วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

‘พ.อ.วินธัย-ม.ล.ปนัดดา’ ยันไม่มีคำสั่งห้ามถ่ายอนุสาวรีย์ ปชต. หลังนักข่าวช่อง3SD ถูกห้ามกลางอากาศ


         Wed, 2014-12-10 18:22

            พชรปพน พุ่มประพันธ์ ผู้สื่อข่าวช่อง 3SD ถูกทหารสั่งห้ามถ่ายอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยระหว่างรายงานสด เจ้าตัวถามโฆษก คสช. และ ‘ม.ล.ปนัดดา’ ยันไม่มีคำสั่งห้าม

            10 ธ.ค. 2557 หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พชรปพน พุ่มประพันธ์ ผู้สื่อข่าวช่อง 3SD ทวีตผ่าน ‘@Pacharapapon’ เล่าถึงเหตุการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยตะโกนห้ามถ่ายภาพและให้หยุดถ่าย ต้องขออนุญาตก่อนถึงจะถ่ายได้ ขณะที่เขารายงานสดอยู่ โดยเป็นการรายงานถึงความหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ ของอนุสาวรีย์ฯ

          โดย พชรปพน ทวีตด้วยว่า ได้สอบถามไปยัง พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกและโฆษก คสช. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองผู้กำกับสน.สำราญราษฎร์ และทหารที่ดูแลพื้นที่ดังกล่าว ต่างระบุว่าไม่มีคำสั่งห้ามถ่ายแต่อย่างใด

ทหารคืนสตรอว์เบอร์รี่-พร้อมขอโทษหลังเข้าใจผิด-ส่วนเจ้าของร้านไม่ติดใจเอาโทษ


เจ้าของร้านสตอรว์เบอรรี่-แกนนำเสื้อแดง เข้าพบฝ่ายกิจการพลเรือน ร.7 พัน.5 เมืองปายเพื่อหารือหลังถูกทหารบุกเต๊นท์ยึดสินค้า - ฝ่ายทหารยอมรับว่าเข้าใจผิด หลังมีเว็บบางแห่งหาว่าเป็นร้านขายเสื้อแดง-ติดรูปทักษิณ แต่เมื่อพบว่าเป็นร้านขายผลิตภัณฑ์จากสตรอว์เบอร์รี่จึงขอโทษ พร้อมคืนสิ่งของและผลิตภัณฑ์ที่ยึด
10 ธ.ค. 2557 - กรณีเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ารื้อถอนเต๊นท์และยึดสินค้า จากร้านขายผลิตภัณฑ์สตรอว์เบอร์รี่ "@Pai"  บริเวณจุดชมวิวก่อนถึงตัว อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งร้านดังกล่าวมี ด.ต.พิชิต ตามูล แกนนำคนเสื้อแดงเป็นเจ้าของ โดยคาดว่าสาเหตุเกิดจากร้านติดโลโก้ที่ผลิตภัณฑ์เป็นรูปการ์ตูนหน้าตาคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. วอยซ์ทีวี รายงานว่า ด.ต.พิชิต เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปพูดคุยและเจรจากับ ร.อ.สุนทร ฟองมาลา หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน ร.7 พัน. 5 ค่ายโสภณบัณฑิตย์ ที่ อ.ปาย ซึ่งทหารยอมรับว่าเข้าใจผิด เนื่องจากมีเว็บไซต์บางแห่งระบุว่าเป็นร้านขายเสื้อแดง ติดภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ร้านดังกล่าวขายเฉพาะผลิตภัณฑ์สตรอว์เบอร์รี่เท่านั้น
ด.ต. พิชิต กล่าวอีกว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารขอโทษเนื่องจากเป็นการเข้าใจผิด เพราะได้ข้อมูลคลาดเคลื่อน เขาเองไม่ติดใจ เพราะเข้าใจสถานการณ์ดี และทหารได้คืนเต็นท์และผลิตภัณฑ์สตรอว์เบอร์รี่หมดแล้ว และทั้งสองฝ่ายได้ลงบันทึกประจำวันกับ ร.ต.อ.พิชิต เสคา พนักงานสอบสวน สภ.ปาย เพื่อเป็นหลักฐาน จึงยกเลิกแจ้งความดำเนินคดีกับทหารฐานลักทรัพย์
สำหรับสิ่งของที่ถูกยึดนอกจากเต๊นท์แล้วประกอบด้วย มีทั้งไวน์จำนวน 8 ขวด น้ำสตรอว์เบอร์รี 6 ขวด และแยมสตรอว์เบอร์รี่ 20 ขวด

สำรวจตลาดไอเดีย มีอะไรขายบ้างในการปฏิรูป


9 ธ.ค.เมื่อหนึ่งปีก่อน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ตัดสินใจประกาศยุบสภา เพื่อคืนอำนาจตัดสินใจให้กับประชาชน ซึ่งถึงที่สุดแล้วการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทย กลับไม่ได้เป็นการดึงเกมส์กลับเข้าสู่สนามการเมืองในระบบ อาจพูดได้ว่าเป็นเพราะผู้เล่นอีกฝ่ายไม่ยอมลงเล่นด้วย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่การตัดสินใจเดินเกมส์นอกสภาครั้งนั้นของพรรคประชาธิปปัตย์ และกลุ่มแกนนำ กปปส. ได้นำไปสู่กระแสความคิดที่ว่าด้วย “การปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” และนำพาเรามาสู่อนาคตที่เป็นอยู่อย่างวันนี้
ผ่านจากวันนั้นมา 1 ปี เราอยู่ในประเทศที่กำลังมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 เป็นโมฆะ และที่สุดแล้วพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ขอเดินเข้ามาเพื่อคืนความสุข/รัฐประหาร แน่นอนเราเริ่มได้เห็นกระบวนการปฏิรูป ก่อรูปก่อร่างชัดเจนขึ้น ทว่ายังไม่เห็นเค้าโครงของการเลือกตั้งมีแน่ชัดว่าจะเลือกตั้งเมื่อใด และก่อนจะไปถึงวันที่อำนาจกลับมาอยู่ที่บัตรเลือกตั้งอีกครั้ง เราจำเป็นต้องผ่านการปฏิรูปภายใต้รัฐบาลจากการรัฐประหารครั้งนี้ไปก่อน
เรื่องที่น่าสนใจนอกจากคำถามใหญ่ว่า ใครเป็นคนปฏิรูป และมีความยึดโยงกับประชาชนมากน้อยเพียงใด ซึ่งถึงที่สุดแล้วการพูดเรื่องนี้ กลายเป็นเพียงการระลึกถึงอดีตอันใกล้ที่ไม่แก้ไขอะไรได้อีก เรื่องที่น่าสนใจและจับตามองต่อไปคือ ภายใต้การปฏิรูปครั้งนี้ซึ่งได้มีการคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นนำเสนอความคิดเห็น และจัดทำแผนการปฏิรูปประเทศไทย ทั้งในสภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พวกเขามีไอเดีย แนวคิดอย่างไรบ้าง ต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยของเราทุกคน

เปิดตลาดสินค้าไอเดีย

สองเดือนภายหลังจากการรัฐประหาร ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ซึ่งโดยหลักการรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นการวางโครงร่างของการปฏิรูปประเทศไทย  ถึงวันนี้เรามีสถาบันทางการเมืองครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวระบุ และพร้อมที่จะเดินเครื่องปฏิรูปอย่างเต็ม ล่าสุดเราได้เริ่มเห็นไอเดียในการปฏิรูปประเทศออกมาบ้างแล้ว จะเป็นไอเดียอะไร แบบไหนบ้าง ประชาไทรวบรวมสินค้าบางส่วนในตลาดไอเดียบางส่วนมาเสนอ จะถูกใจประชาชนทุกคนหรือไม่ เห็นจะมีช่องทางเล็กๆให้แก้ไขได้อยู่บ้าง ผ่านทางศูนย์รับฟังความคิดเห็นสภาปฏิรูปแห่งชาติ และเวทีรับฟังความคิดเห็นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเปิดไปควบคู่กับการบังคับใช้กฏอัยการศึก...
นวัตกรรมทางการเมืองรูปแบบใหม่ นายกทางตรง ส.ว. กลุ่มวิชาชีพ
9 ธ.ค.  สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง ได้ออกมาแถลงถึงข้อเสนอให้มีการเลือกต้องนายกทางตรงว่า ได้มีเสนอให้มีการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง ผ่านการปฏิรูปการเลือกตั้งคณะรัฐมนตรีทางตรง โดยให้คณะผู้สมัครต้องระบุชื่อนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ให้ประชาชนรับรู้ก่อนจะมีการเลือกตั้ง และถ้าหากผลการเลือกตั้งปรากฏว่า การเลือกตั้งไม่มีผู้สมัครจากคณะใดได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของประชาชนที่มาใช้สิทธิ์ ก็ให้จัดเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งโดยนำคณะที่ได้รับคะแนนเสียงอันดับหนึ่ง และอันดับสองมาแข่งขันกันอีกครั้ง ซึ่งกรรมาธิการเชื่อว่า วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ชนะการเลือกตั้งได้รับการยอมรับมากขึ้น พร้อมทั้งแก้ปัญหาซื้อสิทธิ์ขายเสียงได้
ในส่วนของการเลือกตั้งสภาชิกสภาผู้แทนราษฏร์นั้น ได้มีการเสนอให้มี ส.ส. ทั้งหมด 350 คน โดยไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง โดยจะมีที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต เขตละไม่เกิน 3 คน ซึ่งข้อดีของการเลือกตั้งแบบนี้ จะทำให้ ส.ส. สามารถลงพื้นที่พบปะประชาชนได้ง่ายกว่าระบบแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นจังหวัดใหญ่ หรือแบบภูมิภาค ขณะที่ ส.ว. ให้มีทั้งหมด 154 คน โดยมาจากการเลือกตั้งจังหวัด 77 คน  และมาจากการเลือกตั้งภายในกลุ่มวิชาชีพจำนวน 77 คน และเสนอให้เปลี่ยนบทบัญญัติใหม่ให้การเลือกตั้งจากหน้าที่เป็นสิทธิ ซึ่งประชาชนจะใช้หรือไม่ก็ได้
นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการปฏิรูปคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยกำหนดให้ที่มาของ  ป.ป.ช. ต้องปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี และให้ดำรงตำแหน่งเพียงวาระเดียว รวมถึงต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ปฏิรูประบบและกลไกการสอบสวนคดี เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเสนอให้โอนหน่วยงานสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาค รัฐ หรือ ป.ป.ท. และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. มาอยู่ในสังกัด ป.ป.ช. เพื่อให้มีอิสระและไม่ถูกแทรกแซงทางการเมือง อีกทั้งยังให้อำนาจป.ป.ช. ในการร้องคดีได้เองไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุดและคดีไม่มีอายุความ
ส่วนการปฏิรูปคณะกรรมการการเลือกตั้ง  หรือ กกต. ได้เสนอให้มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี และได้เพียงวาระเดียวเช่นกัน พร้อมให้อำนาจ กกต. ในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยไม่ต้องมีหมายจับหรือหมายค้น แต่ทั้งนี้ไม่ได้ให้อำนาจ กกต. ในการให้ใบเหลือง-ใบแดง โดยให้ยื่นคำร้องต่อศาลเลือกตั้งเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด และเมื่อศาลรับคำร้อง ผู้ถูกกล่าวหาที่เป็น ส.ส. ส.ว. สมาชิกท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไม่ได้ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยยกฟ้อง
ทั้งนี้ในเรื่องข้อเสนอทั้งหมด เป็นเพียงข้อเสนอเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งจะมีการพิจารณากันอีกครั้ง ก่อนยืนส่งข้อเสนอให้กับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาต่อไป
เลือกตั้งแบบใหม่ เยอรมันโมเดล ยาแรงกันอำนาจพรรคการเมือง
30 พ.ย. ที่ผ่านมา นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ หนึ่งในกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะคณะอนุกรรมาธิการพิจารณากรอบจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่ 3 ได้เสนอ โมเดลการเลือกตั้งแบบเยอรมนี ในที่ประชุมที่มี สุจิต บุญบงการ ประธานอนุกรรมาธิการ โดยระบุว่า วิธีการเลือกตั้งแบบเยอรมนี จะทำให้ทุกคะแนนเสียงของประชาชนที่ลงคะแนนมีค่า ไม่ถูกตัดทิ้ง รวมถึงจำนวนผู้แทนของแต่ละพรรคการเมืองจะสอดคล้องต่อเสียงประชาชน
อีกทั้งระบบนี้จะเอื้อให้พรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็ก จะมีโอกาสได้ ส.ส. มากขึ้น เพราะระบบการนับคะแนน จะคิดจากคะแนนของระบบบัญชีรายชื่อเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากระบบการเลือกตั้งของไทย ทั้งในรัฐธรรมนูญ ปี 40 และ ปี 50 ที่เป็นระบบแบบแถมให้พรรคการเมืองชนะเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเท่าไร ก็ให้ไปรวมกับสัดส่วนที่ได้จากบัญชีรายชื่อทั้งหมด แต่ระบบนี้จะคิดจำนวนผู้แทนฯ จากระบบบัญชีรายชื่อเป็นหลัก และที่สำคัญจะช่วยแก้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงจากการเลือกตั้งได้
บริหารราชการแผ่นดิน เน้นจริยธรรม เสนอคณะกรรมการจริยธรรมและธรรมาภิบาลแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา ธีรยุทธ์ หล่อเลิศรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน สภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้ออกมาแถลงถึง 5 ประเด็นหลักที่เตรียมจะเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมอันประกอบด้วย
1.ให้มีการจัดตั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ใช้ชื่อว่า คณะกรรมการจริยธรรมและธรรมาภิบาลแห่งชาติ โดยมีอำนาจในการพิจารณาหลักธรรมาภิบาลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ คัดเลือกสรรหาข้าราชการ และเจ้าหน้าที่เป็นคนเก่ง และคนดีเข้ามาทำงาน
2.การปฏิรูประบบงบประมาณ เสนอให้มีการจัดระบบตามภารกิจ เพื่อตอบสนองการพัฒนาประเทศ ภายใต้กรอบทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
3.การปฏิรูปทางด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของระบบราชการ เสนอว่ารัฐไม่ควรเข้าไปแข่งขันกับเอกชนในการดำเนินงาน ควรทำหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนกำกับดูแลมาตรฐานและประกันโอกาสการเข้าถึง บริการประชาชนเท่านั้น
4.การปฏิรูปที่เกี่ยวกับการกำหนดขอบเขตภารกิจอำนาจหน้าที่และจัดดุลความสัมพันธ์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น
5.การบริหารราชการแผ่นดินเพื่อความมั่นคงแห่งรัฐ เสนอให้มีการระบุข้อความในรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างความชัดเจนในบทบาทของรัฐด้านความมั่นคงให้รวมถึงทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และป้องกันประเทศอันเป็นผลประโยชน์ของชาติ กำหนดให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติระยะยาวเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนแนวทาง การพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมระยะปานกลางต่อไป
มาตรการปราบโกง เพิ่มอำนาจประชาชน และลงดาบพรรคการเมือง หากตัวแทนพรรคทุจริต
4 ธ.ค. ที่ผ่านมา วสันต์ ภัยหลีกลี้เลขานุการคณะกรรมาธิการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบสภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้แถลงถึงข้อเสนอที่จะยื่นต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมโดยจะมีเสนอให้ประชาชนมีสิทธิพื้น ฐานในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะและในการร้องขอข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อีกทั้งให้ประชาชนมีสิทธิ์ในการติดตามร้องขอตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ยังได้เสนอในส่วนของหน้าที่ของพลเมือง ให้ประชาชนมีสิทธิหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของสาธารณะ รวมถึงสิทธิหน้าที่ในการป้องกันปฏิเสธและต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้นำการเมือง กำหนดให้ประชาชนมีสิทธิในการเลือกตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกระดับ รวมทั้งมีสิทธิในการถอดถอนนักการเมืองได้ และพรรคการเมืองจะต้องร่วมรับผิดชอบต่อพฤติกรรมและผลงานการทุจริตของบุคคล ที่เป็นตัวแทนของพรรค พร้อมมีบทลงโทษในกรณีซื้อสิทธิ์ขายเสียงกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังเสนอให้รัฐมีหน้าที่จัดการปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นในการ บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล อีกทั้งให้มีการปฏิรูปกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การใช้จ่ายงบประมาณ และเงินกู้ให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส และการตรวจสอบการใช้อำนาจ องค์กรอิสระสามารถใช้อำนาจสอบสวนและฟ้องคดีได้เอง
เสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ กรอบเวลา 5-10 ปี ย้ำเรื่องนิรโทษยังไม่ได้ลงลึก
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา คำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ  ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณารายงานข้อเท็จจริงคณะอนุกรรมาธิการคณะที่ 10 ที่รับผิดชอบพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง มีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นประธานอนุกรรมาธิการ ว่า ได้มีการแบ่ง การพิจารณาเป็น 2 ส่วนคือ
1.การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการนานต้องใช้เวลาถึง 5-10 ปี
2.การสร้างความปรองดอง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า  โดยอนุกรรมาธิการเห็นว่าควรมีการเสนอหลักการสำคัญที่ควรบัญญัติไว้ในรัฐ ธรรมนูญ โดยให้มี “คณะกรรมการเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ”โดยมีเหตุผลจากความขัดแย้งที่ เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นรูปแบบของนิติบุคคล อยู่ภายใต้รัฐสภา มีอิสระทางงบประมาณคล้ายสถาบันพระปกเกล้า อาจกำหนดเฉพาะกาลให้ “คณะกรรมการเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ”มีระยะเวลาดำเนินการ 5-10 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อทำแผนเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ และติดตามสถานการณ์ความขัดแย้ง หาทางออก เยียวยา ปัญหาในอดีต
คำนูณให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อนุกรรมาธิการได้เสนอให้ยกเลิก “คณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ”ที่ตั้งขั้นโดยระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ พ.ศ.2550 ขอบเขตอำนาจของคณะกรรมการเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ อาจซ้ำซ้อนกับผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ให้ประสานงานร่วมมือกันดำเนินงานแล้วแต่ละกรณี
สำหรับกรณีเรื่องการนิรโทษกรรม กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ได้มีการพิจารณาลงไปในรายละเอียด แต่หากจะมีการพิจารณานิรโทษกรรม จะต้องพิจารณากำหนดขอบเขตคดี เงื่อนเวลา ขอบเขตของกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน และเป็นเรื่องของ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติที่จะต้องเป็นผู้ พิจารณารายละเอียด  ซึ่งรายละเอียดต่างๆยังอยู่ในการพิจารณาของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
10 ข้อเสนอปฏิรูปสื่อสารมวลชน เสรีภาพเป็นหลัก ปราศจากการแทรกแซง และลดความเกลียดชัง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา เตือนใจ สินธุวณิก โฆษกคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทศโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติได้ออกมาแถลงข่าวว่า ทางคณะทำงานเตรียมเสนอ 10 ประเด็นในการปฏิรูปสื่อฯ ให้บรรจุอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อันประกอบด้วย
1. รธน. ต้องประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ในการแสดงความคิดเห็น การพูด เขียน พิมพ์ โฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นๆ รวมถึงสิทธิในการรับรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของรัฐอย่างทั่วถึง เสมอภาค
2.เงื่อนไขในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด เขียน พิมพ์ โฆษณาและการสื่อความหมายด้วยวิธีอื่นของประชาชนและสื่อมวลชน            
3.สื่อมวลชนย่อมได้รับหลักประกันความเป็นอิสระที่จะไม่ถูกครอบงำและแทรกแซงจากอำนาจรัฐและทุน
4.การคุ้มครองเสรีภาพและส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพ สวัสดิการของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน
5.ส่งเสริมการจัดตั้งองค์กรวิชาชีพสื่อสารมวลชนด้านจริยธรรมและกลไกกำกับกันเองของสื่อมวลชน เพื่อปกป้องสิทธิ เสรีภาพและความเป็นธรรม
6.คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะและให้มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ
7.แนวทางการดำเนินการจัดสรรคลื่นความถี่และการกำกับการประกอบกิจการภายใต้ภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไป
8.ส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อแก่ประชาชน
9.ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของสื่อและผู้ใช้สื่อ และ
10.การสื่อสารที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง
ปฏิรูปการศึกษาด้วยมาตราการทั้ง 7 เน้นบ่มเพาะจิตสำนึกความเป็นพลเมืองไทยที่ดี
เมื่อวัน 3 ธ.ค. ที่ผ่านมานายอมรวิชช์ นาครทรรพ โฆษกคณะกรรมาธิการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สภาปฏิรูปแห่งชาติ ออกมาเผยว่า ทางคณะทำงานได้มีเตรียมการยื่นเสนอแนวทางการปฏิรูปการศึกษาให้กับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีประเด็นที่จะนำเสนอทั้ง 7 ประเด็น ประกอบด้วย
1.รัฐต้องกำหนดให้การศึกษาเป็นนโยบายระดับชาติที่มีความสำคัญสูงสุด เพราะการศึกษาคือการพัฒนาคนให้มีคุณภาพเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศ โดยต้องมีความเชื่อมโยงกับนโยบายการพัฒนาทุกด้าน
2.ปรับเปลี่ยนและลดบทบาทจากการเป็นผู้จัดการศึกษามาเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุน กำกับนโยบาย แผน มาตรฐานและติดตามประเมินผลและส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนของสังคมที่มีศักยภาพเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดและสนับสนุนการศึกษา
3.ส่งเสริมความเป็นนิติบุคคลของสถานศึกษาให้สามารถบริหารจัดการการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.การจัดการศึกษาต้องสร้างความเป็นธรรมขจัดความเหลื่อมล้ำ โดยรัฐต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่เพียงพอต่อการได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพแก่ผู้เรียน
5.การจัดการศึกษาต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นสากลและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มสมรรถนะการเรียนรู้และความสามารถในการประกอบอาชีพการงานของบุคคลตลอดชีวิต
6.ส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ในสังคมไทย โดยให้มีแหล่งเรียนรู้และสื่อสาธารณะด้านการศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรมและศาสนา เพื่อบ่มเพาะจิตสำนึกความเป็นพลเมืองไทยที่ดีมีคุณธรรมจริยธรรม
7.นโยบายการศึกษาต้องมีความต่อเนื่อง โปร่งใส ตรวจสอบได้และปราศจากการแทรกแซงใดๆ จากกลุ่มผลประโยชน์
ดันกีฬาเป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ หวังสร้างความสามัคคีและความภูมิใจในชาติ
คณะกรรมาธิการปฏิรูปการกีฬา สภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมี พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา เป็นประธาน เตรียมเสนอให้การร่างรัฐธรรมนูญกำหนด “การกีฬาเป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” โดยขอให้บรรจุในโครงร่างรัฐธรรมนูญภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง หมวด 2 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ส่วนที่เป็นแนวนโยบายด้านการกีฬา ที่ควรระบุมาตรา..ซึ่งมีข้อความ ให้รัฐต้องดำเนินการด้านการกีฬา ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาการกีฬาเพื่อพัฒนาสุขภาพ คุณภาพชีวิต จิตใจ รวมทั้งสร้างความสามัคคีและความภาคภูมิใจของคนในชาติ จัดให้มีโครงสร้างและการบริหารจัดการด้านการกีฬาในทุกระดับที่ทันสมัย มีมาตรฐาน อย่างทั่วถึง เท่าเทียมและเพียงพอ พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนด้านการกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของชาติ
นอกจากนี้ ยังเห็นควรให้ระบุ มาตรา ..ซึ่งกำหนดว่า บุคคลย่อมมีสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงการได้รับบริการด้านการกีฬาจากรัฐ อย่างทั่วถึง เท่าเทียมและเพียงพอ ลงในโครงร่างรัฐธรรมนูญ ภาค 1 พระมหากษัตริย์และประชาชน หมวด 2 ประชาชน ส่วนที่ 2 สิทธิ เสรีภาพของพลเมือง พร้อมกันนี้ กรรมาธิการกำหนดตั้งคณะอนุกรรมาธิการอีก 1 คณะ เป็นคณะอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้าน ปฏิรูปการกีฬา เพื่อทำหน้าที่จัดโครงการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากประชาชนเกี่ยว กับการปฏิรูปด้านการกีฬาของประเทศให้ครอบคลุมจากทุกภาคส่วน

สนช. รับหลักการร่าง พ.ร.บ. การยางฯ ด้านรมช.เกษตรฯ หวังดึงยางไม่ต่ำกว่า 60 บาท


11 ธ.ค. 2557 เว็บข่าวรัฐสภา รายงานว่า ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งมี พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... โดยร่างพระราชบัญญัติ  (พ.ร.บ.) ฉบับนี้ได้รับความสนใจจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งได้มีการอภิปรายและตั้งข้อสังเกตกันอย่างหลากหลาย เช่น การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จะต้องมีข้อมูลที่เพียงพอในการวางยุทธศาสตร์บริหารจัดการยาง การจัดโซนนิ่ง การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทนและการปลูกใหม่ ที่มองว่าควรต้องจำกัดการปลูก เรื่องของการวิจัย พัฒนา ศึกษาวิเคราะห์ควรต้องครอบคลุมครบวงจรทั้งยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ ต้องการให้เพิ่มผู้แทนจากองค์กรต่างๆ เข้าไปในคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย อาทิ ผู้แทนจากด้านอุตสาหกรรม ด้านต่างประเทศ และควรเพิ่มสัดส่วนเกษตรกรสวนยาง/ผู้ประกอบกิจการยาง ควรประสานกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการปลูกยางพารา เพื่อร่วมมือกันเพิ่มมูลค่าของราคายางพาราให้สูงขึ้น วางแนวทางนำยางพารามาประยุคต์ใช้ เพื่อแก้ปัญหาผลผลิตยางลดตลาด พร้อมกันนี้ยังได้เสนอแนะไปยังคณะกรรมาธิการวิสามัญที่จัดตั้งขึ้นเพื่อ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ให้หยิบยกผลการศึกษาของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ชุดที่ผ่านมา ที่เคยศึกษารวมรวมไว้แล้วมาประกอบการพิจารณาเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการ พิจารณากฎหมายฉบับนี้อย่างมาก
ขณะที่พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. กล่าวว่า จากที่ได้ศึกษาเห็นว่า มีการยกเลิกกฎหมาย 8 ฉบับ แล้วนำมาเขียนรวมเป็นฉบับใหม่ยังมีประเด็นปัญหาข้อเทคนิคทางกฎหมายนอกเหนือ จากที่สมาชิก สนช.เสนอแนะอีกมาก จึงต้องการฝากให้คณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยเฉพาะผู้แทนคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาให้ถี่ถ้วน
ด้านอำนวย ปะติเส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวชี้แจงว่า จะพยายามอุตช่องโหว่ของการออกกฎหมายตามที่สมาชิก สนช.เสนอ และจะไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องของการควบรวมหรือยุบองค์กรเดิมที่เป็นของรัฐและ รัฐวิสาหกิจ การโอนย้ายบุคลากรและทรัพยากรจะให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและไม่ส่งผลกระทบ ต่องบประมาณของแผ่นดิน รวมถึงจะได้โอนงานที่เกี่ยวข้องกับด้านต่างประเทศมาไว้ในองค์กรใหม่ด้วย เพื่อให้การประสานกับประเทศเพื่อบ้านง่ายขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่า เมื่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ราคายางพาราจะไม่ลดต่ำลงกว่าที่เป็นอยู่แน่นอนและจะพยายามไม่ให้ราคาต่ำกว่า 60 บาทต่อกิโลกรัม
หลังที่ประชุมได้เปิดให้สมาชิกอภิปราย เสนอแนะและตั้งข้อสังเกตในร่าง พ.ร.บ.การยางฯ แล้ว ที่ประได้มีมติรับหลักการแห่งร่าง พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีเสนอ ด้วยคะแนน 173 ต่อ 1 เสียง งดออกเสียง 5 และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวขึ้น 25 คน ประกอบด้วย ผู้แทนจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเกษตรและสหกรณ์ 15 คน จาก กมธ.การพาณิชย์ การอุตสาหกรรมและการแรงงาน 5 คน จากคณะรัฐมนตรี 5 คน ใช้เวลาแปรญัตติ 7 วัน กรอบการดำเนินงาน 30 วัน  

แอมเนสตี้ฯ ชี้ ปราบปรามเสรีภาพในการพูดทำให้เกิด 'วงจรความเงียบงัน'

11 ธ.ค. 2557 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์กรณีประเทศไทย เรื่อง การปราบปรามเสรีภาพในการพูดทำให้เกิด “วงจรความเงียบงัน” เนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ธ.ค.ของทุกปี โดยเรียกร้องให้รัฐบาลทหารของไทยยุติพฤติการณ์ที่ขาดความเคารพต่อเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ รวมทั้งยุติการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากมายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชี้การปฏิเสธไม่ให้พื้นที่เพื่อการถกเถียง และการคุมขังผู้วิพากษ์วิจารณ์อย่างสงบ โดยใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เข้มงวด จะไม่ช่วยนำไปสู่ “ความปรองดองแห่งชาติ” ตามที่ทางการสัญญาว่าจะทำให้เกิดขึ้น
รายละเอียดมีดังนี้
แถลงการณ์
9 ธันวาคม 2557
ไทย: การปราบปรามเสรีภาพในการพูดทำให้เกิด “วงจรความเงียบงัน” 
รัฐบาลทหารของไทยต้องยุติพฤติการณ์ที่ขาดความเคารพต่อเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ รวมทั้งยุติการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากมายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวล่วงหน้าก่อนวันสิทธิมนุษยชนสากลในวันที่ 10 ธันวาคม
“เรากำลังเห็นวงจรแห่งความเงียบงันเกิดขึ้นในประเทศไทย มีการเพิ่มเงื่อนไขอย่างต่อเนื่องเพื่อจำกัดเสรีภาพในการพูดและปิดกั้นการแสดงออกของภาคประชาสังคมที่เคยมีความเคลื่อนไหวอย่างเข้มแข็ง” ริชาร์ด เบนเน็ต (Richard Bennett) ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว
“การปฏิเสธไม่ให้พื้นที่เพื่อการถกเถียง และการคุมขังผู้วิพากษ์วิจารณ์อย่างสงบ โดยใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เข้มงวด จะไม่ช่วยนำไปสู่ “ความปรองดองแห่งชาติ” ตามที่ทางการสัญญาว่าจะทำให้เกิดขึ้น”
ทางการมีความอ่อนไหวอย่างมากต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มีการเซ็นเซอร์ที่ครอบคลุมไปถึงแม้แต่การจัดงานสัมมนาทางวิชาการและการควบคุมสื่อมวลชน เจ้าหน้าที่มักโทรศัพท์ไปหาบรรณาธิการ และในช่วงหลายสัปดาห์มีการข่มขู่พวกเขาว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดี หากมีการละเมิดเงื่อนไขจำกัดเนื้อหาข่าวที่สามารถรายงานได้
ยังคงมีการห้ามการชุมนุมของบุคคลกว่าห้าคนขึ้นไป ในช่วงเดือนที่ผ่านมามีการควบคุมตัวผู้ประท้วงอย่างสงบ 19 คน จากการ “ชูสามนิ้ว” แบบในภาพยนตร์ ”Hunger Games” และอีกแปดคนถูกควบคุมตัวเพราะแจกใบปลิว
“วันสิทธิมนุษยชนสากลเป็นโอกาสที่ประชาชนทั่วโลกฉลองความก้าวหน้าในการบรรลุสิทธิมนุษยชน น่าเสียดายที่ประเทศไทยแทบไม่มีอะไรให้ฉลองเลยในปีนี้” ริชาร์ด เบนเน็ตกล่าว
“ควรมีการนำข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญกลับมาใช้ และให้มีการปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยสมบูรณ์ รวมทั้งเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ”
กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
นับแต่ทหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมในปีนี้ มีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อย 24 คนฐานละเมิดมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา การจับกุมบุคคลเพิ่มขึ้นอย่างผิดปรกติ โดยมีอย่างน้อย 12 คนถูกจับกุมในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และตำรวจแจ้งว่าอาจมีการจับกุมเพิ่มเติมอีกหลายสิบคน และจะมีการตั้งข้อหาก่อนสิ้นปีนี้
“ต้องมีการยุติการปฏิบัติมิชอบในกระบวนการยุติธรรม และการใช้กฎหมายเผด็จการอย่างไม่บันยะบันยัง รวมทั้งกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยทันที เพราะเป็นการใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามเสียงที่เห็นต่าง” ริชาร์ด เบนเน็ตกล่าว
              
“กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีเนื้อหากำกวม มุ่งลงโทษการแสดงความเห็นอย่างสงบ และละเมิดสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งเป็นสิทธิที่ประเทศไทยต้องให้การคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ ควรมีการชะลอการบังคับใช้กฎหมายข้อนี้ทันที และแก้ไขเนื้อหาเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย”
              
ผู้ถูกจับกุมตามกฎหมายฉบับนี้ต้องเข้ารับการไต่สวนแบบลับในศาลทหาร ทั้งยังมีการสั่งห้ามไม่ให้มีผู้สังเกตการณ์คดี และไม่มีสิทธิอุทธรณ์คดี ถือเป็นการละเมิดอย่างชัดเจนต่อสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
ในคดีที่ศาลพิพากษาลงโทษตามข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งน่าจะเป็นคดีที่แปดนับจากมีรัฐประหาร นายประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมเป็นเวลาห้าปี และลดโทษเหลือ 30 เดือนจากคำพูดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ในอีกคดีหนึ่งเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม มีรายงานข่าวว่า ทางการได้เรียกตัวสตรีท่านหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อสอบปากคำ หลังจากเธอโพสต์รูปตัวเองพร้อมกับเพื่อนใส่ชุดดำในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม
ผู้ต้องสงสัยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมักไม่ได้รับการประกันตัว โดยศาลมักอ้างว่าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับ “ความมั่นคงของรัฐ” นับแต่ถูกจับกุมเมื่อปี 2554 นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการนิยตสารได้ถูกศาลตัดสินลงโทษในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเมื่อเดือนมกราคม 2556 และที่ผ่านมาศาลปฏิเสธการขอประกันตัว 16 ครั้ง รวมทั้งในช่วงที่อยู่ระหว่างการอุทธรณ์คดี
“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลพิจารณาว่าบุคคลใดๆ ที่ถูกคุมขังเพียงเพราะการแสดงความเห็นอย่างสงบเป็นนักโทษด้านความคิด พวกเขาควรได้รับการปล่อยตัวโดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข” ริชาร์ด เบนเน็ตกล่าว

อัยการทหารค้านยกฟ้อง คดี 112 ‘ชาวนา’ทำลายพระบรมฉายาลักษณ์


คดี 112 ชายชาวนาเชียงรายทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ อัยการศาลทหารค้านคำร้องขอยกฟ้องจำเลยเหตุมีอาการจิตเภท ขอนำพยานหลักฐานมาสืบ ศาลทหารนัดใหม่ 12 ม.ค.58

11 ธ.ค. 2557 ศาลจังหวัดทหารบกเชียงราย นัดสอบคำให้การระหว่างอัยการศาลจังหวัดทหารบกเชียงราย กับนายสมัคร (ขอสงวนนามสกุล) ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดฐานพาอาวุธมีดไปในทางสาธารณะหรือหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร เหตุจากการที่จำเลยได้ทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ที่จัดสร้างไว้บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)

จำเลยได้ให้การต่อศาลยอมรับสารภาพตามข้อกล่าวหา โดยที่ทนายความได้ยื่นคำร้องประกอบการพิจารณาว่าจำเลยกระทำผิดไปโดยเหตุที่อยู่ในภาวะเป็นจิตเภท โดยมีเอกสารความเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประกอบ และได้ขอให้ศาลยกฟ้อง ให้รอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษ เพื่อให้โอกาสจำเลยไปทำการรักษาอาการป่วยได้

พนักงานอัยการศาลทหารได้คัดค้านคำร้องดังกล่าว ด้วยเห็นว่าจำเลยไม่ได้รับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ และแถลงจะขอนำพยานหลักฐานมาสืบ

ศาลได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการรับสารภาพหมายถึงการรับโดยไม่มีเงื่อนไข แต่การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดโดยเหตุผลอื่น คือมีอาการทางจิตเภท ไม่ได้รับสารภาพตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์จึงสามารถขอนำสืบพยานหลักฐานว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดตามฟ้องจริงหรือไม่ และชี้แจงด้วยว่าศาลทหารไม่ได้มีขั้นตอนการสั่งสืบเสาะคดีเหมือนกับศาลพลเรือน เพราะไม่มีหน่วยงานทำหน้าที่นี้ โดยคู่ความได้ตกลงนัดสืบพยานใหม่ในวันที่ 12 มกราคม 2558 เวลา 8.30 น.

ทั้งนี้ ก่อนหน้าการพิจารณาคดี ศาลได้ขอพูดคุยกับนายอานนท์ นำภา ทนายความของจำเลย โดยได้ให้จำเลยและผู้เข้าฟังออกจากห้องพิจารณาคดีไปก่อน ศาลได้กล่าวถึงการโพสต์เฟซบุ๊กที่มีเนื้อหาเรื่องศาลทหารไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าฟังการพิจารณาคดีในช่วงเดือนที่ผ่านมา และสอบถามว่าทนายได้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริงหรือไม่ โดยทนายความได้ชี้แจงว่าการเข้ามาศาลทหารในนัดครั้งที่แล้ว มีการตั้งด่านตรวจก่อนเข้ามาศาลโดยเจ้าหน้าที่ทหาร และระบุไม่ให้บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีเข้าไปยังศาล ศาลได้ชี้แจงว่าส่วนนั้นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของศาล แต่เป็นเจ้าหน้าที่ทหาร และครั้งนี้ทนายน่าจะได้รับความสะดวกในการเข้ามายังศาล ทนายจึงรับว่าอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน และกล่าวขอโทษต่อศาล ศาลจึงได้สั่งดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป

สำหรับนายสมัคร อายุ 48 ปี ประกอบอาชีพทำนา อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านป่าสัก อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ถูกจับกุมเมื่อกลางดึกวันที่ 8 ก.ค.57 โดยตำรวจสายตรวจพร้อมผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านได้ร่วมกันเข้าจับกุม หลังได้รับแจ้งว่ามีเหตุคนทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ที่ได้จัดสร้างไว้บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้าน ก่อนถูกนำตัวส่งไปยังสถานีตำรวจภูธรเทิง และดำเนินคดีในศาลทหาร

นายสมัครมีประวัติการรักษาพยาบาลอาการป่วยทางจิตมานานหลายปี และยังต้องกินยาควบคุมอาการมาจนถึงปัจจุบัน โดยเอกสารประวัติผู้ป่วยของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ระบุข้อวินิจฉัยของแพทย์ว่านายสมัครมีอาการป่วยเป็นโรคจิตเภท มีลักษณะอาการหูแว่ว ประสาทหลอน และหวาดระแวง ทนายจำเลยกล่าวว่าจะได้ขอให้แพทย์ผู้รักษามานำสืบถึงอาการป่วยของจำเลยต่อไป