วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

"ประยุทธ์"คาดโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง สนช. ภายในสิ้นเดือนนี้


หัวหน้า คสช. คาด ไม่เกินสิ้นเดือนนี้จะมีการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และจัดกิจกรรมวันเฉลิมฯ ให้ประชาชนเที่ยวชมงานวันที่ 8-13 สิงหาคม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า 
28 กรกฎาคม 2557 ไทยพีบีเอส รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า คสช. คาดว่าไม่เกินสิ้นเดือนนี้จะมีการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.ก่อนที่ สนช.จะเริ่มต้นปฏิบัติงานมีการเปิดประชุมได้ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม จากนั้นก็จะมีการดำเนินการสรรหานายกรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งคณะรัฐมนตรี แล้วจะมีการรับสมัครสมาชิกสภาปฏิรูป โดยก่อนจะมีสภาปฏิรูปได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการจัดงานคิกออฟเปิดตัวสภาปฏิรูปแล้ว ที่สโมสรทหารบก วิภาวดี คาดว่าจะดำเนินการได้ไม่เกินวันที่ 10 สิงหาคมนี้ เพื่อชี้แจงสร้างความเข้าใจกับทุกฝ่าย เพื่อทำการปฏิรูปประเทศให้เสร็จในเวลา 10 เดือน รวมถึงยังได้มอบหมายงานให้เร่งดำเนินการจัดทำคำแถลงนโยบายรัฐบาลและคำแถลงงบประมาณ ให้เสร็จภายในวันที่ 15 สิงหาคมนี้
นอกจากนี้ การจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาระหว่างวันที่ 8-13 สิงหาคมนั้นจะมีการจัดงานขึ้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้า จะมีรูปแบบการจัดงานคล้ายกับที่ท้องสนามหลวง เพื่อให้ประชาชนได้เที่ยวชมงานและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ  ซึ่งขอให้ทุกหน่วยงานจัดกิจกรรมอย่างดีที่สุด
หัวหน้า คสช.ยังกล่าวถึงสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยว่า ขอให้เจ้าหน้าเร่งดำเนินการจับกุมตัวผู้กระทำผิดใช้อาวุธสงครามสร้างความรุนแรงต่อประชาชนมาลงโทษ และทำการทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัย อาทิ เรื่องของที่จอดรถ การตรวจสอบจุดเสี่ยงต่าง ๆ  พร้อมยืนยันว่าการที่ผู้ก่อความไม่สงบจะดำเนินการแบ่งแยกประเทศนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
 
ขณะที่ในเรื่องของสื่อบางส่วนที่ยังมีการละเมิดประกาศของ คสช.อยู่ ได้ขอให้สมาคมสื่อได้ไปกำกับดูแลกันเอง เพื่อให้การทำงานของทั้งสื่อและ คสช.สามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้

ศาลเลื่อนชี้ ‘โอน’ คดี ‘อภิสิทธิ์-สุทเพ’ สลายชุมนุม53 ให้ ป.ป.ช. 28 ส.ค.นี้


ศาลอนุญาตรวมสำนวน ‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’ คดีร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าฯ กรณีสลายแดงปี 53 ขณะนี้เลื่อนชี้โอนคดีไปให้ ป.ป.ช.ไป 28 ส.ค.นี้ ศาลแพ่งอนุญาต ‘สุเทพ’ ขยายเวลายื่นคำให้การคดีม็อบปิด ก.คลัง
28 ก.ค. 2557 ที่ห้องพิจารณา 707 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.00 น. ศาลนัดพร้อมสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐาน คดีหมายเลขดำที่ อ.4552/2556 และคดีหมายเลขดำที่ อ.1375/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 84 และ 90 จากกรณีออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 โดยจำเลยทั้งคู่เดินทางมาศาลตามนัด ซึ่งนายสุเทพได้บวชเป็นพระภิกษุ
และเวลา 09.30 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์สอบคำให้การตามคำฟ้องกับพระสุเทพ แต่พระสุเทพให้การปฏิเสธ ส่วนที่อัยการยื่นคำร้องขอให้อนุญาตรวมพิจารณาคดีของนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพเป็นคดีเดียวกันนั้น ศาลเห็นว่าคดีของนายอภิสิทธิ์และพระสุเทพมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานชุดเดียวกัน เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว จึงอนุญาตให้รวมสำนวนของนายอภิสิทธิ์และพระสุเทพเป็นสำนวนเดียวกัน โดยให้สำนวนของนายอภิสิทธิ์เป็นสำนวนคดีหลัก โดยนายอภิสิทธิ์เป็นจำเลยที่ 1 และนายสุเทพเป็นจำเลยที่ 2
พร้อมกันนี้พระสุเทพได้ยื่นคำร้องคัดค้านว่าดีเอสไอไม่มีอำนาจสอบสวนเช่นเดียวกับคำร้องของนายอภิสิทธิ์ที่ยื่นไปก่อนหน้านี้ แต่ฝ่ายโจทก์ขอคัดค้าน ศาลเห็นว่าต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าดีเอสไอมีอำนาจสอบสวนหรือไม่ จึงนัดฟังคำพิพากษาและตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 28 ส.ค. เวลา 09.00 น.

ศาลแพ่งอนุญาต ‘พระสุเทพ’ ขยายเวลายื่นคำให้การ คดีม็อบปิด ก.คลัง
วันเดียวกัน พระสุเทพ หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. มอบอำนาจให้ทนายความ เป็นผู้แทนเดินทางมายังศาลแพ่ง ถนนรัชดาฯ เพื่อฟังคำสั่ง คำร้องขอขยายเวลาในการต่อสู้คดีที่กระทรวงการคลัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเรื่องขับไล่ที่ พร้อมเรียกค่าเสียหายกว่า 530,000 บาท กรณีกระทำการละเมิดนำกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. บุกเข้าไปในพื้นที่กระทรวงการคลัง กรมธนารักษ์ สำนักงบประมาณ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และกรมบัญชีกลาง เมื่อปลายปี 56 ที่ผ่านมา
ศาลพิเคราะห์ตามคำไต่สวนของโจทก์ ประกอบเอกสารและคำซักค้าน ได้ความว่า วันที่เจ้าหน้าที่ศาล จังหวัดสุราษฎร์ธานี นำหมายเรียกสำเนาคำฟ้องไปปิดที่พักพระสุเทพ แต่ปรากฏว่า พระสุเทพ ไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว แต่พักอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อรณรงค์ชักชวนให้ประชาชน ร่วมชุมนุมปิดกรุงเทพมหานคร และไม่มีผู้ใดแจ้งให้พระสุเทพทราบว่าถูกฟ้อง พฤติการณ์น่าเชื่อว่า พระสุเทพ ไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ จึงให้เพิกถอนคำสั่งที่ศาลแพ่งสั่งว่าพระสุเทพขาดนัด ยื่นคำให้การ และอนุญาตให้พระสุเทพ ยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรได้ภายใน 15 วัน นับจากวันนี้
ขณะที่ นายวิโรจน์ ภูมิศิริสวัสดิ์ ทนายความกล่าวว่า คดีนี้ทนายความได้เตรียมคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรไว้แล้ว ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงว่า พระสุเทพ ไม่ได้นำมวลชนไปบุกยึดกระทรวงการคลังตามที่โจทก์ฟ้อง แต่รายละเอียดในคำให้การต้องตรวจสอบอีกครั้ง ซึ่งศาลนัดชี้สองสถานวันที่ 29 ก.ย. นี้ เวลา 13.30 น

'ฉลาด วรฉัตร' มอบตัวฐานต้าน คสช. ตร.แจงยังไม่คุมตัว ต้องสอบสวนก่อน



28 ก.ค.2557 ร.ต.ฉลาด วรฉัตร นักเคลื่อนไหววัย 71 ปีให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ขณะนี้อยู่ที่ สน.ดุสิต เพื่อเข้ามอบตัวต่อพนง.สส.ในข้อหาต่อต้าน คสช. หลังจากก่อนหน้านี้มีการรื้อเต๊นท์หน้าสวนสัตว์ดุสิต ตรงข้ามรัฐสภา
"ยังไงก็ต้องมารื้อกันอีก จับก็ไม่จับ ไม่ผิดแล้วมารื้อทำไม" ฉลาดกล่าวพร้อมบอกว่า มาให้จับเพื่อพิสูจน์ชะตากรรมประเทศ หากถูกจำคุก 20 ปีในข้อหากบฏแผ่นดินที่ต่อต้านรัฐบาลจากรัฐประหาร
ด้าน พ.ต.ท.จารุภัทร ทองโกมล รอง ผกก.สส.บก.น.1 กล่าวว่า นายฉลาดประสงค์เข้ามอบตัวเนื่องจากมองว่าตนเองขัดขืนคำสั่งห้ามต่อต้าน คสช. แต่เนื่องจากไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า ตำรวจก็ต้องทำการสอบสวนก่อน จะให้คุมตัวหรือส่งไปที่ไหนเลยคงไม่ใช่ ทั้งนี้มีขั้นตอนอยู่ เช่น หากการกระทำไม่รุนแรงก็พูดคุยปรับทัศนคติ แล้วก็ให้กลับ หากมีการขัดคำสั่งเรียกรายงานตัว ก็เข้าค่าย หรือกระทำผิดกฎหมายก็ส่งศาลดำเนินคดี
พ.ต.ท.จารุภัทร กล่าวว่า ที่ผ่านมา นายฉลาดต่อต้านอย่างสงบมาตลอด มีหลักฐานเป็นเอกสาร เป็นภาพที่เผยแพร่ตามสื่อ ก็ต้องให้ พนง.สส.สอบสวนก่อน เบื้องต้น ก็คงลงบันทึกประจำวัน เหมือนรายอื่นๆ ที่ออกมาต่อต้าน คสช.ก่อนหน้านี้  
อนึ่ง ตั้งแต่หลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ฉลาด วรฉัตร อดอาหารประท้วงการรัฐประหารบริเวณเต๊นท์หน้าสวนสัตว์ดุสิต ตรงข้ามรัฐสภาเป็นเวลากว่า 45 วันก่อนจะประกาศยุติอดอาหารเมื่อวันที่ 6 ก.ค. หลังต้องเข้ารักษาตัวที่ รพ.วชิระ 2 ครั้ง เนื่องจากปัญหาสุขภาพ แต่ยังคงนั่งประท้วงอยู่ที่เต๊นท์ต่อจนกระทั่งเริ่มมีการรื้อเต๊นท์ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา

ยุบแล้วคุกการเมือง! ย้ายเงียบผู้ต้องขังไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ



รูปจากเฟซบุ๊ก ธิดา ถาวรเศรษฐ
28 ก.ค.2557  รายงานข่าวแจ้งว่า ที่เรือนจำหลักสี่ซึ่งคุมขังนักโทษการเมืองทั้งสิ้น 22 ราย เป็นชาย 20 ราย หญิง 2 ราย ได้ทำการย้ายผู้ต้องขังเกือบทั้งหมดไปยังเรือนจำทั่วไป โดยนำผู้ต้องขังชายเกือบทั้งหมดไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และนำตัวผู้ต้องขังหญิง 1 รายคือ นางสาวนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ ไปยังทัณฑสถานหญิงกลาง คงเหลือผู้ต้องขังชาย 5 รายและหญิง 1 ราย รวม 6 รายที่ยังถูกคุมขังที่เรือนจำหลักสี่ โดยทั้ง 6 เป็นผู้ต้องขังจากจังหวัดอุบลราชธานี (4 ราย) และมหาสารคาม (2 ราย)
ผู้สื่อข่ายรายงานด้วยว่า ญาติผู้ต้องขังส่วนใหญ่ทราบข่าวเรื่องนี้มาราวหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ แต่เจ้าหน้าที่ที่เรือนจำหลักสี่ปฏิเสธว่าไม่มีคำสั่งย้ายแต่อย่างใด และญาติทั้งหมดไม่ทราบข่าวว่าจะมีการย้ายผู้ต้องขัง ทำให้ญาติบางรายไปรอเยี่ยมเก้อและมีรายหนึ่งถึงกับร่ำไห้เมื่อตามมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในช่วงบ่ายแต่ไม่ได้เข้าเยี่ยม โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่ายังส่งตัวไม่เรียบร้อย 
ญาติผู้ต้องขังจากจังหวัดมหาสารคามรายหนึ่งแจ้งว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้โทรแจ้งเธอแล้วว่าจะส่งตัวผู้ต้องขังจากจังหวัดมหาสารคาม 2 รายกลับไปคุมขังยังภูมิลำเนาในวันที่ 30 ก.ค.นี้
ทั้งนี้ ผู้ต้องขังทั้ง 22 รายเป็นผู้ต้องขังคดีทางการเมืองสืบเนื่องจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 และถูกนำตัวจากเรือนจำทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมาขังรวมกันที่เรือนจำหลักสี่เป็นการเฉพาะเมื่อ 17 ม.ค.2555 ตามคำแนะนำของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่เสนอให้แยกขังผู้ต้องขังที่กระทำผิดโดยมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ไม่รวมกับอาชญากรโดยทั่วไป
ด้านเฟซบุ๊กของธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. ระบุว่า
“(ทีมงาน)
รายงานข่าวจากเรือนจำพิเศษหลักสี่ว่าวันนี้ (28/7/57) เวลา 10.00 น. มีการย้ายผู้ถูกคุมขังชายไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 13 คน ทัณฑสถานหญิงกลาง 1 คน (นฤมล วรุณรุ่งโรจน์) เรือนจำธัญบุรี 1 คน และเรือนจำพิเศษธนบุรี 1 คน ยังคงเหลืออีก6 คน ที่อยู่ระหว่างรอย้ายไปคุมขังยังภูมิลำเนาเดิมคือจังหวัดอุบลราชธานี 4 คน และมหาสารคาม 2 คน วันนี้เรือนจำพิเศษหลักสี่คงเหลือไว้เพียงความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นที่คุมขังนักโทษทางการเมือง”
ด้านสำนักข่าวทีนิวส์รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายวิทยา สุริยะวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ระบุว่า ได้อนุมัติให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำชั่วคราวหลักสี่จำนวน 22 คน เป็นผู้ต้องขังชาย 20 คน ผู้ต้องขังหญิง 2 คนกลับไปคุมยังเรือนจำตามภูมิลำเนาตามที่นายสรสิทธิ์ จงเจริญ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯเสนอแล้วโดยเห็นว่าผู้ต้องขังในเรือนดังกล่าว เป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลและมีกำหนดโทษชัดเจนแล้ว ส่วนใหญ่ต้องโทษจำคุกเป็นเวลานานกว่า 20 ปี เพราะก่อคดีที่มีโทษสูง เช่น วางเพลิงเผาศาลากลางจังหวัด คดียิงเฮลิคอร์ปเตอร์ทหาร คดีครอบครองอาวุธ ที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมได้พิสูจน์แล้วว่าผู้ต้องขังกลุ่มนี้ไม่ใช่ผู้ต้องขังคดีการเมือง แต่เป็นผู้ต้องขังคดีอาญาทั่วไปจึงสมควรย้ายกลับคุมขังยังเรือนจำที่มีอำนาจควบคุมนอกจากนี้เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ใช้คุมขังผู้ต้องขังจำนวนน้อยมาก แต่มีภาระค่าใช้จ่ายสูงต้องแบ่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานร่วมกับตำรวจโดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละกว่า 1 ล้านบาท ตนในฐานะอธิบดีกรมราชทัณฑ์จึงอนุมัติให้ย้ายได้ ส่วนสถานที่ดังกล่าวจะปิดการใช้งาน

เผยหนังสือ คสช.ไม่พอใจ "ผจก.สุดสัปดาห์" ลงข้อความ "บิ๊กตู่ คสช.พ่อทุกสถาบัน"


คสช.ส่งหนังสือถึงสภาการ นสพ.เพื่อให้สอบ "เอเอสทีวีผู้จัดการสุดสัปดาห์" ฉบับที่ 251 เนื่องจากลงข้อความซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดว่าหัวหน้า คสช. อยู่เหนือสถาบันเบื้องสูง - ข้อความว่าคนชื่อ "น้องตาล" มาเลือกเครื่องสุขภัณฑ์ให้ทำเนียบ - และเปรียบการสรรหา สนช. เป็นการ "แบ่งเค้ก"
29 ก.ค. 2557 - ตามที่เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 108/2557 เรื่องการตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งฝ่าฝืนข้อห้าม โดยระบุว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 253 วันที่ 26 ก.ค. - 1 ส.ค. 2557 ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่องด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช. ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศของ คสช. ในคำสั่ง คสช. ให้ตักเตือนผู้เขียนบทความ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของหนังสือพิมพ์ดังกล่าว หากฝ่าฝืนอีกจะดำเนินการตามกฎอัยการศึก และดำเนินการตามกฎหมาย และสั่งให้องค์กรวิชาชีพดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพต่อบุคคลเหล่านั้น แล้วรายงานผลการดำเนินการให้ คสช.ทราบโดยเร็วนั้น (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)
ล่าสุด เอเอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า คสช. โดยคณะทำงานด้านกฎหมาย ส่วนงานรักษาความสงบเรียบร้อย สำนักเลขาธิการ คสช. ได้ส่งหนังสือมายังสภาการหนังสือพิมพ์ ตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 108/2557 เลขหนังสือ คสช.(สลธ) 1.10/55 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ทำให้สภาการหนังสือพิมพ์มีการเรียกประชุมด่วนในช่วงเช้าวันนี้ สำหรับรายละเอียดของจดหมายฉบับดังกล่าวมีดังนี้
เรียน ประธานคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
สิ่งที่ส่งมาด้วย สำเนาคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 108/2557 เรื่อง การตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ที่ฝ่าฝืนข้อห้าม ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2557 จำนวน 1 ฉบับ
ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 108/2557 เรื่องการตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ที่ฝ่าฝืนข้อห้าม ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2557 อันสืบเนื่องจากกรณีที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 251 วันที่ 26 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2557 ได้มีการตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่อง เช่น บนหน้าปกหนังสือ และในหน้า 4 ซึ่งมีข้อความว่า “ธรรมนูญ “บิ๊กตู่” คสช.พ่อทุกสถาบัน” ซึ่งเป็นข้อความที่เสียดสี และอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติอยู่เหนือสถาบันเบื้องสูง และในหน้าที่ 16 ที่มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ส่วนคนที่ได้รับอำนาจตรงในการเลือกสรรเครื่องสุขภัณฑ์นั้น ไม่ใช่ “บิ๊ก คสช.” อย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นทายาทของ “บิ๊ก คสช.” รายหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “น้องตาล” ฟังผิวเผินชื่อ “ตาล” คล้ายกับชื่อ “ตู่” ที่มี ต.เต่า เหมือนกัน จนนึกไปว่า “น้องตาล” เป็นลูก “บิ๊กตู่” แต่หากลองคลิกเข้าไปใน “อาจารย์กูเกิล” แล้วคงจะถึงบางอ้อว่า “บิ๊กตู่” มีลูก 2 คน เป็นผู้หญิงทั้ง 2 คน และไม่ได้ชื่อใกล้เคียงกับ “ตาล” เลย แต่ “น้องตาล” กลับเป็นชื่อทายาทของ “บิ๊ก คสช.” ผู้ที่ยังมากบารมี แต่ขอลดบทบาท เพื่อแต่งตัวรอบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า การให้ “ลูกตาล” ซึ่งถือเป็นคนรู้ใจมาเลือกสิ่งอำนายความสะดวกใน “ทำเนียบรัฐบาล-ตึกไทยคู่ฟ้า” อาจจะส่งสัญญาณบางอย่างออกมาให้เห็น “บิ๊ก คสช.” ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะไม่ใช่ “บิ๊กตู่” อย่างที่คาดเดากัน แต่มี “ตาอยู่” ที่ “บิ๊กตู่” วางใจให้มาสานงานต่อ ก็เป็นได้ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คนกันเองใน คสช.นั่นแล”
กับข้อความในหน้า 18 ซึ่งมีข้อความที่กล่าวถึง “การคัดสรรสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่ามีลักษณะเป็นการต่างตอบแทน เอาโควตามาแบ่งเค้ก” ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จ จึงถือว่าการกระทำดังกล่าวของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์มีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ถือว่าเป็นการฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 97/2557 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 เรื่องการให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 103/2557 เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 รายละเอียดปรากฎตามสิ่งที่ส่งมาด้วย
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงขอให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ พิจารณาดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว และรายงานผลให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ ทั้งนี้ ขอขอบคุณในความร่วมมือมา ณ โอกาสนี้ด้วย”
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร
เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ล่าสุด เอเอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ (29 ก.ค.) นายจักรกฤษณ์ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้รับทราบข้อร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษรจาก คสช.เรียบร้อยและมีมติให้นำนายสิทธิโชค ศรีเมือง รองประธานสภาการหนังสือพิมพ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ นำเรื่องดังกล่าวไปดำเนินการพิจารณาตรวจสอบตามธรรมนูญสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ พ.ศ. 2540 และข้อบังคับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติว่าด้วยวิธีพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. 2540 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2554 ทั้งนี้ ทางตัวแทนของเอเอสทีวีผู้จัดการที่เข้าร่วมประชุมในฐานะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่ายินดีที่จะชี้แจงและจะไม่เข้าร่วมในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งนี้หากผลสอบสวนของสภาการหนังสือพิมพ์ออกมาเป็นเช่นไรก็พร้อมปฏิบัติตาม