วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สมาชิกรัฐสภา 312 คน ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

สมาชิกรัฐสภา 312 คน ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
                 ส.ส. - ส.ว. 312 คนแถลงคัดค้านและไม่ยอมรับอำนาจศาล รธน. ระบุการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา และการรับคำร้องของศาล รธน. เป็นการก้าวล่วงอำนาจนิติบัญญัติ


            19 พ.ย. 2556 - สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานวันนี้  (19 พ.ย.) ว่า สมาชิกรัฐสภา ประกอบด้วย ส.ส. และ ส.ว. ที่ร่วมลงชื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. 312 คน นำโดยนายอำนวย คลังผา ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล และนายกฤช อาทิตย์ แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร แถลงข่าว "คัดค้านและไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ" ที่เตรียมวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว.ขัดมาตรา 68 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่เนื่องจากเชื่อมั่นว่า สมาชิกรัฐสภาทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของสมาชิกรัฐสภาที่สามารถทำได้ ตามมาตรา 291 โดยไม่มีข้อบัญญัติของกฏหมาย ให้อำนาจศาลวินิจฉัย ซึ่งเห็นว่า การรับคำร้องไว้วินิจฉัย เป็นการก้าวล่วงการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ และกังวลว่า อาจมีการขยายอำนาจให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต และอาจกลายเป็นปัญหาให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย
          ทั้งนี้ หากศาลวินิจฉัยทางหนึ่งทางใด จะไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัย แต่จะยังไม่แสดงท่าทีอื่นใด รวมถึงการยื่นถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย
         สำหรับแถลงการณ์สมาชิกรัฐสภา "เรื่อง แจ้งเหตุผลการปฏิเสธและไม่ยอมรับอำนาจการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ" มีใจความระบุว่า
         ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติรับคำร้องเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้พิจารณาหลายคดีด้วยกัน ซึ่งสมาชิกรัฐสภาอันประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ผู้ถูกร้องได้ปฏิเสธและไม่รยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการรับคดีไว้พิจารณาดังกล่าว โดยไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนุญอันเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปนั้น
ข้าพเจ้าทั้งหลายในนามของผู้แทนปวงชนชาวไทย ขอแถลงการณ์มายังพี่น้องประชขาชนที่เคารพทุกท่าน เพื่อชี้แจงเหตุผลแห่งการไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้
  1. การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา โดยที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่จะเข้าไปตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าวได้ ซึ่งแตกต่างจากการตราพระราชบัญญัติทั่วไป
  2. การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็น มาตร 190 การแก้ไขที่มาของ ส.ว. หรือเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมืองตาม มาตรา 23/ ไม่อยู่ในข้อห้ามของการแก้ไขเพิ่มเติมตามรัฐธรรมนจูญมาตรา 291 วรรคสอง รัฐสภาย่อมสามารถดำเนินการได้ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา เป็นอำนาจของรัฐสภาที่สามารถดำเนินการได้
  3. การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มิใช่การใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอันจะอยู่ในบังคับ มาตรา 68 วรรคแรก ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเข้าไปตรวจสอบและวินิจฉัยได้ แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาพและสมาชิกรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้อำนาจไว้
  4. ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องในกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ เนื่องจากตาม มาตรา 68 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ผู้ทราบผลการกระทำจะต้องยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
  5. การที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าตนเองมีอำนาจรับคำร้องได้โดยตรงนั้น เป็นการทำลายหลักการและสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสอง ที่กำหนดให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ยื่นคำร้อง กรณีจึงถือว่าศาลรัฐธรรมนูญกระทำการอันเป็นขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง และส่งผลกระทบต่อการใช้อำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด

       นอกจากนี้การตีความขยายเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเช่นนี้ ถือเป็นการใช้อำนาจตุลาการล่วงล้ำ แทรกแซงการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ อันนับเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
       ดังนั้น หากยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญขยายเขตอำนาจของตนเองเรื่อยไป อันมีผลเท่ากับศาลรัฐธรรมนูญบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นเอง
       ดัวยเหตุดังกล่าว สมาชิกรัฐสภาจึงไม่ยอมรับอำนาจการพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้  จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน สมาชิกรัฐสภา 18 พฤศจิกายน 2556

ชมรมเสียงสตรีจังหวัดสุรินทร์-ศรีสะเกษแสดงพลังหนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ วอนพรรคฝ่ายค้านยุติความรุนแรง


ชมรมเสียงสตรีจังหวัดสุรินทร์-ศรีสะเกษแสดงพลังหนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ วอนพรรคฝ่ายค้านยุติความรุนแรง


            19 พฤศจิกายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 11.00 น.ที่เวทีไผทสราญ ด้านข้างอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ได้มีสมาชิกชมรมเสียงสตรีจากจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดศรีสะเกษ กว่า 200 คน เดินทางมาด้วยรถบัสและรถยนต์ปิกอัพ โดยมีนางสิริกานต์ สายแก้วรัศมี ประธานชมรมเสียงสตรีจังหวัดสุรินทร์ นางปัทมากานต์ ธรรมศิริ ประธานชมรมเสียงสตรีจังหวัดศรีสะเกษ และนางบุรี อาจโยธา ประธานชมรมเสียงสตรีอำเภอรัตนบุรี จ.สุรินทร์ เป็นแกนนำ มีการติดป้ายอัคเอาต์ขนาดใหญ่มีข้อความว่า “รวมพลังหญิงแกร่งแห่งอีสานสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ นางสางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย” นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข พร้อมติดตั้งเครื่องขยายเสียงจัดการปราศัยสนับสนุนและให้กำลังใจการทำงานของรัฐบาล


               นางสิริกานต์ สายแก้วรัศมี ประธานชมรมเสียงสตรีจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า สมาชิกชมรมเสียงสตรีจากจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดศรีสะเกษ บางส่วนได้มารวมตัวกันเพื่อแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เห็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย โดยมาจากเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ กลับมาถูกพรรคฝ่ายค้าน และผู้ที่คัดค้านรัฐบาล ซึ่งไม่ได้มีวัตุประสงค์เพื่อต้าน พรบ.นิรโทษกรรมเท่านั้น แต่มีเหตุผลหลักคือต้องการโค่นล้มรัฐบาล เป็นสิ่งที่ชมรมเสียงสตรียอมไม่ได้ที่พรรคฝ่ายค้านและผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างออกมาแสดงความคิดเห็นแบบก้าวร้าว ที่สำคัญคือมีความก้าวร้าวกับผู้หญิงที่มีความเข้มแข็งอย่าง นางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ที่เป็นแบบอย่างที่ดี ของผู้หญิงหลายๆคน ชมรมเสียงสตรีจังหวัดสุรินทร์และชมรมเสียงสตรีจังหวัดศรีสะเกษจึงได้มาร่วมตัวแสดงพลังให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีในวันนี้ ส่วนการแสดงออกจากเป็นเชิงสัญญาลักษณ์ตามหลักการที่นายกรัฐมนตรีได้แสดงออกให้ประชาชนได้เห็นคือความสุภาพ อ่อนโยน มีหลักการและเหตุผล พร้อมแข็งแกร่งอยู่ในตัว

             นางบุรี อาจโยธา ประธานชมรมเสียงสตรีอำเภอรัตนบุรี จ.สุรินทร์ กล่าวว่า สมาชิกชมรมเสียงสตรีจากจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดศรีสะเกษทุกคน ออกมาแสดงพลังในวันนี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้นางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ตนขอบอกผู้หญิงไทยทั้งประเทศว่านายกยิ่งลักษณ์เป็นผู้หญิงเก่ง และแกร่ง แต่การปฏิบัติหน้าที่ในหลายๆส่วนกลับถูกผู้ชายหลายๆส่วนหรือหลายๆหน่วยงานรุมทำร้าย อยากวิงวอนให้พรรคประชาธิปัตย์ให้เห็นใจในการทำงานของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยด้วย สิ่งไหนไม่ถูกของให้ตรวจสอบในทางกฎหมาย หรือใช้รัฐสภาเป็นที่ตัดสินปัญหาบ้านเมือง อย่าใช้พลังนอกสภาหรือพลังนอกกฎหมายตัดสินปัญหาทางการเมือง ตนอยากวิงวอนไปถึงสตรีทุกภาคส่วนให้ออกมาร่วมแสดงพลัง เพื่อให้กำลังใจสตรีอย่าง นางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ที่ตั้งใจทำงานเพื่อพี่ประเทศชาติและช่วยเหลือกลุ่มสตรีว่างงาน โดยตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีให้มีงานทำมีรายได้ ตนและชมรมเสียงสตรีทั่วประเทศพร้อมออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องรัฐบาล

สอ ระ เสี้ยม สาวกมะแลงสาบแฉเอง


เรื่องเล่าเช้านี้แฉเอง! สาวกประชาธิปัตย์คลั่งยิงผู้สนับสนุนรัฐบาลดับ



19 พฤศจิกายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง3 เผยแพร่เนื้อหาข่าว ระบุว่าที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเหตุการณ์ทะเลาะกันด้วยชนวนเหตุทางการเมืองจนนำไปสู่การตาย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจบางขันธ์ได้รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิตระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล

จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ทราบว่า ผู้ตายชื่อนายสุริยะ เขามีทอง อายุ 26 ปี มานั่งดื่มกาแฟพร้อมดัวยนายก้องวิทย์ ชูเสือหึง พร้อมด้วยเพื่อนอีก 2 คน ซึ่งระหว่างนั้นได้มีการสนทนาเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุบ้านการเมือง

ซึ่งนายสุริยะ เข้าข้างรัฐบาล ส่วนนายก้องวิทย์และพวกเข้าข้าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำผู้ชุมนุม ที่บริเวณถนนราชดำเนิน และอดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ จึงมีความคิดเห็นไม่ตรงกันได้โต้เถียงกัน จนทำให้นายก้องวิทย์เกิดอาการคลั่ง ควักปืน 11 ม.ม. ยิงใส่นายสุริยะ 3 นัด กระสุนถูกหน้าท้อง แล้วจึงหลบหนีไป

ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ได้นำตัวนายสุริยะส่งโรงพยาบาลแต่ก็เสียชีวิตระหว่างทาง


อ้างอิง http://youtu.be/jFUWc2AxqXc

รวบการ์ดม็อบประชาธิปัตย์พกปืนเตรียมก่อเหตุ อ้างอหิงสา-อาวุธเพียบ!


รวบการ์ดม็อบประชาธิปัตย์พกปืนเตรียมก่อเหตุ อ้างอหิงสา-อาวุธเพียบ!


                 19 พฤศจิกายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ เวลาประมาณ 22.45 น. วานนี้ ทวิตเตอร์ "ทีมโฆษก ตร." หรือ @PoliceSpokesmen นำทีมโดย พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความและภาพถ่าย ระบุว่า


ด่านความมั่นจุดแยกผ่านพิภพของ สน. มักกะสัน ได้ร่วมกันจับกุม 
สอ. ธานินทร์ ขำสุภาพ อายุ 49 ปี สังกัด พล. 1 รอ.
ในข้อหาพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ พร้อมของกลาง 

  • 1. ปืนขนาด 7.65 ยี่ห้อบาร์เร็ตต้า จำนวน 1 กระบอก 
  • 2. กระสุนปืน ขนาด .32 จำนวน 6 นัด 
  • 3. บัตรประจำตัวของการ์ดประจำจุดชุมนุม จำนวน 2 ใบ นำส่ง พงส.สน.ชนะสงคราม ดำเนินคดีตามกฎหมาย

             ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ศอ.รส. เปิดเผยว่า มีกลุ่มบุคคลแสดงออกถึงเจตนารมณ์ในการปลุกระดม เพื่อขัดขวางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ประกอบกับได้มีการกระทำที่ละเมิดบทบัญญัติของกฎหมาย โดยได้มีการจับกุมผู้พกพาอาวุธปืน อาวุธมีด และอุปกรณ์อื่นที่ใช้เป็นอาวุธได้อยู่ในพื้นที่ชุมนุม นอกจากนี้ยังมีข้อมูลข่าวสารว่า มีการตระเตรียมการชุมนุมยืดเยื้อเป็นเวลานาน และจะยึดพื้นที่สำคัญในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะทำเนียบรัฐบาลและใกล้เคียง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบริหารราชการ และรับรองแขกสำคัญจากต่างประเทศ

             ประการสำคัญ อาจมีผู้ไม่หวังดีก่อเหตุระหว่างการชุมนุมเพื่อหวังผลสร้างสถานการณ์ให้รุนแรง และอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ หากไม่มีมาตรการป้องกันและควบคุมอย่างเหมาะสมอาจทำให้สถานการณ์ขยายลุกลามจนเกิดความรุนแรงเกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการบริหารราชการแผ่นดิน

              ซึ่ง ผอ.ศอ.รส. ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ใช้ความอดทนในการปฏิบัติหน้าที่ โดยยึดหลักเมตตาธรรม นิติธรรม และหลักประชาธิปไตย ให้ตำรวจพึงระลึกถึงและยึดถือรัฐธรรมนูญ โดยตำรวจมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายกลับไปสู่ภาวะปกติโดยเร็ว




สามี “ปาริชาติ-แดงกลับใจ” โวย ภรรยาหายตัวไปหลังขึ้นเวทีราชดำเนินเมื่อคืนวันอาทิตย์


สามี “ปาริชาติ-แดงกลับใจ” โวย ภรรยาหายตัวไปหลังขึ้นเวทีราชดำเนินเมื่อคืนวันอาทิตย์ จนบัดนี้ยังไม่กลับบ้าน ติดต่อไม่ได้เลย จะแจ้งความพรุ่งนี้


              วันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 (go6TV) จากกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้พานางปาริชาติ บุญสร้อย อดีตผู้ต้องหาคดีเผาธนาคารกรุงเทพ ขอนแก่น ขึ้นเวทีราชดำเนินเมื่อหัวค่ำของวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน จนเป็นกระแสวิพากวิจารย์่ต่างๆนั้น

                ปรากฏว่า หลังจากที่เธอขึ้นเวทีดังกล่าวตั้งแต่เวลาหัวค่ำของคืนวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน จนถึงขณะนี้ รุ่งเช้าของวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2556 เธอยังไม่ได้กลับบ้านไปหาสามีของเธอ

             นายพูนทรัพย์ บุญสร้อย หรือ อ๋อง สามีของนางปาริชาติ บุญสร้อย ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ทีม go6TV เมื่อหัวค่ำวันจันทร์ เล่าถึงวันเกิดเหตุก่อนนางปาริชาติ หายตัวไปว่า

              "รู้ว่าเธอไปถ่ายภาพที่เวทีราชดำเนิน ในวันที่เกิดเหตุดังกล่าว เธอไปถ่ายรูปตั้งแต่ตอนบ่าย ไม่ได้คุยโทรศัพท์กัน จนกระทั่งเห็นเธอขึ้นเวทีราชดำเนิน ก็ตกใจมาก ว่าเธอไปขึ้นเวทีนั้นได้อย่างไร" "ผมพยายามโทรหาเธอหลายครั้ง ตั้งแต่คืนนั้น จนกระทั่งเย็นของวันจันทร์ มีโทรติดอยู่ แต่เธอไม่รับสายผม" ถามว่านางปาริชาติ ใช้โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนหรือแบบปกติ(ไม่มีอินเตอร์เนต) นายพูนทรัพย์บอกว่า "เธอใช้โทรศัพท์แบบปกติ ไม่มีอินเตอร์เนต"

            นายพูนทรัพย์กล่าวว่า เพื่อนฝูง คนรู้จักทุกคนพยายามช่วยกันโทรหาเธอ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเธอได้ จึงเป็นห่วงเธออย่างมาก และนายพูนทรัพย์บอกว่า จะไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความกับตำรวจในเช้าวันนี้