วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ประชาธิปไตยใหม่แนะประยุทธ์เลิกเบี่ยงประเด็นปมทุจริตราชภักดิ์


ประชาธิปไตยใหม่ แถลงข่าวปมราชภักดิ์ จี้ประยุทธ์ให้เอาอย่าง ไพบูลย์ ชี้ออกมารับผิด และเลิกเบี่ยงประเด็นโดยการตามจับคนโพสต์ปมโกงโครงการสร้างอุทยาน พร้อมโต้ท่าทีฝ่ายการนักศึกษา มธ.
10 ธ.ค. 2558 เวลา 14.00 น. ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ NDM ได้จัดการแถลงข่าวในสองกรณีคือ แถลงการณ์ต่อท่าทีของฝ่ายการนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแถลงการณ์ปมทุจริตคอร์รัปชันอุทยานราชภักดิ์
โดยกรณีแรก สืบเนื่องมาจากท่าทีและการออกแถลงการณ์ของฝ่ายการนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อกรณีการเคลื่อนไหวทำกิจกรรมภายนอกมหาวิทยาลัย อันเนื่องมาจากกิจกรรม ‘นั่งรถไฟ ไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องแสงหากลโกง’ ของกลุ่มประชาธิปไตยศึกษา
ทางขบวนการประชาธิปไตยใหม่ได้ยืนยันถึงสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น หรือเคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมทั้งได้วิจารณ์แถลงการณ์ฉบับดังกล่าวว่า เป็นแถลงการณ์ที่ทำลายเจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัย อีกทั้งเป็นแถลงการณ์ที่มีรสนิยมทางการเมืองส่วนตัวแฝงอยู่ โดยทางกลุ่มเรียกร้องให้มหาลัยวิทยาลัยออกมาขอโทษต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
ต่อกรณีปมทุจริตอุทยานราชภักดิ์ ทางกลุ่มได้นำเสนอข้อมูลการทุจริตปรากฎอยู่ตามหน้าสื่อ เช่นการหักค่าหัว ราคาต้นปาล์ม พร้อมทั้งต้องการสื่อสารให้ คสช. ออกมาแสดงความรับผิดชอบ ไม่ใช่ออกมาทำการเบี่ยงประเด็นโดยการตามจับประชาชนในที่โพสต์เรื่องกลโกงใน โดยดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 112 เพื่อหวังกลบกระแสการคอร์รัปชัน ซึ่ง พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ออกมายอมรับแล้วว่ามีการทุจริตอยู่จริง
ต่อคำถามว่ามีกลุ่มการเมืองหนุนหรือไม่ ทางกลุ่มได้ชี้แจงว่า พวกพี่ๆ นักข่าวก็เห็นว่าพวกเราเป็นอย่างไร หากมีกลุ่มการเมืองหนุนหลังจริงเราไม่มีกันแค่นี้ ทุกวันนี้เราจัดกิจกรรมกันตามมีตามเกิด นี่เหรอคนที่มีกลุ่มการเมืองหนุนหลัง
ต่อคำถามว่าการออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มการเมือง หรือเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อโคนล้มรัฐบาลหรือไม่ รังสิมันต์ โรม ได้ให้คำตอบว่า ทางกลุ่มยังยืนยันในหลักการเดิมต้นแต่ต้น คือไม่ยอมรัฐการรัฐประหาร และต้องการโค่นล้มรัฐประหารตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ส่วนกรณีการออกมาเคลื่อนไหวแล้วจะเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มการเมืองนั้น โรมเห็นว่าไม่ใช่เรื่องจะนำมาโยงกัน เขาเห็นว่าหาก คสช. ล้มลง แน่นอนว่าย่อมเอื้อประโยชน์กับกลุ่มการเมือง ซึ่งมีช่องทางในการเข้าสู่อำนาจจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่เรื่องของกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด หรือหากการตรวจสอบทุจริตจะไปเอื้อประโยนช์ให้กลุ่มการเมือง สังคมไทยยอมรับได้หรือไม่ที่จะมีการทุจริตอยู่
ทั้งนี้เขายังกล่าวต่อไปว่า ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอา พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เป็นตัวอย่าง เพราะออกมายอมรับเรื่องการทุจริตว่ามีอยู่จริง

นายตำรวจมือทำคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาขอลี้ภัยออสเตรเลีย-เพราะเกรงผู้มีอิทธิพล


พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ผู้นำการสืบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงยา ยื่นขอลี้ภัยในออสเตรเลีย โดยกล่าวว่าเพราะคดีของเขาสืบสาวไปถึงผู้มีอิทธิพลรวมถึงนักการเมืองและคนในเครื่องแบบ ทำให้เขาต้องการลี้ภัยเพราะเกรงจะถูกหมายเอาชีวิต
10 ธ.ค. 2558 - เว็บไซต์เดอะการ์เดียนรายงานว่า พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 อดีตผู้บัญชาการพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงยา ได้ยื่นขอลี้ภัยในประเทศออสเตรเลียเพราะกลัวว่าจะถูกหมายเอาชีวิตหลังจาก โดยเขากล่าวให้สัมภาษณ์ต่อสื่อต่างประเทศว่ารัฐบาลไทยชุดปัจจุบันรวมถึงทหารและตำรวจมีส่วนรู้เห็นในเรื่องการค้ามนุษย์และต้องการกำจัดเขา
พล.ต.ต. ปวีณ เดินทางไปยังเมืองเมลเบิร์นประเทศออสเตรเลียด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อเอบีซีของออสเตรเลียและสำนักข่าวเดอะการ์เดียนในออสเตรเลียว่าเขากำลังขอลี้ภัยในประเทศออสเตรเลีย และหวังว่าทางการออสเตรเลียจะยอมให้เขาลี้ภัยได้
สำนักข่าวเดอะการ์เดียนระบุว่าการที่ตำรวจสืบสวนที่มีชื่อเสียงและได้รับความนับถือเช่นนี้ต้องหนีออกจากประเทศด้วยสาเหตุตามที่เขากล่าวหาเป็นเรื่องน่าอับอายอย่างมากสำหรับรัฐบาลไทย โดยก่อนหน้านี้กลุ่มสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มกล่าวถึงในประเด็นนี้เสมอว่าประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่ามีการค้ามนุษย์เกิดขึ้นในประเทศและะมีเจ้าหน้าที่จำนวนมากมีส่วนพัวพันกับการค้ามนุษย์ซึ่งรัฐบาลเผด็จกาารทหารของไทยปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
พล.ต.ต. ปวีณ เปิดเผยอีกว่าเขาทำงานในพื้นที่ที่มีการค้ามนุษย์เกิดขึ้นเพราะอยากช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนโดยไม่ต้องการผลประโยชน์ส่วนตัวใดๆ แต่การทำงานของเขาก็สร้างปัญหาให้ตัวเขาเองและเขาหวังว่าจะมีสถานที่ปลอดภัยให้เขาอยู่หรือมีที่ใดในโลกที่จะช่วยเหลือเขาได้
ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเคยมีเรื่องอื้อฉาวจากการค้นพบหลุมฝังศพใกล้กับชายแดนมาเลเซียที่เชื่อว่าเป็นชาวโรฮิงยาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่ลี้ภัยมาจากพม่าเพื่อหาทางไปมาเลเซีย และผู้ลี้ภัยอื่นๆ ที่มาจากบังกลาเทศ นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นกลุ่มผู้ลี้ภัย โดยที่ พล.ต.ต. ปวีณ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำการสืบสวนในเรื่องนี้ทำให้ในตอนนั้นมีการตีความว่าประเทศไทยเริ่มมีความจริงจังในประเด็นการค้ามนุษย์มากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าทีมสืบสวนจะระบุว่ามีขบวนการค้ามนุษย์อย่างผิดกฎหมายที่มีอิทธิพล แต่ พล.ต.ต. ปวีณ กล่าวถึงเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นว่าตัวเขาถูกกดดันไม่ให้จริงจังกับการสาวถึงตัวผู้บงการมากเกินไป
เดอะการ์เดียนระบุอีกว่าการค้นหาหลักฐานของ พล.ต.ต. ปวีณ สาวถึงผู้ที่เกี่ยวกับข้องกับการค้ามนุษย์ซึ่งมีทั้งนักการเมืองท้องถิ่น เจ้าของธุรกิจ เจ้าหน้าที่ทหาร และมีความเป็นไปได้ที่จะมีนายทหารระดับสูงเป็นตัวการใหญ่ แต่หลังจากนั้นก็มีข่าวเรื่อง พล.ต.ต. ปวีณ ลาออกจากตำแหน่งและถูกสั่งย้ายไปยังพื้นที่ทางภาคใต้ที่มเหตุการณ์ไม่สงบอย่างไม่เต็มใจ พล.ต.ต. ปวีณ กล่าวไว้ว่าคนค้ามนุษย์ที่เขากำลังตามล่าตัวเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่และมี "เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง" ในพื้นที่มีส่วนพัวพันด้วย เขาเคยบอกกับผู้บังคับบัญชาว่าเขากลัวถูกจ้องเอาชีวิตถ้าถูกส่งไปที่นั่นแต่คำคัดค้านของเขาก็ถูกเพิกเฉย
เดอะการ์เดียนระบุต่อไปว่าหลังจากนั้นการสืบสวนสอบสวนก็ถูกยกเลิกถึงแม้ว่า พล.ต.ต. ปวีณ จะยืนยันว่าการสืบสวนยังต้องใช้เวลาอีกมากถึงจะเสร็จสิ้น โดย พล.ต.ต. ปวีณ บอกอีกว่า "มีผู้มีอิทธิพลพัวพันกับการค้ามนุษย์ส่วนหนึ่งเป็นตำรวจและทหารที่มีอำนาจอยู่" แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถึงอย่างเจาะจงว่าเป็นใคร เขายังแสดงความสงสัยว่าผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เป็นคนที่ทำให้เขาถูกสั่งย้าย
เมื่อถามว่าใครเป็นผู้บอกให้ยุติการสอบสวน พล.ต.ต.ปวิณ ซึ่งกล่าวผ่านล่ามระบุว่า "ผู้มีอิทธิพลที่ร่วมในการค้ามนุษย์ มีทั้งตำรวจและทหารที่ไม่ดี ที่ทำเรื่องพวกนี้ น่าโชคร้ายทั้งตำรวจและทหารที่ไม่ดีนี้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่มีอำนาจ"
"คนที่สามารถขังคนได้เป็นร้อย และทำมาเป็นเวลาหลายปี โดยที่ไม่ถูกจับ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่" พล.ต.ต. ปวีณ กล่าว และยังระบุว่ามีเจ้าหน้าที่อีกจำนวนมากที่ควรถูกดำเนินคดี รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้วย
"การค้ามนุษย์เป็นเครือข่ายใหญ่ที่ผู้มีส่วนมีทั้งทหาร นักการเมือง และตำรวจ ในขณะที่ผมกำลังทำคดีอยู่ ผมก็ถูกเตือนมาโดยตลอด" พล.ต.ต. ปวีณ กล่าวตอนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์ นอกจากนี้เขายังตำหนิ "ผู้มีอิทธิพล" ที่สั่งโยกย้ายเขาไปอยู่ชายแดนใต้ "นั่นแปลว่าพวกเขาต้องการจะฆ่าผม"
นอกจากนี้ พล.ต.ต. ปวีณ ยังให้สัมภาษณ์ว่ามีพยานของคดีอีกหลายคนที่รู้สึกว่าถูกข่มขู่คุกคามจึงไม่มอบหลักฐานให้ โดยตัวเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องเศร้าและเป็นความอยุติธรรมถ้าหากผู้ก่อเหตุในวงการค้ามนุษย์ไม่ถูกลงโทษ และที่เขาต้องทำเรื่องอันตรายเช่นนี้เพราะถือเป็นการทำตามหน้าที่
ทางด้าน ฟิล โรเบิร์ตสัน ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียขององค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่า พล.ต.ต. ปวีณ เป็นคนที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาและมีประสบการณ์ แล้วก็ได้เข้าไปสืบสวนสอบสวนคดีที่เกี่ยวโยงกับผู้มีอิทธิพล โรเบิร์ตสันกล่าวอีกว่าคดีสืบสวนการค้ามนุษย์ที่ พล.ต.ต. ปวีณ ทำถือเป็นคดีที่สำคัญที่จะทดสอบว่าเหล่าผู้นำไทยมีความยึดมั่นในพันธกิจเรื่องการขจัดการค้ามนุษย์หรือไม่

เรียบเรียงจาก
Revealed: Thailand's most senior human trafficking investigator to seek political asylum in Australia, The Guardian, 10-12-2015 http://www.theguardian.com/world/2015/dec/10/thailands-most-senior-human-trafficking-investigator-to-seek-political-asylum-in-australia

‘ศูนย์ทนายสิทธิฯ’ จี้ คสช. เปิดเผยที่คุมตัว ‘หนุ่มผังราชภักดิ์’ หลังหายตัวไป 4 วัน


11 ธ.ค. 2558 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ต่อการบังคับให้สูญหาย นายฐนกร ศิริไพบูลย์ ซึ่งถูก ฝ่ายกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวหาว่านายฐนกรกระทำความผิดตามมาตรา 14 พระราชบัญญัติการกระทำความความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 112 และมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากการโพสต์ข้อมูลการทุจริตในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์
โดย ศูนย์ทนายฯ ระบุว่า นายฐนกร ถูกจับและควบคุมตัวไปโดยเจ้าหน้าที่ทหารตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค.58 จนปัจจุบันเป็นเวลาว่า 4 วันที่ญาติและทนายความพยายามติดตามตัวนายฐนกร แต่ไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลที่เป็นทางการจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับนายฐนกรได้ และยังไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว นายฐนกร ไว้ที่ใดและมีชะตากรรมเป็นเช่นไร
ศูนย์ทนายฯ เรียกร้องให้ คสช. เคารพต่อรัฐธรรมนูญและพันธกรณีระหว่างประเทศตามที่ประกาศไว้ต่อประชาชนและประชาคมโลก โดยยุติการใช้อำนาจในการควบคุมตัวบุคคลตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 และขอให้เปิดเผยสถานที่ ที่ใช้ในการควบคุมตัวบุคคล เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมตามข้อ 14 กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
แถลงการณ์ต่อการบังคับให้สูญหายนายฐนกร ศิริไพบูลย์
ตามที่นายฐนกร ศิริไพบูลย์ พนักงานบริษัทเอกชนถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวจากบริษัทเอกชนย่านสมุทรปราการเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.58 จากกรณีที่พล.ต.วิจารณ์ จดแตง พร้อมด้วย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวหาว่านายฐนกรกระทำความผิดตามมาตรา 14 พระราชบัญญัติการกระทำความความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2550 มาตรา 112 และมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากการโพสต์ข้อมูลการทุจริตในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับการติดต่อจากญาตินายฐนกรเพื่อให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.58 จึงได้ติดตามสอบถามไปยังเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลทหารบกที่ 11 แต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้แจ้งว่าไม่มีตัวนายฐนกรอยู่ในความควบคุม และไม่ทราบว่านายฐนกรอยู่ที่ใด ในขณะที่เจ้าหน้าที่ไม่ทราบสังกัดนอกเครื่องแบบอีกรายหนึ่งได้แจ้งว่าการควบคุมตัวนายฐนกรเป็นการควบคุมตัวตามอำนาจในมาตรา 44 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว)พ.ศ. 2557 ซึ่งไม่สามารถแจ้งได้ว่านายฐนกรถูกควบคุมตัวอยู่ที่ใด
ต่อมาวันที่ 11 ธ.ค.58 ญาตินายฐนกรได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจสมุทรปราการว่าคดีดังกล่าวมีการแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามให้ลองไปสอบถามข้อมูลที่ดังกล่าว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจึงได้ไปติดตามที่กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามแต่ไม่พบตัวนายฐนกร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าคดีดังกล่าวได้มีการมาแจ้งความและออกหมายจับแล้วแต่ยังไม่มีการควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด
ทั้งนี้ นับแต่ที่นายฐนกร ถูกจับและควบคุมตัวไปโดยเจ้าหน้าที่ทหารตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2558 จนปัจจุบันเป็นเวลาว่าสี่วันที่ญาติและทนายความพยายามติดตามตัวนายฐนกร แต่ไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลที่เป็นทางการจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับนายฐนกรได้ และยังไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวนายฐนกรไว้ที่ใดและมีชะตากรรมเป็นเช่นไร
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่าการที่เจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวบุคคลโดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ซึ่งให้อำนาจควบคุมตัวบุคคลได้ไม่เกินเจ็ดวัน โดยปกปิดสถานที่ควบคุมตัวนั้นเป็นการละเมิดพันธกรณีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญ โดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: CED) ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามแล้วตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2555 เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของบุคคลโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และตามมาด้วยการปกปิดสถานที่ควบคุมตัว ทำให้บุคคลอยู่ภายนอกการคุ้มครองของกฎหมาย ซึ่งตั้งแต่ประกาศใช้คำสั่งดังกล่าวไม่มีกรณีใดเลยที่เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยหรือเจ้าหน้าที่ทหารแจ้งสถานที่ควบคุมตัวอย่างเป็นทางการ ดังนั้นนายฐนกร ศิริไพบูลย์จึงถือเป็นบุคคลที่ถูกบังคับสูญหายตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค.58
การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหารที่ควบคุมตัวบุคคลโดยปกปิดสถานที่นั้นอาจส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆ เช่นการทรมาน หรือการฆ่านอกระบอบกฎหมาย และทำให้ผู้ถูกควบคุมตัวขาดหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง เช่น สิทธิเข้าถึงทนายความ สิทธิที่จะได้พบญาติ สิทธิที่จะติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก สิทธิที่จะยื่นคำร้องต่อศาลให้พิจารณาความอบด้วยกฎหมายของการควบคุมตัว เป็นต้น อันเข้าข่ายการควบคุมตัวโดยพละการหรือโดยอำเภอใจ เป็นการละเมิดพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีและขัดกับมาตรา 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติบัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพที่ประชาชนเคยได้รับการคุ้มครองตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยมีอยู่แล้ว
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจึงขอเรียกร้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติเคารพต่อรัฐธรรมนูญและพันธกรณีระหว่างประเทศตามที่ประกาศไว้ต่อประชาชนและประชาคมโลก โดยยุติการใช้อำนาจในการควบคุมตัวบุคคลตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 และขอให้เปิดเผยสถานที่ ที่ใช้ในการควบคุมตัวบุคคล เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมตามข้อ 14 กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
ด้วยความเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ป้ายต้าน รธน.เผด็จการ-คนโกง โผล่มช. - สมัชชาเสรีฯ ขอ คสช. “ปล่อยให้รธน.เป็นเรื่องของปชช.”


สมัชชาเสรีฯมช. แถลงขอ คสช. ยุติการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน หยุดปิดหูปิดตาหยุดคุกคามประชาชน และคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ประชาชนไทยโดยเร็ว และจงปล่อยให้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของประชาชน
10 ธ.ค. 2558 เว็บไซต์เด็กหลังห้อง รายงานว่า วันนี้(10 ธ.ค.58) ซึ่งตรงกับวันรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ที่บริเวณศาลาธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วงเช้า พบป้ายผ้าทั้งหมดสองผืน พบข้อความระบุว่า  “Coup = โกง ไม่เอารัฐธรรมนูญคนโกง” และอีกผืนพบข้อความ “รัฐธรรมนูญเผด็จการ” ทั้งนี้  ป้ายดังกล่าวยังไม่ทราบผู้ใดหรือกลุ่มใดเป็นผู้กระทำ โดยเฟซบุ๊กแฟนเพจสมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย (สมัชชาเสรีฯมช.) ระบุด้วยว่า กลุ่มได้มอบหมายให้เพื่อนนักศึกษาไปตรวจสอบป้ายดังกล่าวแล้ว พบว่าเมื่อเวลา 12.00 น. ป้ายดังกล่าวได้ถูกถอดออกเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่วันเดียวกัน สมัชชาเสรีฯมช. ได้ออกแถลงการณ์ ‎เนื่องในวันรัฐธรรมนูญและวันสิทธิมนุษยชนโลกด้วย โดยเรียกร้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยุติการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน หยุดปิดหูปิดตาประชาชน หยุดการคุกคามประชาชน และคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ประชาชนไทยโดยเร็ว และจงปล่อยให้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของประชาชน

สัมภาษณ์ ฉลาด วรฉัตร จาก สน.ดุสิต มาอีกรอบ 10 ธันวา นำเสนอร่าง รธน.ประชาธิปไตย



15.00 น. ประชาไทสัมภาษณ์ฉลาด วรฉัตร นักเคลื่อนไหวทางการเมืองวัย 72 ปี ซึ่งถูกควบคุมตัวไป สน.ดุสิต ตั้งแต่ช่วงสายที่ผ่านมาและยังอยู่ที่นั่น

เขากล่าวว่าเขาเดินทางมายังหน้ารัฐสภาตั้งแต่ 4.00 น. และตำรวจได้เข้าทำการควบคุมตัวและเชิญตัวไปยัง สน.ดุสิตในเวลาประมาณ 10 นาฬิกาเศษ จุดประสงค์ในการมานั่งหน้ารัฐสภาครั้งนี้เพื่อทำการนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญของเขา ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธ.ค.2475 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2489 และฉลาดได้นำมาปรับปรุงเพิ่มเติมอีกจนออกมาเป็นฉบับปัจจุบัน ซึ่งเขาได้ตีพิมพ์และนำมาจำหน่ายแก่ผู้สนใจด้วย จำนวน 150 เล่ม เล่มละ 100 บาทและ 200 บาท
“ผมเอาหนังสือรัฐธรรมนูญมาร้อยกว่าเล่ม ตำรวจเขาก็ตรวจกันเต็มกำลังเลยนึกว่าระเบิด” ฉลาดกล่าว
ฉลาดระบุว่า เหตุที่เขาถูกควบคุมตัวนั้นเจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องมีการเตรียมพื้นที่เพื่อรับขบวนเสร็จ เมื่อนำตัวเขาไปยังสน.ดุสิต ตำรวจแจ้งว่าเขาทำผิดพ.ร.บ.รักษาความสะอาด แต่ท้ายที่สุดก็พูดคุยกันและไม่ได้ทำการปรับแต่อย่างใด จากนั้นตำรวจได้ขอให้เขากลับบ้านไปก่อน และมาใหม่ในวันจันทร์หน้า แต่ฉลาดยืนยันว่าจะไม่กลับบ้าน
“ผมลาลูกลาครอบครัวล่วงหน้าแล้วเป็นเดือน คงกลับไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ จะขอนอนห้องขังที่โรงพักตำรวจเขาก็ไม่ให้นอน คิดว่าอาจต้องจาริกไปต่างจังหวัด” ฉลาดกล่าว
ฉลาดกล่าวว่า เหตุที่เขานำเสนอเรื่องร่างรัฐธรรมนูญเนื่องจากการแก้ไขปัญหาใดๆ นั้นล้วนเป็นปลายเหตุ หากมีโครงสร้างซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญที่เป็นเผด็จการ ความขัดแย้งนี้จะไม่จบ ต้องมีการยึดอำนาจ ต้องต่อสู้กันอีกและน่าจะรุนแรงขึ้นด้วยในอนาคต ตัวเขาเองนั้นอายุมากแล้วไม่อยากออกมาเคลื่อนไหวแล้ว แต่ที่ผ่านมาผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยไม่ได้ออกมานำเสนออะไรอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เขาจึงจำเป็นต้องออกมาเพื่อนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญนี้ซึ่งเขายืนยันว่าเป็นฉบับประชาธิปไตยสมบูรณ์ เพื่อให้ประชาชนใช้เปรียบเทียบกับร่างปัจจุบันที่กำลังยกร่างกันอยู่
“มันเป็นความจำเป็นที่ต้องให้ประชาชนมีตัวเปรียบเทียบ เขาจะได้เห็นว่าร่างประชาธิปไตยกับร่างเผด็จการนั้นเป็นอย่างไร ร่างนี้เขียนมาตั้งแต่ยังเป็นส.ส.เมื่อ 30 ปีก่อนและเพิ่งมาบรรลุเป้าหมาย ผมจึงต้องการเผยแพร่สู่สาธารณะ มันเป็นเป็นร่างแก้ไขจากฉบับ 10 ธ.ค.2475 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2489 และผมได้ทำการแก้ไขอีกแต่เพียงโครงสร้างรูปแบบส่วนเนื้อหาสาระ ต้องให้ ส.ส. ส.ว. เขาว่ากันอีกที” ฉลาดกล่าว
ฉลาด ขณะอยู่ที่ สน.ดุสิต
เขายังยกตัวอย่างรายละเอียดในร่างรัฐธรรมนูญของเขาอีกว่า จะมีรัฐสภาแห่งชาติ ซึ่งเลือกตัวแทนจากแต่ละจังหวัด และสมาชิกรัฐสภานี้จะเป็นผู้เลือกตุลาการ คณะรัฐมนตรี และกฎษฎีกา
“หากตุลาการไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของตัวแทนประชาชน เราจะไม่มีทางได้รับความยุติธรรม” ฉลาดกล่าวและเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังจะต้องมีการกระจายอำนาจสู่รัฐสภาจังหวัด รัฐสภาตำบล รัฐสภาชุนชน ซึ่งจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาภาคใต้ได้ด้วย ที่สำคัญคือเรื่องรัฐสวัสดิการที่จะทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็ง
“ถ้าใช้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย 100% เราจะมีคนแค่สองชนชั้นเท่านั้น คือ คนชั้นกลางและคนชั้นสูง คนจนไม่มี เพราะรัฐธรรมนูญบังคับให้รัฐมีหลักประกันให้คนไทยมีปัจจัย 4 เท่าเทียมกันในเบื้องต้น เช่น สนับสนุนค่าครองชีพคนละ 15,000 บาท มีสวัสดิการรักษาพยาบาลฟรี ให้การศึกษาถึงระดับปริญญาตรีหลักสูตรนานาชาติ” ฉลาดกล่าว
เขากล่าวว่า ก่อนหน้านี้เขาได้เคยยื่นหนังสือถือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.แล้ว ในเรื่องแนวคิดรัฐธรรมนูญของเขา พร้อมแจ้งไว้ด้วยว่าจะทำการเปิดตัวในวันที่ 10 ธ.ค.ปีนี้ แต่ไม่มีหนังสือตอบกลับแต่อย่างใด ในหนังสือดังกล่าวเขายังระบุด้วยว่า หากคสช.ไม่เห็นด้วย ไม่อนุญาตให้เผยแพร่ หรือเห็นว่าเขาเป็นภัยต่อความมั่นคง เขาก็ยินดีรับโทษตามข้อหา 112, 113, 114 และยินดีพิสูจน์ความจริงกันในกระบวนการยุติธรรมว่าใครกันแน่ที่ทำผิดมาตราดังกล่าว
“เอาผมไปติดคุกทหารก็ได้ อย่างน้อยมันก็เป็นประเด็นที่จะทำให้ประชาชนต้องสนใจเรื่องรัฐธรรมนูญ ผมเคลื่อนไหวและเจ็บปวดมาตลอดชีวิตทางการเมืองในการเรียกร้องเรื่องต่างๆ และตอนนี้ผมเรียกร้องกับประชาชนที่ต้องรวมตัวกัน แต่ดูสถานการณ์แล้วก็เป็นไปได้ยาก” ฉลาดกล่าว

อุ้มนักกิจกรรมวัย 21 อ้างเลี้ยงข้าว เหตุตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ขู่อุ้มเข้าค่ายฝึกทหารหากไม่ยุติเคลื่อนไหว


ภาพของ ฉัตรมงคล วัลลีย์ (ซ้ายมือ) ขณะถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบควบคุมตัว
บริเวณสถานีรถไฟบ้านโป่ง เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2558 ขณะที่กำลังเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ 

ทหาร-ตำรวจ อุ้ม นักกิจกรรมวัย 21 หายจากบ้าน หลังตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ขู่ให้เซ็นสัญญายุติเคลื่อนไหว พร้อมโชว์หมายเรียกเกณฑ์ทหาร เจ้าตัวแย้งว่าไม่ได้หลบหนี แต่ไม่ได้ไปเกณฑ์ด้วยเหตุจำเป็นและยินยอมเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี  สุดท้ายยอมเซ็นรับเงื่อนไขเนื่องจากหวั่นเรื่องสวัสดิภาพของตัวหากถูกเรียกฝึกในค่ายทหารและภาระดูแลพ่อที่ป่วยหนัก 
10 ธันวาคม 2558  เวลา 09.30 น.ได้มีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบในชุดทหาร 3 นายและตำรวจ 1 นาย เดินทางไปที่บ้านของนายฉัตรมงคล วัลลีย์ นักกิจกรรมทางการเมืองที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมตรวจสอบการทุจริตอุทยานราชภักดิ์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยได้เข้าควบคุมตัวเขาขึ้นรถออกจากบ้านโดยแจ้งกับนางศุภลักษณ์ อำนาจเกษม มารดาของฉัตรมงคลว่าขอเอาตัวไปคุย เดี๋ยวจะพามาส่ง
ด้วยความเป็นห่วงบุตรชาย นางศุภลักษณ์จึงได้ตามตัวบุตรชายไปที่หน่วยทหารบริเวณใกล้ๆบ้านที่ลูกชายเคยถูกเรียกไปรายงานตัว และได้ตามไปที่ สน.บางมด แต่ทางเจ้าหน้าที่ปฏิเสธว่าไม่ได้มีการนำตัวนายฉัตรมงคลมายังหน่วยงานของตัว
นางศุภลักษณ์ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ลูกชายได้ถูกเรียกให้ไปรายงานตัวที่หน่วยทหารชั่วคราวที่ตั้งอยู่ในเขตบางมด เจ้าหน้าที่ทหารกำหนดให้ฉัตรมงคลต้องไปรายงานตัวเป็นประจำและสั่งไม่ให้เขาเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง แต่ต่อเมื่อได้มีกิจกรรมตรวจสอบการทุจริตอุทยานราชภักดิ์เกิดขึ้น นายฉัตรมงคลไปเข้าร่วมและไม่ได้ไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ทหาร จึงอาจเป็นเหตุให้เกิดการคุมตัวออกจากบ้านดังกล่าว
'ประชาไท'ได้สอบถามทางโทรศัพท์ถึงเป้าประสงค์การควบคุมตัวนายฉัตรมงคลออกจากที่พัก เจ้าหน้าที่ทหารที่นำตัวนายฉัตรมงคลมาส่งได้แจ้งว่าเป็นการพาตัวไปทานข้าวร่วมกันเท่านั้น เนื่องจากนายฉัตรมงคลไม่ได้ไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตามกำหนดเวลา และเนื่องจากว่ามี 'ผู้พัน' ลงมาพื้นที่เลยพานายฉัตรมงคลไปพูดคุยด้วย
ประชาไทได้สอบถามถึงชื่อและตำแหน่งของนายทหารผู้ที่ให้ข้อมูลและชื่อตำแหน่งของ 'ผู้พัน' ที่เรียกตัวนายฉัตรมงคลไปพบ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่สะดวกที่จะเปิดเผยชื่อและสังกัด
หลังจากนั้น เวลาประมาณ 18.00 น. ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปที่นายฉัตรมงคลอีกรอบหลังจากที่ชุดเจ้าหน้าที่ได้เดินทางกลับไป นายฉัตรมงคลเล่าให้ฟังว่าทหารได้พาไปทานอาหารจริง และได้พาไปพบกับ 'ผู้พัน' ซึ่งทราบแต่เพียงว่ามาจากกาญจนบุรี ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่นี้   'ผู้พัน' ได้นำหมายเรียกเกณฑ์ทหารที่นายฉัตรมงคลไม่ได้ไปตามหมายเรียกออกมาให้ดู พร้อมกับบอกให้นายฉัตรมงคลหยุดเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่อย่างนั้นคราวหน้าจะมา 'อุ้ม' เอาไปเป็นทหารเลย 
นายฉัตรมงคลชี้แจงว่าการที่ตนไม่ได้ไปเกณฑ์ทหารนั้นมีสาเหตุความจำเป็นเนื่องจากนายวิไลย์ วัลลีย์ อายุ 63 ปี ได้ป่วยหนักต้องผ่าตัดเอาไตออกไปข้างหนึ่ง ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ในฐานะที่ตัวเป็นลูกจึงต้องทำหน้าที่ดูและ และหลังจากนั้นก็ได้ไปรายงานตัวกับสัสดี โดยสัสดีก็ได้ส่งเรื่องการไม่ไปเกณฑ์ไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เพื่อทำสำนวนส่งฟ้องแล้ว ไม่ได้หลบหนีไปไหน สุดท้ายเจ้าหน้าที่ทหารได้เอาหนังสือยืนยันว่านายฉัตรมงคลจะไม่เข้าร่วมกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาให้เซ็นซึ่งนายฉัตรมงคลได้ยอมเซ็นแต่โดยดี เจ้าหน้าที่ทหารจึงได้ยอมนำตัวมาส่งบ้านเมื่อเวลาประมาณ 14.28 น. 
เด็กหนุ่มนักกิจกรรมการเมืองวัย 21 ปี ยอมรับว่าสาเหตุในการเซ็นยอมรับเงื่อนไข เนื่องจากมีความหนักใจว่าหากต่อไปตัวต้องเข้ารับการฝึกทหาร ภาระที่ต้องดูแลพ่อที่มีอาการป่วยเรื้อรังแล้วและยังห่วงเรื่องสวัสดิภาพของตัวเองหากต้องเข้ารับการฝึกทหารด้วย

ตร.ชุดสอบคดี 112 ยัน ‘กดไลค์-คอมเมนต์’ เท่ากับมีความผิดร่วมไปด้วย


จากกรณีการเผยแพร่ผังความสัมพันธ์เชื่อมโยงเชื่อมโยงระหว่างบุคคลสำคัญในรัฐบาลและในระดับผู้บังคับบัญชาทหารในกรณีการทุจริตโครงการสร้างอุทยานราชภักดิ์บนโซเชียลมีเดีย จนเป็นเหตุให้มีการจับกุมนายฐนกร ศิริไพบูลย์ ลูกจ้างรายวันในโรงงานอุตสาหกรรมย่านบางปู ซึ่งกรณีดังกล่าว พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมาย คสช. กล่าวว่า นอกจากนี้จากการตรวจสอบได้พบว่านายฐนกร กระทำผิดเข้าข่าย มาตรา 112 และ มาตรา 116 เนื่องจากกดถูกใจรูปภาพที่มีข้อความที่ไม่เหมาะสม เข้าข่ายหมิ่นสถาบัน เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา และเข้าข่ายการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางคอมพิวเตอร์ ถือเป็นความผิดอีกทางหนึ่ง ด้วย (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุด 10 ธ.ค.58 เมื่อเวลา 22.44 น. ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์ รายงานว่า พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการกองแผนงานอาชญากรรม สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ และเป็นหนึ่งในชุดสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ชุดของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีศาลทหารออกหมายจับผู้ต้องหาโพสต์ข้อความแผนผังการทุจริตโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และมีความผิดตาม ม.112 ทั้งอาจมีผู้เกี่ยวข้องกระทำความผิดเพิ่มเติมอีกกว่า 100 คนว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนว่าจะมีบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีกหรือไม่
"อย่างไรก็ดี ตามกฎหมายนั้นผู้ใดที่กดถูกใจ หรือร่วมแสดงความคิดเห็นในเพจเฟซบุ๊กหรือในข้อความที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ก็จะต้องมีความผิดร่วมไปด้วย แม้ว่าจะยกเลิกการเป็นสมาชิกของหน้าเพจเฟซบุ๊กนั้นแล้วก็ตาม" พล.ต.ต.ชยพล กล่าว