วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554


อำมาตย์ หยุดโง่ได้แล้ว?!
ปัญหาของประเทศไทยเกิดจากอำมาตย์ทำงานผิดพลาดทางเทคนิคอย่างมหันต์ และเป็นความผิดพลาดอันร้ายแรง ส่งผลให้ประเทศและประชาชนตกต่ำตลอด ๕ ปี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แสดงว่าสติปัญญาของอำมาตย์ไม่ดี หรือโง่มากไปนั้นเอง

ประมาณดูอำมาตย์ใหญ่มีมากกว่า ๑๐๐ คน อำมาตย์ “หลายคน” ดำรงตำแหน่งสูงส่งและมีสิทธิถืออำนาจเหนือการเมืองโดยไม่มีใครทักท้วงได้ อำมาตย์พวกนี้สามารถชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้

ส่วนอำมาตย์ “อีกหมู่ใหญ่” แม้จะไม่มีอำนาจขนาดหนักก็จริงแต่ก็ “รวมหัว” เกาะกุมธุรกิจต่างๆอย่างได้ผล รวมทั้งได้ครอบครองสถาบันการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทย จึงเป็นการต่อสู้ของพวกอำมาตย์ด้วยกัน ซึ่งพรรคการเมืองส่วนใหญ่และนักการเมืองเกือบทั้งหมด เอาตัวไปขึ้นกับอำมาตย์ มอบตัวเป็นสาวกทำให้พวกอำมาตย์ได้ใจ ดังที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่าประเทศไทยเป็นเช่นนี้มายาวนาน

พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักการเมืองที่ไม่เหมือนเขา แต่ได้หันหน้าเข้าหาประชาชนคนรากหญ้า ได้นำนโยบายที่จะก่อประโยชน์ให้แก่ผู้ยากไร้มาใช้ ผลก็คือประชาชนคนรากหญ้าได้รับอานิสงค์จากนโยบายต่างๆที่ค้นคิดได้ในยุคพรรคไทยรักไทย คนรากหญ้าจึงแสดงความชื่นชมด้วยการทุ่มเทความรักให้เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนักประชาชนชาวรากหญ้ายกย่องทักษิณว่าเป็นคนเก่ง

ความเก่งของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้ก่อให้เกิดศัตรูทันตาเห็น กล่าวคือพวกอำมาตย์รุมอัดเละตุ้มเป๊ะด้วยการใส่ร้ายป้ายสี ยัดเรื่องอันไม่จริงให้ได้รับความเดือดร้อน พวกอำมาตย์รุมรังแกยังไม่พอ ยังได้เผยแพร่ข่าวสารข้อมูลอันเป็นเท็จไปยังหมู่ประชาชน หวังจะใช้พลังประชาชนเป็นผู้พิพากษาความผิดในที่สาธารณะ แต่ผลสุดท้ายก็ไม่อาจ “ดับรัศมี” พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้เลย

ตรงกันข้าม ฝ่ายอำมาตย์ต่างหากเล่า...ยิ่งพังเละ ! พังมหึมา – มโหฬาร เสียด้วย..?

ทว่า...แม้จะพังเละขนาดนี้ ก็ยังบอดตาใส มองอะไรไม่เห็น พวกอำมาตย์ยังคงคิดหามุขแบบใหม่หวังจะเอามาใช้ต่อ ดังจะเห็นได้จากข่าวสารข้อมูลต่างๆที่ทะลักออกมาแต่ละวัน ยังคงเต็มไปด้วยข่าวร้ายในทำนองว่า น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไปไม่รอด บางข่าวบอกออกมาว่าไม่นานพรรคเพื่อไทยก็จะถูกยุบบ้างละ จะอยู่ไม่ถึง ๖ เดือนบ้างละ

คนที่แสดงวาทะออกมา มีทั้งนักการเมือง เช่นนายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายเทพไท เสนพงศ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นพ. ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ สนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงชัย นายเทิดภูมิ ใจดี ฯลฯ เป็นต้น

คนเหล่านี้คือสมุนบริวารของอำมาตย์ที่เคยแสดงบทบาทมาแล้วอย่างน่าระทึกใจได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติบ้านเมืองอย่างยาวถึง ๕ ปีดังที่ได้กล่าวมา

            มาถึงวันนี้ สถานการณ์ทางการเมืองได้เปลี่ยนไป อันเกิดจากความพ่ายแพ้ของอำมาตย์ที่มีต่อเพื่อนฝูงและตนเองที่ได้บริหารมันสมองด้วยมิจฉาทิฐิ จนทำให้ตนเองกลายเป็นคนปัญญาสั้นอ่านโลกไม่ออก อ่านวิสัยทัศน์ไม่ตก ทำให้มองเห็นคนดีและคนเก่งอย่างท่านทักษิณว่าเป็นคนเลว

            แล้วไปหลงรักคนชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแบบติดเสน่หา ?

            และไปหลงเชื่อพรรคประชาธิปัตย์ที่ประจบประแจงตลอดชาติ

            สุดท้ายก็ถลำลึก...ปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์ออกคำสั่งให้ทหารลงมือไล่ยิงประชาชนและฆ่าประชาชนอย่างเหี้ยมโหด จนกลายเป็นรอยด่างประทับอยู่บนหน้าผากติดตัวไปจนวันตายจนกลายเป็นว่าทางเดินของอำมาตย์เริ่มเจอกับทางตันและจะตันไปเสียทุกด้าน  ขนาดมีประตูมากมายถึง ๒๑ ประตูก็จะตันไปทุกประตู

            แท้ที่จริงแล้วประตูยังมีอยู่ ถ้าคิดเป็นจะมีทางออกอย่างสวยหรู นั้นก็คือต้องรีบวิเคราะห์ตัวเองแล้วให้รีบหันมาดูต้นเหตุมิจฉาทิฐิที่ทำกับทักษิณเอาไว้ ทำกลับกันเสียใหม่เปลี่ยนให้มันเป็น “สัมมาทิฐิ” โดยทันทีก็จะได้พบกับทางออกในทันทีอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน ?

          “สลักนิรนาม” อยากเสนอแนะแก่อำมาตย์ว่า   อย่าดื้อดึงอยู่กับมิจฉาทิฐิต่อไปเลย ขอให้รีบมีสัมมาทิฐกับ ๙๑ ศพ ไปหาคนที่ทำให้เขาตาย..เอาตัวมาลงโทษ ใครผิดว่าตามผิด ใครถูกว่าตามถูก ไม่ว่า นปช. หรือพรรคประชาธิปัตย์ หรือราบ ๑๑ รอ.? ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “สัมมาทิฐิ” อย่างเสมอหน้ากัน

            ใครจะขึ้นศาล ใครจะมีคดีความ ใครจะต้องขึ้นเขียงให้ท่านเปาประหาร ก็ต้องอยู่ที่สัมมาทิฐิที่ประชาชนมองเห็น ถ้าทำอย่างนี้ได้ จะทำให้ “อำมาตย์” ได้พบกับทางออกที่ดีกว่า แต่ถ้าอำมาตย์ไม่ยอมใช้เส้นทางสัมมาทิฐิตามที่สลักนิรนามเสนอ ก็จะไปเจอกับข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงอย่างไม่มีทางเลี่ยง

            เปล่า...คนเสื้อแดง ไม่แตะต้องอำมาตย์ดอกครับ

            คนเสื้อแดงเขาจะไปร้องขอพรรคเพื่อไทยให้ใช้อำนาจรัฐค้นหาตัวการว่าใครสั่งฆ่าประชาชน ใครเป็นคนยิงประชาชนและยิงทหารตายถึง ๙๑ ราย จนกลายเป็น ๙๑ ศพ ที่แสนวิปโยค ?! และยังมีศพนักข่าวต่างชาติอีกนะท่านที่ถูกฆ่าปิดป่ากในฐานถ่ายภาพต้องห้ามเอาไว้ได้ ไม่ทราบว่า อำมาตย์รู้หรือเปล่า ?

            เมื่อคนเสื้อแดงแห่ไปหาพรรคเพื่อไทย แล้วพรรคเพื่อไทยจะเงียบฉี่กระนั้นหรือ ?

            เปล่าเลย...เงียบไม่ได้พระคุณท่าน ในที่สุดเรื่องมันจะแดงเถือกจนได้นะแหละ และจะลามมาถึงอำมาตย์สุดที่จะห้ามปราม   ถ้าอำมาตย์เจอเข้ากับแบบนี้ อำมาตย์จะทำประการใดมิทราบครับ?

            วันนี้ สลักนิรนาม จะขอเป็น “สลักนิรภัย” ให้แก่พวกอำมาตย์ด้วยการเสนอให้รีบหันหน้าเข้าหาท่านทักษิณ ชินวัตร ด้วยท่าทีที่เป็นธรรม เปิดโอกาสให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้กระบวนการยุติธรรม ค้นหาความผิดที่เป็นจริงค้นในทุกมิติว่าเป็นคนขี้โกงจริงหรือเปล่า ?

            ถ้าทักษิณผิด เป็นคนขี้โกง ก็ให้เอาตัวไปขังเหมือนอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้

            แต่ถ้าไม่ผิด...อำมาตย์ต้องหันมายกย่อง และช่วยกันชูให้ท่านผู้นี้ได้ใช้สติปัญญาเพื่อประเทศชาติ อย่าได้ขวางกั้นดังแต่เก่าก่อน

            ประการสำคัญอยากให้อำมาตย์ได้เรียนรู้ว่าเหตุไรคนเสื้อแดงจึงแห่ไปเทใจให้แก่พรรคเพื่อไทย คำตอบก็คือปัญหา ๒ มาตรฐาน ได้ทำให้คนเสื้อแดงเกิดความเกลียดชัง และแค้นเคืองอย่างยิ่ง จึงพากันแสดงออกด้วยการแห่ไปเลือกพรรคที่ยืนเคียงข้างประชาชน

            พรรคประชาธิปัตย์นะเหรอ มือยังเกรอะไปด้วยเลือดประชาชน

            แล้วจะให้เขาเลือกฆาตกรได้อย่างไร

            มาถึงวันนี้ อำมาตย์จงตัดสินใจเสียเถิด เลิกโง่ได้แล้ว หากขืนยังเกาะพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ว่าแม้จะเกาะพรรคภูมิใจไทยก็ไม่แตกต่างกัน ทั้งนี้เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยเป็น “งูเห่า” มีพิษแรงทั้งพ่องูลูกงู รวมทั้งเครือข่ายของอำมาตย์ ล้วนมีส่วนร่วมในการเข่นฆ่าประชาชน

            ไม่ทราบอีกนานไหม อำมาตย์จึงจะหยุดโง่ ?!

                                                 “สลักนิรนาม”
                                            ๘ สิงหาคม ๒๕๕๔

http://redusala.blogspot.com

ปชป. เริ่มบรรเลงเพลงเลือด...?!

      ปฏิบัติการณ์ยื่นถอดถอน และฟ้องยุบพรรคเพื่อไทยละลอกใหม่เป็นปฏิบัติการณ์ “เริ่มอีกแล้ว”ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพื่อจะบรรเลงบทเพลงเลือดตามแบบฉบับที่ถนัด ปฏิบัติการณ์แบบนี้มันคือสัญญาณที่จะก่อกระแสให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างพรรคต่อพรรค และประชาชนต่อประชาชน โดยหวังว่าจะสามารถะเปลี่ยนขั้วการเมืองได้สำเร็จดังที่เคยกระทำเมื่อครั้งปล้นอำนาจมาจาก ฯพณฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

            นั้นคือการ “ยุบพรรคพลังประชาชน” แล้วได้งูเห่าเนวิน (งูเห่าภาค ๒) เอามาช่วยหนุนให้ ปชป. ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งตัวอย่างในครั้งนั้น กำลังจะถูก ขึ้นรูป” [Political Fabricate] ใหม่อีกครั้งโดยจะอาศัยการยื่นถอดถอน และฟ้องให้ยุบพรรคเพื่อไทยเป็นช่องทางไปสู่การเปลี่ยนแปลง

            ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มว่าจะสามารถ “ยุบพรรค” ได้สำเร็จ การตระเตรียมที่จะรับ ส.ส. งูเห่าภาค ๓ ก็จะมีขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หากสามารถคว้า ส.ส. งูเห่าภาค ๓ ได้มากกว่า ๑๒๐ คน ก็จะสามารถเปลี่ยนขั้วทางการเมืองได้อีกครั้ง และนั่นย่อมหมายถึงพรรคเพื่อไทยจะกลายไปเป็นพรรคฝ่ายค้านเหมือนเช่นเคย

            การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการขึ้นรูปเพื่อจะให้เกิดความสับสนกับพรรคเพื่อไทยอย่างตรงประเด็น แต่จะสำเร็จหรือไม่ ต้องคอยดู?

            เพลงเลือดที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นเจ้าตำรับ ได้ก่อความเสียหายให้แก่สังคมไทยสุดที่จะประเมินค่าได้ อย่างเช่นการเข่นฆ่าประชาชนนั้นมิใช่แต่จะทำให้ครอบครัวของคนที่ถูกฆ่าได้รับความเจ็บปวดบอบช้ำเท่านั้น ยังได้บ่อนทำลาย “ภาวะวิสัย” ของสังคมให้ปั่นป่วน ถึงขั้นฉุดประเทศไทยให้จมดิ่งลงไปสู่ความขัดแย้งทั้งในสถาบันครอบครัวไปจนถึงสถาบันเบื้องสูง

            ปัญหาที่เกิดกับสถาบันเบื้องสูงนั้น เห็นชัดมากจากกรณีข้อกล่าวหาร้ายแรงไปกองอยู่กับ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงว่าจะล้มเจ้า ไม่รักเจ้าเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาอยู่แบบนี้ดังกระหึ่มไปทั่วประเทศ แต่หลังจากการเลือกตั้งผ่านไป ปรากฏว่าฝ่ายที่รักเจ้ากลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่พรรคเพื่อไทย เรียกว่าแพ้หมดรูป

            ความพ่ายแพ้อย่างหนักเช่นนี้ย่อมกระเทือนสถาบันไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งจึงเท่ากับว่าสถาบันอยู่ของท่านด้วยความสดชื่นแจ่มใสมาโดยตลอด ไม่เคยมีอาการสั่นสะเทือนใดๆทั้งสิ้น แต่ต้องมาแบกความพ่ายแพ้ร่วมไปกับพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วย จึงมีคำถามว่าถ้ามีการ “เลือกตั้งใหญ่” อีกครั้ง หลังจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ตกที่นั่งลำบาก พ่ายแพ้อีกครั้ง

            สถาบันก็ต้องพ่ายแพ้ตามอย่างไม่มีทางเลี่ยงใช่ไหมเล่า ?

            ถ้าสถาบันพ่ายแพ้ สองครั้งสองหนติดต่อกัน จะทำให้พระเกียรติยศของสถาบันเสื่อมลงขนาดไหน เรื่องแบบนี้เหตุไรเล่าพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ไตร่ตรองให้ดี 

          ถ้าจะให้ผมวิจารณ์ ผมก็ต้องกล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์คือตัวการ “ทำให้เจ้าล้ม” รวมทั้งเป็นตัวการทำให้คนไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถ้าประเทศไทยจะมีไทยเหนือ-ไทยใต้เหมือนเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ หรือเวียดนามเหนือ-เวียดนามใต้ ฟันธงได้เลยว่าจะเกิดจากความชั่วของพรรคประชาธิปัตย์

            ผมอยากเรียนกับท่านผู้อ่านว่าผมสงสัยพรรคประชาธิปัตย์ว่ามีฐานะเป็นพรรคของประชาชนคนไทยอยู่หรือเปล่า หรือว่าเป็นพรรคการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลัง “สูบเลือด” ประเทศไทย ซึ่งคนกลุ่มนั้นได้แก่พวกมหาอำมาตย์ และพวกเจ้าสัวผู้มั่งคั่งไปด้วยเงินทอง มีธนาคารอยู่ในความครอบครองเป็นกะตั๊ก แถมเป็นเจ้าของวิสาหกิจใหญ่โต ครอบงำความเป็นอยู่ประชาชนได้เต็มประเทศ
            สงสัยว่าพรรคประชาธิปัตย์ตกเป็นสมบัติของคนพวกนั้นชนิดโงหัวไม่ขึ้น
            ที่ผมมีความเห็นอย่างนี้ก็เพราะผมเรียนรู้ “เจตจำนง” ของพรรคประชาธิปัตย์ดั้งเดิมนั้นเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อจะได้เป็นศูนย์รวมของคนไทยทุกชนชั้น มีความเมตตาสงสาร เข้าใจในความทุกข์ยาก และเข้าใจในปัจจัยต่างๆว่าอะไรคือปัญหาของชาติ ครั้นเอาเข้าจริง ธาตุอันงดงามของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยถือเป็นอุดมการณ์กลับไม่มีอะไรเหลือ

            ถ้าเหลือจะไม่ออกคำสั่งให้ทหารฆ่าคนเสื้อแดงเหมือนสั่งเชือดสุนัขรอขายที่นครพนม

            ถ้าเป็นประชาธิปัตย์แท้ จะไม่มีนิสัยเถื่อน-ถ่อยแบบนี้

            สิ่งที่ได้พบเห็นในวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์อ้างรัฐธรรมนูญเอาขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี (น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และยื่นถอดถอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล พร้อมกับประกาศยื่นฟ้องให้ยุบพรรคเพื่อไทยด้วย

            จริง..ไม่เถียงดอกว่าทำไปตามรัฐธรรมนูญ...แต่ขอให้ดูให้ดีก่อน ปชป. ว่าทั้งสองท่านดังกล่าวนั้นยังไม่ได้กระทำความผิดต่อรัฐธรรมนูญเลย แล้วไปยื่นถอดถอนเขาได้อย่างไร ? รวมทั้งการฟ้องยุบพรรคนั้นมันเจ๊าะแจ๊ะอย่างไม่น่าเชื่อ ? พวกท่านต่างหากที่อ้างรัฐธรรมนูญแบบเอาเป็นเอาตาย โดยมิได้ใส่ใจว่าเราทั้งสองฝ่าย น่าจะร่วมมือกันก่อให้เกิดความราบรื่นในสังคมไทย 

            เรากำลังจะหาทางออกให้กับประเทศไทย  มิใช่หรือ ?

            การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ (แบบนี้) ตีความได้สถานเดียวว่าพวกท่านยังคงเอาพรรคและ ตัวตนไปรับใช้อำนาจมืดอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งคนพวกนั้นมีจุดยืนอย่างไรก็รู้กันดีแล้วทั้งประเทศ จุดยืนเกี่ยวกับการ “ยุบพรรค” ในประเทศไทยมิใช่เป็นการยุบเพื่อการพัฒนา แต่เป็นการสั่งยุบอันเกิดจากความหวั่นวิตกว่าฐานอำนาจของตัวเองจะหมดไป จึงวางแผนที่จะรักษาอำนาจด้วยการยุบพรรค ซึ่งมีวิธีการ ๒ อย่าง คือ :

(๑)รักษาอำนาจเอาไว้ด้วยการให้ทหารทำรัฐประหาร ล้มล้างรัฐธรรมนูญ

(๒) รักษาเอาไว้ด้วยการยุบพรรค แล้วเปลี่ยนขั้วทางบการเมือง
ตัวละครของเรื่องนี้ เกี่ยวกับตัวบุคคล คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของทักษิณ อันได้แก่ นปช. และคนเสื้อแดง ฝ่ายหนึ่ง กับพวกเสื้อเหลือง สันติอโศก-พันธมิตร อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวละครที่โลดแล่นอยู่คนละฝั่ง ที่สมควรจะหาหนทางปรองดองกัน แต่พรรคประชาธิปัตย์ได้จุดไฟเข้าใส่ทันทีที่เลือกตั้งแล้วเสร็จ

          ว่ากันตามเนื้อผ้า ฝ่ายคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยไม่ได้แตะต้องพรรคประชาธิปัตย์อะไรเลย แต่ทางฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ อย่าว่าแต่แตะต้องเลย พรรคประชาธิปัตย์แทบจะเอายาพิษกรอกปากให้ม่องเท่งกลางถนน คนที่พรรคประชาธิปัตย์เล่นงานไม่เลิกได้แก่ ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร

            นายกปู...เป็นน้องสาว จึงเป็นลูกข่างแทนพี่ชาย !

            เมื่อพิจารณาดูเหตุและผลที่พรรคประชาธิปัตย์รีบเร่งยื่นถอดถอนรวมทั้งการฟ้องให้ยุบพรรค เป็นสัญญาณทางการเมืองที่ไม่แตกต่างจาก ๔-๕ ปีผ่าน กล่าวคือพวกเขายังคงมุงหน้าที่จะทำลาย โดยอาศัยถ้อยคำว่าต้องการรักษารัฐธรรมนูญเป็นใบเบิกทางแต่แท้ที่จริงแล้ว พวกเขายังคง “มั่นหมาย” ที่จะทำลายพรรคเพื่อไทยอย่างไม่เลิกราโดยจะใช้กลยุทธ์แบบเดิมๆอย่างไรก็อย่างนั้น
            กล่าวให้ชัดก็คือตราบใดทักษิณยังอยู่ ตราบนั้นไม่หยุดการไล่ล่า

            ดังนั้น เพื่อจะให้เข้าใจเรื่องนี้ จำเป็นจะต้องกลับไปดูอดีตตั้งแต่ยุคไทยรักไทยก็จะพบว่าพรรคไทยรักไทยได้พบกับปรากฏการณ์อันน่าตกใจ กล่าวคือบริหารประเทศอยู่ดีๆก็มี “ม็อบออกมาขับไล่” ทักษิณ ออกไป ...ทักษิณ ออกไป ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่คาดไม่ถึง

            มิใช่แต่เท่านั้น หลังจาก พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูกทหารยึดอำนาจไปแล้ว แทนที่เรื่องจะจบ กลับผันไปสู่การกระทำอีกหลายอย่าง อันล้วนแล้วแต่มุ่งไปที่ตัวของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น การกระทำที่เห็นชัด ได้แก่การกระทำกับ ฯพณ นายสมัคร สุนทรเวช กระทำต่อ ฯพณฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์และกระทำต่อคนเสื้อแดง ด้วยการฆ่า จับยัดคุก ล่ามโซ่ ตีตรวน !     

            เราคิดว่าการกระทำน่าจะหยุดลงได้ด้วยการหันหน้าเข้าหากัน

            แต่การที่เขารีบร้อนฟ้องร้องให้ถอดถอน และฟ้องให้ยุบพรรค ได้แสดงให้เห็น“เจตจำนง” ยังคงตั้งอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย พวกเขานิ่งเพื่อหาจังหวะที่จะทำลายใหม่อีกครั้ง มิใช่นิ่งเพื่อความปรองดอง ภาพที่ออกมามันดูดีในมุมเล็กๆ แต่ในมุมกว้างใหญ่ที่แท้จริง ยังคงแฝงเร้นไปด้วยแสงอำมหิต

            สาเหตุเกิดมาจากการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่พวกอำมาตย์อย่างรุนแรงที่สุด แต่พวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงจะสามารถระงับยับยั้งได้ จึงจำใจปล่อยให้มีการประชุมรัฐสภา เลือกตั้งประธานสภา เลือกตัวนายกรัฐมนตรี และฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรีขึ้น ซึ่งจะมีการแถลงนโยบายแนวทางบริหารประเทศในวันที่ ๒๓ – ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ นี้

            มองตามรูปการคล้ายกับว่าบรรยากาศแสนจะสดใสและกำลังจะมีความปรองดองเกิดขึ้น ซึ่งเป็นบรรยากาศที่สังคมไทยเข้าใจว่าสภาวะจะเป็นไปอย่างนั้น ประชาชนทั้งหลายจึงเฝ้ามองด้วยความอบอุ่นใจแต่ในอีกมุมหนึ่ง มันไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าได้มีความเพียรพยายามที่จะ “หักขา” พรรคเพื่อไทยอยู่ทุกลมหายใจ ดังเช่นการยื่นฟ้องคดีอาญา ให้ถอดถอน และให้ยุบพรรคเพื่อไทย

            การทำครั้งนี้มิใช่เกิดจากความริษยาดังแต่เก่าก่อน แต่เกิดจาก “ยุทธวิธี” ประเภทภาคบังคับ ว่าจะต้องหาทางทำลายพรรคเพื่อไทยให้ได้การยื่นถอดถอนและการฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค เป็นวิธีการในรัฐธรรมนูญที่ได้เขียนเอาไว้ ซึ่งหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ปฏิบัติถูกต้องตามแนวทางของรัฐธรรมนูญ แต่บนความเป็นจริงนั้นรัฐธรรมของประเทศไทยสร้างขึ้นมาแบบหมกเม็ด มีการซุกซ่อนในหลายมาตราเพื่อจะเป็นเครื่องมือรักษาอำนาจของผู้ยิ่งใหญ่เอาไว้  รัฐธรรมนูญของประเทศไทยมีการวางหมากเอาไว้ยุบพรรค ก็เพื่อจะได้ใช้เป็นดาบ “เชือดรัฐบาล” แทนการใช้อำนาจทหารทำรัฐประหารกล่าวคือถ้ายุบพรรคได้ก็ไม่ทำรัฐประหาร ถ้ายุบพรรคไม่ไดก็จะทำรัฐประหาร ซึ่งเป็น “แนวทาง” หมกเม็ดอย่างแยบยล เพื่อการรักษาอำนาจไม่ให้หลุดจากมือ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ทหารยึดอำนาจเพราะยุบพรรคไม่สำเร็จ หลังจากยึดอำนาจแล้ว กลัวเขาจะกลับมามีอำนาจอีก จึงหาทางยุบพรรค ยุบพรรคแล้ว ก็หาทางสร้างงูเห่า เพื่อจะเปลี่ยนมือรัฐบาลจากเครือข่ายของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ไปให้ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ซึ่งได้ตั้งรัฐบาลในค่ายทหารเป็นสำเร็จ  หลังจากนั้นก็ดำเนินการทางการเมืองตามแบบฉบับของเผด็จการ ด้วยการใช้อำนาจบาตรใหญ่ไล่ฆ่าคนเสื้อแดงที่เป็นเครือข่ายของทักษิณ ฆ่าได้แล้วก็บริหารประเทศชาติตามแนวทางเผด็จการต่อไป จนเกิดความเชื่อมั่นว่าจะรักษาอำนาจได้ 

        จึงประกาศยุบสภาเปิดให้มีการเลือกตั้งใหญ่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔

        ผลออกมาก็คือ..มันไปกันใหญ่..พรรคประชาธิปัตย์ ยิ่งพ่ายแพ้หนักไปกว่าเดิม พรรคประชาธิปัตย์กลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน อย่างไม่มีทางสู้ทำให้อำมาตย์กลายเป็นฝ่ายค้านตามไปด้วย จึงไม่แปลกที่จะได้เห็น “ประธานฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์” รีบร้อนฟ้องให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

        นี้เป็นนัยยะทางการเมืองชนิดไม่ให้กระพริบตา กล่าวคือ ถ้าถอดถอนได้ทั้ง ๒ คนก็จะเดินไปสู่การยุบพรรค ถ้ายุบพรรคได้ก็จะมี “งูเหา” ภาค ๓ เกิดขึ้น ตามสไตล์เดิม

        มาถึงจุดนี้ ทำให้มองเห็นภาพชัดว่าฝ่ายอำมาตย์นั้นกำลังวางแผนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองอีกครั้ง จะไม่ให้เวลาแก่พรรคเพื่อไทยบริหารประเทศชาติ มากไปกว่า ๖ เดือนหรือ ๑ ปี

        ถ้ามากไปกว่านี้ อกอีแป้นแตกตายแน่ ?!

        การที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องฟ้องร้องถอดถอนและฟ้องยุบพรรคในหนนี้ ถ้าพวกเขาสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้แล้วละก็..นั้นแหละคือสัญญาณ“บรรเลงเพลงเลือด” ได้ก่อตัวขึ้นแล้ว

        ท่านผู้อ่านครับ อย่าคิดว่าข้อเขียนนี้เป็นนิยายน้ำเน่าแท้ที่จริงมันเป็นนิยายที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความผิดหวังอย่างร้ายแรงที่คนไทยใหญ่โต เล่นเอาเถิดกับชาติของตนเอง โดยมิคำนึงว่าความยุติธรรมกับความเป็นธรรมคืออะไร ?

            ผมอยากให้คนเสื้อแดงอ่านเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่วินาทีนี้ หรือว่าหากท่านผู้ใดมีความสามารถที่จะถ่ายสำเนาแจกจ่าย ก็ขอให้ถ่ายส่งต่อไปให้มากๆ เราต้องเตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง

            สู้คราวหน้านี้ต้องเบ็ดเสร็จ อย่าให้มีหนามหัวใจหลงเหลืออยู่ต่อไป

            ขอส่งสารถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า ท่านจะเริ่มบรรเลงเพลงเลือดก็เริ่มไปเถิดครับ ไม่มีใครเข้าห้ามพวกท่านได้ กรรมเวร มีจริง...โปรดรับทราบเอาไว้ด้วย ?!
                                                                   สอาด จันทร์ดี
                                                               ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๔
http://redusala.blogspot.com

โชคดีที่เกิดเป็นคนไทยใต้ร่มบรมโพธิสมภารยิ่งแล้ว

"พระราชินี" เสด็จพระราชดำเนินลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงตรัสพระพลานามัยในหลวง ทรงสบายดีขึ้นมาก ทรงติดตามห่วงผู้ประสบภัยธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ได้พระราชทานสิ่งของไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมหลายแห่ง ขณะเดียวกัน ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมปรึกษาหารือถึงแนวทางที่จะช่วยเหลือประชาชน ทรงห่วงป่าถูกทำลาย เป็นเหตุทำให้น้ำท่วมพร้อมยกย่องทหารกล้า-ช่างภาพ ฮ.ตก ชม จนท.กู้ศพเสียสละ ทรงห่วงเรื่องยาเสพติด ขอให้รัฐบาลนำไปดำเนินการสานต่อจากรัฐบาลที่แล้ว โดยทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตาขอให้ทุกฝ่ายช่วยคิดหาวิธีทำให้ภาคใต้กลับคืนความสงบสุขโดยเร็ว(ภาพข่าว:ASTVผู้จัดการ)


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
12 สิงหาคม 2554

จากพระราชเสาวนีย์ข้างต้นนั้น พสกนิกรไทยต่างน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่านับเป็นบุญที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ได้อาศัยพระบรมโพธิสมภารเป็นที่พึ่ง โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองมีวิกฤตการณ์แตกแยกออกเป็นหลายฝ่ายช่วงหลายปีมานี้

ทั้งนี้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าที่อาศัยอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร

พระมหากรุณาธิคุณ-พระราชินี เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในการวางพวงมาลา และพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติการยึดคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 ในการนี้มีรับสั่งว่า เสียใจ เสียดายนายทหารที่ดี นับว่าเป็นการสูญเสียทหารที่ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง และขอขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมาเป็นอย่างดี มีความภักดีต่อราชวงศ์ (รายละเอียดข่าว)

ในคราวเกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นในบ้านเมืองเมื่อปีที่แล้ว ในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่นั้น เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นกรณีพิเศษ ดังนี้

ประกาศสำนักนายกฯ ระบุว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นกรณีพิเศษ ให้แก่ ข้าราชการทหารสังกัดกองทัพบก ซึ่งเสียชีวิตเนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยความเสียสละและฝ่าอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทางราชการและเป็นแบบอย่างอันควรแก่การยกย่องสรรเสริญสืบไปจำนวน 5 ราย ดังนี้

ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก
1. พลเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม
เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย
2 . ร้อยเอก ภูริวัฒน์ ประพันธ์
3. ร้อยเอก อนุพนธ์ หอมมาลี
4. ร้อยโท อนุพงษ์ เมืองอำพัน
5. ร้อยตรี สิงหา อ่อนทรง
ประกาศ ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สุเทพ เทือกสุบรรณ
รองนายกรัฐมนตรี

เย็นศิระ เพราะพระบริบาล-เมื่อเวลา19.00น.เมื่อวันที่
15 เมษายน 2553 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ถนนราชวิถี เพื่อทรงเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติการขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เมษายน
โดยมีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จเป็นจำนวนมาก(ภาพข่าว:ASTVผู้จัดการ)

ทรงมีพระราชหัตถเลขาชมเชยสตรีไทยช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของชาติ 

อีกเรื่องหนึ่งที่นำความปลาบปลื้มปิติเป็นล้นพ้นต่อปวงพสกนิกรชาวไทยก็คือในคราวที่เกิดจลาจลในกรุงเทพฯเมื่อปีที่แล้วนั้น ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ นางสนองพระโอษฐ์ และรองราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้อัญเชิญพระราชหัตถเลขา ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชทานให้กับคุณนภัส ณ ป้อมเพชร









พระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2553 มีความรายละเอียดว่า


ถึง คุณนภัส ณ ป้อมเพ็ชร์

ฉันได้อ่านจดหมายของคุณที่เขียนถึงสำนักข่าว CNN แล้ว รู้สึกภูมิใจที่คุณยืนขึ้นทำหน้าที่ของคนไทยตอบโต้นักข่าวต่างชาติอย่างองอาจตรงไปตรงมา แต่ก็ด้วยความสุภาพและมีเหตุผลที่ชัดเจนพอที่จะทำให้ประชาคมโลกที่ได้อ่านจดหมายของคุณต้องทบทวนความเชื่อถือที่มีต่อ CNN

ชื่นชมยิ่งที่คุณช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

( ลายพระราชหัตถเลขาในสมเด็จพระนางเจ้าฯ )


น้ำพระทัยแผ่ไพศาลต่อพสกนิกรยามบ้านเมืองแตกแยก


พระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร-ไม่เพียงแต่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อฝ่ายเจ้าหน้าที่
ยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า โดยเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี ไปในการพระราชทานเพลิงศพนางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจัดการชุมนุมและปะทะกับตำรวจ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม2551 ณ เมรุวัดศรีประวัติ ต.ปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

ในโอกาสดังกล่าวนายจินดา ระดับปัญญาชาติวุฒิ บิดาของนางสางอังคณา พร้อมด้วยนางสาวดารณี นางสาววิชชุดา บุตรสาวทั้งสองเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่พลับพลาที่ประทับ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับครอบครัวระดับปัญญาวุฒิ ประมาณ 15 นาทีก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินกลับ

หลังจากที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯกลับ นายจินดาให้สัมภาษณ์ โดยที่หนังสือพิมพ์มติชนรายงานว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งว่า นางสาวอังคณาเป็นคนดีเป็นคนเก่ง และขอชื่นชมที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ขอเป็นกำลังใจให้ครอบครัวสู้ต่อไป

"พระองค์ทรงรับสั่งว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนางสาวอังคณา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับรู้เรื่องราวโดยตลอด รวมทั้งกรณีพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานทรัพย์ช่วยเหลือมาด้วย ซึ่งผมและครอบครัวระดับปัญญาวุฒิรู้สึกภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดมิได้
ที่ทั้งสองพระองค์เสด็จในงานพระราชทานเพลิงของลูกสาว ซึ่งผมและครอบครัวจะน้อมนำเอาพระราชดำรัสที่ทรงห่วงใยมาเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป"

ต่อมานายจินดาให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า "พระองค์ตรัสว่า อังคณาเขาทำดีน่ะ รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ พระองค์ท่านตรัสว่า เสียใจไม่น่าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เลย"

"สมเด็จพระราชินีทรงถามสารทุกข์สุกดิบของครอบครัว พระองค์ตรัสถามถึงอาการของภรรยาผมเป็นอย่างไรบ้าง ผมทูลฯตอบไปว่า รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช อยู่ในพระราชินูปถัมภ์ พระองค์ท่านยังทรงกล่าวอีกว่า ยังไงก็ต้องมางานนี้ เพราะทำเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระองค์ด้วย"

พระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า


"ตี๋ ชิงชัย" วาดพระสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ
ด้วยมือซ้าย


พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯต่อพสกนิกรนั้นยังแผ่ไพศาลต่อมาอย่างสืบเนื่อง ในคราววันเฉลิมพระชนมพรรษา12สิงหามหาราชินีเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2552
เวบไซต์ผู้จัดการASTV
รายงานข่าวว่า "พระราชินีตรัสชื่นชม"ตี๋ ชิงชัย"วาดพระสาทิสลักษณ์"เก่งมาก" โดยรายละเอียดข่าวมีว่า เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชวโรกาสให้ นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ หรือ ตี๋ ชิงชัย ศิลปินผู้สูญเสียมือขวาจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 พร้อมภรรยาเข้าเฝ้าฯ
เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่นายชิงชัยวาดด้วยมือซ้าย ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารว่า "เก่งมาก"


พระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผลงานการวาดด้วยมือซ้ายของนายชิงชัย อุดมเจริญกิจ ศิลปินผู้สูญเสียมือขวาจากเหตุการณ์ 7 ตุลา 51

"ตี๋ ชิงชัย" เป็นหนึ่งในศิลปินนักสู้ที่เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมนั้น "ตี๋ ชิงชัย" ถูกระเบิดแก๊สน้ำตาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมือข้างขวาที่เคยใช้วาดรูปขาดกระจุยและกล่องเสียงถูกทำลาย แต่มีตำรวจบางคนและสื่อมวลชนบางฉบับ ได้รายงานว่านายชิงชัยว่ากำระเบิดมาเอง แต่ผู้จัดการASTVระบุว่า ในความเป็นจริงสิ่งที่เขากำอยู่ในมือคือพวงกุญแจหนัง

ด้วยน้ำพระทัยแผ่ไพศาล ทำให้บ้านเมืองที่เคยรุ่มร้อน ก็ผ่อนคลายร่มเย็นสงบลงด้วยพระบารมีเป็นที่ตั้ง
ปวงข้าพระพุทธเจ้าต่างน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอถวายความจงรักภักดี เป็นข้ารองบาทราชจักรีวงศ์ทุกชาติไป

ในอภิลักขิตสมัย เฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหามหาราชินีเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
http://redusala.blogspot.com

เปิดคำพิพากษาศาลให้ทหารชดใช้ค่าเสียหายเหยื่อเสื้อแดง
เหตุยิงคนมือเปล่าไร้อาวุธผิดกฎใช้กำลัง
เมื่อโจทก์ทั้งสองยืนยันว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีอาวุธ และฝ่ายจำเลยมิได้โต้แย้ง ทั้งยังเบิกความตอบคำถามค้านรับว่าไม่เห็นกลุ่มผู้ชุมนุมถืออาวุธปืนไม่ว่าชนิดใด โจทก์ทั้งสองจึงมิใช่บุคคลที่จะเป็นเป้าหมายให้ฝ่ายทหารใช้กำลังอาวุธประจำกายต่อโจทก์ทั้งสองได้ เพราะตามกฎการใช้กำลังของกองทัพไทยตามเอกสารหมาย ล.12 ผนวก จ.ข้อ 5.8 ทหารที่ปฏิบัติการปราบจลาจลจะใช้กำลังได้เฉพาะเพื่อป้องกันตนเอง หรือป้องกันชีวิตผู้อื่นจากอันตรายใกล้จะถึงจากกลุ่มบุคคลที่มีอาวุธเท่านั้น

ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด
23 สิงหาคม 2554

หมายเหตุ - จากเหตุการณ์สลายม็อบนปช.เมื่อเดือนเม.ย.2552 มีผู้ร่วมชุมนุมได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ต่อมานายไสว ทองอุ้ม และนายสนอง พานทอง ผู้ร่วมชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งให้ดำเนินคดีจำเลย 5 ราย ได้แก่ จำเลยที่ 1 สำนักนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 กองบัญชาการกองทัพไทย จำเลยที่ 3 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จำเลยที่ 4 พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ และจำเลยที่ 5 กองทัพบก ในข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย 2,857,534 บาท และ 2,245,205 บาท ตามลำดับ ศาลรับฟ้องแค่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 5 ก่อนมีคำพิพากษาออกเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2554 และจากนี้คือคำพิพากษาบางส่วน...



โจทก์บรรยายฟ้องว่าในวันที่ 13 เมษายน 2552 เวลา 2 นาฬิกา มีการสั่งการให้ใช้กำลังทหารบกเข้าระงับเหตุและเปิดการจราจรบริเวณสี่แยกใต้ทางด่วนดินแดง ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ซึ่งร่วมชุมนุมอยู่ด้วยถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์ที่ 1 ถูกยิงที่ไหล่ซ้ายเป็นเหตุให้ไม่สามารถกลับมาใช้แขนซ้ายได้ตามปกติอีก โจทก์ที่ 2 ถูกยิงหัวเข่าขวาลูกสะบ้าแตกไม่สามารถใช้ขาข้างขวาได้ตามปกติอีก โจทก์ทั้งสองจึงกลายเป็นผู้พิการ

ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 5 ให้การต่อสู้ว่า ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 13 เมษายน 2552 ดังกล่าว กองกำลังทหารได้รับการต่อต้านจากกลุ่มนปช. โดยใช้ระเบิดเพลิง แก๊สน้ำตา และใช้พลซุ่มยิงด้วยปืนพก การปฏิบัติภารกิจของทหารจึงเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จึงไม่มีความรับผิดทั้งทางแพ่ง อาญา และทางวินัย

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฟ้องของโจทก์ทั้งสองว่า กองกำลังทหารบกกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองและเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 และที่ 5 ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า กองกำลังทหารที่ออกปฏิบัติภารกิจในวันเกิดเหตุ ประกอบด้วย กองกำลังทหารจากสองกองพัน คือ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์

ฝ่ายโจทก์เบิกความว่า กองกำลังทหารตั้งแถวเดินเข้าหากลุ่มผู้ชุมนุม แถวแรกเดินถือไม้เคาะโล่เข้าหาผู้ชุมนุม แถวที่สองและแถวที่สามซึ่งถือปืนบางส่วนยิงปืนขึ้นฟ้า บางส่วนยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมแตกกระเจิง โจทก์ที่ 1 จึงตามรถแกนนำไป แต่ขณะที่โจทก์ที่ 1 เอี้ยวตัวกลับเพื่อหันมามองทหารที่อยู่ด้านหลัง จึงถูกยิงที่หัวไหล่ซ้ายล้มลงหมดสติ

โจทก์ที่ 2 เบิกความว่า เห็นแถวทหารเดินเข้าหากลุ่มผู้ชุมนุม โดยยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่ เมื่อผู้ชุมนุมไม่ยอมสลายตัว จึงยิงในแนวระนาบ แล้วกระจายตัวตีโอบล้อมกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้เกิดการอลหม่าน ผู้ชุมนุมบางส่วนล้มลง โจทก์ที่ 2 เห็นผู้ชุมนุมคนหนึ่งถูกยิงล้มลงจึงเข้าไปช่วยเหลือ เป็นเหตุให้ถูกยิงเข้าที่หัวเข่า และทหารกรูกันเข้ามาเป็นเหตุให้กลุ่มผู้ชุมนุมแตกกระเจิง โจทก์ที่ 2 จึงกระโดดหนีลงในคลองริมถนนวิภาวดีรังสิต

พยานโจทก์บรรยายให้เห็นเหตุการณ์ที่โจทก์ทั้งสองประสบว่า เป็น เหตุการณ์ที่เกิดอย่างต่อเนื่องกันมาว่ากองกำลังทหารตั้งแถวเข้ายึดคืนพื้นที่ โดยเดินมุ่งเข้ากลุ่มผู้ชุมนุม มีการยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่ให้ฝ่ายผู้ชุมนุมยอมล่าถอย เมื่อฝ่ายผู้ชุมนุมไม่ยอมสลายตัว ทหารจึงหันมายิงในแนวระนาบ จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายผู้ชุมนุมแตกกระเจิงและเกิดการอลหม่าน ขึ้น โจทก์ที่ 1 วิ่งหนีกลุ่มทหารตามรถของแกนนำไป แต่ขณะที่กำลังหันกลับมามองกลุ่มทหารที่อยู่ด้านหลัง จึงถูกยิงที่หัวไหล่ซ้ายดังกล่าว

ส่วนโจทก์ที่ 2 เบิกความให้เห็นภาพการปฏิบัติการของฝ่ายทหารได้อย่างสอดคล้องตรงกับข้อเท็จจริงที่โจทก์ที่ 1 ในขณะนั้นโจทก์ที่ 2 เห็นผู้ชุมนุมคนหนึ่งถูกทหารยิงล้มลง จึงเข้าไปช่วยเหลือ เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 ถูกยิงที่หัวเข่า ทหารกรูกันเข้ามา โจทก์ที่ 2 กลัวถูกทำร้ายอีก จึงวิ่งกระโดดลงคูน้ำข้างถนนวิภาวดีรังสิต และเบิกความต่อไปว่ากลุ่มทหารยังไล่ตามมาปาก้อนอิฐก้อนหินและอื่นๆ เข้าใส่ จนกระทั่งมีนายทหารคนหนึ่งมาบอกให้กลุ่มทหารเหล่านั้นหยุด และส่งไม้ให้โจทก์ที่ 2 เกาะขึ้นฝั่งมา

เมื่อฟังประกอบข้อเท็จจริงว่าฝ่ายจำเลยที่ 2 และที่ 5 มีคำสั่งให้กองกำลังทหารซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาและสังกัดของตนตามลำดับขั้นเข้าปฏิบัติภารกิจเพื่อยึดคืนพื้นที่และเปิดผิวการจราจรในบริเวณที่เกิดเหตุในยามวิกาล ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยหลักสากล แม้จะได้ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งอนุญาตให้ใช้อาวุธจริงได้ในการปฏิบัติภารกิจ

แต่เมื่อโจทก์ทั้งสองยืนยันว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีอาวุธ และฝ่ายจำเลยมิได้โต้แย้ง ทั้งยังเบิกความตอบคำถามค้านรับว่าไม่เห็นกลุ่มผู้ชุมนุมถืออาวุธปืนไม่ว่าชนิดใด โจทก์ทั้งสองจึงมิใช่บุคคลที่จะเป็นเป้าหมายให้ฝ่ายทหารใช้กำลังอาวุธประจำกายต่อโจทก์ทั้งสองได้ เพราะตามกฎการใช้กำลังของกองทัพไทยตามเอกสารหมาย ล.12 ผนวก จ.ข้อ 5.8 ทหารที่ปฏิบัติการปราบจลาจลจะใช้กำลังได้เฉพาะเพื่อป้องกันตนเอง หรือป้องกันชีวิตผู้อื่นจากอันตรายใกล้จะถึงจากกลุ่มบุคคลที่มีอาวุธเท่านั้น

การปฏิบัติภารกิจดังกล่าวโดยใช้กำลังทหารติดอาวุธ โดยสภาพย่อมต้องกระทำโดยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะการใช้วิธีการดังกล่าวย่อมเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อชีวิตและร่างกายของผู้ชุมนุมโดยสุจริตได้ เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังทหารในบังคับบัญชาตามคำสั่งและในสังกัดของจำเลยที่ 2 และที่ 5 ได้ก่อผลให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสอง

เมื่อฟังได้ว่าบุคคลในกองกำลังทหารที่ออกปฏิบัติภารกิจในวันเกิดเหตุ ซึ่งพยานจำเลยที่ 2 และที่ 5 รับว่ามีเฉพาะกองกำลังทหารบกเป็นผู้ยิงโจทก์ทั้งสอง และโจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายเพราะการนั้น จึงเป็นการเพียงพอที่จำเลยที่ 2 และที่ 5 ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดตามลำดับชั้นต้องรับผิดจากผลแห่งการละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว

โจทก์ที่ 1 เรียกค่าเสียโอกาสจากการประกอบการงานเป็นเวลา 20 ปี รวมเป็นเงิน 2,400,000 บาทนั้น เห็นว่าโจทก์ที่ 1 ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่าโจทก์ที่ 1 ได้รับเงินค่าจ้างตามจำนวนดังกล่าวนั้นจริง และโจทก์ที่ 1 ยังสามารถประกอบอาชีพอื่นได้บ้าง เห็นสมควรกำหนดค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพเป็นเงิน 1,000,000 บาท ส่วนค่าทนทุกขเวทนาขณะรับการรักษาและต้องพิการ เห็นว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว จึงกำหนดให้ตามนั้น

สำหรับโจทก์ที่ 2 เรียกค่าเสียโอกาสจากการประกอบการงานเป็นเวลา 25 ปี เป็นเงิน 1,800,000 บาท แต่เห็นว่าโจทก์ที่ 2 มิได้เสียความสามารถในการประกอบอาชีพทั้งหมด จึงกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้จำนวน 800,000 บาท ส่วนค่าทนทุกขเวทนาดังกล่าวเห็นสมควรกำหนดให้ตามที่ขอ

พิพากษาให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 5 ร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 1,200,000 บาท และร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 เมษายน 2552 เป็นต้นไป กับให้จำเลยที่ 2 และที่ 5 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

*********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:เปิดใจสลด 2นปช.ชนะคดี แฉถูกยิงแขนขาพิการ
http://redusala.blogspot.com

พูโลแฉปชป.กวาดเรียบชายแดนใต้ทุ่มหัวพันห้า
รักษาขุมทรัพย์ ศอ.บต.ทำแท้งนครรัฐปัตตานี
กระบอกเสียงของPULOกล่าวหาว่า อดีตรัฐบาลพรรคแมงสาบใช้ศอ.บต.หว่านซื้อมวลชนสารพัด แถมยังกวาดซื้อเสียงหัวละหนึ่งพันห้าร้อยบาท บางพื้นที่ถึงกับจี้บังคับว่าต้องได้คะแนนเท่านั้นเท่านี้ เพื่อเอาชนะอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ศอ.บต.ต้องโดนยุบ และสกัดกั้นนโยบายจัดตั้งนครรัฐปัตตานีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

โดย ปาแด งา มูกอ
ที่มา เว็บไซต์PULO
27 สิงหาคม 2554

ขาประจำชายแดนใต้ ครับ.. วันนี้ขอนำบทความในhttp://puloinfo.net/ กระบอกเสียงของกลุ่ม ที่อ้างว่าเป็นกลุ่มขบวนการปลดปล่อยสหรัฐปาตานี-Patani United Liberation Organization(PULO-พูโล) ในการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรงรายวันชายแดนใต้

แต่หน่วยงานของรัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลับไม่ให้ความสนใจซักเท่าไหร่

แต่ผมกลับมองว่า นี่คือ “สงครามไซเบอร์” ของฝ่ายตรงข้าม ที่ก้าวล้ำไปกว่าหน่วยงานภาครัฐ จะจริงเท็จอย่างไร ขบวนการนี้มีจริงหรือไม่ นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

แต่ที่สำคัญมากๆก็คือ เว็ป puloinfo ดังกล่าว มันได้เพาะเชื้อ “นักรบไซเบอร์” ให้เกิดขึ้นอย่างมากมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้

ประเด็นนี้แหล่ะครับ ที่ทำให้ หน่วยงานของรัฐจับทางในการแก้ไขปัญหาไฟใต้ผิดพลาดมาโดยตลอด (หรือแกล้งโง่ก็ไม่รู้)

เว็ปดังกล่าว ได้ลงบทความติดต่อกัน 2 บทความในเดือน สิงหาคม เหมือนกับเป็นการต้อนรับ รัฐบาลชุดใหม่ และไว้อาลัย รัฐบาลชุดเก่า

แต่เท่าที่สังเกตผู้เขียนบทความที่สองเรื่อง สารัตถะแห่งนิยาม "เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา" ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความเป็นคนไทยแบบเต็มร้อย เพราะปรากฏเห็นการใช้เลขไทย ที่ปัจจุบันหาดูและชมได้ยากมาก

รวมถึงการ “อู้คำเมือง” ตบท้าย ก็ขอฝากชมผู้เขียนบทความดังกล่าว ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มขบวนการ หรือกลุ่มอะไรก็ตามก็อุตส่าห์เขียนไทยได้ขนาดนี้ บทความที่นำมาให้อ่านนี้ ไม่ใช่ว่าจะให้เห็นดีเห็นงามไปด้วยนะครับ เข้าตำรารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งบ่มิพ่าย ลองไปทัศนากันดู

ไปดู บทความแรก เรื่อง ถอดระหัสแผนรุกของรัฐไทยที่มีต่อชาวมลายูปาตานีหลังเลือกตั้ง 3 กรกฏา (สะกดตามต้นฉบับของเวบพูโลครับ) ลงเผยแพร่เมื่อ 16 สิงหาคม ความว่า...

ด้วยภาวะขาดจริยธรรม ไร้ความชอบธรรม ธรรมเนียมความไม่รับผิดชอบ หมิ่นศักดิ์ศรีหรือวาทะที่ส่อแสดงถึงความไม่รู้เรื่องของผู้นำรัฐไทยต่อสถานะภาพของชนชาวมลายูมุสลิมปาตานียังปรากฏไม่เว้นแต่ละวัน บ่งบอกถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพี้นฐาน การกดขี่ข่มเหง รวมทั้งการลอบสังหารชนชาวมลายูปาตานีโดยรัฐไทยยังคงเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง นโยบายปรองดองหลังเลือกตั้งที่รัฐไทยได้ตั้งไว้จึงไร้ความหมายสำหรับชนชาวมลายูปาตานี

หากย้อนกลับไปก่อนประกาศวันเลือกตั้งเพียงหนึ่งวันคือวันที่ 3 พ.ค. 2554 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงในรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ประณามผู้ก่อเหตุว่าทารุณโหดร้ายไร้มนุษยธรรมที่ใช้อาวุธสงครามกราดยิงยิงร้านน้ำชาบริเวณบ้านกาโสด บันนังสตา จ.ยะลาที่มีผู้บาดเจ็บ 16 ราย และเสียชีวิต จำนวน 4 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็ก คนชราและผู้หญิง

แต่ในเมื่อครั้งนี้ชาวบ้านมีพยานหลักฐานที่สามารถสาวตัวถึงอาชญากร ที่แท้ได้ สามวันต่อมานายสุเทพ (พร้อมด้วยนายภานุ อุทัยรัตน์ เลขาฯศอ.บต.) จำต้องฝืนใจเปิดเผยว่านายธีรพล ปานดำ คนไทยพุทธในพื้นที่มามอบตัวและรับสารภาพแล้ว (ว่าเป็นผู้กระทำผิด)

เช่นเดียวกับกรณีนายสุทธิรักษ์ คงสุวรรณ (คนไทยพุทธในพื้นที่และพรรคพวก) กราดยิงชาวบ้านไอร์ปาแยที่กำลังทำการละหมาดที่มัสยิดอัลฟุรกอน เจาะไอร้อง นราธิวาส (8มิ.ย.52)นั้น (อดีต) ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดาปัดความรับผิดชอบทันทีทันใด (เหมือนๆกับการโยนความผิดไปมั่วที่ไร้ความรับผิดชอบของนายสุเทพที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น) ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ต้องการให้เกิดการแตกแยกระหว่างศาสนา ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นข้ออ้างลอยๆไร้เหตุผลและพลิกแพลง

ก่อนที่นายสุทธิรักษ์จะปรากฏตัวที่กรุงเทพฯ(14ม.ค.53) พล.อ. อนุพงศ์เปิดเผยเมื่อวัน 28 ธ.ค.2552 ว่าเขา(นายสุทธิรักษ์)ได้หลบหนีออกนอกพื้นที่แล้ว ซึ่งที่แท้จริงก็คือ หลังก่อคดีเขาได้ไปฝากเนื้อฝากตัวภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้ารัฐไทย ชาติพันธุ์เดียวกันที่ศูนย์กลางที่กรุงเทพฯนั่นเอง ทั้งสองกรณีอาชญากรรมที่ยกมานี้มาจากหลายร้อยคดีร้ายแรง (ที่ไม่สามารถชี้แจงทุกกรณีในเนื้อที่อันจำกัดนี้ได้) และผู้ก่อคดีทั้งสองคนคืออดีตอาสาสมัครทหารพรานเอง (ตามที่อ้างโดยรัฐไทย) ที่ปลดประจำการแล้ว

แสดงว่ารัฐไทยใช้ข้ออ้างนี้เพื่อจงใจหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหา ทั้งๆที่มีส่วนรู้เห็นด้วยไม่ทางตรงก็ทางอ้อมและไม่ว่าจะปลดประจำการแล้วหรือไม่ ทางรัฐไทยมีแต่เพิกเฉยต่อการกระทำของไทยพุทธที่ร้ายกาจไม่ว่าคดีนี้และคดีอื่นๆ ก็เท่ากับว่าคนไทยพุทธที่มาตั้งถิ่นฐานแถวนี้ย่อมมีเอกสิทธิ์และได้รับการคุ้มครองอย่างดีเยี่ยมจากเจ้าหน้าที่รัฐไทยเอง มิฉะนั้นคงไม่กล้าบังอาจที่จะก่อเหตุการณ์วิสามัญกรรมเสียเอง และใช้กำลังเกินขอบเขต ซึ่งแท้จริงแล้วกฏหมายไทยมีการประกาศใช้เพื่อกดขี่ข่มเหงชนชาวมลายูและใบเบิกทางสำหรับเจ้าหน้ารัฐไทยใช้อำนาจเต็มอัตราอาศัยอำนาจสิทธิพิเศษพ.ร.บ.ฉุกเฉินตามอำเภอใจ

ในเมื่อการกระทำของรัฐไทยที่ผ่านๆมาที่ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องให้ความจริง ไม่โปร่งใส หรือปิดบังซ่อนเร้นการกระทำของตัวเอง การปกครองของรัฐไทย ณ ดินแดนแห่งอดีตรัฐมลายูปาตานีจึงเป็นระบอบการปกครองโดยอำเภอใจ (arbitrary rule) ไร้ชอบธรรมไปโดยปริยาย และเมื่อเหตุการณ์อาชญากรรมร้ายแรงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แท้จริงแล้วรัฐไทยเองคือผู้ทำลายความเชื่อมั่น ความเชื่อถือศรัทธาของชนชาวมลายูปาตานีซึ่งก็คือรัฐไทยก็ทำลายความชอบธรรมของตนเองลงเสียเอง ทำให้ความยิ่งใหญ่ของสถาบันรัฐไทยตามที่ได้โฆษณาให้ชวนเชื่อไว้นั้น ธาตุแท้ก็คือเต็มไปด้วยความอ่อนแอนั่นเอง

ความสงบสุขก็เสื่อมสลายตามไปด้วยเพราะมัวแต่ใช้ "อำนาจที่ผิดพลาด" แล้วยังหวังที่จะเข้ามาแทนที่ "การยอมรับ" อีกเช่นนั้นหรือ? ตรงกันข้าม ความขัดแย้งทางการเมืองกำลังเกิดขึ้นไม่ว่าในส่วนกลางหรือความรุนแรงในเขต"ปาตานีรายา"ที่ยิ่งทวีขึ้นไปเรื่อย ๆ

เหล่านี้คือผลลัพท์ที่รัฐไทยไม่พร้อมที่จะเข้าใจ ในเมื่อตั้งสติไม่ได้ จึงต้องมีการใช้กำลังทหารเข้าบังคับ และในที่สุดก็จะบังคับไม่ได้เช่นกัน อย่างเช่นเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐไทยเองไปก่อคดีอาญาร้ายแรงก็เหมือนที่ทำประเด็นข้างต้นที่ว่าทหารพรานปลดประจำการไปแล้วบ้างหรืออะไรบ้างต่างๆนานา

หารู้ไม่ว่า ชาวบ้านธรรมดาๆก็สามารถเจาะลึกถึงกระบวนการทุจริตและคอรัปชั่นของเจ้าที่รัฐไทยในพื้นที่ได้เช่นกัน แบบฟอร์มต่างๆรวมทั้งหมายจับที่เพรียบพร้อมด้วยข้อหายาวเหยียดเสร็จสรรพ มีพร้อม แค่กรอบชื่อทหารพรานหรือชื่อชาวบ้านคนไหนด้วยข้อหาหนักหรือเบา แล้วแต่ใจชอบ

ขนาดแม่บทกฏหมายที่ยกร่างกันเองก็ยังทำลายกันได้ในชั่วพริบตา ประสาอะไรกับแค่กฏระเบียบเบี้ยล่าง จะถือปฎิบัติหรือทำเพิกเฉย จะไปกวาดต้อน เหวี่ยงแห่ชาวบ้านจำนวนเท่าใดก็ย่อมทำได้ ยิ่งมากยิ่งดีเงินทองจะได้สะพัดเข้ากระเป๋าหนายิ่งขึ้นเท่านั้น จะได้คุ้มกับการที่ได้เสียเงินใต้โต็ะเพื่อจะได้มาซึ่งโอกาสรับตำแหน่งไปโกยทรัพย์สมบัติ ณ ที่ที่มีขนานนามว่า"จังหวัดชายแดนภาคใต้" เพื่อร่วมขบวนรับส่วยส่วนแบ่งปั่นผลจากงบประมาณมหาศาลที่ส่วนกลางจัดให้และจากธุรกิจนอกระบบในท้องที่

รวมแล้วเสมือนธุรกิจSMEของฝ่ายมั่นคงของรัฐไทยที่นำมาซึ่งความมั่งคั่งในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐไทยและนี่คือสาเหตุที่บั่นทอนความชอบธรรมของรัฐไทยที่แท้จริงด้วยน้ำมือนักปกครองที่ฉ้อราษฏร์บังหลวงและไม่เชิงนิติรัฐแม้แต่น้อย

ในเมื่อรัฐไทยไม่สามารถรับผิดชอบหรือไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ตนไม่สามารถปฎิบัติตนเยี่ยง "นิติรัฐ" ก็ไม่เกิดความชอบธรรม ไม่ว่าจะอธิบายด้วยทฤษฎีอำนาจ "รัฐไทย" ใด ๆ ก็ตาม ความชอบธรรมก็จะยิ่งเสื่อมทรุดลงโดยไม่รู้ตัว ในทางปฎิบัติจึงมีแต่การบังคับขู่เข็น เกิดการละเมิดสิทธิ์ต่างๆนานา อย่างเช่นการเกิดการจลาจลในเรื่อนจำนราธิวาสถึงสองครั้งในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน

อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความไม่เอาไหนของรัฐไทยในทุกกๆด้าน ถึงจะเป็นนักโทษ แต่หาใช่ว่าสิทธิของความเป็นมนุษย์จะถูดริดรอนไปด้วย ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังรื้อค้นหาของสิ่งต้องห้ามหรือผิดกฏหมายแล้วทำคัมภีร์อัล-กุรอานหล่นกับพื้น แทนที่จะรีบๆเก็บตั้งที่เดิม กลับเหยียดหยามเขี่ยด้วยรองเท้า จึงเป็นชนวนการจลาจลเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2554 ที่ผ่านมา

ส่วนการจลาจลสองวันระลอกสองเมื่อวันที่ 11-12 ส.ค. 2554 นั้น น่าจะเป็นกลอุบายของฝ่ายเรือนจำเองมากกว่าเพื่อจะร้องเรียนไปยังรัฐบาลใหม่ทางอ้อมในการของบประมาณเพื่อย้ายไปสร้างเรือนจำที่แห่งใหม่ที่ได้คาราคาซังมาตั้งแต่ก่อนหน้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยซ้ำ

แต่นักโทษต้องรับกรรมเป็นฝ่ายสูญเสียบาดเจ็บล้มตายแทน อีกอย่าง ถ้าเพียงแค่การตรวจตราตามปกติ ทำไมถึงขนาดต้องไปเกณท์รปภ.เรือนจำจากสงขลาด้วย และกับชุมชนสังคมเรือนจำขนาดเล็กแค่ประมาณ 1200 คน ก็ยังไม่สามารถจัดการได้ แถมปล่อยปละละเลยเกิดสาระพัดปัญหา แล้วรัฐไทยจะมีปัญญาที่ไหนที่จะสามารถประกันความสุข มีอิสระ มีสิทธิเสรีภาพชนชาวมลายูปาตานีทั้งมวลได้?

และในเมื่อชนชาวมลายูปาตานีลุกฮือต่อสู้ตอบโต้ทุกรูปแบบและทวีคูณที่นำสู่การสูญเสียแก่รัฐไทยไม่น้อย ใน
ขณะเดียวกัน กระบวนการศึกษาสถานการณ์ในภาคเอกชนเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาและหาข้อยุติแบบยั่งยืนและเป็นธรรมก็มีมากขึ้นและหลากหลาย ประชาพิจารณ์ในหลายๆเวทีทั้งในภาคเอกชน เอ็นจีโอ สื่อมวลชน สถาบันการศึกษา ตลอดจนพรรคการเมืองต่างๆทั้งในซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน ตั้งแต่ต้นปี 2553 เมื่อพล อ.ชวลิตเสนอความคิดเขตปกครองพิเศษในนาม"นครปัตตานี"เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ทางพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็พยายามพลักดัน พ.ร.บ.กฏหมายว่าด้วยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือศอ.บต.ให้ผ่านทั้งสองสภาของรัฐไทย

ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งนโยบาย"นครปัตตานี"และพ.ร.บ.ศอ.บต. ก็คือส่วนหนึ่งมาจากการประชาพิจารณ์และผลสะท้อนของคนบางกลุ่ม บวกกับแนวทางของรัฐบาล(อภิสิทธฺ์)ที่สรุปได้ว่าเป็นแนวทางที่พอจะสนองตอบความต้องการของคนท้องที่บางกลุ่มซึ่งก็เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเท่านั้นที่เป็นประโยชน์แก่รัฐไทยอย่างท้วมท้น

เพราะโดยรวมแล้วประชาธิปไตยแบบไทยๆมันสิ้นสุดอยู่ที่การขยายอำนาจรัฐไทยในอีกรูปแบบหนึ่งที่เสมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงจากทฤษฏีล้มเหลวที่รัฐไทยเคยปฎิบัติมาในอดีต มาเป็นโครงสร้างใหม่เพื่อสร้างปัญหาในอนาคตอันไกลต่อไป เพราะมิได้มาจากการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของชนส่วนใหญ่ของชนชาวมลายูปาตานีที่รัฐไทยเองยังไม่มีการยอมรับอย่างเป็นทางการ ถึงสิทธิและชาติพันธุ์มลายู-อิสลาม และการไม่ให้มีพื้นที่สำหรับแตกต่างหลากหลายอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ด้วยกันนี้

กอปรด้วยความรุนแรงที่รัฐไทยก่อสะสมปัญหาขึ้นเองจนทุกวันนี้นี้เอง ที่จะไม่มีแนวโน้มที่จะยุติได้ง่ายๆ

จึงไม่แปลกที่ผลการเลือกตั้ง 3 กรกฏาคมที่แล้ว ว่าทำไมพรรคเพื่อไทยไม่ได้รับเลือกตั้งแม้แต่เก้าอี้เดียวในเขตปาตานีรายา "นครแห่งสันติ" ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์กลับประสบชัยชนะขาดลอยเพราะอยู่ในช่วงโอกาสที่ดีและเหมาะเจาะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เพิ่งถือกำเนิด พ.ร.บ. ศอ.บต.และได้ใช้ศอ.บต.เป็นฐานเสียงในระดับรากหญ้าอีกทอดหนึ่งในทางอ้อมที่มีกำนันและผู้ใหญ่บ้านตลอดจนองค์การบริหารส่วนตำบล/ท้องถิ่น ช่วยเป็นผู้ประสานงานไปยังหัวคะแนน

และการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์สามารถทุจริตซี้อคะแนนอย่างแนบเนียนในขณะปฎิบัติหน้าซึ่งเป็นการยากที่กรรมการการเลือกตั้งจะเอาผิดได้ เพราะในหลายกรณีก็มีการทุจริตทับซ้อนไปในรูปของโครงการพัฒนาตามนโยบายรัฐไทยที่กุมบังเหียนโดยนายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต. ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือผู้ว่าราชการใน 5 จังหวัด เป็นอีกแขนงหนึ่งของขบวนการฉ้อราษฏร์บังหลวงของรัฐไทยที่ผุดขึ้นมาใหม่เพิ่อผสมโรงกับฝ่ายความมั่นคงที่เป็นผู้รักษากฎหมาย ที่คอยแต่จ้องแทะเศษเนื้อ ที่กระจัดกระจายทั่วๆไปมานานนับปี

และเนื่องด้วยพรรคประชาธิปัตย์ชนะขาดลอยในเขตปาตานีรายา รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ได้ใช้เป็นข้ออ้างว่ากลุ่มชนที่ลงคะแนนด้วยเม็ดเงินที่หว่านซื้อโดยหัวคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่เอาด้วยกับนโยบายเขตปกครองพิเศษของพรรคเพื่อไทย และอีกนัยยะหนึ่งก็อาจจะเป็นข้ออ้างแก่พรรคเพื่อไทยก็เป็นได้ว่า ในเมื่อเขาไม่เลือกเราก็ไม่จำเป็นที่จะทำตามสัญญาตอนหาเสียงว่า จะประกาศเขตปกครองพิเศษในเขตปาตานีรายา และจะยุบศอ.บต.ด้วย

ทั้งนี้ ในสภาพการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ในขณะที่ชนชาวมลายูปาตานีไม่แยแสกับสัญญาประชาคมอันนี้ แต่ฝ่ายที่กลับร้อนเนื้อร้อนตัวแทนกลับเป็น ศอ.บต.ถึงขนาดประชุมเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2554 และตั้งกระทู้ถามความชัดเจนสถานะพวกเขาต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่า จะยุบอีกครั้งหรือไม่ หรือว่าที่อยากจะอยู่ทำภารกิจต่อเพราะยังไม่สะใจที่จะทำให้สังคมมลายูปาตานีรายาเละเทะบุสลายไปมากกว่านี้

ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ยาเสพติดยิ่งชุกชุมทุกซอกทุกมุม ก็มีเจ้าน้าที่สายศอ.บต.หรือท้องถิ่นบางหน่วยนั่นเองที่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับการที่กลุ่มเครือข่าย อบต./ท้องถิ่นลับลอบค้ายาเสพติดเอง ขนาดในย่านตลาดเก่าในต้วเมืองยะลามีผู้ค้ารายย่อยอย่างน้อง 30 ราย (ประมาณการณ์ว่าซอยละ 1 หรือ 2 ราย) บางกลุ่มที่ทนดูไม่ได้กับสภาพสังคมที่เลวร้าย ถึงอยากให้มีการใช้นโยบายปราบปรามขั้นเด็ดขาดเหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ

อันนี้ยิ่งไปใหญ่ ยิ่งทำให้อำนาจวิสามัญกรรมแก่เจ้าหน้าที่รัฐไทยเกินไปกว่า พ.ร.บ.ฉุกเฉินเสียอีก ชนชาวมลายูปาตานีจะมิอาจอนุโลมรัฐไทยทำลายล้างอนุชนรุ่นนี้ด้วยประการทั้งปวงอีกต่อไป

การที่รัฐไทยประสบความผลสำเร็จในการทำให้สังคมมลายูปาตานียากจนลงและเยาวชนด้อยการศึกษาในอดีตเพื่อง่ายแก่การควบคุมดูแล แล้วนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ข้อที่ 13 ความว่า.
"เร่งนำสันติสุขกลับมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยระดมทรัพยากรและปรับปรุง บูรณาการการบริหารจัดการทั้งปวงตามแนวพระราชดำริพระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ให้สอดคล้องกับความหลากหลายของศาสนาและอัตลักษณ์ในแต่ละพื้นที่ในการบังคับ ใช้กฎหมาย พร้อมอำนวยความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมทั่วถึง"
นั้นหรือคือยาขนานแท้ชนิดใหม่ที่จะนำมาปฎิบัติใช้หรือเพียงแค่เหล้าเก่าในขวดใหม่เพื่อซื้อเวลาซื้อใจเพื่อมอมเมาชนชาวมลายูปาตานีอีกต่อไป?

จริงหรือที่ว่าจะคืนความยุติธรรมให้ เสมือนว่าความอยุติธรรมของรัฐไทยในอดีตต่อชนชาวมลายูปาตานีซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำด้วยวีธีทางรุนแรงต่างๆนานามาตลอดตั้งแต่ก่อนรัฐบาลทักษิณจนถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่เพิ่งวางมือลงนั้น ผิดพลาดมาตลอดและเพียงพอแล้ว (หรือยังไม่เพียงพออีกเพราะยังมีแผนการอื่นที่จะสานต่อ) และที่ว่าจะไม่แก้แค้นแต่จะแก้ไข(สิ่งผิดพลาดทั้งปวง)

นั้นหรือคือความพร้อมที่จริงใจและบริสุทธิ์ใจที่จะหันหน้าเข้าหากันในการแก้ป้ญหาแบบถาวร ยั่งยืนและเป็นธรรม

บทความที่สอง เรื่อง สารัตถะแห่งนิยาม "เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา" เผยแพร่เมื่อ 25 สิงหาคม

ถ้าหากว่ารัฐไทยและเจ้าหน้าที่รัฐใน"จังหวัดชายแดนภาคใต้"รู้จักกับนิยามของคำว่า "เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา"ในความหมายที่แคบๆด้วยความเข้าใจอย่างตื้นๆผิวเผิน แค่รู้ว่าที่นั่นพวกเขานับถือศาสนาอิสลาม พูดภาษามลายู แต่งกายแบบอิสลาม แล้วพยายามเข้าถึงด้วยการเยี่ยมเยียนแสดงไมตรีจิต และอัธยาศัยที่ดี ยื่นมือช่วยเหลือพัฒนาเขาไว้บ้างหากโอกาสอำนวย

แต่ด้วยความหยิ่งและทรนงหลังหลอกของรัฐไทยที่รู้ๆกันนั้น ไม่มีวันเข้าถึงพริกถึงขิงแน่นอน 

ประการแรกอันเนื่องมาจากรัฐไทยถูกครอบงำด้วยชาตินิยมจอมปลอมและสุดโต่ง ยึดมั่นอยู่กับแต่ความคิดเห็นของตัวเอง ไม่ยอมเคารพในวัฒนธรรมของผู้อื่น ไม่ใช่แค่ความคิดแบบนี้เท่านั้นที่ยังไม่หมดไป

หากแต่รัฐไทยก็ยังคาดหวังการยอมรับจากชนชาวมลายูปาตานีเสียด้วยซ้ำ ปาตานีดารุสซาลามที่ยังอยู่ในความปกครองของรัฐไทย ที่จริงๆแล้วหมดความชอบธรรมมาเนิ่นนานแล้วนั้น กลายเป็นแค่สถานที่กำจัดขยะของรัฐไทยเสมอมา ณ จุดนี้ รัฐไทยน่าจะเข้าใจแล้วว่าข้อนี้ชนชาวมลายูปาตานียังตระหนักดีอยู่เสมอ

ชนชาวมลายูปาตานีที่กำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อหลุดพ้นจากอุ้งมือของทรราชรัฐไทยในขณะนี้ อยู่ในภาวะการณ์ที่คล้ายๆกับรัฐไทยครั้นในนาม "สยามเทศ"ที่ต้องต่อสู้ปลดแอกจากการอยู่ภายใต้การปกครองของเขมร(ก่อนก่อตั้งนครรัฐสุโขทัย)

การต่อสู้กอบกู้เอกราชจากพม่าถึง ๒ ครั้ง และขบวนการใต้ดิน"เสรีไทย"ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือเหล่าชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่รัฐไทย(ใหม่)ภูมิใจตนเอง

แต่กับชนชาวมลายูปาตานีกลับปฎิบัติตนเยี่ยงเจ้าอาณานิคมตราบเท่าทุกวันนี้ โดยมีศูนย์บัญชาการอาณานิคมที่ยะลาที่รู้จักกันในนาม "ศอ.บต."

นับตั้งแต่ผนวกดินแดนปาตานีเมื่อปี ๑๙๐๒ รัฐไทยมิได้แค่อ้างเรื่องสิทธิ อำนาจอธิปไตยที่มิชอบเพียงอย่างเดียว หากแต่ได้อ้างถึงดินแดนยึดครองแถบนี้คุ้มครองโดยพระสยามเทวาธิราชอีกด้วย

ซึ่งท้าทายความเชื่อถือทางศาสนาอิสลามของชนชาวปาตานีอย่างชัดเจน และความเชื่อผิดๆนี้เองที่ผสมผสานกับการหลงไหลในชาตินิยมสุดโต่งที่เป็นเสมือนธรรมเนียมถือปฎิบัติบรรดาข้าราชการที่อนุโลมกระทำตนเป็นขุนศึกขุนนางและศักดินา ละเมิดสิทธิเสรีภาพ ขมเหงรังแกและดูถูกเหยียดหยามชนชาวมลายูปาตานีและการแสวงหายศฐานะและผลประโยชน์กันเองอีกทางหนึ่ง

จะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐทั้งพลเรือน ทหาร ตำรวจที่ก้าวสู่ตำแหน่งหน้าที่แบบก้าวกระโดดต่างก็ยึดหากินบนเลือดเนื้อและชีวิตของชนชาวมลายูปาตานีเป็นเดิมพัน

ล่าสุดอดีตวีระบุรุษของรัฐไทยอย่าง"จ่าเพียร"ก็เคยป่าวประกาศอย่างภาคภูมิใจที่ได้เข่นฆ่าเยาวชนปาตานีถึง ๒๓ คนก่อนที่เขาเองจะถึงจุดจบ

ความเป็นนิติรัฐจึงไม่เกิดขึ้นกับชนชาวปาตานี แต่กับชนชาติพันธุ์เดียวกัน ถึงจะมีคดีติดตัวฐานกบฏหรือผู้ก่อการร้ายก็มีอภิสิทธุ์ได้ดิบได้ดีถึงฝ่ายนิติบัญญัติ และในเมื่อได้มาเจอกับปัญหาปาตานีก็ต่อเมื่ออยู่ในตำแหน่งต่างๆทั้งข้าราชการประจำ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ โดยไม่เคยสัมผัสกับความรับผิดชอบผ่านกระบวนการเรียนรู้อย่างเสมอภาคและให้เกียรติ

ไม่ว่าจะมาจากอบรมสั่งสอนจากสถาบันรัฐเอง หรือสังคมตั้งอยู่บนฐานความจริง ชนชาวมลายูปาตานีจึงได้เจอกับนักปกครองที่แปลกหน้าไม่สิ้นสุด

แต่วันนี้ที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะประกาศนโยบายต่อรัฐสภารัฐไทย ชนชาวมลายูปาตานีจะสามารถวัดปรอทความเข้าใจของรัฐบาลชุดนี้ว่า ในสายตาพวกเขา ชนชาวมลายูปาตานีอยู่ในสถานะอะไร หรือว่า จะเหมือนกับรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่ดำเนินการตามแผนซ้อนแผนของรัฐไทยที่กวาดซื้อเสียงละหนึ่งพันห้าร้อยบาท บางพื้นที่ถึงกับจี้บังคับว่าต้องได้คะแนนเท่านั้นเท่านี้เพื่อที่จะสกัดกั้นนโยบายของพรรคเลือกตั้งฝ่ายตรงข้ามที่จะประกาศเขตปกครองพิเศษ หรือว่า จะเหมือนรัฐบาลทักษิณ ที่มีทั้งละเมิดสิทธิ์และเคยประกาศที่จะพัฒนาปาตานีดารุสซาลามด้วยงบแสนล้านหลังประชุมคณะรัฐบาลเคลื่อนที่ที่นราธิวาส ผลสุดท้ายก็แค่สร้างเศรษฐีเงินล้านแก่บริวาร

หรือความเข้าใจแบบ พล.ท.อุดมชัย แม่ทัพภาค 4 ที่อ้างว่า ชนชาวมลายูปาตานีที่ต่อต้านรัฐไทยตอนนี้มีแค่ระหว่าง ๗๐๐๐-๑๐๐๐๐ คน โดยหารู้ไม่ว่าจำนวนนี้คือหน่วยปฎิบัติการที่น่าจะเพียงพอที่จะพิทักษ์คุ้มครองชนชาวปาตานี ๒-๓ ล้านคน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่าทหารเกณท์รัฐไทยที่มีแค่ไม่ถึง ๒ แสนต่อประชากร ๖๓ ล้านกว่า

ปัญญารัฐไทยมีเพียงเท่านี้หรือ ที่จะเทียบกับปัญญาชนปาตานีที่รอบรู้อย่างน้อย ๔ ภาษา เพราะฉะนั้นท่านพิจารณาตนเองก็แล้วกันว่าใครน่าจะได้รับการพัฒนาก่อน

แล้วท่านจะเข้าถึงชุมชนมลายูได้อย่างไรในเมื่อท่านรู้แต่ภาษาเงิน บ่ฮู้ภาษาใจ แม้แต่น้อย
******
ครับแม้ว่าข้อความจากบทความข้างต้นของเวบไซต์พูโลจะเป็นข้อความทำนองpropaganda หรือโฆษณาชวนเชื่อ แต่ก็มี"มูล"ที่รัฐบาลชุดใหม่น่าจะลองไปศึกษาดูน่ะครับ เพราะมีข้อคิดอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นประโยชน์.........

โดยเฉพาะที่ว่าพรรคแมงสาบวางยาไว้เพียบ ใช้ทั้งซื้อเสียงทั้งซื้อมวลชนข่มขู่สารพัด เพื่อยึดเสียงไว้ให้ได้หมด จะได้ทำแท้งนโยบายนครรัฐปัตตานี

ที่พูโลแฉมานี่น่ารับฟัง
http://redusala.blogspot.com

คำต่อคำทักษิณให้สัมภาษณ์ THE TIMES
ประยุทธ์กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรม

ทักษิณ ขณะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเดอะไทมส์ในญี่ปุ่น

(Q)ท่าน(พลเอกประยุทธ์)ถูกสอนให้ใช้อาวุธปราบปรามประชาชนอย่างนั้นน่ะเหรอ

(A)ใช่ ใช่

(Q)อย่างนั้นท่านพลเอกประยุทธ์ก็ต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 53

(A)ใช่ครับ คนตายทั้งหมด รัฐบาลชุดก่อนก็ต้องรับผิดชอบในการออกคำสั่งด้วย

(Q)คุณทักษิณกำลังหมายความว่า พวกนั้นมีความผิดฐานอาชญากรรม

(A)ใช่ครับ นี่เป็นอาชญากรรมที่รัฐบาลก่อนหน้ากังวลมาก พวกเขาไม่ได้กังวลว่าจะเป็นฝ่ายค้าน แต่กังวลเกี่ยวกับอาชญากรรมที่ได้ก่อไว้



ที่มา เวบไซต์ The Times
แปลโดย สำนักข่าวTnews

หมายเหตุไทยอีนิวส์:หนังสือพิมพ์ เดอะไทมส์ โดยผู้สื่อข่าว ริชาร์ด ลอยด์ แพรี่ สัมภาษณ์พิเศษ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่โตเกียว ญี่ปุ่น เมื่อ 24 สิงหาคมนี้ และสำนักข่าวทีนิวส์ถอดคำต่อคำออกเผยแพร่ ไทยอีนิวส์เห็นว่ามีเนื้อหาที่สาธารณชนไทย ไม่สว่าจะเป็นผู้สนับสนุนหรือต่อต้านทักษิณพึงจะต้องรับทราบ จึงนำฉบับที่ทีนิวส์นำเสนอมาเผยแพร่ ดังต่อไปนี้
ทักษิณอินเจแปน
ริชาร์ด ลอยด์ แพรี่ (ขวามือ)

ริชาร์ด ลอยด์ แพรี่ : ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้วใช่มั้ยครับสำหรับคุณทักษิณ นับตั้งแต่การเลือกตั้งสิ้นสุดลง (ด้วยชัยชนะของน้องสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)

ทักษิณ ชินวัตร : ค่ำคืนนั้นผ่านมาแล้วครับ

(Q)คุณทักษิณคาดหวังอะไรไว้กับประเทศไทย

(A)ผมคิดว่าประชาชนมีทัศนคติในทางด้านบวกมากขึ้น มีส่วนน้อยยังคงมีทัศนติด้านลบ โดยคนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการเห็นความปรองดองเกิดขึ้น เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา (ในอดีต) ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เป็น 5 ปีที่ไม่ได้อะไรเลย นอกจากการสร้างภาระและปัญหาและความยากลำบากให้กับประชาชน

(Q)ตอนนี้ถ้าจะพูดว่า คุณทักษิณได้กลับมาแล้วในฐานะนักการเมืองและผู้นำ ถูกต้องใช่มั๊ยครับ?

(A)เขากลับมาด้วยการเมือง แต่ไม่ได้เป็นนักการเมืองหรือว่าผู้นำ แต่กลับมาด้วยการเมือง

(Q)หมายถึงอะไรครับในทางปฏิบัติ

(A)ในทางปฏิบัติหมายถึง(ประชาชนชาวไทย)เข้าใจผมดีขึ้น คนไทยพูดกันว่า ผมถูกรังแกมานาน เป็นการกลั่นแกล้งและความเข้าใจผิด

(Q)ตอนที่คนไปเลือกตั้งกันเขาไปเลือกคุณทักษิณใช่มั้ยครับ

(A)แค่บางส่วนครับ แต่ทั้งนี้ก็เพราะน้องสาวผม เธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ(ในช่วงที่ลงเล่นการเมือง)เธอต้องยอมรับความนิยมชิมชอบที่มีในตัวผม

(Q)แต่ว่านี่เป็นคะแนนเสียงเลือกตั้งที่เขาสนับสนุนคุณทักษิณนะ

(A)ใช่ ใช่

(Q)คุณทักษิณคงอดทนรอไม่ไหวที่จะกลับประเทศไทย

(A)แน่นอนครับ ผมอยากจะกลับเมื่อวานนี้ด้วยซ้ำ แต่ผมรอได้ เพราะว่าผมไม่อยากจะเพิ่มความขัดแย้ง มันเป็นสิ่งที่ผมกลัว ผมไม่รู้ว่าทำไม ศัตรูของผมก็กลัว แน่นอน ผมอ่อนแอมากมาก ผมไม่ได้แข็งแกร่ง

(Q)โดยในหลักการแล้ว ตอนนี้ใครเป็นศัตรูคุณทักษิณ

(A)อ่า! บางทีก็อาจจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมอยากจะปรองดองกับเขา

(Q)คุณทักษิณถูกตัดสินโทษจำคุก 2 ปี

(A)ใช่ นั่นก็เรื่องหนึ่ง

(Q)และก็เป็นเหตุผลด้วยใช่มั๊ยว่าคุณยังไม่กลับประเทศไทยตอนนี้

(A)ใช่ ใช่

(Q)คุณทักษิณจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ

(A)ก็ มีหลายวิธี ถ้าเรามีข้อมูลใหม่ เราสามารถที่จะขอศาลอุทธรณ์ได้นั่นคือวิธีที่หนึ่ง ส่วนวิธีที่สองก็จะเป็นอีกกระบวนการหนึ่ง ยกตัวอย่าง เช่นอาจจะเป็นการนิรโทษกรรมหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับผลของการปรองดอง (และก็ขึ้นอยู่กับ) ว่าพวกเขาต้องการผมหรือไม่

ถ้าเขายังต้องการผม ผมก็กลับได้ แต่ถ้าเขาไม่ต้องการ ผมก็โอเค ผมก็เลิกอยู่ในต่างประเทศ

(Q)คุณทักษิณหวังการอภัยโทษมั้ยครับ

(A)อ่า! คุณรู้มั้ยว่ามันเป็นสิ่งที่เราคาดการณ์ไม่ได้ มันเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ไปคาดเดาอะไรไม่ได้

(Q)เมื่อไรคุณทักษิณจะกลับไปเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

(A)น้องสาวผมเราห่างกัน 18 ปี (ตามอายุ) (และ) กำลังเป็นนายกรัฐมนตรี เราไม่ได้เป็นคนรุ่นเดียวกัน ผมอายุ 62 ดังนั้นผม(จะ)ไม่กลับไปเป็นนายกฯอีกครั้ง

(Q)แต่ในเอเชีย อายุ 62 นี่ยังเป็นผู้นำที่หนุ่มมากนะครับ

(A)ถ้าน้องสาวผมไม่ได้อยู่ที่นั่น ผมก็มีโอกาสเป็น แต่ว่าน้องผมอยู่ที่นั่น ดังนั้นผมต้องปูทางให้กลับคนรุ่นใหม่ และผมก็ให้คำปรึกษา แบ่งปันประสบการณ์ให้ ดีกว่าที่ผมจะไปทำด้วยตัวเอง

(Q)แล้วถ้าเกิดว่าน้องสาวคุณพูดว่า “กรุณารับไป” คุณทักษิณจะตกลงมั๊ย

(A)ไม่ ถ้า(มันเป็น)คำร้องขอของน้องสาวผม ไม่เอา...แต่ถ้าเป็นคำร้องขอจากประชาชน ผมต้องรับเพราะผมเป็นหนี้พวกเขา เป็นหนี้จำนวนมาก เพราะว่าเขาไม่เคยลืมผม และยังคงลงคะแนนให้ผม นั่นแหละ(ทำไม)ผมถึงเป็นหนี้พวกเขา ถ้ามันเป็นคำร้องขอจากประชาชน ผมต้องแสดงออกมาซึ่งความกตัญญูด้วยการรับมันไว้

(Q)ถ้าประชาชนขอร้อง คุณทักษิณเป็นนายกอีกครั้งนะ

(A)ใช่ถูกต้อง แต่ผมไม่อยากไง ถ้ามันไม่จำเป็น

(Q)คุณทักษิณรู้ได้ยังไงว่าประชาชนอยากให้คุณเป็นนายกอีกครั้ง

(A)ธรรมดา! มันรู้ได้หลายวิธี ประชาชนอาจจะขอร้องมา คุณเข้าใจมั๊ย ด้วยจำนวนมากๆ หรือไม่ก็ขอให้ผมไปเลือกตั้งอีกครั้ง และเขาก็ลงคะแนน(ให้ผม) บางทีผมอาจจะลองทดสอบลงไปเลือกตั้งเป็นส.ส. ไม่จำเป็นต้องถึงนายกรัฐมนตรี

(Q)เอาตามความเป็นจริง เมื่อไรที่คุณทักษิณจะสามารถกลับประเทศไทยได้

(A)อยู่ที่ข้อพิสูจน์ว่าผมผิด ซึ่งยังไม่ชัดเจน ผมไม่ยอมรับคำพิพากษา นี่ไม่ใช่อาชญากรรม

(Q)ในเดือนธันวาคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา และเป็นวันสำคัญมาก ในโอกาสนี้ คุณทักษิณจะเข้าถวายพระพรแบบส่วนตัวหรือไม่

(A)ปกติผมจะถวายพระพรอยู่แล้ว ผมจะส่งดอกไม้และคำถวายพระพร แต่ไม่ได้เป็นการส่วนตัว

(Q)ในเดือนธันวาคมเอาตามความเป็นจริงนะ เป็นช่วงที่เหมาะที่สุดที่คุณทักษิณจะกลับประเทศใช่หรือไม่

(A)(หัวเราะ)ผมพูดไม่ได้ ผมพูดไม่ได้ มันอ่อนไหว

(Q)ใครที่คุณทักษิณใกล้ชิดที่สุดในกองทัพ

(A)ส่วนใหญ่จะอยู่ในชั้นเรียนเดียวกับผม(ในสมัยโรงเรียนเตรียมทหาร)แต่ก็เกษียณไปหมดแล้ว มีอยู่ส่วนน้อยที่ยังรับราชการอยู่ และหลังจากรุ่นผม ผมก็ไม่รู้จักใคร เพราะผมเลือกเรียนตำรวจ ผมจะรู้จักเฉพาะที่เรียนตำรวจ รู้จักมากกว่าคนในกองทัพ แต่ว่าบางคนเขาก็จะรู้จักผมนะ ส่วนใหญ่เคารพผมและยังเรียกผมว่าพี่

(Q)แล้วคนในกองทัพอยู่ตรงข้ามคุณรึป่าว

(A)ถ้ายังมีความเข้าใจผิดกันอยู่ ก็ต้องตอบว่าใช่ แต่ถ้าความไม่เข้าใจนั้นจบกันไป เขาก็จะกลับมาเคารพผมอีกครั้ง เพราะว่าผมอาวุโสกว่า แต่ว่า คนในกองทัพมักจะได้รับข้อมูลผิดๆ ว่าผมต้านสถาบัน ซึ่งมันไม่เป็นความจริง นี่แหละเป็นประเด็นสำคัญ

(Q)ตอนนี้มีใครในกองทัพมั้ยที่เข้าใจในตัวคุณ

(A)มีหลายคนที่เป็นกุญแจสำคัญยังคงพูดคุยถึงเรื่องผม แล้วก็เห็นใจผม และบางครั้งก็ช่วยเคลียร์ความไม่เข้าใจในตัวผม เป็นคนในกองทัพซึ่งมีความกล้า ที่จะเริ่มเคลียร์(ความไม่เข้าใจ)เพราะเขารู้ว่านี่จะส่งผลเสียต่อประเทศหากปล่อยไว้อย่างนี้

(Q)คนเหล่านั้นรับใช้ผู้บัญชาการในกองทัพใช่หรือไม่

(A)ใช่ครับ

(Q)แล้วเมื่อครั้งที่คุณทักษิณได้พูดคุยกับพวกเขา คุณพูดเรื่องอะไรกัน

(A)ปกติผมจะพูดคุยเรื่องคำอวยพรที่มีต่อประเทศและสถาบันพระมหากษัตริย์ และผมก็จะอธิบายว่าผมไม่ได้เป็นคนประเภทนั้น เราจบมาจากโรงเรียนเตรียมทหาร เราถูกฝึกทุกวันให้รักประเทศและสถาบัน

(Q)ผู้อาวุโสในกองทัพเขาหนุนให้คุณทักษิณกลับประเทศมั้ย

(A)ก็ถ้าเพราะข้อพิสูจน์ว่าผมผิดออกมาเป็นแบบนั้น คงจะไม่มีใครอยากให้ผมกลับหรอกครับ

(Q)คุณทักษิณบอกได้มั้ยว่าใครในกองทัพที่ใกล้ชิดและติดต่อกันอยู่

(A)(หัวเราะ)กรุณา อย่า เดี๋ยวพวกเขาจะเดือดร้อน

(Q)พล.อ.ประยุทธ์ (ผู้บัญชาการกองทัพบก) เขาเปิดเผยแล้วว่า ไม่ได้ชอบคุณ นี่จะเป็นปัญหาต่อประเทศไทยมั้ย

(A)อ่า! คุณรู้มั้ยว่าลักษณะนิสัยของคนในกองทัพนี่ เมื่อคุณมีอำนาจในการบังคับบัญชา คุณจะต้องแสดงออกมาซึ่งภาวะผู้นำ แต่ว่าบางครั้งภาวะผู้นำในความหมายของโลกสมัยใหม่จะต้องแตกต่างจากในอดีต ซึ่งคนในกองทัพยังทำแบบอย่างเช่นในอดีต นั่นก็คือผู้นำต้องแสดงความพร้อมในการต่อสู้ ความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจไม่ว่าอะไรก็ตาม แน่นอนว่านี่ย่อมไม่ใช่แบบอย่างของผู้นำสมัยใหม่

(Q)อย่างนั้นก็แสดงว่าท่านพลเอกประยุทธ์เป็นคนหัวสมัยเก่า มีทัศนคติก้าวร้าว ล่ะสิ

(A)ใช่ครับ แต่ว่าท่านจะดีขึ้นและดีขึ้นมากกว่านี้ จะดีขึ้นเรื่อยๆ จะมีความเข้าใจดีขึ้นเรื่อยๆ ท่านประยุทธ์ถูกสอนมาโดยรัฐบาลก่อนหน้าว่าให้จัดการและใช้อาวุธปราบปรามประชาชน ตอนนี้ท่านเข้าใจดีขึ้นแล้ว

(Q)ท่าน(พลเอกประยุทธ์)ถูกสอนให้ใช้อาวุธปราบปรามประชาชนอย่างนั้นน่ะเหรอ
(A)ใช่ ใช่

(Q)อย่างนั้นท่านก็ต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 53

(A)ใช่ครับ คนตายทั้งหมด รัฐบาลชุดก่อนก็ต้องรับผิดชอบในการออกคำสั่งด้วย


(Q)พล.อ.ประยุทธ์ต้องรับผิดชอบอย่างนั้นเลยเหรอ

(A)ไม่ใช่แค่ท่านเท่านั้น บรรพบุรุษของท่านด้วย

(Q)พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องถูกนำตัวมาอธิบายเรื่องนี้ให้ได้ ใช่มั๊ยครับ

(A)ตอนนี้เรากำลังรอผลสรุปจากคณะกรรมการตรองสอบหาความจริงและสร้างความปรองดอง ซึ่งมีการเก็บรวบรวมบทสัมภาษณ์ การไต่สวน และหลักฐานที่กองทัพมอบให้กับ DSI และตำรวจ นี่แหละจึงเป้นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้กลัวเรื่องแพ้การเลือกตั้ง เพราะต้องการที่จะปกปิดสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดไว้กับประชาชน

(Q)คุณทักษิณกำลังหมายความว่า พวกนั้นมีความผิดฐานอาชญากรรม

(A)ใช่ครับ นี่เป็นอาชญากรรมที่รัฐบาลก่อนหน้ากังวลมาก พวกเขาไม่ได้กังวลว่าจะเป็นฝ่ายค้าน แต่กังวลเกี่ยวกับอาชญากรรมที่ได้ก่อไว้

(Q)แล้วประเทศไทยจะสร้างสมดุลระหว่างความยุติธรรมกับความปรองดองได้อย่างไร

(A)นี่เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก

(Q)อย่างไหนสำคัญกว่า

(A)นั่นแหละจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีการเปิดเผยความจริง ซึ่งเมื่อความจริงเปิดเผยออกมาเราก็ต้องการฟังคำให้การ...คำให้การว่าใครเป็นเหยื่อ...และเราก็จะกลับมาสู่คำว่ายุติธรรมเพื่อสร้างสมดุลระหว่างความปรองดอง

(Q)พล.อ.ประยุทธ์ ควรได้รับโอกาสให้กลับมาทำงานอีกครั้งมั้ย

(A)เราต้องหาคนบริสุทธิ์ก่อนที่จะหาคนผิด ดังนั้นตอนนี้เราต้องมาดูว่าเรื่องทั้งหมดจะมีการพิสูจน์ออกมาได้มั้ย

(Q)แล้วถ้ามีการพิสูจน์แล้วว่าท่านประยุทธ์สั่งให้ยิงคนเสื้อแดง อะไรจะเกิดขึ้น

(A)ถ้าพิสูจน์ได้แล้ว ประชาชนเองจะเป็นคนบังคับให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เกิดผล (ตามภาวการณ์เมืองไทย) 


ถ้าคุณมองในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการเลือกตั้งมาแล้ว 5 ครั้ง และเราชนะถึง 5 ครั้ง และเรามี 6 นายกรัฐมนตรี 4 ใน 6 มาจากฟากเรา และ 2 ใน 6 มาจากฟากของทหาร ผมต้องพูดแบบนั้น 1 คนมาจากการรัฐประหาร 1 คนมาจากในค่ายทหาร

(Q)คุณทักษิณจะสร้างองคมนตรีใหม่มั้ย

(A)(หัวเราะ)นั่นเป็นการตัดสินพระทัยของสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีใครไปคาดเดาได้

(Q)แล้วถ้าคุณทักษิณได้มีโอกาสเข้าใกล้หละ คุณไม่สนใจเหรอ

(A)(หัวเราะ)เราพูดอะไรไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นการตัดสินพระทัยของพระองค์ท่าน

(Q)ใกล้จะถึงวันครบรอบ 5 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน ในวันนั้นคุณทักษิณจะทำอะไร


(A)ตัวผมเองคงไม่ทำอะไร เพราะว่าผมไม่ได้เป็นนายกรํฐมนตรี แต่ผมเคยบอกหัวหน้าคณะรัฐประหาร ในฐานะผู้บัญชาการกองทัพ ผมเคยโทรไปหาเขาหลังรัฐประหารว่า “ผม(เชื่อในความ)เป็นนักกีฬา นั่นหมายถึงเมื่อทุกอย่างจบ ทุกสิ่งจบ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น มันก็เสร็จสิ้น แต่อย่ารังแกผมด้วยการเมือง (ถ้าคุณ) รังแกผมด้วยการเมือง ผมก็จะต่อสู้กลับไปด้วยการเมือง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ เพราะพวกเขาไม่ยอมเชื่อในคำพูดของผม

แต่เขาทำเยอะเหลือเกิน-เขาตั้งศัตรูของผมมาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบ (ในข้อหาคอร์รัปชั่น) พวกนั้นใช้ข้อกล่าวหาเท็จทั้งหมดทำร้ายผม

ดังนั้นในวันครบรอบ 5 ปี รัฐประหารไม่มีความจำเป็นสำหรับผม (จะต้องทำสัญลักษณ์อะไร) เพราะว่าผมไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว แต่ทว่าอาจจะมีประชาชนออกมาเพื่อแสดง (ความประสงค์) ว่าไม่เอารัฐประหาร-เราเจ็บช้ำมา 5 ปีแล้ว คนอาจจะออกมาเพราะต้องการพัฒนาประชาธิปไตย ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย

...พวกเขากลัวว่าผมจะสู้ ก็เลยทำบางอย่าง ให้ผมอยู่นอกประเทศ ริบเงิน อายัดเงิน (ทรัพย์สินทักษิณในประเทศไทย) ไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้ผมอยู่นอกประเทศ แต่นี่ไม่ใช่เหตุของปัญหา แต่เป็นผลกระทบ เพราะว่าประชาชน ไม่ใช่ผม-ประชาชนไม่ชอบความอยุติธรรม ไม่ชอบความเป็นสองมาตรฐานที่เกิดขึ้นกับคดีการเมือง ประชาชนไม่ชอบและเกลียดสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาทำไม่ได้หรอกที่จะมายับยั้ง(ความนิยม)ด้วยการเอาเงินผมไป หรือทำให้ผมอยู่นอกประเทศไทย มันช่วยอะไรไม่ได้เลย

(Q)คุณทักษิณเข้าใกล้(เงินที่ถูกอายัด)ไว้แล้วหรือยัง หลังจากน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรี

(A)คุณรู้มั้ย ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ถ้ามันเป็นเงินผม มันคงกลับมาเอง แต่ถ้าไม่ใช่ มันก็ไม่กลับมา ผมเชื่อในกรรม ถ้าเงินเหล่านั้นเป็นของผมเดี๋ยวมันก็กลับมาเอง

(Q)มีแผนไปอังกฤษมั๊ย

(A)มีครับ

(Q)ไปเมื่อไร

(A)ตอนนี้ยังไม่รู้ ขึ้นอยู่กับการออกวีซ่า ในหลักการมันแยกกันแต่กระบวนการกำลังเดินหน้าอยู่ ผมสั่งให้ทนายให้ไปพูดคุยที่สำนักงานออกวีซ่า เพื่อให้เข้าใจเรื่องทั้งหมด และในเวลาเดียวกันเราก็ติดต่อกับทางสถานทูตไว้ด้วย ซึ่งในหลักการเขาก็รู้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด เขามีความเข้าใจดีขึ้น ซึ่งก็น่าจะยอมรับได้ แต่อาจต้องมีกระบวนการ

(Q)มีตารางเวลาออกมาแล้วหรือยัง-อาจจะเป็นไปดูนัดชิง เอฟเอ คัพ ก็ได้

(A)ก็อาจจะก่อนหน้านั้น(หัวเราะ)ผมอยากไปดูแมนเชสเตอร์ ซิตี้

(Q)ถ้าไม่เกี่ยวกับการเมือง ตอนนี้คุณทักษิณทำธุรกิจอะไร

(A)ผมทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะทอง แพลตตินั่ม ผมมีเหมืองในอูกานดา แอฟริกาใต้ แทนซาเนีย ซิมบับเว และก็มีอีกในหลายๆประเทศ ตอนนี้ก็ทำแล้วเช่น เอธิโอเปีย ซูดาน แอฟริกากลาง หลายประเทศ มองโกเลียก็มี

(Q)คุณทักษิณมีทรัพย์สินเท่าไรที่อยู่นอกประเทศไทย

(A)ฟอร์บส(แมกกาซีน)บอกว่า-อะไรนะ?- 900 ล้านดอลลาร์ นั่นก็เป็นผลสำรวจฟอร์บสซึ่งเขาก็พยายามมาถามผมนะ ผมก็บอกว่า ไม่ ไม่ ไม่ ผมยังไม่ยืนยัน เพราะมันเป็นของลูกและภรรยา ทรัพย์สินผมมีน้อยมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าผมทำไมถึงต้องทำงาน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะอยู่ เพื่อฐานะการเงิน และเพื่อการเดินทาง

(Q)ตอนที่ผมสัมภาษณ์คุณทักษิณในปี 2552 คุณทักษิณบอกว่ามี 100 ล้านดอลลาร์

(A)เงินสด(ตอนนี้)น้อยกว่านั้น เพราะว่าผมเอาไปลงทุน แต่ว่าทรัพย์สินนี่อาจจะมากหน่อย

********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:เกาะติดทักษิณอินเจแปน ที่เฟซบุ๊ค Thaksin in JAPAN (by Asia Update)


27 ส.ค.54-คนไทยต้อนรับทักษิณอบอุ่น โดยมีชุมชนคนไทยในญี่ปุ่น ที่ทราบข่าวเดินทางมาต้อนรับจำนวนมาก : พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกฯ ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวไทยในกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น ขณะเดินทางไปยังวัดพระธรรมกายในกรุงโตเกียวเพื่อทำบุญและปฏิบัติธรรม

- โดยกลุ่มคนไทยในญี่ปุ่น รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดง ได้มีโอกาสพบอดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อสอบถามถึงภารกิจของเขาในญี่ปุ่น ไปจนถึงปรึกษาเรื่องสถานการณ์การเมืองในประเทศ

- ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจคนไทยในญี่ปุ่น ก็ฝากอดีตนายกรัฐมนตรีไปถึงรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ช่วยสนับสนุนและดูแล ซึ่งพ.ต.ท ทักษิณให้ความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยในต่างประเทศอยู่แล้ว และเชื่อว่าจะเร่งดำเนินการให้อย่างเต็มที่

คลิป Thaksin speech (27 ส.ค.54) พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวในการพูดคุยกับคนเสื้อแดง ว่า... "คนเสื้อแดง เป็นผู้ทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าใกล้ประชาธิปไตยที่แท้จริง...มีคนบอกว่า ตนจ้างคนเสื้อแดง ซึ่งไม่จริงเลย / วันนี้..คนเสื้อแดงจ้างผม ให้ผมได้ทำงานเพื่อประเทศชาติ"



http://redusala.blogspot.com