11 พ.ค.2559 พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการรายงานการทบทวนสิทธิมนุษยชนของประเทศตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) ว่า ในวันนี้เวลา 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย จะรายงานและชี้แจงต่อสมาชิกสหประชาติ (ยูเอ็น) 14 ประเทศ เรื่องการทบทวนสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย รอบที่ 2 ในการประชุมคณะทำงานยูพีอาร์แห่งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เรื่องนี้เป็นวาระของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนยูเอ็นที่เปิดโอกาสให้เราไปชี้แจงเรื่องดังกล่าวตามวาระของยูเอ็น ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าเราทำรายงานส่งไปแล้ว จะไม่ไปชี้แจง เพราะเราเป็นประเทศสมาชิกในยูเอ็นเราต้องให้ความเคารพองค์กรที่เราเป็นสมาชิกอยู่ด้วย
“เราเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไร เราพยายามแก้ไขปัญหาบ้านเมืองของเราบนพื้นฐานของบริบทในกรอบปัญหาของเรา ไปพูดให้เขาฟังว่าทำไมเราต้องทำอย่างนี้ ผมเชื่อว่าทุกประเทศจะมีความเป็นสิทธิมนุษยชนเท่าเทียมกันหมด ด้วยความที่เป็นประเทศที่ไม่เหมือนกัน แต่ว่าอะไรที่จะนำพาบ้านเมืองไปสู่ความสงบเรียบร้อย การปฏิรูปที่จะทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยได้ ต้องทำแบบนั้นเสียก่อน แต่อาจไม่มีลักษณะความเป็นสากลอยู่ พวกเราทราบกันอยู่ว่าปัญหาก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คืออะไร สิ่งที่รัฐบาล คสช. พยายามจัดระบบให้สงบเรียบร้อยขึ้นมา ก็จำเป็นอยู่บ้างที่ข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใช้เฉพาะเราเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่ได้ทำตลอดไป หลายประเทศก็ทำกัน ท่านลองไปศึกษากฎหมายของหลายๆ ประเทศดู มันคือความจำเป็นของเฉพาะประเทศนั้นๆ ไม่ใช่หรือ และประเทศนี้ใหญ่พอสมควร ใหญ่มากด้วยซ้ำ” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวต่อว่า ชาญเชาวน์ไปชี้แจงต่อยูเอ็นว่าอะไรคือเหตุจำเป็นที่จะต้องทำ ไปเล่าความจริง เราไม่สามารถทำให้ประเทศเราพังพินาศลงไปได้ เพราะความไม่สงบเรียบร้อย ใครจะยอมลักษณะอย่างนั้นเล่า แต่เราต้องยอมขัดบ้างอะไรบ้างที่เกี่ยวกับสิทธิพื้นฐาน อันนั้นคือความจำเป็นของเรา แล้วมันไปกระทบคนส่วนใหญ่ที่ไหน มันทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้อยู่ได้ไม่ใช่หรือ จึงอยากให้มองในแง่และเจตนาเหล่านี้ มากกว่าการมองตัวกฎหมายบรรทัดเดียวแล้วบอกว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เรื่องนี้คือสิ่งที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมต้องไปชี้แจง เราคุยกันแล้ว
“เราต้องกล้าไปเผชิญ กล้าไปพูดในสังคมโลก กล้าไปบอกความจริง เราถึงเดินยืดอกเข้าไปเพื่อชี้แจงให้เขารับทราบว่าบ้านเมืองผมจำเป็นต้องทำแบบนี้ เพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น แล้วมันผูกขาดไปชั่วกัปชั่วกัลป์ที่ไหนเล่า ผมไม่ได้ทำให้สังคมโลกเสื่อมเสียอะไร” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
ต่อกรณีคำถามว่า คสช.ใช้กฎหมายมาตรา 112 ในการจัดการประชาชนที่เห็นต่างในการหมิ่นสถาบัน พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า กฎหมายก็จบในตัวอยู่แล้ว ยอมไม่ได้กับพวกหมิ่นสถาบัน รัฐบาลนี้ไม่ยอม สื่อประเทศไทยต้องไปบอกกับเขาบ้างว่าประเทศไทยมีความสำคัญอย่างไร จึงต้องมีกฎหมายมาตรา 112 เพราะนี่คือประเทศไทย
"ผมถามท่านว่า ท่านเป็นพวกนิยมหมิ่นสถาบันเหรอ เพราะฉะนั้นกฎหมายก็จบในตัวของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องมาพูดอะไรกับผมมาก แล้วผมก็ยอมไม่ได้ พวกหมิ่นสถาบัน นายกฯ ก็บอกแล้วรัฐบาลนี้ไม่ยอม แล้วผมก็ไม่ยอมตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ตั้งแต่เป็นทหารแล้ว"
"เขาเข้าใจหรือเปล่า สื่ออย่างพวกคุณก็ต้องไปบอกเขาบ้างสิ เขียนบ้างสิว่าประเทศไทย มีอะไร มีความสำคัญอย่างไรถึงต้องมีกฎหมายฉบับนี้ เขามีเหมือนเรามีไหม เขามีเหมือนเรามีหรือเปล่าเล่า หะ เขามี 70 ปีเหมือนเราไหม เขามี 7 รอบเหมือนเราไหม ไม่มีหรอกครับ เขาไม่มีอารยะ เขาไม่มีความละเอียดอ่อน เขาไม่มีความนุ่มนวลอย่างที่เราได้รับหรอกครับ ไปบอกเขาด้วย" พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวกับสื่อมวลชนด้วยว่า ต้องบอกแบบนี้ไป ต้องมีกฎหมายปกป้องผู้นำของเขาเหมือนกัน
"ผมก็ต้องมีกฎหมายปกป้องพรเจ้าอยู่หัวผม จะมีอะไร มีอะไร ไม่กล้าพูดหรอ อายเขาเหรอ ไม่อายหรอก ผมไม่ได้อายเรื่องนี้ ทำความดีต้องไปอายอะไร สถาบันเรา ประเทศเรา นี่คือประเทศไทย ก็ต้องมีกฎหมายฉบับนี้อยู่ ทำไม ไม่ต้องการ แล้วคุณจะถามผมทำไม ถามผมก็ตอบแบบนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์ผมก็ตอบแบบนี้ ผมจะตอบแบบนี้ทุกครั้งที่คุณถามแบบนี้ จำไว้ อัดเทปแล้วไปเขียนแบบเดิม" พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว