ประชาไทคุยกับ สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) ถึงนัยยะของคำสั่งคสช.ที่
13/2559 การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ประชาไท: คำสั่งที่ 13 มีความสำคัญอย่างไร เหตุใดต่างชาติถึงออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างพร้อมเพรียง
สุณัย: หากเราดูปฏิกิริยาจากต่างประเทศ เราจะเห็นปรากฏการณ์ที่เราไม่ได้พบเจอบ่อยนัก คือการที่ตัวแทนของรัฐบาลประเทศในสหภาพยุโรปทั้งหมด กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ รัฐบาลแคนนาดา OHCHR รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ 6 องค์กร มีจุดยืนในเรื่องนี้ร่วมกันว่าคำสั่งที่ 13/2559 เป็นคำสั่งที่ขยายอำนาจของทหารเพิ่มเติมออกไปจากคำสั่งที่ 3/2558 ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งทั้งสองคำสั่งออกมาด้วยอำนาจของมาตรา 44
อันที่จริงคำสั่งที่ 3 ก็แย่มากพออยู่แล้ว แต่คำสั่งที่ 13 ได้ขยายอำนาจของทหารมากยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้เราไม่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ทหารได้เลยในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งทางอาญา แพ่ง และวินัย
เมื่อเราดูในรายละเอียดเราจะเห็นว่าคำสั่งที่ 13 เป็นการขยายอำนาจของคำสั่งที่ 3 โดยให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารจับกุม สอบสวน คุมขังบุคคลใดๆ ก็ได้ โดยที่ไม่มีมาตราการตรวจสอบจากฝ่ายตุลาการหรือนิติบัญญัติ คำสั่งที่ 3 ยังพูดถึงแค่ความผิดด้านความมั่นคง การพกพาอาวุธ การหมิ่นสถาบันกษัตริย์ การขัดคำสั่ง คสช. ซึ่งก็มีการตีความอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเราก็จะเห็นการอ้างคำสั่งดังกล่าวในการจับกุมผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง แต่พอมาเป็นคำสั่งที่ 13 มันขยายขอบเขตไปถึงความผิดทางอาญาแทบทุกประเภท ทำให้ตอนนี้สภาพของรัฐไทยกลายเป็นรัฐทหารอย่างเข้มข้นมากขึ้น กลไกและกระบวนการยุติธรรมแบบปกติทั้งตำรวจ และตุลาการถูกแทนที่ด้วยกลไกของฝ่ายทหารมากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุใดต่างชาติจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ
สุณัย: จริงๆ ปฏิกิริยาจากต่างชาติมีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การยกเลิกกฎอัยการศึกและแทนที่ด้วยคำสั่งที่ 3/2558 ซึ่งระบุว่าการขัดขวางการพัฒนาของประเทศถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เมื่อออกคำสั่งที่ 13 มาจึงเทียบเท่ากับว่าประเทศไทยกลับเข้าสู่กฎอัยการศึกอีกครั้งหนึ่ง ปฏิกิริยาจากต่างประเทศที่เขามีความกังวลอยู่แล้วจึงทวีความเข้มข้นขึ้น ด้วยกลัวว่ามันจะนำไปสู่การละเมิดสิทธิ์ที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยไม่มีการตรวจสอบ
อันที่จริงกฎอัยการศึกก็ไม่ได้หายไปจากประเทศไทยเลย เพราะมันถูกแทนที่ด้วย คำสั่งที่ 3 ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นราก ส่วนคำสั่งที่ 13 เป็นส่วนต่อขยายลงไปอีกทีหนึ่ง
ปรากฎการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดที่ไหนในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งที่ต่างชาติกังวลคือในอาคต หัวหน้า คสช. จะออกคำสั่งอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะดูเหมือนกับว่าเขาใช้อำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัด และขาดการตรวจสอบใดๆ
คิดอย่างไรกับข้ออ้างของ คสช. ที่ว่าคำสั่งที่ 13/2559 มีเป้าหมายเพื่อขจัดกลุ่มมาเฟีย และผู้มีอิทธิพล
สุณัย: ปัญหาเรื่องมาเฟียมันอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่โปร่งใสและไม่เคร่งครัด ซึ่งมันแก้ไขได้ด้วยโดยไม่จำเป็นต้องใช้กลไกของฝ่ายทหาร แม้แต่สถานการณ์แบบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นตลอดเวลาเขายังไม่เคยใช้อำนาจศาลทหาร หรือเครื่องมือพิเศษแบบนี้เลย ในเมื่อมันเป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยกลไกปกติ เหตุใดจึงต้องไปสร้างกลไกแบบพิเศษซึ่งเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นมาด้วย มันเหมือนการรักษาโรคด้วยยาที่ผิด และมันจะเป็นยาพิษที่ทำลายทั้งประเทศได้
ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่รัฐในปัจจุบันก็มีการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตมากพออยู่แล้ว การยิ่งเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่รัฐเช่นนี้ มันทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า กลไกตำรวจและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอยู่มันล้มเหลวขนาดนั้นแล้วเชียวหรือ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่ มันจึงไม่แปลกที่สังคมและประชาคมระหว่างประเทศตั้งคำถามถึงความโปร่งใส และความจริงใจในการทำงานของรัฐบาล คสช.
หาก คสช. มีอำนาจมากพออยู่แล้ว มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องออกคำสั่งที่ 13
สุณัย: มันนำไปสู่ความแคลงใจ ว่านี่คือการกระชับอำนาจ เป็นความพยายามที่จะสร้างระบอบใหม่ หรือ New Normal ให้กับระบบการเมือง ระบบยุติธรรม และระบบกฎหมายไทยโดยการโยกย้ายกระบวนการยุติธรรมของฝ่ายพลเรือนมาอยู่กับฝ่ายทหารทั้งหมด ซึ่งมันสะท้อนถึงการหยั่งรากลึกของระบอบเผด็จการทหาร
นี่ไม่ใช่การปูทางสู่ประชาธิปไตย แต่มันคือการปูทางสู่ระบอบทหารที่นับวันจะยิ่งมีการกระชับอำนาจมากยิ่งขึ้น
ทาง HRW ได้ติดตามผลกระทบของประชาชนจากคำสั่งดังกล่าวหรือไม่ และได้ผลเป็นอย่างไร
สุณัย: จนถึงตอนนี้ เรายังไม่เห็นผลของการใช้ตัวคำสั่งที่ 13 ชัดเจนนัก แต่การขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลตามคำสั่งฉบับนี้มันได้สร้างความกังวลว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของฝ่าย คสช. จะถูกจัดเป็นพวกขัดขวางการพัฒนา เราจะเห็นแกนนำชุมชนชาวประมงท่านหนึ่งที่ไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับ กสม. ถูกขึ้นบัญชีเป็นผู้มีอิทธิพล คนที่เป็นตัวแทนของชุมชน หรือเป็นผู้เรียกร้องสิทธิทำกิน ก็ถูกขึ้นบัญชีด้วยเช่นกัน มันจึงน่าตั้งคำถามว่านี่อาจจะเป็นการเหวี่ยงแห และเหมารวมว่าผู้ที่เห็นต่างจากแนวทางของ คสช. ทั้งในด้านการเมือง และเศรษฐกิจ จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มของผู้มีอิทธิพล และถูกจัดการด้วยคำสั่งฉบับนี้
ผนวกกับการทำประชามติที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ก็ยิ่งทำให้เกิดความกังวลต่อเนื่องว่า คำสั่งฉบับนี้จะถูกใช้เพื่อขจัดผู้เห็นต่างทางการเมืองของ คสช. อีกหรือไม่
คิดว่ากระแสกดดันจากต่างประเทศจะทำให้ คสช. ปรับตัวไหม
สุณัย: ผมอยากจะย้อนถามไปหา คสช. มากกว่า ว่า “จะฟังได้หรือยัง?” ทุกวันนี้มันชัดเจนแล้วว่า ยิ่ง คสช. อยู่นานเท่าไหร่ ประเทศไทยยิ่งออกห่างจากการเป็นประเทศที่เคารพกติกาด้านสิทธิมนุษยชนมากขึ้นเรื่อยๆ เราหวังว่าท่าทีที่ประสานเป็นเสียงเดียวกันขององค์กรสิทธิและรัฐบาลต่างชาติจะช่วยทำให้ คสช. ตระหนักได้ว่าตนควรทำอะไร ประเทศที่ออกมาแสดงความกังวลล้วนแต่เป็นมิตรประเทศกับไทยทั้งสิ้น ทั้งในมิติทางการเมือง การทูต และเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นประเทศผู้นำของสหภาพยุโรป สหรัฐ หรือแคนาดา ประเทศเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับไทยมาเป็นร้อยปี เขายังเป็นห่วง แต่คำถามคือ คสช. จะฟังไหม
ท่าทีของ คสช. ทุกวันนี้คือมองว่าต่างชาติเข้าใจข้อมูลไม่ครบถ้วน มัวแต่ฟังลอบบี้ยิสต์ คสช. ไม่ยอมฟังเสียงท้วงติงของมิตรประเทศ ถ้ามีแค่ประเทศสองประเทศออกมาพูดก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ทุกประเทศออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันแบบนี้ แล้วแบบนี้ยังจะไม่ฟังกันอีกหรือ
ไทยเราควรจะเรียนรู้จากพม่า เรามีบทเรียนแล้วว่าถ้าปล่อยให้เผด็จการถลำลึกไปเรื่อยๆ ปล่อยให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศเราจะเป็นยังไง เราจะยอมให้ประเทศของเรายืนอยู่จุดเดียวกับที่พม่าเคยยืนคือถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติหรือ ในเมื่อทุกวันนี้เรายังไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้น คสช. ก็ควรจะรีบคืนประชาธิปไตยให้เร็วที่สุด นั่นน่าจะดีกว่าการรอให้ถูกลงโทษแบบพม่า
ต่างประเทศจะยกระดับการกดดันจากการออกแถลงการณ์ไปเป็นมาตรการที่เข้มข้นขึ้นหรือไม่
สุณัย: เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ไทยก็พลาดความร่วมมือระหว่างประเทศไปหลายเรื่องแล้วนับตั้งแต่การทำรัฐประหาร เพราะต่างชาติเขาก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่ไทยจะกลับสู่ประชาธิปไตยเสียที เช่นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจการเมืองกับสหภาพยุโรปทั้งหมด กระบวนการเจรจาถูกพักไว้เลย รวมไปถึงกรอบความร่วมมือ TPP ที่ประเทศอาเซียนหลายประเทศเข้าร่วมไปแล้ว ไทยก็ตกรถไฟ อันนี้เห็นผลชัดเจนเลยว่าเราเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไปอย่างมหาศาลเพราะเราไม่เป็นประชาธิปไตย ยิ่งทอดเวลานานไปเรื่อยๆ โอกาสเหล่านี้ก็จะถูกแทนที่ด้วยประเทศอื่นๆ เราก็จะตกรถไฟและถูกประเทศอื่นทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ ยิ่งสภาพเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ไทยยิ่งจำเป็นต้องรีบเข้าสู่กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่เรากลับยิ่งเอาตัวออกห่าง เพราะเราปฏิเสธประชาธิปไตย
แรงกดดันเหล่านี้มันมีมาตั้งนานแล้ว แต่ถามว่า คสช. ฟังไหม ยอมพูดความจริงกับประชาชนไหมว่าไทยต้องสูญเสียอะไรไปบ้างจากการทำรัฐประหาร ที่ผ่านมาสิ่งที่เราเห็นคือรัฐบาลไม่ได้บอกความจริงกับประชาชน
HRW ประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษย์ชนภายใต้ คสช. อย่างไร
สุณัย: HRW เคยมีรายงานออกมา โดยเราประเมินว่าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยถดถอยอย่างไม่สิ้นสุด นับตั้งแต่การทำรัฐประหารเป็นต้นมา คือมันตกไปเรื่อยๆ ยิ่งตอนนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การทำประชามติ เราก็คาดว่าการละเมิดสิทธิจะยิ่งยกระดับมากขึ้น โดยมุ่งไปที่การคุกคามละเมิดผู้เห็นต่างทางการเมือง
แม้แต่ทาง HRW เองก็ถูกคุกคาม ที่ชัดเจนที่สุดคือเพจ Human Rights Watch Thailand ของเราถูกปิด โดยให้เหตุผลว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง การเผยแพร่รายงานสิทธิมนุษยชนประจำปีของ HRW ที่เราทำเป็นประจำทุกปี ทุกรัฐบาลก็ถูกระงับการเผยแพร่ และไม่ใช่แค่เราคนเดียว องค์กรสิทธิ์อื่นๆ ก็ถูกคุกคุมในลักษณะเดียวกัน นี่หมายความว่ารัฐบาลกำลังมองว่าสิทธิมนุษยชนเป็นภัยคุกคาม ระบอบการปกครองอะไรกันที่มองว่าสิทธิมนุษยชนเป็นภัยคุกคาม
คสช. กำลังทำลายหลักการสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ทุกวันนี้เราไม่เห็นรากฐานของความเป็นประชาธิปไตยหลงเหลืออยู่เลย เพราะนอกจาก คสช. จะไม่เปิดช่องให้กับประชาธิปไตยแล้ว ยังทำลายอย่างต่อเนื่อง นี่ไม่ใช่สภาวะที่ประชาธิปไตยเป็น 0 แต่เป็นสภาวะที่ติดลบลงไปทุกวัน