที่แล้ว- ก็ไม่มากเกินไป ?

          เปรียบเหมือนของหนักที่เคยหาบอยู่บนบ่า มันหนักขึ้นเล็กน้อยไม่เกิน ๑๐ กิโลกรัม
          หนักหวิวขนาดนั้น...แล้วท่วมมิดหลังคาได้อย่างไร
          นี้คือคำถามที่ขอมดำดิน ถามอยู่ในใจ

          ท่านครับ ผมได้อ่านบทวิเคราะห์ข่าวน้ำท่วมในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และได้อ่านความสงสัยที่มีอยู่ในเว็บต่างๆ  สรุปได้ว่า ได้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในกรมชลประทาน  กล่าวคือการ “กักเก็บ” น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ เช่นเขื่อนภูมิพล และเขื่อนอื่นๆนั้น  ได้กักเก็บเอาไว้เต็มพิกัด คล้ายกับว่ากรมชลประทานวิตกว่าในปีถัดไปจะเกิดภาวะฝนแล้งอย่างหนัก จะทำให้บ้านเมืองผจญภัยแล้งแสนสาหัส จึงปฏิบัติการแตกต่างจากทุกปีที่เคยปฏิบัติ ?

          ด้วยการกักเก็บน้ำเอาไว้ในเขื่อนทุกเขื่อนตั้งแต่เดือนกุมภาพันพันธ์ ไล่มาจนถึง เมษา – พฤษภาและเลยเถิดมาถึงเดือนมิถุนา-กรกฎา...ก็ไม่ยอมปล่อยน้ำ

          น้ำในเขื่อนจึงล้นปรี่-เต็มเปี่ยม ชุ่มฉ่ำไปทั้งแผ่นดิน

          ทว่า...ครั้นเดือนสิงหา-กันยา  ฝนเทมา  ปะทะกับเดือนตุลาคม...ที่มีพายุมรสุมเกิดขึ้น...ทำให้น้ำจากท้องฟ้า  ปะทะกับ “น้ำในเขื่อน” ที่กักเก็บเอาไว้ตั้งแต่ต้นปี เกิดอาการแบกรับ “น้ำใหม่” ไม่ไหว...น้ำเพียงเท่านั้นก็ได้กลายเป็นน้ำมาก  บวกกับกรมชลประทาน สั่ง “เปิดประตูน้ำ”  จากเขื่อนต่างๆเพื่อจะหนีน้ำล้นเขื่อนด้วยการระบายน้ำออกมาพร้อมๆกัน

          อนิจจา...พลันก็ได้เกิดอุทกภัยในพริบตา
          ด้วยเหตุนี้...น้ำท่วมใหญ่ในคราวนี้ จึงมีคำถามร้ายแรงถึง ๒ ประเด็น ดังนี้
          คำถามที่ ๑ ถามว่า...”กักเก็บน้ำเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีน้ำใหม่จากมรสุม”...?! 
         คำถามที่ ๒ ถามว่า..”หรือว่าตั้งใจจะให้เกิดภาวะวิกฤตโดยหวังผลทางการเมือง” ?! 

         ทั้ง ๒ คำถาม...มันคือ “ปริศนา”  ภัยน้ำท่วมปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ ?
          โปรดเถอะ...โปรดตอบตำถามให้หายข้องใจด้วยครับ ?!

                                             ขอม ดำดิน
                                       ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๔
http://redusala.blogspot.com





ธารน้ำใจ ชุ่มฉ่ำ ?!  โดย... “สว. นปช.”

อย่าว่าแต่เด็กเท่านั้นที่ต้องการให้ผู้ใหญ่โอบกอด ปลอบใจ
แม้แต่ผู้ใหญ่ที่กำลังได้รับความทุกข์อย่างหนักในยามนี้ก็ต้องการคำปลอบใจจากรัฐบาลและจากสังคมไทยทั้งประเทศ รวมทั้งต้องการรับฟังเรื่องราวที่เป็นความหวังว่ารัฐบาลจะให้ความช่วยเหลืออะไรบ้าง เช่นเงินกองทุนบรรเทาทุกข์ และเงินลงทุนใหม่ มีไหม ? เป็นต้น

           การซับน้ำตาหลังน้ำลด...คือ “ธารน้ำใจ” ที่จะชุบชีวิตให้ชุ่มฉ่ำ น้ำท่วมหนนี้ไม่แตกต่างจากสงครามพม่าโจมตีกรุงศรีฯ ?!

ภัยพิบัติจากน้ำที่เคยอาบ-เคยดื่ม ช่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีความเกรี้ยวกราดขนาดนี้

ท่านผู้ใด บริษัทไหนเจอเข้าไป คงจะเต็มไปด้วยความทุกข์ เจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่างยิ่งแต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องอดทนต่อความทุกข์ และอดกลั้นต่อความผิดหวังที่ได้เกิดกับชีวิต จึงขอให้อดทน (เถิด) และหวังว่าไม่นานก็จะพ้นไปจาก“อุทกภัย” ในครั้งนี้


อุทกภัยครั้งนี้ก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ซึ่งจะเป็นภาพแห่งความทรงจำที่ไม่มีวันลืม และที่จะลืมไม่ลงได้แก่มวลน้ำมหาศาลไม่ยอมจากไปโดยง่าย น้ำจะยังคง “ยึดครอง” หลายพื้นที่ไปอีกแรมเดือน...และนั่นย่อมหมายถึงความยากลำบากยังไม่หมดไป ในขณะเดียวกันก็มองไม่เห็นว่าจะกู้ครอบครัว ร้านค้าและโรงงานให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยไวได้อย่างไร...? จะนานกี่วัน – กี่สัปดาห์ ? หรือว่าจะต้องใช้เวลาถึงแรมเดือน จึงจะกู้คืนสิ่งที่เน่าปูด โค่นหัก พังทลาย หรือชำรุดเสียหาย ใช้การไม่

เป็นวิธีการของ “ธารน้ำใจ” ในยามที่ชาติต้องการอย่างยิ่งได้ให้กลับสู่สภาพปกติได้

ท่านผู้อ่านที่เคารพ...กระผมอยากถือโอกาสนี้ เชิญชวนให้พี่น้องร่วมชาติ โปรดแสดงตนเป็นคนมีธรรมะ มีความเมตตาสงสาร มีความเสียสละ เห็นอกเห็นใจพี่น้องร่วมชาติ และพร้อมเสมอที่จะบริจาคสิ่งของ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม เสื้อผ้า หรืออะไรก็ได้ตามแต่จะมีความสามารถ

การช่วยกันคนละไม้คนละมือ ถือได้ว่าเป็นการยื่นความกรุณาปราณีให้แก่กันและกัน เพื่อจะกู้ภัยให้แก่พ่อแม่พี่น้องในยามที่ชาติได้รับทุกข์ ความทุกข์ในครั้งนี้บางท่านมีความทุกข์สุดแสนสาหัส บางท่านอาจจะไม่เดือดร้อนมากนัก เพราะมี “ประกันภัย” ที่จะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามก็เชื่อว่าท่านที่ถูกน้ำท่วม บ้านจมน้ำมิดทั้งหลัง คงจะไม่สามารถกลั้นความทุกข์ทางใจเอาไว้ได้ ร้ายไปกว่านั้น โรงงานทั้งโรงงาน จมอยู่ใต้น้ำ รถราคาล้านจมอยู่ใต้โคลน ข้าวของมีราคาถูกผืนน้ำท่วมทับราวกับตรงนั้นเป็นก้นทะเล
ในยามนี้...เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง จะเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะได้แก่การเมืองส่วนท้องถิ่น คือ อบต. และ อบจ. กำนันผู้ใหญ่บ้าน โดยมีรัฐบาลเป็นแกน

ใหญ่ในทุกรูปแบบ เพื่อจะเทความช่วยเหลือไปให้ถึงประชาชน 

เป็นหน่วยงานเคลื่อนที่สะสมสิ่งของเอาไปเป็นธารน้ำใจด้วยความเสียสละ
สำนักงาน พีเพิ่ล ออน ไลน์ของเรา [www’pchannel.org] ก็มีหน้าที่-ที่จะรายงานข้อมูล
ข่าวสาร และความคิดเห็นเพื่อจะได้สื่อไปยังเครือข่ายต่างๆทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งได้เป็นเวทีสร้างความเข้าใจ และเรียกร้องความเห็นใจจากผู้ที่มีความพร้อม ได้แสวงหาหนทางเพื่อจะไปให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่เผชิญกับภัยพิบัติในครั้งนี้

เราได้เฝ้าติดตามการทำงานของ ฯพณฯ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้เปิดศูนย์ (ศปภ.) ที่ดอนเมือง โดยใช้อาคารหลังเก่าที่เคยเป็นสายการบินภายในประเทศ เอามาใช้เป็นที่ทำงาน บริหารการแก้ไข “อุทกภัย” ทั้งระบบ โดยได้เปิด “สายด่วน” นับร้อยคู่สาย ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพื่อรอรับรายงานและ “การร้องขอความช่วยเหลือ” จากทุกพื้นที่

ปรากฏว่าประชาชนเรียกเข้าหา ศปภ. มากกว่า ๑ แสนครั้ง/ต่อวัน

นอกจากนี้ เรายังได้เฝ้าติดตามการรับบริจาคของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม เอเชียอัพเดท รวมทั้งการรับบริจาคของสถานีวิทยุชุมชนต่างๆในรอบปริมณฑล แล้วก็พากันขนเอาไปแจกแก่พ่อแม่พี่น้องที่ติดอยู่ในเวิ้งน้ำ

เราได้เห็น “ทหาร” เอารถจีเอ็มซีวิ่งส่งสิ่งของ และได้เห็นเฮลิคอปเตอร์ บินไปช่วยเหลือประชาชน หลั่งไหลเป็นธารน้ำใจ รวมทั้งได้เห็นคาราวานดารา และมวลชนอื่นๆมากมายที่ออกไปช่วยเหลือประชาชน

ถึงกระนั้น “ธารน้ำใจ” เหล่านี้ก็ยังไม่พอเพียง

ยังมีสิ่งของพระราชทานอีกมากที่แห่ไปให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน ก่อให้เกิดความอบอุ่นและสมหวังไม่น้อย ที่ปรากฏชัดว่าสังคมไทยไม่ทอดทิ้งกัน แม้แต่ชาวโลกก็ส่งสิ่งของมายังรัฐบาลไทย มอบผ่านไปยังประชาชนที่กำลังรอความช่วยเหลือ

ข่าวว่าพี่น้องเสื้อแดง และทุกสีเสื้อจากภาคใต้ เหนือ และอีสาน ต่างไม่อยู่นิ่ง ท่านเหล่านั้นได้ร่วมมือกัน “รับบริจาค” ด้วยความขยันหมั่นเพียร ดังตัวอย่างจากจังหวัดมุกดาหาร นำโดย “นายสมตา สุวรรณทิพ” (อดีตสหายกลับใจ) กับท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และนายก อบจ. / นายก อบต.

ตลอดทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประมาณ ๕๒ ตำบล กำลังระดมรับบริจาคอย่างเต็มที่
ข่าวจาก “สมตา สุวรรณทิพย์” แจ้งมาว่า จะนำขบวนคาราวานด้วยรถ ๑๐ ล้อหลายคัน นำสิ่งของมุ่งหน้าสู่ ศปภ. (ดอนเมือง) เพื่อจะเทธารน้ำใจ ผ่าน ฯพณฯ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หมายจะให้ถึงมือผู้ประสบ “อุทกภัย” ในปลายเดือนนี้ โดยจะมีสถานีวิทยุชุมชน “ลำลูกกา” คอยต้อนรับ นำโดย “สมชาติ” (ธนกฤต) นาคบรรจง

นี้เป็นตัวอย่างของ “ธารน้ำใจ” ที่จะหลั่งไหลมาจากทั่วประเทศขอรับ



                                                                                                 “สว. นปช.” / ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๔
http://redusala.blogspot.com



พรรคกากเดนอำมาตย์ยังดำรงอยู่ประเทศชาติไร้ความสงบ
รำลึก 5 ปี รัฐประหาร


                วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นวันที่คนไทยทั้งประเทศไม่ลืมได้เลย เพราะเป็นวันที่คณะทหารทำรัฐประหารรัฐบาลของประชาชน ซึ่งมีประชาชนถึง 19 ล้านเสียงเลือกให้เป็นตัวแทนของพวกเขามาบริหารประเทศชาติ เพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้าต่อเนื่องจากการบริหารมาแล้วตั้งแต่ปี 2544 และปี 2548 ก็ได้รับเลือกตั้งต่อด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นถึง 377 เสียง สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ เป็นประวัติศาสตร์ของชาติไทยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยเมื่อปี 2475
            เป็นประวัติศาสตร์จริงๆ และจะมีเกิดขึ้นอีกหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ การได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลายเมื่อปี 2548 สร้างความวิตกกังวลให้พวกเหล่าอำมาตย์เป็นอย่างมาก
            และแล้วพวกอำมาตย์ก็หาทางวางแผนทำลายล้มล้างคณะรัฐบาลที่ประชาชนจำนวนมากได้เลือกเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศต่อเนื่อง พวกอำมาตย์ได้วางแผนโดยใช้มวลชน วิธีการก็คือให้พรรคการเมืองที่เป็นกากเดนของพวกอำมาตย์เป็นผู้ดำเนินการ โดยร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจัดจ้างมวลชนเข้ามาชุมนุมและมีการปราศรัยใช้ความเท็จบ้าง ความจริงบ้าง ส่วนมากเป็นความเท็จ ปลุกระดมมวลชนให้จงเกลียดจงชังคณะรัฐบาล โดยเน้นไปที่ตัวบุคคลคือ พตท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเป็นหัวหน้ารัฐบาล
            มวลชนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมมีหลายส่วน แต่ในส่วนที่สำคัญคือ คนที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และสาวกของสันติอโศก รวมทั้งคนงานตามโรงงานต่างๆที่เข้ามาร่วม หลังจากเลิกงานแล้ว การเข้าร่วมชุมนุมของคนเหล่านี้ก็เพียงเพื่อเงิน เป็นการหารายได้เสริมจากงานหลักของพวกตนเท่านั้นเอง
            การชุมนุมมีการยืดเยื้อยาวนาน มีการกระทำความผิดในเกือบทุกฐานความผิดของกฎหมายที่มีอยู่ แต่ก็ไม่เคยถูกจับกุมดำเนินคดีแม้แต่รายเดียว
            สังคมเกิดความสงสัยแคลงใจว่าขณะนี้ประเทศไทยกำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ประชาชนก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ในขณะนั้น
            สำหรับรัฐบาลก็ไม่ยอมที่จะชี้แจงอะไรคืออะไรให้ประชาชนได้เข้าใจให้ชัดแจ้งได้ การชุมนุมไม่สามารถที่จะล้มรัฐบาลของนายก พตท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรได้ ผลสุดท้ายอำมาตย์จึงใช้ให้ทหารทำรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 อำนาจของประชาชน 19 ล้านเสียงก็หมดความหมายไปในวันนั้น เหตุเพราะประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรม ขาดการวางแผน หรือเตรียมแผนที่จะรับมือคณะรัฐประหารไว้ก่อน จึงทำให้อำมาตย์ทำการสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
            จากความง่ายดายของพวกอำมาตย์ในวันนั้น ต่อมาความง่ายดายดังกล่าวไม่ได้เป็นความง่ายดายของพวกอำมาตย์ต่อมาอีกเลย
            มีขบวนการต่อต้านการรัฐประหารที่สนามหลวงเรียกว่ากลุ่มนปก.และต่อมาได้พัฒนาเป็นกลุ่มนปช. โดยใช้เสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์ หรือเรียกว่ากลุ่มคนเสื้อแดง
                นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดงเติบโตอย่างรวดเร็วและมีจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ ก็ร่วมชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย โดยให้รัฐบาลยุบสภา ขณะนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ได้สั่งปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง โดยใช้ให้ทหารติดอาวุธยิงประชาชนมือเปล่าล้มตายไปถึง 91 ศพและบาดเจ็บ 2,000 เศษ เป็นปฏิบัติการของรัฐบาลที่ไม่น่าเชื่อได้เลยว่าเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
                และเราก็ไม่เชื่อจริงๆว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยโดยเข็ดขาด เพราะการกระทำของรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นการกระทำของรัฐบาลเผด็จการเขาทำกัน หรือไม่ก็เป็นรัฐบาลอำมาตยาธิปไตยจะเป็นอื่นไปไม่ได้
            ผลกรรมที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเป็นรัฐบาลเผด็จการหรือรัฐบาลอำมาตยาธิปไตย ซึ่งได้ปฏิบัติการทำร้ายประชาชนไปแล้วนั้น ท่านอย่าหวังว่าท่านจะหนีกรรมที่ท่านได้กระทำไว้ไปได้เลย ท่านและคณะของพวกท่านจะต้องได้รับผลกรรมที่ท่านได้กระทำไว้เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่ผู้เขียนมีความเชื่อว่าจะได้รับในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน
            ถึงวันที่ท่านรับผลกรรมวันนั้น จะรู้ว่ากรรมที่ท่านทำไว้มันช่างสาสมกับการปฏิบัติการของท่านไม่น่าเชื่อจริงๆ แต่ท่านเชื่อเถิดว่า สิ่งที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้เช่นนี้ ท่านไม่เชื่อก็เป็นสิทธิ์ของท่านแต่กรรมที่ท่านจะได้รับนั้นเป็นกรรมหนักมากเปรียบเทียบกับอะไรไม่ได้
            แต่ก็ได้มีลางบอกเหตุเริ่มต้นแล้วที่เห็นชัดก็คือวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป พรรคของท่านและพรรคพันธมิตรท่านก็ได้รับบทเรียนจากการเลือกตั้งคือพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ด้วยอำนาจของประชาชนช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ทำให้พรรคของท่านและพรรคพันธมิตรต้องแพ้การเลือกตั้งแบบห่างกันเป็นเท่าตัว และอำนาจรัฐก็เปลี่ยนไปเป็นของพรรคประชาชนคือ “พรรคเพื่อไทย” ชนะการเลือกตั้งโดยเด็ดขาด และได้รับอำนาจจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศมาถึงวันนี้ยังไม่ครบเดือน แต่ก็ถูกท่านใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนานาด้วยวาทะกรรมของท่านและคณะ พวกท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านยังมีสติสัมปชัญญะดีหรือไม่ ทบทวนตัวเองบ้างสิครับ หรือพูดตามโบราณก็คือ “ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตัวเองบ้าง” ฉายาของท่านที่ว่า “ดีแต่พูด” ก็ควรเพิ่มเป็น “ดีแต่พูดทำลายไร้ประโยชน์กับประเทศชาติ”
            นี่มีข่าวจากพวกของท่านที่อยู่แถวเพชรบุรีบอกว่าพวกท่านจะพยายามล้มล้างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยให้ได้ภายใน 6 เดือน เวลานี้ท่านสุมหัวกันคิดว่าจะใช้วิธีไหนที่จะล้มล้างรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใน 6 เดือนนี้
            ผมขอบอกว่าขอเชิญนะครับท่านจะทำอะไรก็รีบทำเถิด เรื่องเลวร้ายทั้งหลายจะได้หมดไปจากประเทศนี้เสียที เมื่อเรื่องร้ายหมดไปก็คือ ไอ้พรรคกากเดนอำมาตย์ก็จะสูญสลายไปพร้อมกับเรื่องร้ายของประเทศด้วย
            ท่านอย่าคิดว่าท่านมีเส้น จะทำอะไรก็ได้เช่นที่เคยทำมาแล้วนั้น ท่านคิดผิดแล้วครับ ประชาชนเค้าตาสว่างแล้วว่าเส้นของท่านเป็นใคร กลุ่มไหน ประชาชนพร้อมเสมอที่จะร่วมกันกวาดล้างพรรคกากเดนอำมาตย์พร้อมกับเส้นของท่านด้วยไม่ว่าจะเส้นใหญ่แค่ไหน
            ก้าวเดินต่อไปของมวลมหาประชาชนพร้อมแล้วที่จะสัปยุทธ์กับท่าน ปัญหามีอยู่ว่าท่านพร้อมหรือยัง เมื่อพวกท่านพร้อมปฏิบัติการได้ทันที แล้วเราจะได้รู้กันว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป ทราบไหมไอ้กากเดนอำมาตย์และไอ้เส้นใหญ่ทั้งหลาย
http://redusala.blogspot.com


จาก“FWD Mail”สู่“กดแชร์”และ“รีทวีต” 
เทคโนโลยีเปลี่ยนไป แต่การใช้งานไม่เคยเปลี่ยนแปลง

จาก 4 ตัวอย่างที่ผมยกมาให้เห็น ทำให้เข้าใจได้เลยว่า แม้เทคโนโลยีจะเปลี่ยนไป แต่ถ้าเราไม่เคยคิด ไม่เคยตรวจสอบ แชร์ หรือ รีทวีต แบบอัตโนมัติ ไม่ต่างจากการทำงานของกล้ามเนื้อแบบรีเฟลกซ์ ผ่านแต่สันหลัง ไม่ผ่านสมอง มันมีแต่จะทำให้เสียกับเสียครับ

โดย ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล
ที่มา เว็บบล็อก My Life, My World, My View

จริงๆแล้ว ถ้าใครตามอ่านบล๊อกนี้มาตลอด ก็คงจะเข้าใจว่า นี่เป็นบล๊อกเกี่ยวกับดนตรีเป็นหลัก เพราะเป็นการรวมงานเขียนของผมที่ลงในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันจันทรฺ์ แต่นานๆที ก็คงต้องเขียนเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องบ้าง เพราะว่า ถ้าไม่ คงไม่ไหวเหมือนกันครับ

ในยุคสมัยที่การใช้อินเตอร์เน็ตเริ่มตั้งไข่ในบ้านเรา สิ่งแรกๆที่ทุกคนเห่อที่จะมีคือ อีเมล์ ของตนเอง ซึ่งผมเองเมื่อยังเป็นละอ่อนในมหาวิทยาลัย ก็สมัครเมล์ไว้ใช้กับเขาเหมือนกัน แต่ในตอนนั้น ไม่ได้ใช้ทำอะไรมากนัก เพราะว่า ยังไม่ได้มีการสื่อสารผ่านทางเมล์อะไรนัก และ เมล์บ๊อกซ์ของฟรีเมล์อย่าง Hotmail ตอนนั้น ยังแค่ 2 เม็ก

ย้ำ 2 เม็ก นะครับ เด็กรุ่นนี้คงคิดแทบไม่ออก เพราะว่า ทำอะไรแทบไม่ได้เลย จริงๆ ถ้าส่งแต่เมล์เท็กซ์น่ะ มันไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แต่เมื่อกระแสเมล์ลูกโซ่ หรือ Forward Mail เริ่มแพร่กระจาย มันก็ทำให้เรามีความจำเป็นต้องพยายามลบเมล์บ่อยๆ ไม่งั้นเมล์จะเต็ม และเด้งไป ถึงขนาดที่ เจ้าแม่เมล์ลูกโซ่ชื่อดังในตอนนั้นอย่าง ลูกแก้ว ยังมีสโลแกนว่า ล้างเมล์บ๊อกซ์ให้ดี เพราะว่า เราจะระเบิดเมล์บ๊อกซ์ของคุณแล้ว

แม้ในช่วงแรก เนื้อหาที่ส่งเวียนกันไปมา ฮาๆบ้าง ภาพโป๊บ้าง แต่เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเริ่มมีความแตกแยกทางความคิด ผมก็มักจะได้รับเมลจากเมืองไทยเสมอๆ (ตอนนั้นยังเรียนอยู่ญี่ปุ่นครับ) ซึ่งเนื้อหาก็โจมตีพี่หน้าเหลี่ยมอันเป็นที่รักยิ่งของหลายๆท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเลวเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องจาบจ้วง

ผมเองก็งงว่า ไปเอามาจากไหนกันวะ เยอะขนาดนั้น ออกมาเป็นชุดยังกับพงศาวดาร มาไม่เบื่อ แต่สุดท้ายคือ ไม่เคยเจอต้นตอ แบบนี้ จะเรียกว่า บัตรสนเท่ออนไลน์ก็ได้ครับ

พอยุค Social Media บูมมากๆ (ผมขอนับยุค Facbook ที่เริ่มประมาณช่วงปี 2552 นะครับ เพราะตัวก่อนหน้าอย่าง Hi5 หรือ MySpace ยังไม่มีศักยภาพด้านการแชร์สารพัดพอ)

คนไทยเริ่มใข้ Facebook เยอะขึ้นมาก จนแทบเดือดในช่วงเหตุการณ์ พฤษภาคม 2553 รวมไปถึง Twitter ที่โด่งดังได้เพราะพี่เหลี่ยมอีกนั่นล่ะครับ (หรือไม่จริง)

ทั้งสองตัวมีฟังชั่นที่คล้ายกันอยู่คือ การแชร์ในเฟซบุ๊ค และการ รีทวีตในทวิตเตอร์ ที่สามารถแบ่งปันข้อมูลทีเราอยากแบ่งได้อย่างรวดเร็ว

และ แท่นแท้น Forward Mail หายไปเลยครับ กลายเป็นกดแชร์ และรีทวีตกันอย่างสะดวกสบาย จนเรียกได้ว่า แทบไม่ต้องใช้สมองกัน ใช้ไขสันหลังในการแบ่งปัน ไม่ต้องคิดหาที่มาของสิ่งที่เราแบ่งปัน จนกลายเป็นเรื่องราวปัญหาที่ผมอยากเอามาเขียนในรอบนี้

กรณีที่ 1 พระราชดำรัสของในหลวงเรื่อง ปล่อยให้น้ำท่วมสวนจิตลดา

"ถ้าน้ำเข้าพระนคร ให้น้ำผ่านวังสวนจิตรไปเลย อย่ากั้นให้ผ่านไปเลย"

เป็นข้อความที่เป็นที่ฮือฮา และปลาบปลื้ม ของชนชาวไทยทัังหลายในโลกไซเบอร์ และถูกส่งต่อเป็นอย่างมาก กระทั่งคนดัง ก็ยังรีทวีตกันไปต่อ

แต่ผมเอง รู้สึกแปลกใจที่ว่า ข้อความดังกล่าว ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีบริบท ไม่มีในข่าวในพระราชสำนัก จนงงว่า มากจากไหน จนในที่สุด ความจริงขั้นแรก ก็กระจ่างว่า

สำนักพระราชวังปฏิเสธในหลวงรับสั่งในน้ำผ่านสวนจิตรฯ (ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์)

สุดท้าย ก็กลายเป็น “พระราชดำรัสปลอม” กุขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีที่มาที่ไป และครั้งนี้ ผมตกใจมากที่ สำนักพระราชวังถึงต้องออกมาปฏิเสธอย่างเป็นทางการ แสดงให้เห็นได้เลยว่า ทางวังเองก็ลำบากใจเช่นกัน ผมขอบอกตรงๆครับว่า การกระทำเช่นนี้ เป็นการดึงฟ้าต่ำอย่างแท้จริง

แม้คุณจะบอกว่า ทำด้วยความรัก แต่สิ่งที่คุณทำ มันยิ่งทำให้ระคายเคืองเบื้องสูงขึ้นไปอีก ซึ่งบางท่านถึงแสดงความเห็นว่า ในยุคสมูบรณาญาสิทธิราช หากคุณอ้างคำพูดของกษัตริย์ขึ้นมาลอยๆ โดยมิได้เป็นความจริง คุณสามารถถูกประหารชีวิตได้ด้วยซ้ำ (โดยคุณ @tumbler_p) ซึ่งเมื่อคิดจริงๆแล้ว ก็เป็นไปได้ เพราะการกระทำเช่นนี้ เราไม่อาจบอกเจตนาที่แน่ชัดได้ว่า คิดอะไรอยู่ ใครคิดจะแชร์ ก็คิดให้ดีก่อนเถิดครับ

กรณีที่ 2 สมเด็จพระเทพทรงออกช่วยประชาขนที่ประสบภัยอย่างเงียบๆ

เรื่องนี้ ผมหากระทู้ต้นตอไม่ได้ จึงต้องขออาศัยความจำเป็นหลัก โดยที่ เรื่องที่เกิดมีรายละเอียดประมาณนี้ครับ

“สมเด็จพระเทพทรงออกช่วยประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นการส่วนตัว จึงมิได้เป็นข่าว แม้กระทั่งข่าวในพระราชสำนัก”

ซึ่ง ก็เป็นภาพและข้อความที่ได้รับการแชร์วนไปมาไม่น้อย ซึ่ง ผมเองก็คิดว่า ไม่แปลกอะไร เพราะเรามักจะได้อ่านเรื่องราวของท่านในลักษณะนี้อยู่เสมอ (เช่นใน Fwd Mail ที่ส่งกันไปมาหลายครับ) และครั้งนี้ ก็เป็นอีกครั้ง ที่ท่านทรงภารกิจเป็นการส่วนพระองค์ แต่ที่ผมงงคือ แล้วผุ้ที่เอามาแชร์ ทราบได้อย่างไร และ ทำไมถึงมีภาพ

เรื่องราวมาถึงบางอ้อ เมื่อ ภาพที่ว่า มากจากที่นี้เองครับ

พระเทพโปรดเกล้าฯ พระราชทานพันธุ์ข้าว แจกจ่ายให้เกษตรกร

จริงๆแล้วเป็นภาพข่าวจากปีก่อน ที่ท่านทรงพระราชทานพันธุ์ข้าว กลายเป็นว่า ภาพกับเนื้อหา เป็นคนล่ะเรื่องไป ลดความน่าเชื่อถือของข้อมูลไปครึ่งหนึ่ง และยิ่งไม่มีข่าวอย่างเป็นทางการ เราเองก็ไม่สามารถบอกอะไรได้เลย กลายเป็นอีกครั้งที่ เราแชร์ข้อมูลที่ไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้

หวังว่า ครั้งนี้ คงจะไม่ไประคายเคืองเบื้องสูง ถึงกับสำนักพระราชวังต้องออกมาแถลงข่าวอีกนะครับ

กรณีที่ 3 กรณียิ่งลักษณ์ขี้เมา
กรณีนี้ เป็นอีกด้านหนึ่งของโลกออนไลน์ครับ จะว่าเป็นด่านมืดก็ว่าได้ โดยต้นตอมาจาก ภาพๆนี้ครับ

โดยมีการบรรยายประกอบว่า นี่คือภาพนายกยิ่งลักษณ์ ยกเหล้ากรอกปากสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย และด่าสาดเสียเทเสีย

จริงๆแล้ว ถ้าเป็นเรื่องในอดีต ผมว่า มันไม่ใช่เรื่องอะไรเลยนะครับ ประธานธิปดีอเมริกาอย่างโอบาม่ายังยอมรับว่าพี้กัญชาสมัยเรียนเลย คนครับ อายุน้อย ทำอะไรก็มีโอกาสพลาด แต่ ประเด็นมันไม่ใช่ตรงนั้นครับ

นี่คือตัวอย่างของ Hate Speech โจมตีเรื่องส่วนตัวของบุุคคลสาธารณะ โดยใช่วิธีการใดก็ได้ที่จะสร้างความน่ารังเกียจให้เกิดกับบุคคลดังกล่าว และอีกประเด็นคือ นี่คือ นายกยิ่งลักษณ์ในอดีตหรือไม่

คำตอบคือ ไม่ และที่มาคือ ลิงค์นี้ครับ คลิก มันคือภาพจากเว็บรวมภาพสาวฟิลิปปินส์ ซึ่งหยิบมาภาพเดียวที่ดูคล้ายนายก (ดูที่เหลือสิครับ เหมือนมั้ย) และเอามาโจมตี

ทั้งๆที่ไม่ใช่เจ้าตัวเลยแท้ๆ นี่คือตัวอย่างของการใช้วิธีสกปรกสาดเสียเทเสียบุคคล โดยไม่ได้คิดเลยว่า วิธีที่ตัวเองใช้นั้นคือ อวิชชา ที่สกปรกจริงๆ แน่นอครับว่า คนทำก็รู้ตัวอยู่แก่ใจว่า กำลังโกหกอยู่ แล้วคุณล่ะครับ จะร่วมขบวนคนโกหกไปกับพวกเขาหรือไม่

กรณีที่ 4 ทำเป็นหน้าเศร้า แต่ที่แท้ ก็ระรื่นเฮฮา
กรณีนี้ ก็กำลังมาแรงครับ โดยบอกว่า ดูนายกฯสิ ทำเป็นลุยงานหนัก แต่เอาเข้าจริงๆ ก็กระดี้กระด้า ไม่ได้มาสามัญสำนึก (ดูรูปประกอบ)

จริงๆแล้ว รูปนี้ ถ้าใช้สมองคิดซักหน่อย ไม่ได้ถูกบังตาโดยความเกลียดชัง จะสังเกตได้ว่า

1. พื้นที่่เป็นป่า ไม่น่าจะใช้พื้นที่ประสบภัยตอนนี้

2. ชุดที่ใส่ ไม่ใช่ชุดที่ใส่เป็นปกติในตอนรับตำแหน่ง แต่ดูคล้ายตอนหาเสียง

3. เวลาขึ้นฮ.สั่งงาน ปกติจะเป็นเครื่องขนาดใหญ่ ที่นั่งคุยแผนงานได้มากกว่าเครื่องขนาดเล็กที่ต้องนั่งติดเก้าอี้แบบนี้

ซึ่งพอเอาเข้าจริงๆ ค้นหาซักหน่อย ก็เจอครับ คลิก ว่าเป็นภาพตั้งแต่สมัยหาเสียง และไปถ่ายที่เชียงใหม่นู่นครับ แต่ชมรมคนเกลียดก็ด่ามันปากไปล่ะ

จาก 4 ตัวอย่างที่ผมยกมาให้เห็น ทำให้เข้าใจได้เลยว่า แม้เทคโนโลยีจะเปลี่ยนไป แต่ถ้าเราไม่เคยคิด ไม่เคยตรวจสอบ แชร์ หรือ รีทวีต แบบอัตโนมัติ ไม่ต่างจากการทำงานของกล้ามเนื้อแบบรีเฟลกซ์ ผ่านแต่สันหลัง ไม่ผ่านสมอง มันมีแต่จะทำให้เสียกับเสียครับ

จริงๆ เรื่องภาพนี่ เทคโนโลยีใหม่ของอากู๋ กูเกิ้ลอย่าง Search by Image ของ Google Image มันเทพมากนะครับ แค่ลากรูปที่เราอยากรู้ว่ามาจากไหน ไปใส่ใน Searchbox ก็เจอแล้ว ดังนั้น ลองหาดูเองมั่งก็ได้ครับ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของ “นักขุดรูปเก่า เล่านิทานลวง” ได้ครับ และที่สำคัญ

“โปรดมีสติและค้นหาความจริงก่อนแชร์หรือรีทวีต”

*ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากคุณ @jj_sathon จากเว็บ www.go6tv.com

************
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

สำนักพระราชวังปฏิเสธในหลวงรับสั่งให้น้ำผ่้านวัง สมศักดิ์เจียมฯชี้กระฎุมพีซาบซึ้งปรากฏการณ์ใหม่

-ตรวจสอบรูปข่าวลือง่ายๆ ด้วย Google Image Search

-หน้าเพจ Thailand Anti-Hoax Center ต่อต้านข่าวลือผิดๆ เช่น จริงไหมข่าวสะพานปทุม-รังสิตหัก,จริงไหมเรื่องว่าอาจารย์จุฬาหาว่าให้นิสิตจุฬาฯมาช่วยงานศปภ.ต้องเปลี่ยนเป็นเสื้อแดงก่อน ฯลฯ

-ชั่วซ้ำซาก! "ปั้นคำสนทนาในหลวง-นายกฯ"
http://redusala.blogspot.com



ฮีโร่สีเหลืองฝ่าเวลากู้วิกฤตเซฟชีวิตชาวกรุง

ความร่วมมือ-วิกฤตมาสามัคคีเกิดในการแก้ไขปัญหา แต่ดูเหมือนคนจำนวนไม่น้อยยังอาศัยวิกฤตนี้เป็นโอกาสที่จะสร้างคะแนนนิยมให้ฝ่ายตน และโยนผิดบ่อนเซาะความนิยมฝ่ายตรงข้าม

ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ตอนนี้ต้องการกำลังกาย

แกนนอน บก.ลายจุด หลังจากไปปักหลักเป็นอาสาสมัครภาคประชาชนที่ดอนเมืองมาหลายวัน ได้รับกำลังใจท่วมท้น เจ้าตัวแจ้งว่า ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ แต่สิ่งที่ผมต้องการยามนี้คือ "กำลังกาย" อย่าโกรธนะ พูดจริง

ต้องการอาสาสมัครมืออาชีพ มีใจ มีความคิด มีทักษะ มีความยืดหยุ่น และมีเวลา 2 สัปดาห์ มีเท่าไหร่ รับหมด ที่มูลนิธิกระจกเงา ดอนเมือง
******

1ปี 7เดือน ราชประสงค์ ใครสั่งฆ่า...เราไม่ลืม!
เมื่อ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา พี่น้องเสื้อแดงที่ไปตั้งเต๊นท์บริจาคช่้วยน้ำท่วมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (นักรบCyberรวมใจต้านภัยน้ำท่วม) ได้พากันปลีกตัวไปที่แยกราชประสงค์ ทำพิธีรำลึกวีรชน 92 ศพ ครบรอบ 1 ปี 7เดือน ขออนุญาตมาทำหน้าที่แทน เนื่องจากหลายๆคนประสพภัยพิบัติน้ำท่วมหนัก หรือติดภารกิจไปช่วยน้ำท่วม ไม่สามารถมาได้ แต่เรารู้ว่าไม่มีใครลืม

ไม่ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร น้ำท่วม เราก็ต้องเยียวยาช่วยเหลือกันอย่างสุดความสามารถ แต่กับการตามล่าคนสั่งฆ่าพี่น้องวีรชน ...รอยเลือดยังไม่เคยจางหายไป

คนที่ไปงานแจ้งว่า ตัวผมและพี่น้องพอจะสะดวกไปได้ ก็แวะมา"ทำหน้าที่แทนพี่น้องร่วมอุดมการณ์"ครับ

จากนั้นกลุ่มนักรบCyberรวมใจต้านภัยน้ำท่วม ก็ลงพื้นที่ครั้งที่ 8 อ บางปะหัน จ อยุธยา เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

(รายละเอียดกิจกรรมตามไปดู)

*********
สีเหลืองมาแล้ว เป็นฮีโร่ไม่ให้น้ำทะลักจมกทม.



ภาพเหตุการณ์จากกระทู้เว็บบอร์ด IF เหตุการณ์เขื่อนดิน ที่คลองระพีพัฒน์แตก คลองนี้อยู่ระหว่างคลอง 3 กับ คลอง 4 โดยเป็นคลองย่อย แต่ก็ออกไปสู่คลองรังสิตเช่นกัน

ถ้าหากปล่อยให้เขื่อนดินจุดนี้แตก ไม่รีบกู้คืน ผลก็คือมันจะแตกมากยิ่งขึ้น เหมือนช่วงที่แตกพร้อมกันที่ระหว่างคลองคลองห้า คลองหก และจะมีผลให้ทุกอย่างที่ทำมา ล้มเหลว จะทำให้น้ำทะลักเข้าสู่บ้านเรือนริมคลองทุกคลอง และเลยไปท่วม กทม. อย่างรวดเร็ว แบบเอาไม่อยู่แน่

ทาง อบต. คลองสาม พระ, ฆราวาส วัดพระธรรมกาย และประชาชนคลองสาม จึงได้ร่วมแรงร่วมใจกัน มาปกป้องเขื่อนดินแห่งนี้ ตั้งแต่ สองทุ่ม จนถึง ตีสามจึงจะสำเร็จ

งานนี้ไม่ต้องใช้ฮ.ซีนุกส์ ไม่ต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์แบบสีเขียวทำ เอาหนึ่งสมองสองมือของมนุษย์นี่แหละ ต่อสู้กับกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก ความสามัคคีและความมุ่งมั่น เท่านั้น ครับ ที่จะทำให้งานใดๆ สำเร็จได้

ตอนเช้าทางวัดพระธรรมกาย กระจายเสียงแจ้งข่าวให้ ศธัทธาญาติโยม เจ้าหน้าที่วัด พระ เณร ให้มาช่วยกันเสริมกระสอบทรายเพิ่มขึ้นอีกชั้น ตลอดแนว 8 กิโลเมตร เพื่อไม่ให้เกิดเหตุแบบเมื่อคืนอีก และจะเฝ้าเวรยาม ตรวจดูตลอด 24 ชม.


เป็นอันเบาใจได้นะครับ ท่านทั้งหลาย ที่อยู่ใน กทม.(เรื่องและภาพโดย:JPLSOFT


*********

เส้นทางสีแดงจากราชประสงค์ถึงดอนเมืองช่วยเหลือผู้ประสบภัย
เนื่องจากปัญหาอุทกภัยได้ลุกลามทั่วประเทศ กลุ่มเส้นทางสีแดงจึงได้จัดกิจกรรมแรลลี่ในกรุงเทพเพื่อรวบรวมน้ำใจและสิ่งของบริจาคไปมอบให้กับผู้ประสพอุทกภัยทั่วประเทศผ่านศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของรัฐบาลที่ดอนเมือง

กิจกรรม : เส้นทางสีแดงเพื่อผู้ประสพอุทกภัย

เป้าหมาย : เพื่อรวบรวมน้ำใจ สิ่งของบริจาคมอบให้กับผู้ประสพอุทกภัยทั่วประเทศที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ดอนเมือง)

กำหนดการ : 9.00 น. เปิดรับมอบน้ำใจและสิ่งของบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา ผู้สนใจร่วมกิจกรรมน้ำรถมอเตอร์ไซด์ รถกระบะ รถหกล้อ รถทุกชนิดมาร่วมบรรทุกสิ่งของบริจาค หน้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม FORD 081-5836964

10.00 น. เคลื่อนขบวนแรลลี่ไปตามเส้นทางที่กำหนด และรวบรวมนำไปมอบให้กับศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสพอุทกภัยที่ดอนเมือง

เส้นทาง : ราชประสงค์-ดอนเมือง (ผ่าน เยาวราช บางลำพู นางเลิ้ง ประตูน้ำ ดินแดง อนุเสาวรีย์ สะพานควาย ลาดพร้าว พหลโยธิน ดอนเมือง)

วันเวลา : อาทิตย์ 23 ตค. 2554 เวลา 9.00-12.00 น.

******


ร้านหนังสือในฝันของคุณๆเป็นกันแบบนี้ไหม


*22 ตุลานี้ เปิดร้าน Book Re:public เปิดพื้นที่สาธารณะสำหรับการพูดคุยและถกเถียงด้วยเหตุผล


วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม นี้ บริเวณถนนริมคลองชลประทาน หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะมีกิจกรรมเปิด เสวนา อ่านออกเสียงครั้งที่ 1 “เปิดปาก เปิดพื้นที่เสรีทางความคิด”

เนื่องในโอกาสเปิดร้าน Book Re:public ซึ่งนอกจากเป็นร้านหนังสือและบาร์กาแฟแล้ว ยังเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับพบปะพูดคุยเรื่องต่างๆ อย่างเปิดเผย ตั้งแต่ประเด็นหนักหัวอย่างประวัติศาสตร์การเมือง ไปจนถึงสารพันปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมในชีวิตประจำวัน



“เรายังมีพื้นที่สาธารณะไม่เพียงพออีกหรือ?”

คณะผู้ก่อตั้งฯ ซึ่งประกอบด้วย นักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคม ได้เห็นร่วมกันว่า นับตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมาพื้นที่สาธารณะหลากหลายประเภทถูกเซ็นเซอร์จากอำนาจรัฐ ไม่ว่าด้วยการปิดเว็บไซต์ การห้ามเผยแพร่หนังสือ การแบนภาพยนตร์ การยึดสถานีวิทยุชุมชน โดยรัฐอ้างว่าพื้นที่เหล่านี้มีเนื้อหาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและที่

ยิ่งไปกว่านั้น การก่อตัวของภาคประชาสังคมเอียงขวา เช่น ขบวนการล่าแม่มดในอินเตอร์เน็ต หรือแม้กระทั่งสื่อมวลชนหลายแขนงที่สนับสนุนอำนาจรัฐในการปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 2553

คณะผู้ก่อตั้งฯ ในฐานะประชาชนธรรมดาไม่อาจเห็นด้วยกับการถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพเช่นนี้ ด้วยความเชื่อว่าการสถาปนาระบอบเสรีประชาธิปไตยให้ลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงนั้น ประชาชนจำเป็นต้องทวงคืน สร้างใหม่ และขยายพื้นที่สาธารณะทางความคิด ที่เปิดโอกาสให้ทุกอุดมการณ์ได้มาถกเถียง วิวาทะกันอย่างเปิดกว้างที่สุด เพื่อที่เราจะได้ต่อสู้กันทางความคิดแทนการใช้อาวุธและความรุนแรง

กิจกรรมของร้าน Book Re:public เริื่มจากการจัดเสวนา “อ่านออกเสียง” เพื่อให้ทุกอุดมการณ์ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สร้างวิวาทะ และวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกันอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม หลังจากนั้น ก็จะเป็นการเปิด “หลักสูตรประชาธิปไตยศึกษา” เพื่อสร้างพื้นฐานความรู้ทางการเมืองแนววิพากษ์ สำหรับการวิเคราะห์และทำความเข้าใจพลวัตความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย

นอกจากนี้ เรายังจัดพื้นที่ให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการอ่านและค้นคว้าหนังสือเกี่ยวกัประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทย มีการจัดฉายหนัง แสดงดนตรี อ่านบทกวี นิทรรศการหมุนเวียน และการแสดง collection หนังสือหายาก เป็นครั้งคราว ซึ่งทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น


กิจกรรมเสวนาอ่านออกเสียงประจำเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน

อ่านออกเสียงครั้งที่ 1 “เปิดปาก เปิดพื้นที่เสรีทางความคิด”
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2554

16.00 น. - 17.00 น. ปาฐกถา "อ่าน คำพิพากษา จากชาติ กอบจิตติ ถึงตุลาการศาลไทย"
ไชยันต์ รัชชกูล สถาบันศาสนา วัฒนธรรม และสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ
แนะนำโครงการ Cafe´ Democracy และ Book Re:public
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
17.00 น. - 17.40 น. เสวนา “คนหนุ่มสาวสามยุคในขบวนการประชาธิปไตย”
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สืบสกุล กิจนุกร นักวิจัยอิสระ
สุลักษณ์ หลำอุบล อดีตนักกิจกรรม สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
17.40น. - 19.00 น. เสวนา "ยังจะทำ/เขียน/อ่าน/ขาย หนังสืออยู่อีกหรือ?"
คนทำ ไอดา บรรณาธิการวารสารอ่าน
คนเขียน วรพจน์ พันพงศ์ นักเขียนสารคดี
คนขาย เสาวนีย์ เมฆานุพักตร์ เจ้าของร้านเล่า
ดำเนินรายการโดย รจเรข วัฒนพาณิชย์ ร้าน Book Re:public
19.00 น. รับประทานอาหารค่ำ และชมดนตรี โดยวงสุดสะแนนและผองเพื่อน

อ่านออกเสียงครั้งที่ 2 “ประสบการณ์จัดหนัก”
วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2554
15.00 น. -16 .00 น. "คนทำหนังสือที่ริอ่านมาทำหนัง"
สุภาพ หริมเทพาธิป ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ ไบโอสโคป/รักจัดหนัก
โจ้ วชิรา Rabbithood ดำเนินรายการ
18.00 -21.00 น. "คนทำหนังที่ริอ่านเป็นผู้ก่อการร้าย"
ดูหนัง ผู้ก่อการร้าย ร่วมเสวนากับ ธัญสก พันสิทธิวรกุล และคำ ผกา


อ่านออกเสียงครั้งที่ 3 “อ่านอัลกุรอาน”
วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2554
13.00 น. - 15.00 น. “อ่านอัลกุรอาน ผ่านตัวบท บริบท และการเมืองของคัมภีร์อัลกุรอาน”
ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


อ่านออกเสียงครั้งที่ 4 “อ่านนิยาย/นิทานแห่งชาติ”
วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2554
13.00 น. - 15.00 น. "นิทานแห่งชาติเรื่อง รักแห่งสยาม, พ่อขุนอุปถัมภ์, และ ชนบทไร้เดียงสา”
ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รอการยืนยันหัวข้อ
ธงชัย วินิจจะกูล ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน

********

ทนายดา ตอร์ปิโด รายงานยอดบริจาคช่วงพี่ชายโดนจับ

ทนายประเวศ ประภานุกูล แจ้งรายงาน รายการบัญชีเงินบริจาคช่วยเหลือ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล (ดา ตอร์ปิโด)
ว่า สืบเนื่องจากการที่คุณกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล พี่ชายของดารณี ถูกจับตัวเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2554 ทำให้ไม่มีคนดูแลความเป็นอยู่(การซื้อของใช้)และฝากเงินเข้าบัญชีทัณฑสถานหญิงกลางให้ดา จึงมีคนนำหมายเลขบัญชีเงินฝากของผมไปเผยแพร่เพื่อให้ผู้ที่ประสงค์จะให้ความช่วยเหลือดา โอนเงินเข้ามาเป็นค่าใช้จ่ายของดา นั้น

ต่อมาคุณกิตติชัย ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำแล้วตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน ดังนั้นเรื่องความเป็นอยู่ของดา คุณกิตติชัย จึงเป็นผู้ดูแลต่อไปเช่นเดิม ไม่จำเป็นต้องผ่านผมอีก หากใครต้องการช่วยเหลือดา ขอให้ติดต่อคุณกิตติชัย ตามเดิม

ส่วนเงินที่โอนเข้าบัญชีผมมาแล้วนั้น ผมได้ไปคุยกับดา ได้ข้อสรุปจากดา ว่า ให้โอนเงินทั้งหมดเข้าบัญชีของคุณกิตติชัย เพื่อให้คุณกิตติชัย รับไปใช้ดูแลดา ต่อไป ผมจึงได้โอนเงินเข้าบัญชีคุณกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาพูนผล เลขที่บัญชี 297-1-25805-5 จำนวนเงิน 16,224.13 บาท โดยเป็นการโอนผ่านธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเสียค่าโอนเงิน 60 บาท (ตามใบคำขอโอนเงิน/ใบเสร็จรับเงิน)

ดังนั้นหากมีใครต้องการช่วยเหลือดา ขอได้โปรดติดต่อคุณกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล พี่ชายดาโดยตรงตามเดิม ไม่ต้องโอนผ่านบัญชีของผมแล้ว


อ่านปากคำของดา ตอร์ปิโด ที่พูดกับบางกอกโพสต์ล่าสุด และประชาไทถอดความเป็นภาษาไทย คลิ้กที่นี่ มีหลายประเด็นน่าสนใจ และคนยังไม่รู้แบบลึกๆในบทสัมภาษณ์นี้
http://redusala.blogspot.com



คำคม จากเวป ดราม่า

คำค้มคม,จากเว็บดราม่า

คำ หนูดี,ลบจากtwitterแล้ว
คำ ศุ บุญเลี้ยง,ปิดfbไปแล้ว


คำ ผกา,มติชนสุดสัปดาห์
http://redusala.blogspot.com