ถึงนายสีหศักดิ์ฯ
หลังจากที่ คสช ได้ออกคำสั่ง 2 ครั้ง เพื่อเรียกตัวผมเข้าปรับทัศนคติ ซึ่งผมปฏิเสธที่จะไม่เข้าไปรับการปรับทัศนคติ เนื่องจากผมไม่ยอมรับความชอบธรรมของการทำรัฐประหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และผมจะไม่รับคำสั่งจากกลุ่มที่ฝักใฝ่เผด็จการ กอปรกับผมมีหน้าที่และความรับผิดชอบของการสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเกียวโต จากนั้น เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2557 ได้มีการออกหมายจับผม เพียงเพราะผมปฏิเสธการเข้าไปรับการปรับทัศนคติดังกล่าว และในที่สุด เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2557 กระทรวงการต่างประเทศได้ยกเลิกหนังสือเดินทางของผม ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรงที่ได้รับการประนามจากองค์การระหว่างประเทศ ทำให้ผมต้องการเป็นบุคคลไร้รัฐ (stateless)
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ตั้งแต่การออกคำสั่งเชิญตัวผมเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 จนถึงวันที่หนังสือเดินทางผมถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม (เป็นเวลา 1 เดือนครึ่ง) ผม ในฐานะคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ไม่เคยได้รับการแจ้งอย่างเป็นทางการถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น จากสถานกงสุลไทย ณ นครโอซาก้า ผมไม่เคยได้รับการติดต่อเรื่องคำสั่ง หมายจับ และการยกเลิกหนังสือเดินทาง ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของสถานกงสุลใหญ่ที่จะต้องแจ้งให้ผู้ถูกกระทำอย่างผมได้รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จนกระทั่งผมต้องเขียนไปทวงถามจากกงสุลใหญ่ (นายวิชิต ชิตวิมาน) เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ด้วยตนเอง
การรายงานเบื้องต้นจากสถานกงสุลใหญ่แจ้งว่า ไม่สามารถติดต่อผมได้และไม่ทราบที่อยู่ของผมที่ญี่ปุ่น โดยอ้างว่า เคยติดต่อให้ผมมายกเลิกหนังสือเดินทางเล่มเก่าที่สถานกงสุลเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ไม่ได้รับการติดต่อจากผมกลับ จึงอ้างว่าติดต่อผมไม่ได้ ความเป็นจริงก็คือ ผมยังไม่ได้เข้าไปยกเลิกหนังสือเดินทางเล่มเก่าเพราะยังไม่สามารถปลีกเวลาไปได้ แต่ทั้งนี้ ผมและสถานกงสุลได้ติดต่อกันก่อนหน้านี้อย่างต่อเนื่องผ่านทางอีเมล์ นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา นายวิชิต กงสุลใหญ่ ได้เดินทางมาที่ที่ทำงานผมที่มหาวิทยาลัยเกียวโต เพื่อพบกับผู้อำนวยการผม เพื่ออธิบายถึงความชอบธรรมของการทำรัฐประหาร และเพื่อกล่าวร้ายผมว่าเป็นนักวิชาการที่มีอคติต่อ คสช. การที่นายวิชิตได้เดินทางมาถึงที่ทำงานผมแล้ว แต่กลับอ้างว่าว่าไม่ทราบที่อยู่ผม เป็นคำพูดที่สะท้อนถึงความไม่รับผิดชอบในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ที่ต้องติดต่อกับคนไทยในต่างประเทศในกรณีที่เกิดคดีที่สำคัญเช่นนี้
หลังจากที่ผมได้เขียนไปทวงถามเพื่อขอหนังสือยืนยันอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการยกเลิกหนังสือเดินทางของผมจากสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า ผ่านทางอีเมล์และทางโทรสารอย่างเป็นทางการ ในที่สุด เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลใหญ่ได้โทรศัพท์ถึงผมเพื่อแจ้งว่า สาเหตุที่ไม่ได้แจ้งเรื่องต่างๆ ให้ผมทราบ เพราะไม่ได้รับคำสั่งจากกรมการกงสุล ผมมีข้อข้องใจว่า เพราะเหตุใด กระทรวงการต่างประเทศจึงไม่แจ้งให้สถานกงสุลใหญ่ติดต่อกับผม นอกจากนี้ สาเหตุที่สถานกงสุลใหญ่โทรศัพท์ถึงผม แทนที่จะตอบคำถามผมอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะอาจเกรงว่า จะถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานในการแสดงถึงความบกพร่องในการทำงานของสถานกงสุลก็เป็นได้
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ผมไม่มีทางอื่นนอกจากต้องสรุปว่า รัฐบาลไทย โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ ต้องการที่จะโดดเดี่ยว (isolate) ผม โดยการเลือกที่จะไม่ติดต่อกับผม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ผมทราบดีว่า นายสีหศักดิ์ฯ มีภารกิจมากมาย ในการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อให้ความชอบธรรมกับ คสช และเพื่อล็อบบี้รัฐบาลต่างๆ ไม่ให้คว่ำบาตร คสช. รวมถึงความพยายามของนายสีหศักดิ์ฯ ในการล็อบบี้ให้ตัวเองได้เดินทางมาดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคมนี้
แต่อย่างน้อย คุณมีหน้าที่ในการแจ้งให้ผมทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น การที่คุณไม่แจ้งให้ผมทราบนั้น ถือเป็นความบกพร่องต่อหน้าที่ ในฐานะที่คุณดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
ดร. ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ รองศาสตราจารย์ ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต
13 กรกฎาคม 2557