วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


อนุสนธิจาก *ดำหัว* แรงเสี้ยม-เสียงชาวบ้าน รัฐบาลพึงรับฟังใคร

อนุสนธิจาก *ดำหัว* แรงเสี้ยม-เสียงชาวบ้าน รัฐบาลพึงรับฟังใคร
จันทร์ ที่ 7 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2555

อนุสนธิจาก''ดำหัว'' แรงเสี้ยม-เสียงชาวบ้าน 
รัฐบาลพึงรับฟังใคร
จากมติชน ออนไลน์  

วันพฤหัสบดีที่ 03 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 14:00:49 น.

           เพราะการเดินทางเข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะ เกิดขึ้นหลังจากพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นที่ปทุมธานี
และมีปฏิกิริยาของ "คนเสื้อแดง" บางกลุ่ม-โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 91 ศพ ติดตามมา


           ที่ตามมาด้วยโดยอัตโนมัติก็คือการ "เสี้ยม" จากฝ่ายที่ยืนตรงข้ามกับรัฐบาล

           ไม่เพียงแต่เสี้ยมให้รอยแยกที่แคบลงระหว่าง พล.อ.เปรมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถ่างกว้างออกไปอีกเท่านั้น


           ยังตอกลิ่มให้รัฐบาล พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง เพิ่มความระแวงที่มีต่อกันด้วย

           คำถามก็คือ แล้วประชาชนทั่วไปคิดเช่นนั้นหรือไม่


           ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนผ่านโพลใหญ่สองสำนักเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา


           สะท้อนว่า-ไม่เป็นไปตามที่แรงเสี้ยมหวังไว้

            เอแบคโพลล์ เปิดเผยผลวิจัยเรื่องเสียงสะท้อนของสาธารณชนต่อความปรองดองของคนในชาติ จริยธรรมการเมือง พบว่า

             ร้อยละ 49.8 เห็นว่าการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะเข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ช่วยสร้างความปรองดองได้ดีกว่าการออกกฎหมายปรองดองและนิรโทษกรรม


             เพราะเป็นรูปธรรม รวดเร็ว เห็นชัด ไม่ขัดแย้งและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี


            ขณะที่ร้อยละ 26.0 ไม่คิดว่าทั้ง 2 อย่างจะช่วยสร้างความปรองดอง ส่วนร้อยละ 22.6 เห็นว่าทั้ง 2 อย่างช่วยสร้างความปรองดอง


           โดยที่ร้อยละ 73.1 เชื่อว่ามีขบวนการขัดขวางความปรองดอง เพราะจะสูญเสียทั้งอำนาจและผลประโยชน์ 


            หากประเทศชาติมีความสงบสุขอย่างแท้จริง

            สวนดุสิตโพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในเรื่องเดียวกัน และพบว่า

ร้อยละ 53.19 เห็นว่าเป็นการปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม แสดงถึงความเคารพผู้ใหญ่ในบ้านเมือง 
ร้อยละ 27.23 น่าจะมีเหตุผลอื่นมากกว่า อาจมีการปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญ หรือเรื่องที่ไม่ต้องการเปิดเผยให้บุคคลภายนอกรับรู้
ร้อยละ 14.47 เป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง บรรยากาศทางการเมืองดีขึ้น และร้อยละ 5.11 เป็นเรื่องของการเมืองที่รัฐบาลต้องการสร้างภาพ 

ขณะที่ร้อยละ 43.30 มองว่ามีนัยสำคัญทางการเมือง รัฐบาลต้องการสื่อสารให้เห็นถึงความพร้อมเดินหน้าสร้างความปรองดองอย่างแท้จริง ร้อยละ 36.78 ไม่แน่ใจ และร้อยละ 19.92 ไม่มีนัยสำคัญทางการเมือง

ทั้งนี้ ร้อยละ 54.79 พึงพอใจกับการพบกันครั้งนี้ ร้อยละ 38.70 เฉยๆ เป็นเรื่องปกติ 
ร้อยละ 6.51 ไม่พอใจเพราะอาจมีวัตถุประสงค์แอบแฝง สร้างความไม่พอใจให้แก่คนบางกลุ่ม


ส่วนจะทำให้บรรยากาศความปรองดองของบ้านเมืองดีขึ้นหรือไม่ ร้อยละ 48.65 เชื่อว่าดีขึ้นเพราะการมีท่าทีอ่อนน้อม ไม่ถือทิฐิของรัฐบาลเป็นการส่งสัญญาณปรองดอง ร้อยละ 45.56 เหมือนเดิม
และร้อยละ 5.79 ทำให้บรรยากาศปรองดองแย่ลง


สิ่งที่ประชาชนอยากฝากถึงนายกฯ หลังเข้าพบ พล.อ.เปรมคือ ร้อยละ 81.95 สิ่งที่รัฐบาลทำขอให้มาจากความตั้งใจจริง ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่มีผลประโยชน์อื่นแอบแฝง ร้อยละ 80.49 รัฐบาลต้องเป็นผู้นำและตัวอย่างที่ดีของการสร้างปรองดอง
ร้อยละ 77.56 ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ร้อยละ 74.63 รัฐบาลเร่งแก้ของแพง น้ำท่วม คอร์รัปชั่น
และร้อยละ 70.24 ควบคุมดูแลพฤติกรรมของนักการเมืองโดยเฉพาะในการประชุมสภา


ภาระหน้าที่ของการเป็นรัฐบาลนั้นไม่ง่ายนัก
ยิ่งเป็นรัฐบาลในช่วงที่ความคิดของสังคมแยกออกเป็นฝั่งเป็นขั้วอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งยากขึ้นไปอีก 
ฉะนั้น ในขณะที่ภารกิจปรองดองก็ต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อจะได้มีโอกาสทำงานอื่นโดยราบรื่นขึ้น 
ภารกิจอำนวยความยุติธรรมเพื่อล้างปัญหา "สองมาตรฐาน" อันเป็นหนึ่งในต้นตอของความแตกแยก ก็ต้องเดินหน้าต่อไปเช่นกัน 
ไม่นับว่าภารกิจหลักอย่างการดูแลปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ที่ยังต้องทำให้เป็นปกติสม่ำเสมอ 


ทั้งหมดนี้มิได้ขัดแย้งกัน ตรงข้ามกลับเอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน
และถ้าทำเป็น-ทำได้ จะเป็นแรงเสี้ยมจากที่ใดก็ไร้ความหมาย
http://redusala.blogspot.com

สมัยมาร์คให้ ก.พานิชย์แก้ไข่ชั่งโล น้ำมันปาล์ม ทำไมไม่พูด!
"ปลัดยรรยง" ท้าเดิมพัน "ปชป." 
สมัยมาร์คให้ ก.พานิชย์แก้ไข่ชั่งโล น้ำมันปาล์ม ทำไมไม่พูด!

       นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวตอบโต้กรณีพรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้ปลดออกจากตำแหน่งว่า ขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พิจารณาปลดนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกจากตำแหน่ง เพราะทำหน้าที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะการเสนอข้อมูลสินค้าแพงทั้งแผ่นดิน จึงอยากถามว่ามีสินค้าใดแพงบ้าง ไปสำรวจที่ไหน และคนสำรวจมีความรู้ เคยจ่ายตลาดมาก่อนหรือเปล่า เพราะข้อเท็จจริงสินค้าทั้งถูกและแพง เช่น ไข่ไก่ เนื้อหมูราคาลดลงจากเดือนเมษายนปีก่อน แต่ไม่พูดถึง ขณะที่ ถั่วฝักยาว  กก. 80 บาท จากการตรวจตลาดซึ่งเป็นของเดือนพ.ค.55 แต่กลับนำตัวเลขเดือนเม.ย.ปีที่แล้วเป็นการบิดเบือนตัวเลข

         “นายชวนนท์ มีบุคลิกภาพไม่เหมาะสมเป็นโฆษกพรรค เพราะแม้จะหน้าไม่หล่อเหมือนพระเอกโฆษกพรรคเพื่อไทยก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่หน้าตากับเหมือนปลาบู่ชนเขื่อน คือหน้าตาเจ็บๆ ไม่ไว้วางใจคนอื่น ขอให้พรรคประชาธิปัตย์เลือกคนอื่นที่หน้าตาดี ซึ่งมีมากมาย ทั้งหล่อเล็ก หล่อใหญ่ หล่อจิ๋ว เลือกใครก็ได้ที่มีบุคลิกภาพที่ดีเป็นมิตรและมีความสามารถกว่านี้ จะช่วยให้พรรคฯ มีฐานมวลชนเพิ่มขึ้นได้ ผมพร้อมจะเดิมพันด้วยตำแหน่งปลัดของผม ถึงแม้เดิมพันขอเค้าจะน้อยกว่า เพราะเค้าไม่ได้เป็น ส.ส. แต่ท้าเลยถ้ามีข้อมูลว่า พาณิชย์ทำข้อมูลเท็จ หรือผมทำข้อมูลเอาใจการเมืองก็เปิดเผยมา หรือแจ้งต่อสาธาณชนได้ และที่ผ่านมาสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ กระทรวงพาณิชย์ก็เป็นเครื่องไม้เครื่องมือช่วยแก้ปัญหาของแพงมาตลอด ทั้งน้ำมันปาล์มขาดแคลน หรือทำไข่ชั่งกิโลขาย”นายยรรยงกล่าว

         นายยรรยงกล่าวว่า การดำเนินการแก้ปัญหาของแพงกระทรวงพาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ได้สั่งการเพิ่มการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการกำกับดูแลราคาสินค้า (วอร์รูม) ให้เข้มข้นขึ้น โดย รมว.พาณิชย์ เป็นประธานกำกับดูแลเอง เน้นกำกับดูแลสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น 20 รายการ โดยจะนำของกรมการค้าภายใน กับสำนักดัชนีราคาสินค้า เชื่อมโยงเข้ากับข้อมูลภาคประชาชน และธุรกิจ หากมีสินค้าใดที่มีแนวโน้มปรับราคาสูงกว่าปกติ หรือเสี่ยงจะขาดแคลน ต้องกำหนดมาตรการดูแลป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา

         สำหรับราคาอาหารสำเร็จรูปที่ปรับสูงขึ้นสวนทางกับต้นทุนอาหารสด และเครื่องประกอบอาหารที่ถูกลงนั้น นายยรรยง กล่าวว่า จากการสำรวจเห็นว่าราคาอาหารจานด่วนส่วนใหญ่ยังขาย 30-35 บาท ยกเว้นห้างสรรพสินค้าหรือร้านหรูหราที่ราคาอาจแพงบ้าง แต่ยอมรับว่า การใช้มาตรการไปบังคับเข้มงวดคงทำลำบาก เพราะผู้ค้าส่วนใหญ่เป็นรายย่อย  ดังนั้นแนวทางแก้ปัญหาจะเน้นการดูแลกลไกตลาด สร้างทางเลือกอาหารราคาถูกแก่ผู้บริโภค เช่น ผ่านร้านมิตรธงฟ้าที่มี 5 พันกว่าแห่งทั่วประเทศ รวมถึงร้านถูกใจซึ่งมีผู้สมัคร 5,858 ราย และเปิดให้บริการจริงแล้ว 50 ราย

         “ขอท้าทายพรคคประชาธิปัตย์ให้นำข้อมูลที่แท้จริงมาชี้แจงว่า สินค้ารายการใดแพงกว่าเมื่อเทียบเดือนเม.ย.ปีนี้ กับปีที่แล้ว ซึ่งทางนายกฯ พยายามอธิบายว่า ราคาวัตถุดิบเริ่มแพงขึ้นตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ประกอบกับราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้นอีก ทำให้ร้านค้าเริ่มขยับราคาอาหารสำเร็จรูป และในความเป็นจริงการเพิ่มราคาอาหารจะเพิ่มเป็นเศษจะไม่เพิ่ม 1 บาท หรือ 2 บาท  จึงนิยมเพิ่มคราวละ 5-10 บาทแทน  ที่ไม่ลดราคาลง เพราะรายย่อยก็ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่จะปรับลดลง กระทรวงพาณิชย์พยายามจะหามาตรการเพิ่มเติมออกมากำกับดูแล เช่น  การนำข้าวถุงของรัฐบาล 3 หมื่นตันมาขายราคาถูกแก่แม่ค้า รวมถึงเสนอให้ ครม.พิจารณาข้อมูลราคาสินค้าเพื่อนำไปแก้ไขค่าครองชีพแบบบูรณาการ  เพราะเราก็เป็นห่วงปัญหาอาหารแพงกระทบกับประชาชน และอาจกระทบต่อเงินเฟ้อได้ ”
http://redusala.blogspot.com