วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มีเวลาคิด30วันศาลรธน.ไม่เร่งถกกม.เลือกตั้ง

       เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3043 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 29 เมษายน 2011
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10499
         ศาลรัฐธรรมนูญบรรจุวาระพิจารณาร่างกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 3 ฉบับ วันที่ 2 พ.ค. นี้ เสร็จทันกำหนดยุบสภาหรือไม่บอกไม่ได้ เพราะมีกรอบเวลาให้พิจารณาได้นาน 30 วัน กกต. ดักคอไม่มีอะไรซับซ้อนไม่ต้องใช้เวลามาก หัวหน้าประชาสันติไม่มั่นใจจะมีเลือกตั้ง เพราะมีปัญหารุมเร้าหลายด้าน “อภิสิทธิ์” ยืนยันกับทูตสหรัฐยุบสภาตามกำหนด เลือกตั้งใน 45-60 วัน
ศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 3 ฉบับ ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. ที่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้วในวันที่ 2 พ.ค. นี้
สำหรับประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคือมีข้อกำหนดใดในร่างกฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยมีเวลาพิจารณา 30 วัน นับจากวันที่ได้รับเรื่อง ส่วนจะเสร็จเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการพิจารณาของตุลาการ


กกต. ชี้ไม่ซับซ้อนไม่ต้องดูนาน


นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะพิจารณาได้เร็ว แม้กฎหมายจะให้เวลาถึง 30 วัน เพราะไม่มีอะไรสลับซับซ้อน


“ยังเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้ง โดยวันที่ 2 พ.ค. นี้ กกต. ได้นัดพูดคุยกับหัวหน้าพรรคการเมืองเรื่องระเบียบต่างๆ”


“เสรี” ไม่มั่นใจจะมีเลือกตั้ง


นายเสรี สุวรรณภานนท์ หัวหน้าพรรคประชาสันติ ให้สัมภาษณ์หลังเปิดที่ทำการพรรคว่า พรรคไม่ได้คาดว่าจะได้ ส.ส. กี่คน แต่จะส่งคนที่มีคุณภาพลงสมัครให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น เพราะขณะนี้มีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ทั้งปัญหาในประเทศและปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน
“ไม่ว่าจะมีเลือกตั้งหรือไม่เมื่อตั้งพรรคมาแล้วเราก็พร้อมทุกกรณี เพื่อเสนอตัวเป็นทางเลือกของประชาชน สำหรับนโยบายที่ใช้หาเสียงจะเน้นเรื่องทำการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่แสวงหาผลประโยชน์ หยุดการบริหารแบบลด แลก แจก แถม หยุดการทุจริตที่สร้างหายนะให้บ้านเมือง โดยให้เพิ่มโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และผลักดันให้มีการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ”


“มาร์ค” ยันยุบสภาตามกำหนดเดิม


ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับนางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เพื่อหารือถึงสถานการณ์ต่างๆ โดยนายกรัฐมนตรีชี้แจงทิศทางการเมืองว่า จะมีการยุบสภาสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. แน่นอน จากนั้นจะมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน และจะมีรัฐบาลใหม่ในเดือน ส.ค.


ขู่ “มิ่งขวัญ” ไม่ชัดเจนโดนถอดชื่อ


ที่พรรคเพื่อไทย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา ส.ส. ที่มีข่าวว่าจะย้ายไปพรรคการเมืองอื่นได้เข้ามารายงานตัวกับพรรคเกือบครบทุกคนแล้ว เหลือเพียงนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ที่ยังไม่ได้มารายงานตัว หากมารายงานตัวไม่ทันกำหนดส่งรายชื่อผู้สมัครแบบปาร์ตี้ลิสต์ก็ต้องตัดชื่อออก


นายคณวัฒน์ วศินสังวรณ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงหลังการประชุมคณะทำงานนโยบายพรรคว่า พรรคได้รวบรวมปัญหาของประชาชนที่สะท้อนผ่านมาทาง ส.ส. รวมถึงเปิดรับฟังปัญหาจากนักธุรกิจ รับฟังข้อเสนอแนะจากนักวิชาการและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยทำนโยบายครอบคลุมทุกด้านคือ ด้านการเมือง ด้านการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ประชาชน ด้านการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ด้านคมนาคมขนส่ง ด้านพลังงาน และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เมื่อทำรายละเอียดเรียบร้อยแล้วจะนำเสนอกับประชาชนต่อไป


“สนธยา” มั่นใจพลังชลได้ 12 เสียง


นายสนธยา คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา กล่าวว่า กำลังรอการรับรองการจัดตั้งพรรคพลังชลจาก กกต. โดยพรรคมีนโยบายเป็นกลางทางการเมือง ไม่เลือกข้าง เพื่อสร้างความสามัคคี
“จะส่งผู้สมัคร ส.ส. ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ คาดว่าจะได้ไม่น้อยกว่า 12 เสียง ยืนยันว่าการแยกตัวมาตั้งพรรคไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย หลังเลือกตั้งเราพร้อมทำงานร่วมกับทุกพรรคการเมือง”


“เทพไท” เสี้ยม “มิ่งขวัญ” ทิ้งเพื่อไทย


นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แนะนำนายมิ่งขวัญว่า ควรออกมาตั้งพรรคใหม่ดีกว่าอยู่พรรคเพื่อไทย เพราะได้ ส.ส. 20-30 เสียงก็มีโอกาสได้ร่วมรัฐบาล หากอยู่ต่อไปก็ไม่มีโอกาส แถมยังไม่มีชื่อติด 1 ใน 10 ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วย


นายเทพไทระบุว่า เมื่อดูจากคะแนนพรรคในการเลือกตั้งปี 2550 แล้วพรรคได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 51 คน การเลือกตั้งครั้งนี้จึงมั่นใจว่าน่าจะได้ ส.ส.ระบบนี้ไม่น้อยกว่า 60 คน


ผู้มีอำนาจไม่ปรับตัวชนวนขัดแย้ง


ดร.ลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต ผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอก วิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเรามาจากระบบของเราพัฒนาไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และคนบางส่วนไม่ปรับตัวให้ทันกระแสความต้องการของสังคม ขณะนี้การปฏิวัติทางสังคมได้เกิดขึ้นแล้ว คนรับรู้ข่าวสารมากขึ้น มีโลกทัศน์กว้างขึ้น รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนในสังคม และรู้ว่าใครเป็นผู้มีอำนาจ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของคนในสังคมกับผู้มีอำนาจเริ่มเปลี่ยน หากผู้มีอำนาจไม่เปลี่ยนความคิด ไม่ปรับตัวจะเกิดความขัดแย้งไม่สิ้นสุด


เลือกตั้งแก้ปัญหาดีที่สุด


“การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในตอนนี้คือปล่อยให้ประชาชนตัดสินด้วยการเลือกตั้งอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการโกง ไม่ใช้อำนาจรัฐควบคุม หากไม่มีการเลือกตั้ง หรือมีแต่ไม่ยุติธรรม การต่อสู้เรียกร้องจะมีต่อไปไม่สิ้นสุด” ดร.ลิขิตกล่าวและว่า แนวคิดเรื่องการใช้อำนาจพิเศษเข้ามาแก้ปัญหาเป็นทางออกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ปัจจุบันใช้วิธีนี้ไม่ได้ การปฏิวัติเมื่อปี 2549 แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่ามีแต่ปัญหา แม้จะมีรัฐบาลผลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่การที่ทหารเป็นคนจัดการตั้งรัฐบาลก็ทำให้มีปัญหา


“ผมเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่การตั้งรัฐบาลและการบริหารประเทศจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก สุดท้ายปัญหาจะวนกลับมาที่เดิม”


ห่วงทหารแทรกแซงตั้งรัฐบาล


นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการญาติวีรชน พ.ค. 2535 แสดงความเป็นห่วงว่าทหารจะเข้ามาแทรกแซงการเมืองอีก เพราะบทบาทที่แสดงออกมาไม่ต่างจากพรรคทหารที่เข้ามาแทรกแซงจัดตั้งรัฐบาล ถึงเวลาที่เราต้องร่วมกันเรียกร้องให้ปฏิรูปกองทัพเพื่อปรับบทบาทของกองทัพใหม่ ต้องไม่ยุ่งกับการเมือง เพราะการที่ทหารเข้ามายุ่งกับการเมืองทำให้ประชาชนถูกแบ่งแยก ซึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรงได้อีก


“การเลือกตั้งคือทางออกที่ดีสุดในตอนนี้ และเมื่อได้รัฐบาลใหม่แล้วจะต้องปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกฎหมาย เปิดพื้นที่ทางการเมืองให้ทุกกลุ่มได้เข้ามาสู่การเมืองในระบบรัฐสภา โดยแก้กฎหมายพรรคการเมืองยกเลิกข้อกำหนดที่ยุ่งยากในการตั้งพรรค” นายเมธากล่าวและว่า เท่าที่ดูไม่น่าจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้น เพราะไม่มีเงื่อนไขอะไรเอื้อให้ยึดอำนาจ แม้มีความพยายามปลุกกระแสเรื่องหมิ่นเบื้องสูงเพื่อใช้เป็นข้ออ้าง แต่สังคมไม่ตอบรับเท่าไร”


****************************************
http://redusala.blogspot.com
จดหมายจากนักศึกษาธรรมศาสตร์
นี่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่ผมรู้จัก!

http://prachatai3.info/journal/2011/04/34272

Thu, 2011-04-28 13:25

นักศึกษาคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยแห่งความเพ้อฝัน

ผมมีความใฝ่ฝันมาตลอดว่าผมอยากเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นี้ให้ได้ เนื่องด้วยเป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อที่สุดในด้านสังคมศาสตร์และการเืมือง ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จและก็ได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะนักศึกษาคนหนึ่ง
ภาพแรกที่ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำคือแผ่นป้ายที่เขียนตัวเบ้อเริ่มว่า ขอต้อนรับสู่ดินแดนแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้ว รวมทั้งหลายๆคำขวัญที่ตราตรึงเช่นกันในหัวของพวกเราที่เป็นเพื่อนใหม่ การปลูกฝังอุดมการณ์ประชาธิปไตย รักประชาชน หรือการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพทางด้านความคิด เป็นสิ่งที่หล่อหลอมเพื่อนใหม่ๆหลายคนและจุดประกายความหวังที่อยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ในช่วงแรกเริ่มของชีวิตนักศึกษา 
แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างที่หวังไว้...
คำขวัญรักประชาชน เสรีภาพ สิทธิเท่าเทียม ประชาธิปไตย เป็นแค่คำโฆษณาชวนเชื่อขายฝันที่ไม่เคยเห็นมหาวิทยาลัยคิดจะส่งเสริมอย่าง เป็นจริงเป็นจัง แม้แต่องค์การนักศึกษาที่มีประวัติอันยาวนานของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยใน ปัจจุบันก็เหลือเพียงแต่คนที่ไม่ได้สนใจประเด็นสังคมการเมืองอย่างจริงจัง เท่าไหร่นัก องค์การนักศึกษาหรือสภาในปัจจุบันไม่เคยแม้แต่จะกล้าแตะประเด็นทางการเมือง แต่ชอบอ้างว่าตนสนใจการเมือง อยากทำอะไรเพื่อสังคม อยากให้นักศึกษามีส่วนร่วมทางการเมือง  ฯลฯ และการจัดกิจกรรมที่เกิดขึ้นก็เห็นมีเพียงแต่กิจกรรมที่พร้อมจะมอบความไร้ สาระแก่ น.ศ.ในทุกโอกาส 
มหาวิทยาลัยเองก็ถูกกลืนหายไปกับทุนนิยมจนโงหัวไม่ขึ้น และแสร้งทำเป็นสนใจวิถีชีวิตแบบติดดินของชาวนาโดยการจัดกิจกรรมเกี่ยวข้าว โดยที่ไม่เคยใส่ใจกับรายละเอียดของกิจกรรมหรือให้ความรู้อย่างเป็นจริงเป็นจังเกี่ยวกับความทุกข์ยากของชาวนา มีเพียงแต่ข้ออ้างลอยๆที่ฟังดูตลกๆอย่าง "เพื่อเป็นการให้รู้ว่า น.ศ. มธ ติดดิน" 
และเมื่อมีกลุ่มอาจารย์หรือนักศึกษาที่พร้อมลุกขึ้นมาเขย่าความคิดของนักศึกษาให้ตื่นขึ้น อธิการบดีก็พร้อมที่จะปิดกั้นโอกาสนั้น
ดังวิสัยทัศน์ล่าสุดของอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร. สมคิด เลิศไพฑูรย์ที่กล่าวไว้ในสเตตัสของตัวเองว่า "ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้มธ.เป็นฐานเคลื่อนไหวทางการเมือง แม้ไม่ผิดกฏหมาย แต่ฉวัดเฉวียน หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดใคร หรือสถาบันใดก็ตาม" (จากเฟสบุ๊ก Somkit Lertpaithoon) 
นี่หรือคือความคิดของอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพ? ถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้วการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือการออกมาวิจารณ์ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมันต้องเกิดการพาดพิงในตัวของมันเองอยู่แล้วมิใช่หรือ ความหมิ่นเหม่ที่จะละเมิดใครไม่ใช่สิ่งที่เป็นธรรมดาของการวิจารณ์หรอกหรือ? 
ต้องยอมรับว่าผมผิดหวังในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาก มหาวิทยาลัยที่ผมตั้งความหวังไว้ว่าจะมีอะไร กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่มีแต่ความกลวงเปล่า เสรีภาพ สิทธิ ความคิดทางการเมืองที่แหลมคม ถูกผลักให้ไปอยู่ขอบนอกของวิสัยทัศน์ที่แท้จริง และถูกทำให้กลายเป็นเครื่องประดับ เหมือนต้นคริสต์มาสต์ที่เต็มไปด้วยสิ่งประดับหลอกลวง 
ถ้าอาจารย์จะพูดอย่างนี้แล้วผมว่าอย่าไปส่งเสริมมันเลยเสรีภาพหรือการเมืองอะไรนั่น ผมว่ายกเลิกการจัดกิจกรรมทางการเมืองทั้งหมดเหมือนที่หลายๆมหาวิทยาลัยเค้าทำเถอะ จะได้ไม่ต้องมีฐานเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง จะได้ไม่ต้องมีฐานทางความคิดเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนทุกคนพึงมี 
แล้วจะได้ไม่ต้องไปพูดกับใครอีกว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพ อายเค้า...
http://redusala.blogspot.com
กรณีแม่ชีทศพร
ว่าด้วยการผูกขาดครอบงำทางวัฒนธรรม


http://prachatai3.info/journal/2011/04/34303

Sat, 2011-04-30 01:10


ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา วีดีโอ “แก้กรรม” ของแม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ หรือแม่ชีใหญ่ซึ่งเผยแพร่ในเวปไซต์ยูทูปได้กลายมาเป็นประเด็นการถกเถียงที่ร้อนแรงประเด็นหนึ่งในเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟสบุ๊ค จนทำให้เกิดแฟนเพจล้อเลียนแม่ชีทศพรชื่อว่า “แม่ชี นะลูกนะ” ซึ่งมีสมาชิกจำนวนกว่าพันคน
เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา คำ ผกา นักคิดนักเขียนชื่อดังได้หยิบประเด็นการแก้กรรมของแม่ชีทศพรมาวิเคราะห์และวิพากษ์ในรายการ “คิดเล่นเห็นต่าง กับ คำ ผกา” ซึ่งเผยแพร่เป็นประจำทุกวันอาทิตย์ทางช่องเคเบิลทีวี Voice TV (ดูวีดีโอย้อนหลังได้ที่http://shows.voicetv.co.th/kid-len-hen-tang/7900.html)
และล่าสุด เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เดินทางไปวัดพิชยญาติการาม เพื่อขอเข้าพบพระพรหมโมลี เจ้าอาวาสและกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง และได้พบกับแม่ชีทศพร จึงได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303911878&grpid=&catid=19&subcatid=1904) ในเย็นวันเดียวกันนี้เอง รายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ช่วง “สรยุทธ์ เจาะข่าวเด่น” รมว.วธ. ได้รับเชิญมาชี้แจ้งท่าทีของกระทรวงวัฒนธรรมต่อกรณี “แก้กรรมแบบพิศดาร” (ดูวีดีโอย้อนหลังได้ที่http://www.youtube.com/watch?v=GJK1xMtti-s&feature=player_embedded#at=634) จนนำมาซึ่งการกดดันและการใช้มาตรการต่างๆ (ทั้งโดยตรงผ่านกฎหมายและโดยอ้อมผ่านผู้บังคับบังชา) เพื่อจัดการกับแม่ชีทศพรโดยศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303999145&grpid=00&catid=&subcatid=)

การผูกขาดครอบงำทางวัฒนธรรมผ่านกลไกอำนาจรัฐ
ปรากฏการณ์วิวาทะแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่สังคมเสมือนจริงไปจนถึงพื้นที่สื่อสารมวลชนนี้ นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจต่อพัฒนาการทางความคิดของสังคมไทย เพราะแสดงให้เห็นถึงการเริ่มเปิดกว้างสู่การวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นอ่อนไหวทั้งหลายในสังคม (ในกรณีนี้คือ ความเชื่อทางศาสนา) เห็นได้จากข้อเสนอของ คำ ผกา ในตอนท้ายรายการที่ชักชวนให้ผู้ชมเห็นต่างและร่วมถกเถียง โดยเน้นย้ำว่าการวิพากษ์ของเธอไม่ได้ต้องการตัดสินคุณค่าดี/เลวให้กับความเชื่อเรื่องสแกนกรรม แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงที่มาที่ไปของ “กรอบคิด” ซึ่งแฝงอยู่เบื้องหลังการแก้กรรมของแม่ชี อันเต็มไปด้วยอคติทางเพศและมายาคติทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ถึงที่สุดแล้ว การสแกนกรรมของแม่ชีนับเป็นกรณีตัวอย่าง ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการผูกขาดองค์ความรู้ทางวัฒนธรรมผ่านกระบวนการกล่อมเกลาและปลูกฝังโดยระบบการศึกษาและจารีตประเพณีของทางการมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
อาจกล่าวได้ว่า “วัฒนธรรมแห่งการวิพากษ์” ที่เกิดขึ้นจาก “กรณีแม่ชีทศพร” นี้เป็นสิ่งที่สังคมต้องการอย่างมากในยุคเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและวัฒนธรรมซึ่งเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะสังสรรค์ของความคิดความเชื่อหลักของคนในสังคม อันจะนำไปสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนทัศน์อย่างถอนรากถอนโคนในไม่ช้าอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี การแสดงบทบาทและท่าที ตลอดจนการทยอยออกมาตรการต่างๆ ของกระทรวงวัฒนธรรม ผ่านรัฐมนตรีเจ้าประจำกระทรวงและศูนย์เฝ้าจับระวังทางวัฒนธรรมนั้นสวนทางกับวัฒนธรรมแห่งการวิพากษ์นี้อย่างมีนัยสำคัญ
ดังที่ รมว.วัฒนธรรม (วธ.) ได้กล่าวในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ว่า “เราต้องกลับไปที่หลักของพระพุทธศาสนา เรารู้ว่ามนุษย์สามารถแยกแยะความผิดความถูกได้ ความดีความเลวได้ ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นหลักศาสนาพุทธบอกว่าเป็นความชั่ว เป็นอกุศลกรรมก็อย่าไปทำ แต่ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นความดี เราก็ต้องทำดียิ่งๆ ขึ้นไป หลักมันอยู่ตรงนั้นเอง”
โดยการอ้าง “หลักที่แท้จริงของศาสนา” รมว.วธ. ได้สถาปนาหน่วยงานของตนเป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตีความศาสนาพุทธ และในขณะเดียวกัน ในฐานะหน่วยงานของรัฐ กระทรวงวัฒนธรรมได้ใช้กลไกอำนาจทั้งหมดที่อยู่ในมือ “เซ็นเซอร์” บุคคลใดๆ ที่แสดงออกซึ่งรสนิยมและแนวทางความเชื่อที่แตกต่างไปจากการตีความศาสนาของตนด้วยวิธีการเผด็จการนิยม ไม่ว่าจะเป็นการชงเรื่องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งล่าสุดได้ถอดถอนวีดีโอในยูทูปทั้งหมด และข่มขู่จะดำเนินการกับผู้ที่ทำการเผยแพร่คลิปตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือการใช้วิธีการ “มาเฟีย” คุกคามสถานะของแม่ชีทศพรผ่านผู้บังคับบังชาคือพระพรหมโมลีเจ้าอาวาสนั่นเอง
นอกจากนี้ โดยยังไม่ต้องเข้าไปถกเถียงประเด็นการตีความ “พุทธปรัชญา” เป็นที่น่าตั้งข้อสังเกตว่า การอุปโลกน์ “ความดี/เลว” ให้เป็น “หลักของพระพุทธศาสนา” ตามความเข้าใจของ รมว.วธ. นี้ แท้จริงกำลังจะสับสนระหว่าง “หลักพุทธศาสนา” (หรือพุทธปรัชญา ซึ่งเป็นแนวทางสู่ “อิสรภาพ” ทางจิตวิญญาณ) กับ “หลักศีลธรรม” (ซึ่งเป็น “กฎเกณฑ์” แนวปฏิบัติทางโลกอันเกิดขึ้นจากฉันทามติของคนในสังคมเดียวกัน) เสียด้วยซ้ำ
เนื้อหาและแนวทางของแม่ชีนั้นดีไม่ดี ถูกผิด เหมาะสมหรือไม่อย่างไร คงจะเป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องร่วมกันพูดคุยถกเถียง (ต้องไม่ลืมว่าแม่ชีเองก็มีลูกศิษย์ลูกหาหลายพันคน) และกระทรวงวัฒนธรรมก็มีความชอบธรรมในการที่จะออกมาแสดงจุดยืนและท่าทีของตนได้ แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการ “อำนาจนิยม” ที่กำลังทำอยู่ ซึ่งมุ่งยืนยัน “อำนาจ” ของตนเองผ่าน “บทลงโทษ” มากกว่าจะเปิดกว้างสู่ “วัฒนธรรมการวิพากษ์” เพื่อสร้างปัญญาให้กับสังคมอย่างแท้จริง
นี่สะท้อนปัญหาในเชิงกรอบคิดอันเป็นปัญหาเรื้อรังของกระทรวงนี้ กรอบคิดแบบ “ผูกขาดครอบงำเชิงวัฒนธรรม” (cultural hegemony) ได้ถูกสถาปนาให้เป็น “อัตลักษณ์” ประจำกระทรวงวัฒนธรรมซึ่งทึกทักเอาเองว่าการมีอยู่ของตนไม่สามารถแยกออกจากการ “เฝ้าระวัง” และ “ลงโทษ” ได้
เราต้องการสังคมแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ สังคมที่จะเปิดพื้นที่ให้กว้างมากพอสำหรับการต่อรองและการแสดงออกถึงความแตกต่างทางความเชื่อและวัฒนธรรมของกลุ่มคนต่างๆ ไม่ใช่สังคมที่ถูกกำกับโดยองค์กรซึ่งมีแนวคิดฟาสชิสต์ ในนามของ “ความถูกต้อง” หรือ “ความบริสุทธิ์ดีงาม” ทางวัฒนธรรม เพราะแม้แต่ความถูกต้องดีงามที่ถูกสถาปนาเป็นแนวคิดหลักนั้นก็ต้องถูกตรวจสอบและสอบทานได้
และถึงที่สุดแล้ว อาจไม่ใช่แม่ชีทศพรหรือสแกนกรรมใดๆ ที่เป็นภัยอย่างแท้จริงต่อความมั่นคงของพุทธศาสนา (เพราะพุทธศาสนาแบบทางการดำเนินอยู่ควบคู่ไปกับพุทธศาสนาแบบชาวบ้านมาตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว) หากแต่เป็นกระบวนการครอบงำทางวัฒนธรรมที่มีหัวขบวนเป็นองค์กรยักษ์ใหญ่เฉกเช่นกระทรวงวัฒนธรรมต่างหาก เพราะสิ่งที่ท่านทำคือ การปิดกั้นกดทับผู้คนในสังคมไม่ให้พวกเขาได้มี “อิสรภาพ” และ “พื้นที่” ในการแสดงออกซึ่งความเชื่อและความต้องการทางจิตวิญญาณที่หลากหลาย
ผู้หญิงกับพุทธศาสนาของไทย : เมื่อผู้หญิงไม่เคยมีพื้นที่ยืนในยุคกลางของยุโรป ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้สถาปนาตนเองเป็น “สถาบัน” (Establishment) ที่มีอำนาจและสถานะทางสังคมการเมืองที่มั่นคงและเบ็ดเสร็จ ประวัติศาสตร์ได้จารึก “กระบวนการล่าพวกนอกรีต” (Inquisition) ซึ่งกระทำโดยพระสงฆ์และคริสต์ศาสนิกชนในนามของความบริสุทธิ์ดีงามของศาสนา และหนึ่งในกลุ่มนอกรีตคือ กลุ่มผู้หญิงซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็น “แม่มด”
หากพิจารณาขบวนการแม่มดที่เกิดขึ้นในยุโรปนี้ด้วยมุมมองใหม่ทางประวัติศาสตร์ผนวกกับองค์ความรู้สายสตรีนิยม เราสามารถตีความได้ว่า ในแง่หนึ่ง การมีอยู่ของ “แม่มดหญิง” นี้เป็นความพยายามในการต่อรองกับ “อำนาจ” (ของศาสนจักรและศิลปวิทยาการ ซึ่งก็คือ “องค์ความรู้” ทั้งหลายของมนุษย์) ซึ่งถูกผูกขาดเรื่อยมาโดย “ผู้ชาย” การตั้งชื่อในแง่ลบให้กับกลุ่มผู้หญิงเหล่านี้ว่าเป็น “แม่มด” ตลอดจนการยัดเยียดข้อกล่าวหา “นอกรีต” ก็แสดงให้เห็นถึงกระบวนการที่ “สถาบัน” (ผ่านอำนาจชายเป็นใหญ่) จัดการกับการต่อสู้เพื่อจะมี “ที่ยืน” ในสังคมของกลุ่มคนชายขอบไร้อำนาจซึ่งคือ ผู้หญิง
ในแง่นี้ การ “เตือนสติสังคม” ของกระทรวงวัฒนธรรมโดยการผูกขาด “ความถูกต้อง” ของการตีความทางศาสนานี้เป็นการกระทำที่รุนแรงภายใต้กรอบความคิดผู้ชายเป็นใหญ่ ในสังคมที่อำนาจและองค์ความรู้ถูกผูกขาดเรื่อยมาโดยผู้ชาย
การปกป้องศาสนาถูก “เลือกปฏิบัติ” กับแม่ชีทศพร (ซึ่งไม่มีสถานะใดๆ เนื่องจากความเป็นแม่ชีไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสังคมหรือจากองค์กรสงฆ์ไทย ไม่ใช่นักบวช เป็นเพียงแค่ฆราวาสนุ่งขาวห่มขาวที่ถือศีล 8 ธรรมดา) ในขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมไม่เคยมีความจริงใจใดๆที่จะตรวจสอบพระสงฆ์องค์คณะที่มีพฤติกรรมการสอนเข้าข่าย “เบี่ยงเบน” (หากวัดจากบรรทัดฐานทางศีลธรรมของรมว.กธ.) อย่างสำนักธรรมกายหรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ในการกำกับดูแลของมหาเถรสมาคมเองก็ตาม
ใช่, วิธีคิดและชุดคำสอนของแม่ชีมีปัญหาอย่างแน่นอน แต่การเกิดขึ้นและมีอยู่ของแม่ชีเป็นผลพวงจากส่วนเกิน (excess) ที่สังคมนี้ผลิตขึ้นมาเอง ผ่านกระบวนการครอบงำและกดขี่ทางวัฒนธรรมที่ดำเนินมาช้านานซึ่งไม่เคยมี “พื้นที่” ให้กับผู้หญิงอย่างจริงจัง
เพราะ ในปริมณฑลของพุทธศาสนาไทย มีผู้หญิงเพียงสองประเภทเท่านั้นที่สามารถมีพื้นที่ยืนอยู่ได้ คือผู้หญิงอย่างแม่ชีศันสนีย์ที่ต้องอ่อนน้อมสยมยอมต่อระบอบชายเป็นใหญ่ หรือฆราวาสหญิงทั้งหลายซึ่งเป็นได้เพียงแค่อุบาสิกาผู้ค้ำจุนทำนุบำรุงศาสนา แต่ “ผู้หญิง” ในฐานะปัจเจกที่มีความเป็นเอกเทศและมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่จะสามารถเข้าถึงนิพพานได้ดังเช่นผู้ชายนั้น พุทธศาสนาไทยไม่เคยรับรองพื้นที่ให้กับพวกเธออย่างเป็นทางการและอย่างเท่าเทียม
ลูกศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงของแม่ชีอาจไม่ “หลุดพ้น” แต่ภายใต้สถานภาพของผู้หญิงที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ แม่ชีได้ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์เฉพาะหน้าของพวกเธอ
ใช่, การตีความพุทธศาสนาและรูปแบบการนำเสนอของแม่ชีอาจหมิ่นเหม่และล่วงละเมิดไม้บรรทัดทางศีลธรรมของกระทรวงวัฒนธรรม แต่แม่ชีทศพรไม่ใช่อาชญากรของรัฐที่จะทำลายความสงบสุขของสังคมไทยดังเช่นที่ รมว.วธ.กล่าวอ้าง
ดังนั้น กรณีแม่ชีทศพรนี้จึงเป็นกรณีที่น่าสนใจและท้าทายต่อสติและวุฒิภาวะของสังคมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นพื้นที่ของการปะทะต่อสู้ระหว่างความเชื่อแบบทางการกับความเชื่อแบบชาวบ้านแล้ว ในภาพที่กว้างออกไป กรณีนี้ยังชี้ให้เราเห็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนว่าด้วยความไม่เท่าเทียมทางเพศในปริมณฑลของพุทธศาสนาไทยอีกด้วย !
http://redusala.blogspot.com
กรณีแม่ชีทศพร : ตัวอย่างของ ‘ความงมงายที่ควรแก้ด้วยเหตุผล'

Sat, 2011-04-30 18:08


บทความจาก “สุรพศ ทวีศักดิ์” กรณีแม่ชีทศพร “ต้องเปิดพื้นที่วิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงด้วยเหตุผลให้กว้างขวางมากขึ้น และลงลึกมากขึ้นๆ เท่านั้น จึงจะแก้ปัญหาความงมงายและแก้ระบบอำนาจนิยมในมิติต่างๆ ได้”
ความเชื่อเรื่อง กรรมสูตรสำเร็จ คือความเชื่อที่ว่า ความเป็นไปทุกอย่างในชีวิตของเราเกิดจากกรรม และเมื่อพูดถึงความเป็นไปในชีวิตที่เกิดจากกรรมก็มักเน้นไปที่เรื่องร้ายๆ ที่อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ เช่น เวรกรรม เคราะห์กรรม บาปกรรม ฯลฯ เมื่อมีความเชื่อเป็นสูตรสำเร็จเช่นนี้จึงทำให้เกิดวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวแบบสูตรสำเร็จคือ วิธีแก้กรรม
ความหมายของ กรรม ตามความเชื่อดังกล่าวมักหมายถึงการทำกรรมและผลของกรรมแบบข้ามภพข้ามชาติ ปัญหาของความเชื่อเช่นนี้คือ เรารู้ได้อย่างไรว่า การกระทำกรรมและการให้ผลของกรรมแบบข้ามภพข้ามชาตินั้นเป็นความจริง เพราะการที่เราจะรู้ได้ว่าอะไรจริงก็ต่อเมื่อเราสามารถพิสูจน์สิ่งนั้นได้ เช่น โดยการเห็นด้วยตา หรือรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ถ้าเป็นปรากฏการณ์ด้านใน เช่น ความสงบทางจิต เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์กับความสงบนั้นตรงๆ เป็นต้น
ส่วนเรื่องว่า ตัวเราทำอะไรไว้ในชาติก่อน หรือนายขาว นายเขียว ทำอะไรไว้ในชาติที่แล้วจึงทำให้ชีวิตเป็นอย่างนี้ในชาตินี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีทางพิสูจน์อย่างเป็นสาธารณะ (เหมือนพิสูจน์น้ำเดือดที่ระดับอุณหภูมิ 100 องศาฯ) แต่มีการอ้างว่าเรื่องราวเช่นนี้สามารถรู้ได้ด้วย ญาณวิเศษ ของบุคคลพิเศษ เช่น ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาอธิบายว่า เรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าผู้มีญาณหยั่งรู้การเกิดตายของสรรพสัตว์ที่เป็นไปตามกฎแห่งกรรม (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)
แต่ถึงที่สุดแล้ว ญาณวิเศษ ดังกล่าวก็เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของปัจเจกบุคคล ในทางญาณวิทยา (ปรัชญาที่ตั้งคำถามต่อความน่าเชื่อถือของ ความจริง) มองว่าการยืนยัน ความจริง ด้วยการอ้างอิงญาณวิเศษของปัจเจกบุคคลเป็นการยืนยันที่มีความน่าเชื่อถือน้อยมาก เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าคนๆ นั้นมีญาณวิเศษจริงหรือไม่ (นอกจากเราจะมีญาณวิเศษแบบเดียวกับที่เขามี?)
ฉะนั้น ความจริงที่อ้างอิงญาณวิเศษ จึงเป็นความจริงที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อถือในตัวบุคคลที่เราเชื่อว่าเขามีญาณวิเศษ คนที่เชื่อคำทำนายกรรมเก่าและวิธีแก้กรรมของแม่ชีทศพร ไม่ใช่เชื่อเพราะพวกเขาได้พบข้อพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่แม่ชีพูดเป็นความจริง แต่เชื่อเพราะพวกเขาเชื่อว่าแม่ชีทศพรมีญาณวิเศษหยั่งรู้กรรมเก่าที่คนทั่วไปไม่สามารถจะรู้ได้
ตามหลักกาลามสูตร การยอมรับความจริงที่ขึ้นอยู่กับการเชื่อถือในตัวบุคคล (ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ตัวความจริงได้) ถือว่าเป็นการยอมรับความจริงที่ไม่สมเหตุสมผล การยอมรับความจริงที่สมเหตุสมผลตามหลักกาลามสูตรคือ การยอมรับความจริงที่พิสูจน์ได้ หรือมีประสบการตรงต่อความจริงนั้นได้แล้วเท่านั้น (ทั้งความจริงเกี่ยวกับโลกกายภาพ และความจริงเชิงนามธรรม เช่น ความจริงในมิติด้านจิตวิญญาณ เป็นต้น)
ข้อสังเกตคือ แม้พุทธศาสนาจะไม่ได้ปฏิเสธ ญาณวิเศษ ในการรู้ความจริงบางมิติ แต่ดูเหมือนพุทธศาสนาจะระมัดระวังอย่างยิ่งในการพูดถึงความจริงที่อ้างอิงญาณวิเศษ แม้แต่มีพระภิกษุมาคาดคั้นให้พระพุทธเจ้ายืนยันว่าชาติหน้ามีจริงหรือไม่ หากไม่ยืนยันเขาจะสึก แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ยืนยัน โดยอ้างว่าการยืนยันเรื่องดังกล่าวไม่มีประโยชน์แก่การเข้าใจทุกข์และการดับทุกข์ ในวินัยของพระสงฆ์ก็มีบทบัญญัติห้ามพระภิกษุอ้างญาณวิเศษมายืนยันความจริง เพื่อปิดโอกาสไม่ให้เกิดการหลอกลวง หรืออวดอ้างญาณวิเศษเพื่อแสวงหาลาภสักการะหรือผลประโยชน์เข้าตัว
ผมเข้าใจว่า พุทธศาสนาให้ความสำคัญสูงสุดกับความจริงที่พิสูจน์ได้ ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่เรียกว่าอริยสัจ 4 หรือพูดให้สั้นว่า ทุกข์กับความดับทุกข์ นั้น มีความหมายสำคัญว่า การเข้าใจความจริงเกี่ยวกับทุกข์อย่างชัดแจ้ง หรือตรงตามเป็นจริงเท่านั้นจึงจะนำไปสู่การดับทุกข์ได้จริง
และความจริงตามหลักอริยสัจคือความจริงที่ต้องพิสูจน์ หรือต้องประจักษ์ด้วยประสบการณ์ตรง หรือใช้ประสบการณ์ตรงในการยืนยัน ลักษณะสำคัญของความจริงเช่นนี้คือเป็นความจริงที่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยเหตุผล (เช่น อธิบายให้เห็นความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่าง สมุทัยกับทุกข์ มรรคกับนิโรธ)
ฉะนั้น การเข้าใจความจริงเกี่ยวกับทุกข์อย่างชัดแจ้ง กับการดับทุกข์ได้จริง จึงเกี่ยวข้องอย่างจำเป็นกับความงอกงามทางปัญญา ความมีเหตุผล หรือการข้ามพ้นความงมงายใดๆ
ต่างจากความจริงจากญาณวิเศษแบบของแม่ชีทศพร (เช่น) ที่ว่า ในชาติก่อน คนๆ หนึ่งไปเปิดประตูเมืองให้ข้าศึก ผลแห่งการกระทำนั้นทำให้ในชาตินี้เกิดมาเป็นผู้หญิงที่ต้องถูกผู้ชายทิ้งซ้ำซาก จึงต้อง แก้กรรม โดยใช้หอยจริงให้รับผลกรรมแทน หอยเชิงสัญลักษณ์ จะเห็นว่าความจริง (ความเชื่อ) ดังกล่าวนี้ไม่สามารถอธิบายให้เห็นความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างการเปิดประตูเมือง-หอยจริง-หอยเชิงสัญลักษณ์-ความทุกข์-การดับทุกข์ของคนที่ตั้งคำถามกับแม่ชีแต่อย่างใด
ปัญหาคือ ความเชื่อที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลเป็นความเชื่อที่งมงายหรือไม่ หากตอบตามหลักพุทธ ก็ต้องบอกว่างมงาย เพราะไม่สามารถแก้สาเหตุของทุกข์ตามเป็นจริงได้ (ถ้าต้องการแก้ทุกข์เพียงแค่ว่า ทำให้สบายใจ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ธรรมะ ใช้ ยากล่อมประสาท เป็นต้น ก็ได้) แต่การแก้ความงมงายต้องแก้ด้วย เหตุผล ไม่ใช่แก้ด้วยการใช้อำนาจ นั่นคือสังคมควรจะเปิดพื้นที่ให้มีการนำประเด็นความเชื่อที่งมงายหรืออธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผลมาสู่เวทีการถกเถียง การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เมื่อคนได้ถกเถียงและแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น คนก็จะใช้เหตุผลกันมากขึ้น ความเชื่อที่งมงายก็จะมีอิทธิพลต่อชีวิตและสังคมน้อยลง
แต่อย่างไรก็ตาม โดยข้อเท็จจริงแล้วในสังคมเราไม่ใช่มีเฉพาะความเชื่อแบบแม่ชีทศพร หรือความเชื่อทำนองเดียวกันนี้ในวงการพุทธศาสนา และไสยศาสตร์เท่านั้นที่อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ ยังมีความเชื่ออื่นๆ ที่อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้และมีผลกระทบต่อสังคมมากยิ่งกว่าความเชื่อทางศาสนาที่ควรนำมาสู่เวทีการถกเถียงอย่างตรงไปตรงมายิ่งกว่าด้วยซ้ำ
เช่น ความเชื่อที่ว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 8 และกฎหมายหมิ่นฯ มาตรา 112 ไม่ขัดกับความเป็นประชาธิปไตย ก็เป็นความเชื่อที่ไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลบนหลักการประชาธิปไตยได้เลย แต่บ้านเราก็ไม่สามารถเปิดพื้นที่ของการใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างถึงที่สุด
ความเชื่อที่งมงายหรือที่อธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผลในเรื่องใดๆ ก็ตาม ย่อมจะมีทั้งคนที่เชื่อและปฏิเสธ มองในแง่หนึ่งย่อมเป็นสิทธิที่แต่ละคนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่หากความเชื่อนั้นส่งผลกระทบด้านลบต่อสังคม ส่งผลกระทบต่อความเป็น-ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือส่งผลต่อความเป็นธรรม-ไม่เป็นธรรมทางสังคม (เช่น ความไม่เป็นธรรมทางอำนาจต่อรองทางการเมือง การตรวจสอบ ความรับผิดชอบของอำนาจสาธารณะ ฯลฯ) ย่อมเป็นความชอบธรรมที่สังคมจะนำประเด็นปัญหาของความเชื่อนั้นๆ มาสู่เวทีการถกเถียงอย่างเป็นสาธารณะเพื่อหาทางออกด้วยการใช้เหตุผลร่วมกัน
(โดยไม่ควรกังวลจนเกินเหตุว่าเป็น เรื่องละเอียดอ่อน เพราะความเชื่อที่ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงไม่ควรนำมาพูด มาถกเถียงด้วยเหตุผล อาจเป็นความเชื่อที่ งมงายอย่างยิ่ง อีกแบบหนึ่ง)
กรณีแม่ชีทศพร หรือกรณีเจ้าอาวาสวัดใหญ่ทำนายกรรมเก่า ทำนายอดีตชาติออกทีวีแทบทุกวันเช่นกัน และ/หรือกรณีความเชื่อในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของบางสถาบันทางสังคมจนยอมรับกันว่าสถาบันนั้นควรอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ (เป็นต้น) ซึ่งเป็นความเชื่อที่อธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผล ล้วนแต่เป็นปัญหาที่ต้องแก้ด้วยเหตุผล ไม่ใช่แก้ด้วยการใช้อำนาจ
แต่ สังคมพุทธ ศักดินาอำมาตยาธิปไตย เป็นสังคมที่มีลักษณะอำนาจนิยมทางศีลธรรมและทางความเชื่อ มีการใช้สองมาตรฐานทางศีลธรรม ในการปฏิบัติต่อการใช้หลักศีลธรรมและความเชื่อต่างๆ อย่างเป็นปกติ จึงเป็นสังคมที่ขาดวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงด้วยเหตุผล
ทว่ามีแต่ต้องเปิดพื้นที่วิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงด้วยเหตุผลให้กว้างขวางมากขึ้น และลงลึกมากขึ้นๆ เท่านั้น จึงจะแก้ปัญหาความงมงายและแก้ระบบอำนาจนิยมในมิติต่างๆ ได้ !
http://redusala.blogspot.com