วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

'ประชาธิปไตยใหม่' ขอ UN ช่วยให้ประชามติเท่าเทียม-เป็นธรรมแก่ผู้รณรงค์ทั้ง 2 ฝ่าย


10 พ.ค.2559 เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ New Democracy Movement - NDM' รายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาร ตัวแทน NDM ได้เข้าพบตัวแทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (UNOHCHR) พร้อมยื่นจัดหมายเพื่อแสดงความกังวลต่อสถานการณ์การลงประชามติและการดำเนินคดีความมั่นคงและมาตรา 112 ในศาลทหารต่อแอดมินที่ทำเพจล้อเลียน พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา
โดย NDM ได้เรียกร้องต่อองค์การสหประชาชาติ 1. ให้ดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อให้เกิดการใช้กฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมแก่ผู้รณรงค์ทั้งสองฝ่าย 2. ให้ดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญได้โดยปราศจากการคุกคามจากรัฐบาล 3. ให้ดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อให้มีการปล่อยตัวบุคคลทั้ง 9 คนในทันที ซึ่งประกอบด้วย 8 ผู้ต้องหาเป็นแอดมินเพจล้อเลียน พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย และ บุรินทร์ อินติน ที่ถูกจัดดำเนินคดีเพิ่มหลังประท้วงการจับกุม 8 แอดมินเพจดังกล่าว  รวมถึงถอนฟ้องบุคคลทั้ง 9 คน 4. ให้ดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อสร้างหลักประกันว่าจะไม่เกิดการกระทำลักษณะเดียวกันนี้โดยรัฐบาล คสช. อีกในอนาคต
"หวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความช่วยเหลือจากองค์การสหประชาชาติและประชาคมระหว่างประเทศ ประเทศไทยจะสามารถกลับคืนสู่หนทางประชาธิปไตยได้อย่างที่ควรจะเป็น" NDM  ระบุไว้ท้ายจดหมาย

รายละเอียดจดหมายของ NDM :

เรื่อง เรียกร้องให้มีมาตรการเพื่อป้องกันมิให้เกิดการจำกัดสิทธิเสรีภาพและคุกคามประชาชน
เรียน สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ
ด้วยในสถานการณ์ในประเทศไทยปัจจุบัน ได้เกิดการจำกัดสิทธิเสรีภาพและคุกคามประชาชนโดยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใน 2 กรณีสำคัญ ได้แก่
1. การขัดขวางไม่ให้ประชาชนรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ทั้งโดยการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ที่อนุญาตให้หน่วยงานภาครัฐเผยแพร่คำอธิบายสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญ (ซึ่งในทางปฏิบัติคือการอนุญาตให้มีการรณรงค์รับร่างรัฐธรรมนูญ) ในขณะที่ประชาชนผู้รณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญอาจมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี หากรัฐถือว่าการรณรงค์นั้นมีลักษณะเป็นการปลุกระดม นอกจากนี้ในช่วงเวลาก่อนที่กฎหมายดังกล่าวจะประกาศใช้ ยังเคยมีการส่งเจ้าหน้าที่ทหารไปคอยติดตามกิจกรรมของกลุ่มประชาชนที่รณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และการขู่ดำเนินคดีกับนักวิชาการที่แจกเอกสารรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญอีกด้วย
2. การจับกุมตัวบุคคลจำนวน 8 คน โดยไม่มีการออกหมายจับ จากการจัดทำแฟนเพจล้อเลียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. โดยมีการตั้งข้อหาต่อประชาชนทั้ง 8 คนในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 7 ปี ยิ่งไปกว่านั้น บุคคล 2 จาก 8 คนนี้ รวมถึงบุคคลอีก 1 คนที่แสดงการประท้วงต่อกรณีดังกล่าวและถูกจับกุมในเวลาต่อมายังถูกตั้งข้อหาในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี โดยอาศัยข้อมูลที่รัฐบาลได้มาโดยการจารกรรมจากกล่องข้อความในสื่อโซเชียลมีเดียอีกด้วย โดยทั้ง 9 คนนี้จะต้องเข้ารับการพิจารณาคดีในศาลทหาร
ขบวนการประชาธิปไตยใหม่มีความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว ที่แสดงถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนแม้กระทั่งในประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งต่อประเทศและประชาชนอย่างประเด็นรัฐธรรมนูญ การใช้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชนผู้รณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายของรัฐบาล คสช. ในการประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญของตนเอง และการคุกคามประชาชนอย่างร้ายแรงด้วยสาเหตุเพียงเพราะการล้อเลียนผู้นำรัฐบาล รวมถึงการที่รัฐบาลได้ครอบครองเครื่องมือบางประการที่สามารถล้วงเอาข้อมูลส่วนตัวของประชาชนได้โดยปราศจากความยินยอม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปฏิปักษ์ต่อการนำพาประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย
ขบวนการประชาธิปไตยใหม่จึงขอเรียกร้องต่อองค์การสหประชาชาติดังนี้
1. ให้ดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อให้เกิดการใช้กฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมแก่ผู้รณรงค์ทั้งสองฝ่าย
2. ให้ดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญได้โดยปราศจากการคุกคามจากรัฐบาล
3. ให้ดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อให้มีการปล่อยตัวบุคคลทั้ง 9 คนในทันที รวมถึงถอนฟ้องบุคคลทั้ง 9 คนนี้ด้วย
4. ให้ดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อสร้างหลักประกันว่าจะไม่เกิดการกระทำลักษณะเดียวกันนี้โดยรัฐบาล คสช. อีกในอนาคต
ขบวนการประชาธิปไตยใหม่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความช่วยเหลือจากองค์การสหประชาชาติและประชาคมระหว่างประเทศ ประเทศไทยจะสามารถกลับคืนสู่หนทางประชาธิปไตยได้อย่างที่ควรจะเป็น
ด้วยความนับถือ
ขบวนการประชาธิปไตยใหม่

เฟซบุ๊กตอบฮิวแมนไรท์วอทช์ ยันไม่มอบข้อมูลผู้ใช้ให้กับรัฐบาลไทย


10 พ.ค. 2559 หลังจากกระแสข่าวเจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลทางแชทในเฟซบุ๊กและนำมาใช้ในการดำเนินคดี โดยเฉพาะความผิดในข้อหมหมิ่นประมาทกษัตริย์ ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก พร้อมทั้งการสอบถามไปยังผู้ให้บริการอย่างเฟซบุ๊ก โดยล่าสุดวานนี้ (9 พ.ค.59)  สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch - HRW) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ได้ คำตอบจากเฟซบุ๊ก ยืนยันกับ HRW ว่าไม่ได้มอบข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีผู้ใช้ให้กับรัฐบาลไทย ย้ำว่ามีการใช้ระบบที่ก้าวหน้าเพื่อรักษาความปลอดภัยและไม่ได้ถูกเจาะระบบ รวมทั้งมีกระบวนการทางกฎหมายที่เข้มงวดในการพิจารณาคำขอของรัฐบาลที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลหรือปิดกั้นเนื้อหาต่างๆ
ขณะที่ก่อนหน้านี้ (6 พ.ค.59)  บีบีซีไทย - BBC Thai รายงานว่า เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลงานด้านประชาสัมพันธ์ของเฟซบุ๊กประจำสำนักงานในกรุงลอนดอนเปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า เฟซบุ๊กมีแนวปฏิบัติทางกฎหมายที่กำหนดกระบวนการอันเข้มงวดของเฟซบุ๊กในการดำเนินการกับคำขอของรัฐบาลในกรณีที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊ก และในรายงานล่าสุดเกี่ยวกับคำขอของรัฐบาลก็บ่งชี้ชัดว่าเฟซบุ๊กไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ กับทางการไทย
บีบีซีไทย ยังรายงานด้วยว่า องค์การฮิวแมนไรท์วอท์ช ได้ออกแถลงการณ์ วานนี้ถึงกรณีการจับกุมแอดมินเพจล้อเลียนนายกรัฐมนตรี “เรารัก พล.อ.ประยุทธ์” ทั้ง 8 รายเรียกร้องให้รัฐบาลทหารของไทยยุติการดำเนินคดีกับแอดมินทั้งหมดทั้งจากข้อหายุยงปลุกปั่น และข้อหาอื่นๆ “พล.อ.ประยุทธ์ ดูเหมือนจะไม่ตระหนักว่าการสร้างความหวาดกลัวแก่คนที่ล้อเลียนเขาเพื่อให้เงียบไปนั้น มีแต่จะเชื้อเชิญให้มีการล้อเลียนลบหลู่มากขึ้นอีกจากผู้ที่หาหนทางจะหยุดการปิดกั้นของรัฐบาล” แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียขององค์การฮิวแมนไรท์วอท์ช กล่าว
ศาลทหารปฏิเสธให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย โดยทนายจะยื่นขอประกันตัวอีกครั้งวันนี้

ยังไม่ทันก้าวพ้นเขตเรือนจำ ตำรวจอายัดตัว ‘ณัฏฐิกา-หฤษฏ์’ ไปกองปราบทันที เตรียมฝากขังพรุ่งนี้


เรือนจำปล่อยตัว 8 ผู้ต้องหาคดี 116 และพ.ร.บ.คอมฯ เหตุทำเพจล้อเลียนประยุทธ์ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจอายัดตัว ‘ณัฏฐิกา-หฤษฏ์’ 2 ผู้ต้องหาซึ่งถูกออกหมายจับตามมาตรา 112 ไปกองปราบฯ ทันที และเตรียมขออนุมัติฝากขังพรุ่งนี้ต่อไป
ภาพจาก : ไพศาล จันปาน
10 พ.ค. 2559 เมื่อเวลาประมาณ 17.15 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้ปล่อยตัว 8 ผู้ต้องหาในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ประกอบด้วย ณัฏฐิกา วรธัยวิชญ์, นพเก้า คงสุวรรณ, วรวิทย์ ศักดิ์สมุทรนันท์, โยธิน มั่งคั่งสง่า, ธนวรรธน์ บูรณศิริ, ศุภชัย สายบุตร, หฤษฏ์ มหาทน และกัณสิทธิ์ ตั้งบุญธินา ตามคำอนุญาตให้ประกันตัวของศาลทหาร
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าอายัดตัว ณัฏฐิกา และ หฤษฏ์ โดยทันทีเพื่อของตัวไปกองปราบปราม และเตรียมขออนุมัติฝากขังในพรุ่งนี้ต่อไป ตามหมายจับตามประมาวลกฎมายอาญามาตรา 112
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณัฏฐิกา และ หฤษฏ์ ถูกตั้งข้อกล่าวหาหลังจากที่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหารเมื่อวันที่ 27 เม.ย.2559 และต่อมาในวันที่ 28 เม.ย. เจ้าหน้าที่ทหารได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดมาส่งตัวให้กับกองปราบปราม และได้แถลงข่าวการจับกุม โดยระบุว่า จากผลการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตั้งข้อกล่าวหากับ ณัฏฐิกา และ หฤษฏ์ เพิ่มตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลังจากตรวจสอบพบว่าทั้งสองคนมีการคุยกันในกล่องข้อความส่วนตัว ซึ่งมีลักษณะเข้าข่ายการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้งสองคนให้การปฎิเสธข้อกล่าวหา

ศาลทหารให้ประกัน 8 ผู้ต้องหาทำเพจล้อประยุทธ์ สั่ง 2 เงื่อนไขห้ามยุยงปลุกปั่น+ห้ามออกนอกประเทศ


ศาลทหารให้ประกันตัว 8 ผู้ต้องหาคดี 116 และ พ.ร.บ.คอมฯ เหตุทำเพจล้อเลียนประยุทธ์ กำหนดเงื่อนไข 2 ข้อห้ามยุยงปลุกปั่น และห้ามออกนอกประเทศ ด้าน 2 ใน 8 อาจจะถูกอายัดตัวเนื่องจากมีหมายจับ ม.112
ภาพจาก : Banrasdr Photo
10 พ.ค. 2259 เวลา 14.40 น. วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของ 8 ผู้ต้องหาทำเพจล้อเลียนพลเอกประยุทธ์ ซึ่งถูกตั้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ได้ระบุว่า
ศาลทหารกรุงเทพ ให้ประกันตัว 8 ผู้ต้องหาแล้ว โดยมีเงื่อนไขว่า ห้ามมิให้ผู้ต้องหา กระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ชักชวน ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง อันอาจก่อให้เกิดภยันตรายใดๆ กระทบต่อความเสียหาย หรือความสงบเรียบร้อย และห้ามผู้ต้องหาเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
โดยเมื่อเวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ และพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้นำตัว 8 ผู้ต้องหาในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ประกอบด้วย ณัฏฐิกา วรธัยวิชญ์, นพเก้า คงสุวรรณ, วรวิทย์ ศักดิ์สมุทรนันท์, โยธิน มั่งคั่งสง่า, ธนวรรธน์ บูรณศิริ, ศุภชัย สายบุตร, หฤษฏ์ มหาทน และกัณสิทธิ์ ตั้งบุญธินา เพื่อขออำนาจศาลทหาร ฝากขังผลัดสองตามคำร้องของพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 11 - 22 พ.ค. 2559 ซึ่งผู้ต้องทั้งหมดใส่ชุดของกรมราชทัณฑ์พร้อมกับถูกตีโซ่ตรวนมือ และเท้าเดินทางมาด้วยรถตู้ของกรมราชทัณฑ์ โดยรถตู้คันดังกล่าวได้ลงไปจอดบริเวณด้านล่างเพื่อให้ผู้ต้องหาทั้ง 8 คน เดินขึ้นศาลทหารฯจากชั้นใต้ดิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณัฏฐิกา และ หฤษฏ์ ยังถูกแจ้งข้อหามีความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพิ่มอีก 1 ข้อหาด้วย ทั้งนี้ทั้งสองคน อาจถูกอายัดตัวไว้เพื่อขออำนาจศาลฝากขังอีกครั้ง
สำหรับบรรยากาศที่ศาลทหาร มีเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารจากกระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และมีการนำรั้วแผงเหล็กมากั้นทางเข้า-ออก ทางเข้าศาลทหารฯ ทั้งนี้ บริเวณด้านหน้าศาลทหาร ยังมีมวลชนจำนวนหนึ่งเดินทางมาให้กำลังใจ 8 ผู้ต้องหาด้วย
โดยในเวลา 13.30 เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดกลับไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทัณฑสถานหญิงกลาง ซึ่งคาดว่าจะมีการปล่อยตัวในเย็นวันนี้

iLaw นำ 107 รายชื่อร้องผู้ตรวจการฯ ส่งศาลรธน.วินิจฉัย 'พ.ร.บ.ประชามติ' ขัดรัฐธรรมนูญ


10 พ.ค.2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุม 903 ชั้น 9 อาคาร B ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) พร้อมด้วย ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ไกรศักดิ์ ชุณหะวัน อดีต ส.ส.และ ส.ว. และ นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นำหนังสือยื่นถึงประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่าน รักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการฯ เพื่อเร่งพิจารณาโดยเร่งด่วนและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรม วินิจฉัยว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 มาตรา 61 วรรค 2 และวรรค 4 ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ไม่ได้
โดยหนังสือดังกล่าวมีทั้ง อดีต ส.ส. อดีตกรรมการสิทธิฯ อดีตกรรมการเลือกตั้ง อดีตกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เครือข่ายองค์การพัฒนาเอกชนต่างๆ รวมทั้งนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยร่วมลงชื่อจำนวน 107 ราย 
จอน กล่าวว่า เจตนาการยื่นหนังสือครั้งนี้ไม่ได้ต้องการจะล้มกระบวนการทำประชามติ แต่ต้องการให้ประชาชนและสื่อมวลชน แสดงความเห็นได้เต็มที่ก่อนลงประชามติ เพราะการแสดงความคิดเห็นของประชาชนเป็นสิทธิเสรีภาพที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และเร่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเร่งพิจารณา เพราะการบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้มีแต่ส่งผลให้การทำประชามติที่จะมีขึ้น 7 ส.ค.2559 สูญเสียความชอบธรรม
ด้าน เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการฯ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในกระบวนการที่ต้องเอาหนังสือร้องเรียนฉบับนี้ส่งให้ผู้ตรวจการฯ  และถ้าหากผลการพิจารณาไม่เห็นด้วยกับทางผู้ร้องเรียนก็ต้องมีการอธิบายว่าเหตุผลอย่างชัดเจน หลักเกณฑ์การพิจารณาจะดูประเด็นที่ร้องเรียนว่าเป็นเช่นไร และอาจมีการสอบถามเพิ่มเติมจากผู้ที่ร้องเรียน เพื่อไม่ให้เกิดการตีหรือความเข้าใจไปไม่ตรงกันและไม่ให้เกิดความสับสน อาจต้องขอข้อมูลฝ่ายที่เกี่ยวข้องในประเด็น เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เมื่อข้อมูลครบถ้วน อำนาจก็จะอยู่ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ ถ้าไม่ส่งก็จะมีการอ้างอิงเหตุผลให้ทราบ ส่วนเรื่องเวลาในการตัดสินใจต้องจะดำเนินการให้เร็วที่สุดแต่ยังไม่ทราบว่าเมื่อใด
ขณะที่ นิรันดร์ กล่าวว่า การยื่นหนังสือร้องเรียน พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 มาตรา 61 วรรค 2และ 4 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินจำเป็นต้องเร่งพิจารณาอย่างเร่งด่วน เนื่องจาก 1. พ.ร.บ.นี้จะเป็นจุดขยายความขัดแย้งรุนแรงในสังคมไทยโดยไม่มีความจำเป็น ต้องยอมรับว่าประชามติเป็นเรื่องดีในระบอบประชาธิปไตย แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องเข้าใจว่าจิตวิญญาณของประชามตินั้นอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน รัฐธรรมนูญที่ประชาชนเป็นเจ้าของไม่ใช่เป็นของรัฐบาล คสช. และ 2. ใช้กลไกผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ ที่องค์กรอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เพื่อให้ใช้อำนาจการบริหารอย่างเป็นธรรม กระบวนการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่เปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วม ประชาชนอยู่ในบรรยากาศที่เกรงกลัวรัฐบาลและไม่กล้าพูดความจริง กระบวนการประชามติจะเป็นกระจกสะท้อนตัวร่างรัฐธรรมนูญและเป็นผลดีต่อการทำงานรัฐบาล ดังนั้นรัฐบาลต้องไม่ติดกับดักว่าถ้าการรับร่างรัฐธรรมนูญคือพวกรัฐบาล หรือถ้าไม่รับคือต่อต้านเป็นฝ่ายตรงข้าม และใช้บทลงโทษรุนแรงกับการอภิปราย
ไกรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างมาจากรัฐบาลรัฐประหาร ถ้าสังเกตรัฐธรรมนูญปี 2550 สมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะที่ร่างฯร่างรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิกับประชาชน สิทธิชุมชน ให้มีการปกป้องวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมมากที่สุด อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่าไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่จะร่างรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดได้ แต่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้เป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างกันในภาวะที่ประเทศไทยมีความขัดแย้งสูง เราเข้าใจเรื่องความมั่นคง แต่ระบบประชาธิปไตยและวัฒนธรรมของโลกในศตวรรษที่ 21 มาตรฐานสิทธิมนุษยชนค่อนข้างจะสูง ถ้าจะให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านโดยเสียงของประชาชนต้องมีการอนุญาตให้มีการเปิดกว้างเสรี ในด้านการวิพากษ์วิจารณ์ในทุกมาตรา ประชาชนจะได้เข้าใจสาระเนื้อหาเป็นอย่างไรเขาจะรับหรือไม่รับเป็นสิทธิของประชาชน แต่ปัจจุบันสร้างบรรยากาศของความหวาดกลัวและไม่เข้าใจร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ขณะที่ เอกชัย ไชยนุวัติ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม หนึ่งในผู้ร่วมลงชื่อในหนังสือนี้ กล่าวว่า ในฐานะนักกฎหมายอ่านร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ปี 2559 แล้ว มีความน่ากลัวในความผิด ม.61 วรรค 2 วรรค 4 ตรงที่ว่าไม่ส่งเสริมประชาชนให้มีการอภิปรายเกิดขึ้น ประชามติเป็นเรื่องของการใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรงของประชาชน ถ้าไปเปรียบเทียบดูร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ปี 2552 เปรียบเทียบกับ ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ปี 2559 ข้อความที่ปรากฏในวรรค 2 นักกฎหมายยังกลัว เพราะกฎหมายการจะลงโทษเอาคนไปติดคุก 10 ปี ปรับ 200,000 บาท นั้นต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพ การที่จะจับคนไปติดคุกโดยที่ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นผิดหรือไม่ผิดแม้แต่วันเดียวหรือวินาทีเดียวก็ทำไม่ได้ คำว่า “ก้าวร้าว” “รุนแรง” ถ้าประชาชนเขาไม่ชอบรัฐบาลจะให้เขาแสดงออกอย่างไร ผู้ตรวจการแผ่นดินมีหน้าที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณา ท่านอาจจะไม่เห็นว่า ม.61 วรรค 2 วรรค 4 มันไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างไร แต่ถ้าประชาชนเห็นว่าขัดท่านต้องตอบให้ได้ว่าเพราะเหตุใด รัฐธรรมนูญเป็นของทุกคน การที่เปิดกว้างให้รัฐธรรมนูญได้มีการอภิปรายทั้งดีและไม่ดีสุดท้ายผลประโยชน์จะตกอยู่กับรัฐบาล  

รายละเอียดหนังสือร้องเรียนดังกล่าว : 

เรื่อง ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 มาตรา 61 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เรียน ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
ตามที่ได้มีการ ประกาศใช้พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 เมษายน  2559 เพื่อควบคุมดูแลการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 นั้น ปรากฏว่ากฎหมายฉบับนี้มีเนื้อหาขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน และขัดกับรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 วรรคสองว่า
"ผู้ใดดําเนินการเผยแพร่ข้อความ ภาพ เสียง ในสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือในช่องทางอื่นใด ที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงหรือมีลักษณะรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่โดยมุ่งหวังเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําการก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย"
ซึ่งความผิดตามมาตรานี้มีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ปรับไม่เกินสองแสนบาท และศาลอาจสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกําหนดไม่เกินห้าปีด้วยก็ได้ และหากเป็นกรณีที่เป็นการกระทําความผิดของคณะบุคคลตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกําหนดสิบปี
ผู้ร้องตามรายชื่อข้างท้ายนี้ มีความเห็นว่า มาตรา 61 วรรคสอง บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิดโดยใช้ถ้อยคำที่กว้างและคลุมเครือ เช่นคำว่า "รุนแรง" "ก้าวร้าว" "ปลุกระดม" ซึ่งเป็นคำที่ไม่เคยมีนิยามอยู่ในกฎหมายฉบับใดมาก่อน ประชาชนไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการแสดงออกอย่างใดจะผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งขัดต่อหลักการของกฎหมายอาญาที่ต้องชัดเจนแน่นอนให้ประชาชนสามารถทราบถึงขอบเขตของสิทธิเสรีภาพได้ ส่วนการแสดงออกด้วยถ้อยคำที่ "หยาบคาย" นั้น ตามปกติแล้วแม้จะเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่ก็ไม่ใช่การกระทำที่ผิดกฎหมาย การบัญญัติมาตรา 61 วรรคสองเช่นนี้ จึงเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินขอบเขต โดยไม่มีเหตุอันสมควร
บทกำหนดโทษของความผิดตามมาตรา 61 วรรคสอง เป็นโทษที่รุนแรงเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำที่เป็นเพียงแค่การแสดงออกซึ่งความคิดเห็นโดยสงบ ปราศจากความรุนแรง อัตราโทษจำคุกไม่เกินสิบปีนั้นเทียบได้กับความผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาท หรือฐานทำให้หญิงแท้งลูกและถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และ 320 ส่วนการกำหนดโทษขั้นต่ำของการกระทำตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปก็รุนแรงเกินไปอีกเช่นกัน โดยเทียบได้กับความผิดฐานหลอกลวงผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร หรือความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284 และมาตรา 338 ขณะที่ความผิดฐานยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนเกิดความกระด้างกระเดื่อง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 มีโทษสูงสุด คือ จำคุกไม่เกินเจ็ดปีเท่านั้น
ในทางปฏิบัติยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกด้วยว่า หลังพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ประกาศใช้ เจ้าหน้าที่รัฐตีความกฎหมายอย่างกว้าง โดยเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2559 มีการรื้อนิทรรศการการเมืองเรื่องรัฐธรรมนูญของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีการพยายามจับกุมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยมหิดลที่แจกเอกสารรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งสองครั้งเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ระบุเหตุผลให้แน่ชัดว่าขัดต่อกฎหมายอย่างไร และเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2559 กรรมการการเลือกตั้งก็เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่โพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญด้วยถ้อยคำหยาบคาย ต่อมาในวันเดียวกันตำรวจแถลงข่าวการจับกุมดำเนินคดีกับผู้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กดังกล่าว
ผู้ร้องขอเรียนเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังจะเดินหน้าเข้าสู่การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยประชาชนจำเป็นต้องได้รับข้อมูลอย่างรอบด้านเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจ บรรยากาศของสังคมที่เปิดกว้างสำหรับการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นในหมู่ประชาชนจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง หากมีผู้ใดเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญในประเด็นใดก็จำเป็นที่จะต้องมีเสรีภาพในการเสนอข้อเท็จจริงและความคิดเห็นต่อสาธารณะ รวมทั้งเสรีภาพที่จะรณรงค์สนับสนุนหรือคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สาธารณชนได้เรียนรู้เข้าใจข้อดีข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญก่อนร่วมกันลงเสียงประชามติ แต่บรรยากาศที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เมื่อประชาชนไม่มั่นใจถึงขอบเขตสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลและความคิดเห็นหรือรรณรงค์ภายใต้พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 61 วรรคสองและวรรคสี่ ซึ่งมีความคลุมเครือ ประกอบกับการกระทำผิดมาตราดังกล่าวมีโทษสูงมาก ประชาชนทั่วไปจึงเกิดความเกรงกลัวในการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญ ในขณะที่รัฐบาลเดินหน้าสื่อสารข้อมูลฝ่ายเดียวส่วนประชาชนที่เห็นต่างกลับถูกกดดันด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ให้แสดงความเห็น ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ มีแต่จะส่งผลให้การทำประชามมติที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 สูญเสียความชอบธรรม
เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชนเป็นสิทธิเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับ จึงถือได้ว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยังได้รับการรับรองในกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับที่ประเทศไทยลงนามเข้าเป็นภาคี เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) จึงย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว ปี 2557 มาตรา 4 ด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ซึ่งมีอำนาจปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ประกอบกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ผู้ร้องตามรายชื่อข้างท้ายนี้ จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 245 (1) และรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี 2557 มาตรา 45 ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 มาตรา 61 วรรคสองและวรรคสี่ ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ไม่ได้ เพื่อคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และสร้างบรรยากาศของสังคมไปสู่การทำประชามติที่มีคุณภาพ
รายชื่อผู้ร่วมลงนาม
1)        จอน  อึ๊งภากรณ์   ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน, อดีตสมาชิกวุฒิสภา
2)        นิรันดร์  พิทักษ์วัชระ  อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, อดีตสมาชิกวุฒิสภา
3)        ไกรศักดิ์  ชุณหะวัณ  อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, อดีตสมาชิกวุฒิสภา
4)        สุนี  ไชยรส  อดีตกรรมการปฎิรูปกฎหมาย, อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
5)        ไพโรจน์  พลเพชร  อดีตกรรมการปฎิรูปกฎหมาย
6)        โคทม  อารียา  อดีตกรรมการเลือกตั้ง
7)        ศรีสุวรรณ  ควรขจร  ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน
8)        โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์  รองศาสตราจารย์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
9)        คาริน่า โชติรวี  ผู้ช่วยศาสตราจารย์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
10)      ฉลอง  สุนทราวาณิชย์  รองศาสตราจารย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
11)      เกษม  เพ็ญภินันท์ ผู้ช่วยศาสตรจารย์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  
12)      ฉันทนา  หวันแก้ว อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
13)      สุริชัย  หวันแก้ว  ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย
14)      เดชา  ตั้งสีฟ้า คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
15)      นฤมล  ทับจุมพล  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
16)      ณัฐพล  ตันตระกูลทรัพย์  นักวิจัย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
17)      บาหยัน  อิ่มสำราญ  รองศาสตราจารย์ คณะอักศรศาสตร์  มหาวิทยาลัยศิลปากร
18)      สุธาชัย  ยิ้มประเสริฐ  อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
19)      เอกพลณัฐ ณัฐพัทธนันท์  อาจารย์ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
20)      พิพัฒน์  สุยะ  อาจารย์ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
21)      ชาญณรงค์  บุญหนุน  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
22)      คมกฤช  อุ่ยเต็กเค่ง  ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์  มหาวิทยาลัยศิลปากร
23)      นาตยา  อยู่คง  อาจารย์ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
24)      ศราวุฒิ  ประทุมราช กรรมการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
25)      ฒาลลัศมา จุลเพชร  นิสิตปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
26)      อเนกชัย  เรืองรัตนากร นิสิตปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
27)      แพร  จิตติพลังศรี  อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
28)      ปัญญา  พราหมณ์แก้ว  นิสิตปริญญาโท สหสาขพัฒนามนุษย์สังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
29)      นิติรัตน์  ทรัพย์สมบูรณ์  กรรมการอำนวยการ กลุ่มเพื่อนประชาชน
30)      สุธิลา  ลืนคำ ฝ่ายสตรี กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง
31)      สุดท้าย  ต่อโชติ  กรรมการสหภาพแรงงานไทยคูราโบ
32)      เยาวลักษ์  อนุพันธ์  หัวหน้าศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
33)      ชำนาญ  จันทร์เรือง  ประธานเครือข่ายบ้านชุ่มเมืองเย็น
34)      จุลศักดิ์  แก้วกาญจน์  สมาชิกฝ่ายวิชาการ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
35)      เลิศศักดิ์  คำคงศักดิ์  ผู้ประสานงาน โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่
36)      ส.รัตนมณี  พลกล้า  ผู้ประสานงาน/ทนายความ มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
37)      อรรถจักร์  สัตยานุรักษ์  ศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
38)      สายชล  สัตยานุรักษ์  ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
39)      เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒวนิช  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
40)      วราภรณ์  เรืองศรี  อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
41)      กฤตภัค  งามวาสีนนท์ ผู้ช่วยวิจัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
42)      ไชยันต์  รัชชกูล ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
43)      วุฒิชาติ  ชุ่มสนิท (บินหลา  สันกาลาคีรี) นักเขียน
44)      อรุณวตี ฉัตรเท นักร้อง
45)      เสนาะ  เจริญพร  อาจารย์ มหาวิทยาลัยอุบลราชานี
46)      ธนาพล  อิ๋วสกุล
47)      สังคม  จิรชูสกุล  ประชาชน
48)      ชโลมใจ  ชยพันธนาการ  ราษฎร
49)      วรพจน์  พันธุ์พงศ์
50)      รณวัฒน์  จันทร์จารุวงศ์
51)      ธีรพล  อันมัย อาจารย์คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
52)      ชูวัส  ฤกษ์ศิริสุข  บรรณาธิการอำนวยการ เว็ปไซต์ประชาไท
53)      ธีรพันธุ์ พันธุ์คีรี ทนายความ
54)      พรทิพย์ หงชัย
55)      เอกชัย อิสระทะ เครือข่ายพิทักษ์สิทธิชุมชนเขาคูหา อ.รัตภูมิ จ.สงขลา
56)      แววรินทร์ บัวเงิน ผู้ประสานงานกลุ่มรักษ์บ้านแหง จ.ลำปาง
57)      สุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ ผู้แทนกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด
58)      เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว อาจารย์สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
59)      กิตติกาญจน์ หาญกูล
60)      ชุทิมา ชื่นหัวใจ
61)      วัฒนา นาคประดิษฐ์ เจ้าหน้าที่โครงการอาสาสมัครเพื่อนักสิทธิมนุษยชน มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม
62)      ศิริพร ฉายเพ็ชร ผู้ประสานงานโครงการพัฒนาคนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม
63)      วิบูลย์ บุญภัทรรักษา ทนายความ สำนักงานทนายความวิบูลย์ บุญภัทรรักษา
64)      สุทธิเกียรติ คชโส นักกฎหมาย ศูนย์กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม
65)      ธัญญารัศมิ์ สินทรธรรมทัช ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ป่วยจากการทำเหมืองแร่ทองคำพิจิตรและเพชรบูรณ์
66)      คำปิ่น อักษร ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนคนฮักน้ำโขง
67)      ทวีศักดิ์ อินกว่าง ผู้ประสานงานเครือข่ายเชียงรากใหญ่
68)      ณัฐชลี สิงสาวแห ผู้ประสานงานเข้าใจคิด โปรดั๊กชั่น
69)      สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
70)      จันทรา ธนะวัฒนาวงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
71)      เอกชัย ไชยนุวัต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
72)      อนันต์ เมืองมูลไชย  ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ แห่งประเทศไทย เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ แห่งประเทศไทย
73)      สุภาพร ถิ่นวัฒนากูล  เลขาธิการ มูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา
74)      เจษฎาพร ทองงาม  ผู้จัดการกลุ่มพะยูนศรีตรัง
75)      อภิวัฒน์ กวางแก้ว  ผู้ประสานงานเครือข่ายเพื่อนเยาวชนอาสาที่อยู่กับเชื้อเอชไอวี
76)      เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล เจ้าหน้าที่ประสานงานรณรงค์มูลนิธิเข้าถึงเอดส์
77)      นิมิตร์ เทียนอุดม  ประธานคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์
78)      จารุณี ศิริพันธุ์  รองผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์
79)      กาญจนา แถลงกิจ  เครือข่ายสุขภาพผู้หญิงจังหวัดเชียงใหม่
80)      สารี อ่องสมหวัง
81)      กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสาน FTA Watch (กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน)
82)      เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช ในนามของสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
83)      สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
84)      ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
85)      สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
86)      กฤษณ์พชร โสมณวัตร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
87)      นัทมน คงเจริญ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
88)      วรยุทธ ศรีวรกุล สมาชิกเครือข่ายส่งเสริมสังคมที่ยุติธรรมและสันติ
89)      สุรัสวดี  หุ่นพยนต์  ผู้ช่วยศาสตรจารย์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
90)      ศิริจิต  สุนันต๊ะ  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยมหิดล
91)      มนตรา  พงษ์นิล อาจารย์ คณะสังคมวิทยาและมานุษวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
92)      บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์ คณะสังคมวิทยาและมานุษวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
93)      พงษ์ศักดิ์ รัตนวงศ์  อาจารย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
94)      บัณฑิต  ไกรวิจิตร อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
95)      มูฮัมหมัดอิลยาส  หญ้าปรัง  อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
96)      เยาวนิจ กิตติธรกุล  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
97)      ศุภวิทย์  ถาวรบุตร  อาจารย์ คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
98)      สมิทธิรักษ์  จันทรักษ์  อาจารย์ นักวิชาการอิสระ
99)      ปราโมทย์  ระวิน อาจารย์ นักวิชาการอิสระ
100)   ดวงกมล  จิตร์จำนงค์  ข้าราชการบำนาญ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี
101)   เคท  ครั้งพิบูลย์  อาจารย์ นักวิชาการอิสระ
102)   จาตุรงค์  บุณยรัตนสุนทร  ประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน
103)   พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์  รองศาสตราจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
104)   นภาพร  อติวานิชพงศ์  รองศาสตราจารย์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
105)   อนุสรณ์ อุณโณ  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะสังคมวิทยาและมนุษย์วิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
106)   เกษียร  เตชะพีระ ศาสตราจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
107)   พิชญ์  พงษ์สวัสดิ์  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะรัฐศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  

เพจ Facebook Security โพสต์แจงใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุด หลังกระแสไม่ไว้ใจ-ย้ายไป minds


เพจ Facebook Security โพสต์เป็นภาษาไทย "เรานำมาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับสูงสุดมาใช้" หลังกระแสไม่ไว้ใจเฟซบุ๊ก-ย้ายไป minds

10 พ.ค. 2559 วานนี้ เพจ Facebook Security โพสต์เป็นภาษาไทย ระบุว่า "เรานำมาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับสูงสุดมาใช้เพื่อช่วยปกป้องคุณและข้อมูลของคุณเมื่อคุณใช้ Facebook"
พร้อมข้อความว่า "การเชื่อมต่อและแบ่งปันเรื่องราวบน Facebook ช่วยให้คุณสามารถใกล้ชิดกับครอบครัว เพื่อนๆ และติดตามข่าวสารข้อมูลทั้งจากในสังคม หรือธุรกิจที่คุณสนใจได้เป็นอย่างดี
"ทั้งนี้เพื่อให้คุณสามารถใช้งาน Facebook ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การรักษาความปลอดภัยบัญชีผู้ใช้ของคุณจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เรามีฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยขั้นสูงที่ช่วยปกป้องคุณ และข้อมูลของคุณในเวลาที่คุณใช้ Facebook เราขอแนะนำให้คุณใช้ฟีเจอร์ "การอนุมัติการเข้าสู่ระบบ" ซึ่งจะทำให้การพยายามเข้าสู้ระบบจากผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของบัญชีมีความยากยิ่งขึ้นไปอีก

"เรียนรู้การใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ที่
https://www.facebook.com/about/basics/how-to-keep-your-account-secure/login-approvals?locale=th_TH"

อนึ่ง เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดกระแสความไม่ไว้ใจในเรื่องความปลอดภัยในการใช้งานเฟซบุ๊ก ทำให้ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กในประเทศไทยจำนวนหนึ่ง หันไปใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก minds โดยกระแสดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผู้ดูแลหน้าเฟซบุ๊กและนักกิจกรรมทางการเมืองจำนวน 8 คนถูกเจ้าหน้าที่ทหารบุกจับกุม หนึ่งในนั้นให้สัมภาษณ์สื่อว่า เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงข้อความในกล่องข้อความส่วนตัว (inbox) ของเขาได้โดยไม่จำเป็นต้องถามรหัสผ่านจากเขา ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมายืนยันว่า ตำรวจเข้าถึงข้อมูลได้จริง และเป็นการได้ข้อมูลมาโดยชอบด้วยกฎหมาย
ต่อมา 6 พ.ค. 2559 เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลงานด้านประชาสัมพันธ์ของเฟซบุ๊กประจำสำนักงานในกรุงลอนดอนเปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า เฟซบุ๊กมีแนวปฏิบัติทางกฎหมายที่กำหนดกระบวนการอันเข้มงวดของเฟซบุ๊กในการดำเนินการกับคำขอของรัฐบาลในกรณีที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊ก และในรายงานล่าสุดเกี่ยวกับคำขอของรัฐบาลก็บ่งชี้ชัดว่าเฟซบุ๊กไม่ได้ให้ข้อมูลใดๆ กับทางการไทย
ขณะที่เครือข่ายพลเมืองเน็ต ล่าชื่อผ่าน Change.org เพื่อตั้งคำถามไปยังเฟซบุ๊กว่า ได้ให้ข้อมูลหรือร่วมมือกับรัฐบาลไทยหรือไม่ สืบเนื่องจากกรณีแอดมินเพจล้อการเมืองระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าถึงกล่องแชท, กรณีเพจเฟซบุ๊กหนึ่งซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้จากเมืองไทย โดยระบบแจ้งว่าเนื่องจากข้อจำกัดของกฎหมายท้องถิ่น และกรณีคณะกรรมการปฏิรูปสื่อของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศอ้างว่าเตรียมเข้าพบกับผู้บริหารของเฟซบุ๊ก เพื่อขอความร่วมมือกับเฟซบุ๊กในการลบเนื้อหาโดยไม่ต้องมีคำสั่งศาล
นอกจากนี้ เครือข่ายพลเมืองเน็ต ยังได้มีคำแนะนำไปยังเฟซบุ๊กว่า ต้องระวังมากขึ้นในการพิจารณาคำขอ "ตามกฎหมาย" ของรัฐบาล หลังรัฐบาลไทยมีท่าทีปราบผู้รณรงค์ 'ไม่รับ' ร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านการบังคับใช้กฎหมายหลายฉบับ และร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ใหม่ เปิดให้ขอคำสั่งศาลเซ็นเซอร์เนื้อหาได้ แม้ไม่ผิดกฎหมาย
ล่าสุด มีผู้ร่วมลงชื่อ 2,487 ราย