วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555


คนสั่งลอยหน้า คนฆ่าลอยนวล


          คนสั่งลอยหน้า คนฆ่าลอยนวล 
         “การที่จะมีประชาชนจะ 1 คนหรือแสนคนลุกขึ้นมาเรียก ร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ ทบทวนตัวเองหรือพิจารณาตัวเอง ไม่ได้ขัดกับหลักประชาธิปไตย โดยเฉพาะ อย่างยิ่งถ้ามีข้อสงสัยว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ บาลนั้นอาจจะแค่บกพร่อง ผิดพลาด ถ้าร้ายแรงกว่านั้นคือละเมิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิของประชาชน หรือเลวร้ายอีกเรื่องหนึ่งคือการทุจริต คอร์รัปชัน จริงครับ ปัญหาเหล่านี้มีกระบวนการทางกฎหมาย แต่ท่านดูเถอะครับ ทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตยส่วนใหญ่เขาไม่รอให้กฎหมายจัดการครับ มันจะมีสิ่งที่เรียกว่าสำนึกหรือความรับผิดชอบของนักการเมืองที่เขาบอกว่ามันต้องสูงกว่าคนธรรมดา มีเพื่อนสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่งยกตัวอย่างกรณีของเกาหลี นั่นแค่คิดนโยบายนะครับว่าต้องเปิดการค้าเสรี เอาเนื้อวัวจากอีกประเทศหนึ่งเข้ามา คนลุกฮือขึ้นมาเป็นแสน เขาลาออกทั้งคณะ ผมว่าอายุรัฐบาลเขาสั้นกว่ารัฐบาลนี้ตอนที่เขาตัดสินใจอย่างนั้น ใครที่เคยอยู่ในประเทศประชาธิปไตยในยุโรป ในสหรัฐจะทราบ อย่าว่าแต่รัฐมนตรีเลยครับ ส.ส. ส.ว. บางทีมีเรื่องอื้อฉาวส่วนตัวลาออกครับ”

การอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัว หน้าพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งเป็นผู้นำฝ่ายค้าน อภิ ปรายนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้มีสำนึก รับผิดชอบทางการเมืองด้วยการยุบสภาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2551 กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตยชุมนุมเรียกร้องให้นายสมัครลาออก
2 ปีเมษาเลือดยังมืดมน


คำอภิปรายดังกล่าวของนายอภิสิทธิ์ได้กลับมาทิ่มแทงนายอภิสิทธิ์จนถึงทุกวันนี้ว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นนักการเมืองประเภทใด นายอภิสิทธิ์ไม่ได้ถูกประณามว่ารวมหัวกันปล้นอำนาจและตั้งรัฐบาลในค่ายทหารเท่านั้น แต่การสั่งให้สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553 ที่มีผู้เสียชีวิต 93 คน และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คนนั้นไม่ใช่แค่ตอกย้ำคำว่านิติรัฐและนิติธรรมเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงจริยธรรมและคุณธรรมของนายอภิสิทธิ์เองด้วย


การตัดสินใจใช้กองทัพสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงของรัฐบาลอภิสิทธิ์เมื่อวันที่ 10 เมษา ยน 2553 บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนดินสอและถนนราชดำเนิน จึงเป็นวันเสียงปืนแตกที่ส่งสัญ ญาณให้ใช้ความรุนแรง รวมถึงการใช้เฮลิคอปเตอร์ยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ การใช้กำลังทหารนับหมื่นนายตั้งแต่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศจนถึงเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดงทำให้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงตลอดทั้งวัน เสียงระเบิดและอาวุธสงครามดังสนั่น ขณะที่แก๊สน้ำตาก็กระจายทั่วท้องฟ้าจากเฮลิคอปเตอร์ตลอดถนนราชดำเนิน


ผลปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิต 26 คน เป็นทหาร 6 นาย และประชาชน 20 คน บาดเจ็บอีกกว่า 800 คน ในจำนวนผู้เสียชีวิตมี พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม (ยศขณะนั้น) รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) ถูกสะเก็ดระเบิด ท้ายทอยขวาฉีกขาด น่อง 2 ข้างฉีกขาด ฟกช้ำอกซ้ายและด้านหน้า ต้นขาซ้ายฉีกขาด ที่ถนนดิน สอหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา รวมทั้งนายฮิโรยูกิ มูรา โมโต ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น ถูกยิ่งด้วยอาวุธความเร็วสูงของเจ้าหน้าที่ตัดขั้วหัวใจ


โยนบาป “ไอ้โม่งชุดดำ”


หลังเหตุการณ์ 10 เมษายน นายอภิสิทธิ์ก็เก็บตัวเงียบภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) เกือบ 1 สัปดาห์ ก่อนจะออกมาแถลงไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ นอก จากนี้ยังนำคลิปวิดีโอมาออกอากาศโยนความผิดให้ “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นผู้ก่อความรุนแรง รวมทั้งฆ่าคนเสื้อแดงและเจ้าหน้าที่ ซึ่งนับแต่วันนั้นทั้งรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ปลุกกระแส “ไอ้โม่งชุดดำ” โดยนำคลิปมาออกอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า


จากวันนั้นจนถึงวันนี้เกือบ 2 ปี เหตุการณ์เมษายนเลือด 2553 จุดเริ่มต้นของความรุนแรง และการฆ่าหมู่ 19 พฤษภาคม 2553 รวมถึงการเผาบ้านเผาเมืองยังเป็น “ปริศนาที่มืดมน”


ใครคือ “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่ใช้อาวุธสงครามเอ็ม 79 ยิงใส่ผู้ชุมนุมและทหาร และใครคือผู้สั่งการ?


โดยเฉพาะคดีของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ถูกบิดเบือนครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่มีทั้งพยานบุคคล รวมทั้งภาพถ่ายและวิดีโอชัดเจนว่าเสียชีวิตอย่างไร แต่การชันสูตรพลิกศพกลับถูกแทรก แซงและบิดเบือนจนรัฐบาลญี่ปุ่นต้องทวงถาม


แต่รายงานของกองทัพระบุชัดเจนว่าเหตุการณ์ 10 เมษายนนั้น กองทัพและรัฐบาลประเมินสถานการณ์ผิดพลาด และการวางแผนกระชับพื้นที่ก็ขาดความรอบคอบ จนทำให้เกิดการสูญเสียอย่างที่ไม่คาดคิด ซึ่งนายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำสูงสุดไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้


ใครคือฆาตกรตัวจริง?


นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการแผนกเอเชียของฮิวแมนไรท์วอทช์ ทำรายงานความยาว 139 หน้า กรณี “เมษา-พฤษภาอำมหิต” โดยใช้หัวข้อว่า “จมดิ่งลงสู่ความโกลาหล : การชุมนุมประท้วงของ กลุ่มเสื้อแดงในประเทศไทยปี 2553 และการปราบ ปรามโดยรัฐบาล” โดยระบุว่าสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสีย ชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลังขั้นรุนแรงจนทำให้มีผู้เสียชีวิต ในลักษณะที่ “เกินความจำเป็นและปราศจากเหตุ อันควร” โดยที่สะพานผ่านฟ้าฯทหารบางนายใช้ปืนเอ็ม 16 และ TAR21 ยิงกระสุนจริงใส่ผู้ชุมนุม ทหารบางนายยิงกระสุนยางจากปืนลูกซองใส่ผู้ชุมนุมตรงๆ ขณะที่แกนนำ นปช. ถูกตั้งข้อหาว่าก่อการร้าย ในขณะที่ไม่มีทหารหรือตำรวจรายใดเลยที่ถูกดำเนินคดีจนถึงขณะนี้ ซึ่งสะท้อนถึงกระบวนการยุติธรรมของไทยว่าไม่เป็นกลาง


ขณะที่นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวในโอ กาสเป็นประธานในพิธีบรรจุอัฐิผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 โดยชี้ว่า ผลการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งกรณีพฤษภาทมิฬ 2535 และพฤษภาเลือด 2553 ล้วนไม่นำไปสู่บทเรียนใดๆ เพราะถูกดองเงียบ คอป. เสนอให้รัฐบาลแก้ไขก็ไม่ได้รับการตอบสนองในทางที่ดีนัก


นายคณิตยังเรียกร้องให้พัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้กลับมาเป็นที่น่าเชื่อถือศรัทธาของประชาชน เพราะโดยปรกติเมื่อมีเหตุสูญเสีย บาดเจ็บล้มตายจากฝีมือของคนจะต้องมีผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐ โดยกระบวนการยุติธรรมจะต้องค้นหาความจริงและจัดการกับผู้นั้น แต่บ้านเรากระบวนการยุติธรรมพิกลพิการ ประชาชนไม่เชื่อถือศรัทธา เพราะจนถึงขณะนี้ยังหาผู้รับผิดชอบไม่ได้ทั้งเหตุการณ์ปี 2535 และ 2553 จนต่างชาติต้องทวงถาม


ดำเนินคดี “มาร์ค-เทพ”


อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน อำ นาจเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่เคยถูกแช่แข็งและมีการพยายามบิดเบือนหลักฐานต่างๆเอาไว้ก็เริ่มเดินหน้าอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณี 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม หรือกรณีนายฮิโรยูกิ มูราโมโต และนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลีที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 2553 สำนวนคดีก็ใกล้เสร็จแล้ว และพนักงานอัยการศาลอาญากรุงเทพใต้จะสามารถไต่สวนได้เร็วๆนี้


เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือก สุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ที่ถูกแจ้งความจากผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิตว่าเป็นผู้สั่งให้มีการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีคนเจ็บและตายจำนวนมาก ก็เดินทางไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนใน ฐานะพยานคดี 6 ศพ โดยนายสุเทพเดินทางไปเมื่อ วันที่ 8 และ 14 ธันวาคม 2554 ส่วนนายอภิสิทธิ์ เดินทางไปให้ปากคำเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เมษายน 2553 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2554


การให้ปากคำเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ของ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจึงมีความสำคัญอย่างมากกับการเริ่มต้นตามกระบวนกฎหมาย ทั้งยังทำ ให้เห็นว่ารัฐบาลที่มาจากประชาชนก็ต้องใช้กระ บวนการกฎหมายปรกติ ไม่ใช่ใช้อำนาจเผด็จการหรือองค์กรที่ตั้งโดยอำนาจเผด็จการอย่างคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสีย หายแก่รัฐ (คตส.) ตั้งธงเอาผิดใครคนใดคนหนึ่ง


ขณะที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่การวินิจฉัยขึ้นอยู่กับตำ รวจและอัยการว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวปาฐกถาในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคประชาธิปัตย์ในหัวข้อ “10 ฐานรากของประเทศ พิมพ์ เขียวของประเทศไทย” เกี่ยวกับการเมืองและกระบวนการยุติธรรมตอนหนึ่งว่า ความเป็นกลางหรือไม่เป็นกลางไม่ได้วัดกันที่ว่าอยู่ข้างไหน ความเป็นกลางหรือไม่เป็นกลางอยู่ที่ว่า “คุณอยู่กับความจริงหรือไม่” ดีก็คือดี ชั่วก็คือชั่ว การบังคับใช้กฎหมายเป็นปัญหาที่สังคมไทยมีมาโดยตลอดจึงต้องออกแบบกันใหม่เพื่อให้หลุดพ้นจากปัญหาหรือจุดอ่อนตรงนี้ให้ได้


จบแต่ไม่ยุติ “ผังกำมะลอ”


แม้เกือบ 2 ปี “ความจริง” ในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” จะยังไม่ปรากฏว่าใครยิง ใครฆ่า ใครคือฆาตกร และใครต้องรับผิดชอบ แต่ในไม่ช้านี้จะเห็นรายงานที่เป็นรูปธรรมทั้งจากตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมถึง คอป. และองค์กรที่ตรวจสอบและติดตามเรื่องนี้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ
เหมือนกรณี “ผังล้มเจ้า” ที่วันนี้กลายเป็น “ผังกำมะลอ” ไปแล้ว หลังจาก พ.ต.อ.ประเวช มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ แถลงหลังจาก พ.อ.วิจารณ์ จดแดง ผู้อำนวยการส่วนกฎหมายกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณา จักร (กอ.รมน.) ในฐานะผู้แทน ศอฉ. เดินทางเข้าชี้แจงถึงกรณีแผนผังล้มเจ้าจำนวน 39 ราย เชื่อว่าจากพยานหลักฐานต่างๆ รวมถึงการสอบปากคำ พยานทุกปากไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดอย่างชัดเจนได้ ดีเอสไอจึงจะประชุมเพื่อสรุปปิดสำ นวนคดีก่อนสงกรานต์เพื่อไม่สั่งฟ้อง รวมถึงคดีหมิ่นเบื้องสูงของนายจักรภพ เพ็ญแข


“เรื่องนี้ไม่มีความชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้นที่รับเป็นคดีพิเศษมานานเป็นปีแล้ว และเมื่อมีการเปลี่ยนคณะทำงานสอบสวนผมก็พยายามจะทำให้มันมีอะไร แต่จนถึงขณะนี้ผู้ที่กล่าวหาก็ยังไม่มีมูลที่ชัดเจนให้ดีเอสไอนำไปขยายผลสืบสวนหาคนผิดได้ หรือที่พูดกันในภาษาชาวบ้านว่าการกล่าวหาลอยๆ” พ.ต.อ.ประเวชกล่าว


ด้านนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้มีรายชื่อใน “ผังล้มเจ้า” ว่ามีความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณผ่านทางคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ก็ได้โพสต์ข้อความไว้อาลัยในเฟซบุ๊คว่า ตั้งแต่มีผัง 2 ปียังไม่เคยเจอคุณหญิงพจมานเลย และก่อนมีผังก็ไม่เคยเจอ แต่มีแล้วนึกว่าจะได้เจอสักหน่อยก็ยังไม่ได้เจออีก “จนบัดนี้ผมก็ยังเป็นปริศนานะว่าชื่อผมไปโยงกับคุณหญิงได้ไงหว่า นึกมา 2 ปีก็ยังนึกไม่ออก”
ขณะที่นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีชื่อใน “ผังล้มเจ้า” ด้วย ได้เขียนบทความในหน้า 7 คอลัมน์ถนนประชาธิปไตยว่า ผังล้มเจ้า ของ ศอฉ. ถือเป็นคดีปาหี่และฮาที่สุด
แต่ประเด็นสำคัญที่ไม่ยุติคือใครจะรับผิดชอบ “ผังกำมะลอ” นี้ เพราะได้ทำให้บุคคลที่มีชื่อในผังเสียหายและเสื่อมเสียศักดิ์ศรีเกียรติยศมาตลอด 2 ปีที่ถูกใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งทั้งนายสุเทพ นายอภิสิทธิ์ และ ศอฉ. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความอัปยศและไร้คุณธรรมของการใช้อำนาจรัฐ


2  ปีตลกร้ายที่ไม่ตลก


2 ปีเหตุการณ์เลือด 10 เมษายน 2553 ที่เสียงปืนแตกและเริ่มต้นการเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็นของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยแล้วว่าเป็น “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” และนายอภิสิทธิ์เป็น “ผู้นำมือเปื้อนเลือด”


แม้จะมี พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉินคุ้มครองการกระทำของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐขณะนั้น หรือกระบวนการสร้างความ ปรองดองที่อาจมีการนิรโทษกรรมตามรายงานของ สถาบันพระปกเกล้าที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรอง ดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี พล.อ.สนธิ บุญย รัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่เป็นคนฉีกรัฐธรรมนูญเองได้กลับมาเป็นประธานคณะกรรมาธิการ แต่ไม่ได้หมายความว่า “ความจริง” ทั้งหมดจะต้องถูกฝังไปกับหลุมศพของ “ฆาตกร”


อย่างที่อาจารย์สุดา รังกุพันธ์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกระ บวนการยุติธรรมที่มีต่อคนเสื้อแดงที่ต้องเผชิญอาชญากรรมโดยรัฐ ซึ่งต้องการเห็นการปฏิรูปกฎหมายความมั่นคงอย่างชัดเจนเพื่อไม่ให้ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรงจากรัฐอีก ซึ่งคนเสื้อแดงได้ร่วมกันกล่าวคำปฏิญาณเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2555 ว่า “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 53 ต้องไม่มีผลทางกฎหมาย ปล่อยนักโทษการเมือง ผู้ประกาศใช้ต้องได้รับโทษ” พร้อมทั้งยืนไว้อาลัยให้นายสุรชัย นิลโสภา อดีตผู้ต้องขังคดียิงเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งศาลยกฟ้อง แต่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา


2 ปีเหตุการณ์เมษาเลือด 2553 จึงสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงความโหดเหี้ยมของการใช้อำนาจรัฐปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องประชา ธิปไตยและความยุติธรรมถูกเข่นฆ่าและถูกจับกุมนับร้อย นอกจากนี้ยังถูกวาทกรรมใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนานา โดยเฉพาะ “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่ถูกประทับตราให้เป็นทั้ง “ผู้ก่อการร้าย” เครือข่าย “ล้มเจ้า” และวาทกรรม “เผาบ้านเผาเมือง” จากเหตุการณ์ “ฆ่าแล้วเผาเมือง” ถูกบิดเบือนผ่านสื่อให้เป็นวาระ “เพราะเผาเมืองจึงสมควรถูกฆ่า” ผิดจากความจริงที่ว่ามีคนตายกว่า 20 ศพ ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2553 และถูกสไนเปอร์ส่องตายเรื่อยมาจนถึง 19 พฤษภาคม 2553 รวมกว่า 90 ศพ ผู้ชุมนุมสลายตัว แกนนำเข้ามอบตัว จากนั้นจึงเกิดการเผาที่ไม่มีการดับ...


ขณะที่วันนี้ “คนสั่งฆ่าลอยหน้า คนฆ่าลอยนวล” “การปรองดอง” กำลังถูกปลุกกระแสให้เป็นการ “ปอง ร้าย” จาก “ผู้นำมือเปื้อนเลือด” ที่คัดค้านและขัดขวางการเยียวยาและการปรองดองทุกรูปแบบ


แม้ 2 ปี “ความจริง” การเข่นฆ่าและใส่ร้ายป้าย สีประชาชนยังไม่ปรากฏ และไม่รู้ว่าใครต้องรับผิด ชอบ แต่วันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า “ผังล้มเจ้า” เป็น “ผังกำ มะลอ” เช่นเดียวกับ “แผนปรองดอง” ขณะนี้ที่เป็น ได้แค่ตลกร้ายของคณะละครลิงที่ได้แต่ร้องเจี๊ยกๆตาม บทละครที่รอผู้กำ กับการแสดงคอยสั่ง “คัต” หรือ “แอ็ค ชั่น” ต่อไปเท่านั้น!


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 354 วันที่  7 - 13 เมษายน พ.ศ. 2555 หน้า 18  คอลัมน์ ฟังจากปาก โดย กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข
http://redusala.blogspot.com

อยุทธศาสตร์ล้มการปรองดองมหาวิบัติยุทธวิธีวิปริต 6 ประการ

 
          อยุทธศาสตร์ล้มการปรองดองมหาวิบัติยุทธวิธีวิปริต6ประการ!
         เรื่องการปรองดองและล้มการปรองดองมีคนพูดกันมาก พูดกันหลายเหตุผลและมุมมอง ซึ่งล้วนน่ารับฟังทั้งสิ้น อีกทั้งถ้าไม่มีใครสนใจเรื่องการปรองดองในประเทศไทยขณะนี้ก็ถือว่าตกบันไดเวลาเหมือนกัน บทความชิ้นนี้เป็นอีกมุมมองที่จะตอบคำถามได้ถึงยุทธวิธีต่างๆที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ใช้เป็นปัจจัยขัดขวางไม่ให้เกิดการปรองดอง หรือจะบอกว่าเป็นการล้มการปรองดองก็ได้ ซึ่งขอเรียกว่า “อยุทธศาสตร์ล้มการปรองดอง”

          ยุทธการตาบอดคลำช้างนี้ชัดเจนในความหมาย 2 นัยคือ ส่วนหนึ่งเป็นการทำให้ผู้คนสับสน เพราะมีการวางตัวที่ไม่แน่นอน ทำให้คนไม่เข้าใจว่าพรรคประชาธิปัตย์คิดอย่างไรและจะเอาอย่างไรกับการปรองดอง วิธีเช่นนี้ใครจะเข้าใจพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ง่าย จึงอยู่ที่จะมองมุมไหนและคลำจุดไหน มองจากเขี้ยวงาหรือตัวเดียวอันเดียว คลำที่หนึ่งก็เข้าใจอย่างหนึ่ง คลำอีกที่ก็กลายเป็นอีกความหมาย


        ความหมายตาบอดคลำช้างอาจบอกว่าเป็นการมองต่างมุมของแต่ละฝ่ายก็ได้ กระทั่งถึงที่สุดไม่รู้ว่าการปรองดองในประเทศไทยหมายถึงอะไรกันแน่ ดังเช่น “อัฏฐะ” หมายถึงการคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนร่วม เป็นแนวคิดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ทั้งเห็นด้วยที่จะให้ยุติคดีที่เกิดจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) คือย้อนเวลากลับไปที่เดิมของกระบวนการยุติธรรม ตัดเรื่องหยุมหยิมจิปาถะออกไป มองข้ามปัญหาย่อยต่างๆเสียบ้าง แล้วยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมือง ถ้ายึดถือได้อย่างนี้จะเกิดการให้อภัย และการปรองดองก็จะเกิดขึ้นได้


          อัปริหานิยธรรม ข้อนี้เป็นความเห็นของพระพยอม กัลยาโณ หมายถึงให้มองข้ามเรื่องที่โกรธเคืองขัดแย้งกัน ให้คิดถึงความเจริญของบ้านเมืองในอนาคต ถ้ากระทำอย่างนี้ได้ เมื่อทุกคนนึกถึงความเจริญเติบโตของบ้านเมือง จิตใจที่จะให้อภัยและการปรองดองก็จะเกิดขึ้นได้
แต่อีกฝ่ายอาจจะมองว่าเป็นการใช้การปรองดองบังหน้าเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำผิด เป็นการแฝงเนื้อหาโดยการใช้การปรองดองมาบังหน้า ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดแต่ละครั้งก็หนีไม่พ้นบทนี้ จึงถือเป็นการคลำช้างอีกส่วนหนึ่ง เป็นปัจจัยรุนแรงที่ขัดขวางไม่ให้การปรองดองเกิดขึ้นได้


           ปรัชญาและยุทธการ “ไก่กับไข่” อะไรเกิดก่อน ยุทธการข้อนี้ไม่แตกต่างจากข้อที่แล้ว คือเป็นการมองต่างมุมอีกเช่นเคย ไก่เกิดก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไก่ เยียวยาก่อนความจริงปรากฏ หรือให้ความจริงปรากฏก่อนแล้วค่อยเยียวยา นี่เป็นข้อถกเถียงที่มีอยู่มากมาย ในฝ่ายคัดค้านมองว่าไม่ควรเอากฎหมายนิรโทษกรรมที่จะเป็นผลทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ้นจากความผิด เพราะยังไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าอะไรเป็นอะไร


          ยังมีฝ่ายที่มองว่าแต่ละอย่างของการปรองดองต้องกระทำพร้อมๆกัน ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายอย่าง การให้อภัยและเข้าอกเข้าใจ การสานเสวนา เปิดเวทีให้มีการพูดคุยของฝ่ายต่างๆขึ้นมา


          เรื่องไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่นี้ยังเกี่ยวข้องกับ 3 คำถามที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ได้เปิดเวทีของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (กมธ.ปรองดอง) ถาม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่ง “บิ๊กบัง” ก็แสดงวาทกรรม “ขอให้ความจริงตายไปกับตนเอง” บ้างก็มองว่าความจริงนั้นไม่เหมาะสมที่จะพูดในประเทศไทย หรือเปิดเผยไม่ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร เหตุผลวิบัติเรื่องไก่กับไข่จึงเป็นอีกยุทธการหนึ่งที่ขัดขวางและทำให้การปรองดองต้องล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า


           ยุทธการยักย้ายส่ายไปมาเหมือนกับปลาไหลนี้เป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักรุนแรงมากที่สุดที่ทำให้การปรองดองต้องบิดเบือนความหมาย อธิบายง่ายๆคือมีการสื่อสารพูดจาให้เหตุผลอย่างโน้นบ้าง อย่างนี้บ้าง อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ด้วยยุทธการเช่นนี้การปรองดองจึงยังไปไม่ถึงไหน กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางที่สกัดให้การปรองดองล้มลงไปไม่เป็นท่า


            แม้แต่เรื่องที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์ถอนตัวจาก กมธ.ปรองดองจำนวน 9 คน โดยอ้างว่า กมธ.ปรองดองจะใช้เสียงส่วนใหญ่มาบีบให้ลงมติจึงต้องถอนตัว ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการล้มเกม หรืออย่างน้อยที่สุดเป็นการยื้อเกมปรองดองให้ยืดออกไป

           ขณะเดียวกันมีผู้มองว่าวิธีการข้างต้นถือเป็นวิธีการพูดส่ายหัวไปมาแบบปลาไหลที่แท้จริง เพราะก่อนหน้านี้ กมธ.ปรองดองของพรรคประชาธิปัตย์บอกว่าไม่รับทราบอะไรก็ไม่ได้ เนื่องจากได้ขอให้ กมธ.ปรองดองแก้ไขข้อความในผลการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าเรื่องการปรองดอง ซึ่งสะท้อนว่าต่างก็เกาะติดและรับทราบความคืบหน้าต่างๆของรายงานการวิจัย จะบอกว่าไม่รับทราบไม่ได้ และอ้างไม่รับทราบและไม่เห็นชอบจึงตัดสินใจถอนตัวออกมาก็ไม่จริง


           วิธีตัดต่อแบบแพะชนแกะและตะเบ็งเสียงไม่หยุดคือความหมายการเอาสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันแล้วสรรหาเหตุผลให้เกี่ยวข้องกันจนได้ พรรคประชาธิปัตย์จึงใช้เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมาพูดเพื่อบิดเบือนและผลักเฉให้ความหมายของการปรองดองเปลี่ยนแปลงไป เช่น เอาปัญหาปากท้องและสินค้าราคาแพงมาโจมตีรัฐบาล แล้วบอกว่าเป็นเรื่องที่จะต้องแก้ไขมากกว่าการปรองดองหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่วนย่อยของการปรองดอง การสร้างกระแสโดยตั้งเรื่อง “ของแพงทั้งแผ่นดิน” ยุทธการนี้อาจพูดได้ว่าเป็นการร้องแรกแหกกระเฌอและตะเบ็งเสียงอย่างไม่รู้จักจบ คือหาประเด็น หาเรื่องออกมาพูดเรื่อยๆ แม้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันก็พูดให้มันเกี่ยวกันจนได้ 


           ลงท้ายแล้วก็เป็นปัญหาหยุมหยิมที่ทำให้แนวทางการปรองดองต้องบิดเฉไปในที่สุด
การเสนอวาทกรรมให้สังคมเห็นว่า “ใครที่สนับสุนนการปรองดองก็ล้วนเป็นพวกทักษิณ” ฉะนั้นถ้าเป็นพวกทักษิณก็เท่ากับเป็นคนไม่ดี ไม่ใช่พวกรักชาติ


           เพราะเหตุนี้จึงมีข่าวลือว่าเริ่มเกิดกลุ่มบุคคลที่จะล้มการปรองดอง แม้กระทั่งใช้วิธีการขี้เท่อ โดยการสนับสนุนให้มีการประท้วงจนอาจจะเกิดความขัดแย้งในสังคม แล้วติดตามมาด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร เรื่องเหล่านี้อย่าประมาทในสังคมไทย เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ คนพวกนี้เรียกร้องความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง แต่พวกตนเองล้วนสร้างแต่เงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกและบานปลายออกไปเรื่อยๆจนยากแก่การเยียวยาแก้ไข ในที่สุดก็ไม่มีใครอยากแก้ไขต่อไป ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปโดยชะตากรรมที่เลวร้ายเสมือนแทบจะไม่มีอนาคตที่สดใสข้างหน้า กลายเป็นว่าคนไทยด้วยกันพูดจากันไม่รู้เรื่อง


สรุปคือการปรองดองที่ตอแหลย่อมไม่มีคำตอบและไม่มีข้อสรุปเกิดขึ้นได้


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 

ฉบับที่ 354 วันที่ 7-13 เมษายน พ.ศ. 2555 
หน้า 11 คอลัมน์ กรีดกระบี่บนสายธาร โดย เรืองยศ  จันทรคีรี
http://redusala.blogspot.com

ชะตากรรม‘ผังล้มเจ้า’!


    
          ชะตากรรม‘ผังล้มเจ้า’!

         ในที่สุดก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า “คดีผังล้มเจ้า” ได้มาถึงจุดจบ เพราะมีแนวโน้มชัดเจนว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอจะปิดสำนวนสั่งไม่ฟ้องคดีนี้

        เหตุการณ์ชัดเจนเมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา เมื่อ พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการส่วนกฎหมายกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้เดินทางมาให้ปากคำกับดีเอสไอในเรื่องการกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐด้วยการล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์ พ.อ.วิจารณ์เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่สำคัญในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เมื่อ พ.ศ. 2553 ซึ่งนำเสนอเรื่อง “ผังล้มเจ้า” พ.อ.วิจารณ์ให้ปากคำอยู่ราว 2 ชั่วโมง และนำเอกสารมามอบให้เป็นหลักฐาน 1 ลัง ซีดี 8 แผ่น


          หลังจากนั้น พ.ต.อ.ประเวช มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ แถลงว่า ดีเอสไอได้สอบสวนพยานครบทุกปากแล้ว และจากการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดยังไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้ เนื่องจากพยานหลักฐานไม่ชัดเจน จึงจะสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ และจะสรุปคดีให้เสร็จก่อนสงกรานต์


         พ.ต.อ.ประเวชยังอธิบายรายละเอียดว่า ไม่ปรากฏว่ามีพยานคนไหนให้การว่าใครเป็นคนจัดทำแผนล้มเจ้าขึ้นมา ประกอบกับข้อมูลที่กล่าวหากลุ่มบุคคลในผังก็ไม่ปรากฏชัดเจนว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ร่วมกันกระทำผิดที่ไหน เมื่อไร ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า “เรื่องนี้ไม่มีความชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้นที่รับเป็นคดีพิเศษมานานเป็นปีแล้ว และเมื่อมีการเปลี่ยนคณะทำงานสอบสวนผมก็พยายามจะทำให้มันมีอะไร แต่จนถึงขณะนี้ผู้ที่กล่าวหาก็ยังไม่มีมูลที่ชัดเจนให้ดีเอสไอนำไปขยายผลสืบสวนหาคนผิดได้ หรือที่พูดกันในภาษาชาวบ้านว่าการกล่าวหาลอยๆ”


         ย้อนหลังกลับไปตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553 พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ได้แถลงข่าวโดยเสนอถึงแผนผังเครือข่ายชื่อบุคคลที่อ้างว่าเป็นเครือข่ายที่ส่อถึงการล้มล้างสถาบันเบื้องสูง จากรายชื่อในแผนผังมีชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นใจกลาง และมีโครงข่ายต่างๆแวดล้อมเชื่อมโยงหลักๆ ได้แก่ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อันประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวิสา คัญทัพ และนายก่อแก้ว พิกุลทอง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นายอดิศร เพียงเกษ นายแพทย์เหวง โตจิราการ นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน รวมทั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และโยงถึงนักวิชาการ เช่น นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เข้าไปด้วย


            หลังจากนั้นสื่อมวลชนกระแสหลัก กลุ่มฝ่ายขวา และสลิ่มสารพัดสี ได้ปลุกกระแสและโจมตีบุคคลเหล่านี้ โดยอ้างว่าเป็นเครือข่ายขบวนการล้มเจ้า ซึ่งเป็นการจงใจบิดเบือนให้ร้ายผู้ที่ปรากฏชื่อในผังล้มเจ้า โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ออกมาแถลงซ้ำว่าจะออกหมายจับบุคคลตามแผนผังนี้ด้วย แต่ต่อมานายสุเทพไม่ได้ดำเนินการเช่นนั้น แต่ในทางความเป็นจริง “ผังล้มเจ้า” เป็นส่วนหนึ่งของกระแสในการนำมาสู่การปราบปรามกวาดล้างประชาชนคนเสื้อแดงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 93 คน บาดเจ็บนับพันคน และมีประชาชนถูกจับกุมติดคุกอีกนับร้อยคน


            เรื่องผ่านไปจนถึงวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554 เนื่องจากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทำให้ พ.อ.สรรเสริญต้องยอมรับต่อศาลว่าการเผยแพร่ “ผังล้มเจ้า” มีขึ้นด้วยเหตุ 3 ประการคือ ประการที่หนึ่ง ศอฉ. ในขณะนั้นเชื่อมั่นว่ามีขบวนการที่จ้องจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์จริง 



          ประการที่สอง ในช่วงเวลานั้นมีข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเทอร์เน็ตกล่าวหาในลักษณะทำนองว่าท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ซึ่งเป็นราชเลขาธิการในพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โทรศัพท์มาสั่งการ ศอฉ. อยู่ตลอดเวลาให้ดำเนินการนานัปการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่นนั้น หมายความว่ามีความพยายามจะสร้างภาพให้สังคมเห็นว่าพระองค์ท่านมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องการเมือง ซึ่งมิได้เป็นความจริง ศอฉ. จึงมีความจำเป็นต้องชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้สังคมได้รับทราบว่าความจริงเป็นเช่นไร 


        และประการที่สาม เป็นไปตามมติของ ศอฉ. ที่ต้องการจะให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่สังคมเป็นลายลักษณ์อักษร

           พ.อ.สรรเสริญยังอธิบายต่อไปว่า เอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ โดยให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสารว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกัน เป็นต้น มิได้แถลงว่าบุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ แต่หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ไปขยายผล ขยายความกันเอง


         สรุปแล้วจากคำแถลงของ พ.อ.สรรเสริญต่อศาลก็เป็นที่ชัดเจนว่าผังล้มเจ้าเป็นเพียงการแสดงเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เรื่องขบวนการล้มเจ้าเป็นเพียงความเชื่อ จึงไม่เคยปรากฏเลยว่าฝ่าย ศอฉ. และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เสนออะไรที่เป็นหลักฐานอันมีน้ำหนักในกรณีเรื่องนี้ หรืออธิบายได้อีกลักษณะหนึ่งว่า คดีผังล้มเจ้าเป็นเพียงความพยายามของรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่จะใส่ร้ายป้ายสีผู้บริสุทธิ์ โดยการนำเอากรณีล้มล้างสถาบันมาเป็นเครื่องมือในการกล่าวหาศัตรูทางการเมืองของพวกตน และสร้างความชอบธรรมในหมู่ประชาชนด้วยการสร้างเรื่องโกหกระดับชาติขึ้นมานั่นเอง


          แม้ความจริงเป็นเช่นนี้แล้ว แต่ดีเอสไอในขณะนั้นยังยืนยันที่จะดำเนินคดีล้มเจ้าต่อไป โดยพยายามอ้างว่ามีหลักฐานแน่นหนาที่จะดำเนินคดี แต่ปรากฏว่าในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 เกิดการเปลี่ยนเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย การทำงานของดีเอสไอจึงมีการเปลี่ยนท่าทีต่อคดีล้มเจ้าอย่างสำคัญ เช่น การเสนอจะเรียกตัวนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และนายสุเทพในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. มาให้การกรณีผังล้มเจ้า และมีข่าวอ้างว่านายสุเทพเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจากการจัดทำผังล้มเจ้า ทำให้นายสุเทพต้องตอบโต้ว่าดีเอสไอชักจะทำอะไรเลอะเทอะ ไม่มีจุดยืนในการทำงาน “เพราะกรณีนี้ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ทางเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานที่แสดงพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาร้ายต่อสถาบัน และนำไปเสนอต่อ ศอฉ.” แต่วันนี้มาออกข่าวในลักษณะเหมือนจะกล่าวหาว่าตนเป็นต้นเรื่อง


            ถ้าเป็นดังนี้จึงกลายเป็นเรื่องแปลก เพราะในที่สุดไม่รู้ว่าใครเป็นต้นเรื่อง แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการใส่ร้ายป้ายสีคงเลี่ยงไม่ได้ที่นายสุเทพ รัฐบาลอภิสิทธิ์ และ ศอฉ. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่กรณีนี้ได้สะท้อนให้เห็นอีกครั้งถึงความเหลวไหลของชนชั้นนำไทย เป็นตัวอย่างการใส่ร้ายป้ายสีที่มุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้คุณธรรม


      บทความนี้จึงลงท้ายด้วยความเห็นในโลกไซเบอร์ เช่น “มั่วแม็พล้มเจ้า ความจริงเริ่มปรากฏ ที่แท้ก็เป็นวิธีการใส่ความฝั่งตรงข้ามแบบมั่วๆ และแล้วผังล้มเจ้าจาก ศอฉ. ในยุคนั้นมีแนวโน้มว่าจะเป็นคดีปาหี่ เอาฮาในที่สุด” หรือผังล้มเจ้าที่ได้รับการเปิดเผยโดยโฆษก ศอฉ. ในขณะนั้นได้รับการกล่าวขานมากว่า “ใครแม่มนั่งทางในเขียน” และอีกความเห็นที่ว่า “ไม่แน่นะ ในวันสองวันนี้เราอาจเห็นพนักงานสอบสวนในคดีนี้เชิญจิตแพทย์ร่วมสอบการให้ปากคำคำให้การของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็เป็นได้ ใครจะไปรู้”


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 

ฉบับ 354 วันที่  7 - 13 เมษายน พ.ศ. 2555 หน้า 7  
คอลัมน์ ถนนประชาธิปไตย โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
http://redusala.blogspot.com

ดารุณี กฤตบุญญาลัย ตกบันไดหัวแตกหมดสติ 
ระหว่างทัวร์เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่อเมริกา

ดารุณี กฤตบุญญาลัย ตกบันได ระหว่างทัวร์เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่อเมริกา

เจ๊ดา ดารุณี กฤตบุญญาลัย ตกบันไดหัวแตกหมดสติ ระหว่างทัวร์เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่อเมริกา
เจ๊ดา ดารุณี กฤตบุญญาลัย ตกบันได 11 ขั้น หัวแตกหมดสติ ระหว่างทัวร์เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่อเมริกา ล่าสุดปลอดภัยแล้ว

            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 4 เม.ย. เว็บไซต์คนเสื้อแดง Thai E-News ได้เผยแพร่ข่าวพร้อมภาพการประสบอุบัติเหตุของนางดารุณี กฤตบุญญาลัย โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 27 มีนาคม หลังกลับจากนิวยอร์ค นางดารุณี ได้ประสบอุบัติเหตุในบ้านพักที่ชิคาโก้ โดยตกบันได 11 ขั้น จนศีรษะแตกหมดสติ ซึ่งล่าสุดปลอดภัยดี เดินเล่นนอกบ้านได้แล้ว ขาไม่ได้หัก แต่มีรอยร้าวซึ่งสามารถเชื่อมต่อกันเองโดยธรรมชาติ

       "เจ๊ดา แดงเดือด ดารุณี กฤตบุญญาลัย ที่อยู่ระหว่างทัวร์เดี่ยวไมโครโฟนสู้ไปสวยไป เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงในอเมริกา ต้องงดไปเดี่ยวไมโครโฟนที่เท็กซัส กับซานฟรานฯกะทันหัน เพราะประสบอุบัติเหตุที่บ้านพักในนครชิคาโก้ เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา หลังเดินทางกลับจากมหานครนิวยอร์ก แต่ล่าสุดปลอดภัยดีแล้ว พร้อมยืนหยัดต่อสู้ต่อไป

       เจ้าตัวเล่าว่า ตอนเกิดเหตุเดินออกไปเปิดประตู เป็นประตูสองชั้นจะเข้าบ้าน เพราะเพิ่งกลับจากนิวยอร์ค แล้วก็เลยพลัดตกบันไดเอาหน้าลงไป บันไดห้องใต้ดิน 11 ขั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พอรู้สึกตัวปรากฏว่า ก็ไปนอนอยู่บนกระเป๋าเดินทางที่หล่นลงไปด้วยกัน ศีรษะที่แตกอาจจะเป็นเพราะว่าโดนกระเป๋าเดินทางฟาด

       ตอนหล่นลงไปเหมือนมันลอย ๆ ยังไงไม่ทราบค่ะ พอได้สติก็นอนแอ้งแม้งอยู่บนกระเป๋าเดินทางของตัวเอง เหมือนมีใครมาอุ้มวางตัวพี่ดาไว้บนกระเป๋า...จากนั้นก็มีคนพาไปโรงพยาบาล"

       พี่ดากลับไปเช็คอาการอีกทีแล้วค่ะ ปลอดภัยขาไม่ได้หัก รอยร้าวที่เห็นในเอ็กเรย์นั้นตามธรรมชาติจะต่อกันเองค่ะ ส่วนแผลแตกที่ศรีษะด้านหลังเมื่อครบ 8 วันก็คงไปเอา clips ออก"

ขอบคุณข้อมูลจาก http://news.sanook.com











         มีรายงานข่าว นางดารุณี กฤตบุญญาลัย หรือในฉายาที่กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกว่า "เจ๊ดา แดงเดือด" มีทริปจัดคอนเสิร์ตเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงในสหรัฐอเมริกาชื่อว่า "เดี่ยวไมโครโฟนสู้ไปสวยไป" โดยตารางทัวร์ของนางดารุณีหลังจากเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงในนครชิคาโก้ มลรัฐอิลลินอยส์เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปรากฎว่าผู้ร่วมคณะกับนางดารุณีได้รายงานข่าวว่านางดารุณีเกิดอุบัติเหตุตกบันได 11 ขั้นที่บ้านพักในชิคาโก้ ซึ่งพลัดตกบันไดห้องใต้ดิน 11 ขั้น  เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ต้องงดทัวร์คอนเสิร์ตเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่เท็กซัส และซานฟราสซิสโกกระทันหัน โดยล่าสุดปลอดภัยดี





ภาพล่าสุด 2 เม.ย.

          "ตอนเกิดเหตุเดินออกไปเปิดประตู เป็นประตูสองชั้นจะเข้าบ้าน เพราะเพิ่งกลับจากนิวยอร์ค แล้วก็เลยพลัดตกบันไดเอาหน้าลงไป บันไดห้องใต้ดิน 11 ขั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พอรู้สึกตัวปรากฏว่า ก็ไปนอนอยู่บนกระเป๋าเดินทางที่หล่นลงไปด้วยกัน ศรีษะที่แตกอาจจะเป็นเพราะว่าโดนกระเป๋าเดินทางฟาด"นางดารุณีกล่าวในเว็บไซต์ดังกล่าว



ภาพและข้อมูล
Thai E-News

http://redusala.blogspot.com

แฉ! ประชาธิปัตย์ ผุด "แพงทั้งแผ่นดิน" ที่แท้ "ขายขาดทุนเอาหน้า"

                จากกรณีปัญหาข้าวของอุปโภคราคาเพิ่มขึ้นสภาพค่าแรงงานเพิ่มสูง รัฐบาลรู้ถึงความเดือดร้อนประชาชน เร่งคุยผู้ประกอบการสินค้าทีละรายเพื่อให้รู้ต้นทุนสินค้าแต่ละตัว เพื่อแก้ปัญหาสินค้าขึ้นราคาอย่างเป็นรูปธรรม

         เมื่อเจาะลึกไปถึงผู้ประกอบการแต่ละราย ก็มีคำถามเล็กๆว่า สมัย ปชป. เค้าไม่ได้ทำหรือไง ทำไมพอสินค้าราคาสูงก็ทำเป็นโวยวาย คำตอบคือ "ไม่ได้ทำ"

          และ ประชาธิปัตย์ก็ปล่อยเวลาเนิ่นนานมาเกือบ 3 ปีโดยที่"ไม่ทำอะไรเลย" แต่พอตนหมดหน้าที่ มาเป็นฝ่ายค้าน ก็กลบมาโวยว่ารัฐแก้ปัญหาของแพงผิดจุด

            ก็จะเล่าให้ว่า "แก้ปัญหาถูกจุด ของรัฐบาล" กับ "แก้ปัญหาผิดจุด ของ ประชาธิปัตย์" ต่างกันอย่างไร?

           วันนี้รัฐเข้าไปคุยกับ "ผู้ค้า" แต่ละรายดูโครงสร้างราคา พบว่า "ต้นทุนสินค้าวัตถุดิบ" ราคาถูก แต่ "สินค้าปลายทาง" ราคาแพง พบปัญหาทางโครงสร้างที่ใครก็ไม่กล้าเข้าไปแหยม คล้ายๆกับปัญหาแท็กซี่มาเฟียสนามบินภูเก็ตที่ขูดรีดรอบละ 800 บาทนั้นแหละ

           เราพบว่า โครงสร้างราคาในอดีตจากรัฐบาลก่อนทำให้ราคาสินค้าตกต่ำ แต่ราคาปลายทางสูง ณ ปัจจุบัน ท่านนายกฯได้สั่งให้พิจารณาโครงสร้างใหม่ทั้งหมด

         นั้นคือระยะยาว ต้องไล่กันทีละเปลาะ ทีละด้าน แต่ระยะสั้น เราก็ใช้โครงการ "ร้านถูกใจ" เป็นกลไกในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบ "พ่อค้าคนกลาง"

         วันนี้มีสินค้าราคาเหมาะสมเข้ามาในโครงการจำนวนมาก เมื่อหักพ่อค้าคนกลางออก ปรากฏว่าสินค้าดังกล่าวราคาถูกกว่าตลาดไปได้ 10-20% ลงไป

         ร้าานถูกใจ ไม่มีต้นทุนโฆษณาสินค้าบ้าเลือด ไม่มีพ่อค้าคนกลางมาขูดรีด จึงทำให้ราคาถูกกว่า และนำไปแจมขายในร้านค้าปกติได้โดยไม่ทำราคาตลาดเสีย นี่คือวิธีคิดชาญฉลาด ของรัฐบาล

          แต่มาดูฝ่ายค้านบ้างที่คิดแต่จะ "เอาหน้า ชิงตัดหน้า" ไม่ได้ไปทำอะไรเลย แต่เด็กออกฟอร์ดคิดง่ายๆ สองเด้งคือ

         เนื่องจากอยาก "ตัดหน้ารัฐบาล" และ "หาเสียงผู้ว่า กทม." จึงจัด "รถเร่-ตามชานเมืองจะเห็นบ่อยๆ"และหากว่าไปไอเดียนี้ไม่ใช่ ปชป.คิดคนแรกนะ  คนจัดเอามาเร่ขายคนแรกเลยคือ "บก.หนูหริ่ง สมบัติ บุญงามอนงค์" ที่เอารถกะบะ มาเร่ขายของกินของใช้ช่วยตอน "น้ำท่วมปี 54" หย่อนขายลงจากทางด่วน

          ผมเองได้ไปฟังตอนแกคิด และทำขายจริงๆ จึงเข้าใจ ตรรกะความคิดว่าตั้งต้นมาได้อย่างไร และลดราคาได้โดยขอให้ผู้ผลิตขายในราคาส่ง แกใส่ค่าน้ำมันหน่อย

         นั้นคือ วิธีคิด ที่คนมีความคิดเขาทำกัน แต่มาดู ปชป.ทำ เขาทำอย่างไร เขาบอกชัดเจนว่า "นำเอาเงินจากมูลนิธิเสนีย์ ปราโมช" มาอุดหนุนราคาสินค้า

         แปลภาษาไทยง่ายๆคือ ซื้อมาขายให้แบบ ขาดทุน โดยเอางบมูลนิธิมาโปะเอาหน้า!!! คิดได้แค่นี้ แค่นี้จริงๆ !!!!

        คนคิดระดับ อ็อกฟอร์ด ระดับกรณ์ และทีมวอรูมเขานำมาเผยแพร่อย่างภูมิใจว่าเขาไม่ได้ใช้เงินรัฐนะ เขาใช้เงินมูลนิธิเสนีย์มาอุดหนุน โง่หรือฉลาด

         แค่ซื้อราคาทุนมาเกลี่ยให้ลดลง ขายให้คนยากจนแค่นี้ คิดไม่ได้ แต่เอาเงินอื่นมาโป๊ะให้ราคาถูกลง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดได้ และภูมิใจมากๆๆๆ

         มันทำให้ผม "เอ๊ะใจ" ไปว่า ปชป. เคยใช้วิธีนี้มาก่อน สมัยท่านชวน ขายซาก ปรส. จากล้านล้านบาท เหลือแค่ไม่ถึงแสนล้านบาท????

         ชาติเจ๊งไป 8 แสนล้าน ท่านชวนยังหุบปาก ทำท่าขี่รถจิ๊บเอาหน้ายากจน แต่คุณลูกขับซิ่งบีเอ็มโฉบดารา ก็เลยมาตรฐานเดียวกัน วิธีคิดเดียวกันจนวันนี้

       "ขาย ปรส.เจ๊ง แปดแสนล้าน" กับ "โชห่วยสู้แพงทั้งแผ่นดิน" ของ ปชป. จึงคิดได้แย่พอๆกัน ซึ่งไม่มีพ่อค้าหน้าโง่ที่ใหนในแผ่นดินนี้คิดได้เท่า
http://redusala.blogspot.com