"ส.ส.ร.40" ยัน "ศาล รธน." ล้มล้างและบัญญัติ รธน.ใหม่เสียเอง | |
ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. กลุ่มสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 40 (ส.ส.ร.40) ประมาณ 20 คน นำโดย นายคณิน บุญสุวรรณ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ นายบุญเลิศ คชายุทธเดช นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง ได้หารือร่วมกันถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคแรก พร้อมกับมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติในวาระสามของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ภายหลังการหารือกลุ่มส.ส.ร.40 ได้ออกจดหมายเปิดผนึกในนามของกลุ่มส.ส.ร.40 โดยนายคณินกล่าวว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 50 ส่วนใหญ่ลอกมาจากรัฐธรรมนูญปี 40 โดยเฉพาะมาตรา 68 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาขณะนี้ ก็ลอกมาจากมาตรา 63 ของปี 40 เพียงแต่มีการเพิ่มเติมบทลงโทษไว้ในวรรคสี่ คือยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ถือเป็นการจงใจเบี่ยงเบนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญปี 40 ในการสัมมนาภายหลังการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2543 ได้กำหนดกรอบปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญเป็นบรรทัดฐานมาเกือบ 9 ปี ว่าทุกเรื่องผู้ร้องจะต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนที่อัยการสูงสุดจะยื่นหรือไม่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย นายคณินกล่าวว่า ที่ผ่านมาส.ส.พรรคไทยรักไทย เคยยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นเรียกร้องขอนายกฯพระราชทานตามมาตรา 7 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2549 ยังปฏิเสธไม่รับคำร้อง โดยให้ไปยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน การอ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ถูกยกเลิกไป ศาลรัฐธรรมนูญชุดใหม่ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของชุดเดิม ถือว่าไม่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีบรรทัดฐานอะไรเลย ขณะที่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญ 40 คือการบัญญัติการกระทำผิดตามมาตรา 63 ว่าการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจเท่านั้น “ดังนั้นการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการล้มล้างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเสียเอง ถึงขั้นบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยพลการ ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรย่อมก่อให้เกิดความเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง เท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว จากนี้ไปไม่ว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวแตะต้อง หรือแม้แต่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป หมายความว่านอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจตีความแล้ว ยังมีอำนาจในการควบคุมรัฐสภา ควบคุมครม. และควบคุมประชาชนอีกด้วย ซึ่งจะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้ง และเกิดวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุดจนมิอาจพยากรณ์ได้ว่าสุดท้ายจะเกิดหายนะต่อบ้านเมืองอย่างไร” นายคณิน กล่าว | |
http://redusala.blogspot.com |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555
"ส.ส.ร.40" ยัน "ศาล รธน." ล้มล้างและบัญญัติ รธน.ใหม่เสียเอง
รำลึก 24 มิถุนา วันชาติไทย ณ หมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2555
รำลึก 24 มิถุนา วันชาติไทย ณ หมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2555 | |
บรรยากาศรำลึก 80 ปี ปฏิวัติประชาธิปไตย 2475 ณ หมุดคณะราษฎร ลานพระรูปทรงม้าตั้งแต่เวลา 05.30 น. เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2555 | |
http://redusala.blogspot.com |
ประกาศหลัก 6 ประการของคณะราษฎรที่ 2
ประกาศหลัก 6 ประการของคณะราษฎรที่ 2 | |
ประกาศหลัก 6 ประการของคณะราษฎรที่ 2 Sun, 2012-06-24 15:10 กองทัพต้องยุติบทบาททางการเมือง,ต้องดำเนินคดีแก่คนที่สั่งฆ่าประชาชน,ผลักดันรวมตัวและการเจรจาต่อรองของคนงาน ความยุติธรรมต้องเสมอกัน,หยุดใช้ ม. 112 ปล่อยนักโทษการเมืองและให้เสรีภาพในทางวิชาการและให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร 5.00 น. วันนี้(24 มิ.ย.2555) ณ หมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้า กลุ่มนักกิจกรรมหลายกลุ่มที่ได้ร่วมรำลึก 80 ปี 24 มิ.ย. 2475 การอภิวัฒน์ประชาธิปไตยของคณะราษฎร โดยหนึ่งในกลุ่มกิจกรรมที่ร่วมรำลึกคือคณะราษฎรที่ 2 ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของนักศึกษากลุ่มสะพานสูงและกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกลุ่มประชาคมจุฬาเพื่อประชาชน จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แต่งตัวเป็นคณะราษฎร เช่น พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน), พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน), หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ), หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์), หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) และประยูร ภมรมนตรี เป็นต้น โดยในเวลา 6.40 น. คณะดังกล่าได้มีการอ่านประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 และหลังจากนั้น ได้มีการอ่านหลัก 6 ประการใหม่ของคณาราษฎรที่ 2 ที่มีการปรับเข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน ดังนี้ หลักประการที่ ๑ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร : หลักเอกราช เอกราช หมายถึง ความเป็นอิสระแก่ตน ไม่ขึ้นต่อผู้อื่น ในการอภิวัฒน์เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ คณะราษฎรได้ประกาศหลักประการแรกในการปกครองประเทศด้วยระบอบประชาธิปไตยว่า “จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง” เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ความเป็นเอกราชที่คณะราษฎรมุ่งหวังจะรักษาคงจะหมายถึงการที่ประเทศสยามต้องไม่เป็นเมืองขึ้นต่อประเทศอื่นใด เช่น ไม่สูญเสียดินแดนของประเทศ ไม่เป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของประเทศอื่น ไม่เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต เป็นต้น เนื่องจากสยามนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางดินแดนของจักรวรรดิต่างๆ ประกอบกับในเวลานั้นได้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ไปทั่วโลก และรัฐบาลกษัตริย์ที่เคยใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ทำให้ประเทศสุ่มเสี่ยงที่ล้มละลายและอาจตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติได้ ซึ่งหากสยามตกเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่น การบริหารประเทศก็ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาตินั้น ไม่อาจทำเพื่อประโยชน์ของราษฎรสยามได้เลย มาถึงวันนี้ ๘๐ ปีผ่านไป สถานการณ์โลกดำเนินไปสู่การแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี มีกฎกติกาสากลที่จะคอยป้องกันมิให้ประเทศใดรุกรานประเทศอื่น อีกทั้งประเทศไทยยังมีเศรษฐกิจที่มั่นคง ยังมีทุนสำรองอยู่เป็นจำนวนมาก มิได้ประสบปัญหาถึงขนาดที่จะเอาตัวไม่รอด สิ่งเหล่านี้จึงเป็นหลักประกันในความเป็นเอกราชของประเทศไทย แต่ในขณะที่ประเทศเป็นเอกราชนั้น ยังมีสิ่งซึ่งเป็นเสาหลักของระบอบประชาธิปไตยที่ตลอด ๘๐ ปีที่ผ่านมาถูกแทรกแซงอยู่เสมอ ไม่ได้มีเอกราชไปด้วย นั่นคือองค์กรที่มีหน้าที่ใช้อำนาจอธิปไตยแห่งระบอบประชาธิปไตย และองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆ เปรียบเสมือนผลไม้ที่เปลือกนอกสวยงามแต่มีเนื้อในที่เน่าเฟะ ระบอบประชาธิปไตยได้กำหนดอำนาจอธิปไตยไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยแบ่งการใช้อำนาจเป็นสามส่วน ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจ อำนาจบริหารมีรัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจ และอำนาจตุลาการมีศาลเป็นผู้ใช้อำนาจ อำนาจทั้งสามนี้จะทำหน้าที่ของตัวเองและคอยถ่วงดุลมิให้อำนาจอื่นมีมากเกินไปตามที่กฎหมายกำหนด และเนื่องจากระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่อำนาจเป็นของราษฎร อำนาจอธิปไตยแห่งระบอบประชาธิปไตยจึงต้องใช้เพื่อประโยชน์ของราษฏร แต่ในความเป็นจริงกลับมีการแทรกแซงและขัดขวางมิให้เป็นไปตามนั้น การแทรกแซงนี้เกิดโดยการที่กลุ่มคนที่คิดว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น และต้องการมีอำนาจในสังคม เช่น ทหาร นายทุนนักธุรกิจ หรือผู้มีสถานะทางสังคมสูงส่ง เป็นต้น ได้บงการบุคลากรขององค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตย และองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆ ให้ใช้อำนาจสนองความต้องการของพวกตน และบุคลากรผู้ไม่มีใจเป็นประชาธิปไตยก็ได้ศิโรราบยอมเป็นเครื่องมือของอำนาจนอกระบบเหล่านั้น มีทั้งการดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่อำนาจนอกระบบ การไม่เข้าร่วมประชุมสภา หรือการถ่วงดุลการใช้อำนาจอื่นอย่างเกินขอบเขตที่จะกระทำได้ มีการอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายและการตีความกฎหมายเข้าข้างตนเองเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่การกระทำเหล่านั้น นอกจากนี้อำนาจนอกระบบยังใช้วิธีการที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาขัดขวางการใช้อำนาจอธิปไตย เช่น การรัฐประหาร การชุมนุมประท้วงโดยผิดกฎหมายเพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้อำนาจอธิปไตยขาดเอกราช ต้องไปรับใช้อำนาจนอกระบบ ไม่อาจสร้างประโยชน์สุขแก่ราษฏรได้ ด้วยเหตุนี้ คณะราษฎรที่สอง ต่อต้านอำนาจนอกระบบ จึงมีข้อเรียกร้องเพื่อให้เกิดเอกราชดังนี้ ๑. บุคลากรขององค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยและองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆ จักต้องหยุดทำตัวเป็นขี้ข้ารับใช้อำนาจนอกระบบ และใช้อำนาจของท่านโดยยึดหลักประชาธิปไตย ท่านเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดของประเทศ ไม่มีอำนาจใดที่เหนือไปกว่านี้ ๒. กต้องปลูกฝังค่านิยมในการใช้อำนาจอธิปไตยแห่งระบอบประชาธิปไตยเป็นวิธีการปกครองและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศ และกำจัดค่านิยมในการใช้วิธีการอื่นหรือการขัดขวางการใช้อำนาจอธิปไตยทุกรูปแบบ ๓. กองทัพจักต้องยุติบทบาททางการเมือง เนื่องจากตลอด ๘๐ ปีที่ผ่านมา กองทัพเป็นเครื่องมือที่สำคัญของอำนาจนอกระบบในการทำลายความเป็นเอกราชของอำนาจอธิปไตยแห่งระบอบประชาธิปไตย ๔. การถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจอธิปไตยจักต้องไม่มากเกินส่วนที่กฎหมายกำหนด โดยการตีความกฎหมายต้องเป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง ๕. สื่อจักต้องนำเสนอข่าวการกระทำที่เป็นการทำให้เอกราชของอำนาจอธิปไตยและองค์กรตามรัฐธรรมนูญต้องเสื่อมเสียไป โดยให้ข้อมูลละเอียดครบถ้วน และแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านการกระทำเหล่านั้น ราษฎรทั้งหลายจงร่วมกันรักษาเอกราชของอำนาจอธิปไตยแห่งระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้เป็นอำนาจที่บริสุทธิ์ที่มุ่งใช้เพื่อประโยชน์สุขแก่ราษฎรเอง ให้ประเทศไทยได้มีเอกราชอย่างแท้จริง หลักประการที่ ๒ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร : หลักความปลอดภัย “จงพึงระลึกไว้ว่าประเทศนี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของพวกเจ้าอย่างที่หลอกลวงกัน” เสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความยุติธรรมและประชาธิปไตย คือหลักความมั่นคงและความปลอดภัยของพลเมืองชาวสยาม ราษฎรทั้งหลาย คนเรานั้นเกิดมาใยแตกต่างกัน? ทำไมคนเราถึงได้รับความคุ้มครองความปลอดภัยที่ไม่เท่ากัน? ทั้งๆที่คนเรานั้นเป็นมนุษย์เหมือนกัน ทั้งๆที่เป็นชาติเดียวกัน อาจแตกต่างกันบ้างในด้านความร่ำรวย หรือชื่อเสียงเกียรติยศ แต่นั่นทำให้เขาได้รับความปลอดภัยแตกต่างกันหรือ? ราษฎรทั้งหลาย เราต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ อุดมการณ์ที่เราหวังว่าสักวันหนึ่งชีวิตของเราจะดีขึ้น ผิดหรือที่เราต้องการประชาธิปไตย ผิดหรือที่เราเกิดมาเป็นคนไทย และเราเป็นกบฎหรือที่เราเรียกร้องในสิ่งที่เราควรได้ เราทำสิ่งต่างๆเพื่อขับเคลื่อนประเทศให้เจริญงอกงาม แต่คนบางกลุ่มซึ่งได้รับผลต่างๆจากสิ่งที่เราทำ ทั้งๆที่เราทำประโยชน์ต่อพวกเขา แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับฆ่าพวกเรา ฆ่าพวกเราดั่งผักปลา พวกเขาคือทรราชย์ของแผ่นดิน ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐต้องให้ความคุ้มครองต่อราษฎร แต่เขาเหล่านั้นกลับมองมาและฆ่าพวกเราดั่งไม่ใช่คนชาติเดียวกัน ราษฎรทั้งหลาย พี่น้องเรานั้นต่อสู้เพื่ออนาคตของประเทศที่จะเบ่งบานในวันข้างหน้า เราเรียกร้องสิทธิของเราที่ควรจะได้รับความความคุ้มครองมาตั้งแต่กำเนิด สิทธิที่ว่านั้นคือ สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองความปลอดภัย ความปลอดภัยที่ไม่ใช่ลูกปืน ไม่มีประเทศใดที่ผู้มีอำนาจจะสั่งฆ่าประชาชนแล้วยังดำรงอยู่ในอำนาจต่อไปได้เป็นเวลานานเช่นนี้ แม้กระทั่งพระเจ้าซาร์รัสเซียเองที่สั่งฆ่าประชาชนก็มิอาจจะดำรงอยู่ในอำนาจได้ แต่เพราะเหตุใดเล่า บุคคลที่สั่งฆ่าประชาชนทั้งในเหตุการณ์ 14 ตุลา 6ตุลา หรือเมษาเลือด ถึงยังดำรงอยู่ในอำนาจได้ คณะราษฎรที่ 2 ไม่ได้มาที่นี่เพื่อแย่งอำนาจจากผู้ใด คณะราษฎรที่ 2 มาที่นี้เพื่อเรียกร้อง เรียกร้องความปลอดภัย ความปลอดภัยที่ราษฎรจักต้องได้ ไม่ใช่คำหลอกลวงและการโฆษณาว่าราษฎรจักได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จักได้รับการดูแลให้ชีวิตดีขึ้น แต่ชีวิตของราษฎรจะได้รับความปลอดภัยไม่ได้หากยังมีอำนาจนอกระบบที่คอยสั่งฆ่าประชาชน คณะราษฎรที่ 2 จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาล ดังนี้ 1. ปกป้องประเทศโดยการปกป้องชีวิต อิสรภาพและรัฐธรรมนูญของพลเมืองทุกท่าน ให้ปลอดภัย 2. ต้องมีหลักประกันที่ทำให้พลเมืองทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีและเป็นธรรมทุกด้าน ไม่มีอภิสิทธิ์ให้กับคนหนึ่งคนใดหรือกลุ่มคนใดโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะมียศถาบรรดาศักดิ์ มีฐานะชนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคมมากมายเพียงใด ไม่เว้นแม้แต่พวกเจ้าและโครงข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 3. ต้องเคารพหลักการสากลที่ส่งเสริมนิติรัฐ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง ซึ่งนานาอารยประเทศยึดถือปฏิบัติทุกข้อ 4. จะต้องสร้างความเป็นธรรมแก่ราษฎรที่สูญเสียต่อการกระทำของผู้มีอำนาจนอกระบบที่สั่งฆ่าประชาชน เพราะรัฐบาลไม่ได้ให้ความคุ้มครองความปลอดภัยแก่ประชาชนเท่าที่ควร 5. จักต้องมีการดำเนินคดีแก่คนที่สั่งฆ่าประชาชนตลอดจนทำลายอำนาจนอกระบบที่เป็นสาเหตุของการที่ประชาชนไม่ได้รับความปลอดภัย ขอให้รัฐบาลรู้เถิดว่า ท่านจงอย่ากลัว อย่ากลัวที่จะอยู่เคียงข้างประชาชน อย่ากลัวที่จะทำลายอำนาจนอกระบบ เพราะประชาชนอยู่เคียงข้างท่านแล้ว แต่หากท่านหาได้ดำเนินการเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ประชาชนผู้ที่ได้รับความอยุติธรรมแล้วไซร้ รัฐบาลก็หามีความชอบธรรมที่จะดำรงอยู่ต่อไปไม่ หลักประการที่ ๓ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร : หลักเศรษฐกิจ ราษฏรทั้งหลาย เมื่อรัฐบาลชุดนี้ได้รับเลือกตั้งให้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลในสภา ราษฎรบางคนได้มีความหวังว่านโยบายด้านเศรษฐกิจต่างๆ ที่ได้ให้คำมั่นเอาไว้ก่อนเลือกตั้งจะช่วยให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแต่ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังไม่ ราคาสินค้าเกษตรยังคงตกต่ำ ข้าวของราคาแพง ค่าแรงยังคงน้อย ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ รัฐบาลอันมาจากการเลือกตั้งของราษฎรยังคงไม่ฟังเสียงของราษฎร แต่กลับยกพวกพ่อค้าวานิช นายทุนผู้มีอันจะกินให้มีสิทธิ์พิเศษมากกว่าราษฎร ปล่อยให้เกษตรกร และแรงงานถูกกดขี่ข่มเหงตามยถากรรม การที่แก้ไขไม่ได้ ก็เพราะนโยบายเศรษฐกิจทั้งปวงนั้นมิได้เป็นไปเพื่อราษฎรแต่เป็นไปเพื่ออุ้มชูเหล่าคหบดีนายจ้าง และเพื่อประโยชน์แห่งชนชั้นนำผู้ถือหุ้น เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับปล่อยให้นายทุนทำนาบนหลังราษฎร จะเห็นได้ว่าน้ำมันซึ่งสมควรจะเป็นสมบัติสาธารณะอันราษฎรพึงมีสิทธิ์ที่จะได้ใช้ในราคาถูกอีกทั้งยังเป็นต้นทุนของสินค้าทั้งปวงกลับถูกผูกขาดจนน้ำมันมีราคาแพงเกินจริง ทั้งบรรษัทที่กุมท่อส่งและโรงกลั่นก็ยังไปเข้ากับเชฟรอนอันเป็นบรรษัทต่างชาติเสีย ไม่มีชนชาติใดที่ผลิตน้ำมันเองได้กว่ากึ่งหนึ่งจะต้องทนใช้น้ำมันราคาแพงฉะนี้ นอกจากอาร์เจนตินา ซึ่งชนชาตินั้นก็ได้ผ่านร่างกฎหมายยึดคืนบรรษัทน้ำมันจากบรรษัทต่างชาติเสียแล้ว รัฐบาลให้คำมั่นอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่า หลอกว่าจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอย ๆ ก็เหลวไป หาได้เป็นจริงดังคำสัญญาไม่ เมื่อปรับขึ้นค่าแรงนำร่องใน 7 จังหวัดก็ปรากฎให้เป็นที่ประจักษ์ว่าสินค้าต่างพากันขึ้นราคาแพง เพราะต้นทุนสูงขึ้น แต่ผลิตได้เท่าเดิม ทั้งนี้มิใช่เพราะราษฎรนั้นโง่ หรือเกียจคร้าน หากขาดโอกาส และรัฐบาลทุกสมัยก็หาได้มีเจตนาพัฒนาฝีมือแรงงานอย่างจริงใจไม่ เมื่อแรงงานด้อยทักษะฉะนี้แล้ว ค่าแรง 300 บาททั่วประเทศจึงเป็นเรื่องอันฟุ้งฝัน ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของคหบดีนายทุน ไม่ใช่ของราษฎรตามที่เขาหลอกลวง คณะราษฎรที่หนึ่งอันเป็นคณะราษฎรของแท้นั่นแหละ ได้ตั้งมั่นว่า “จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก” สุดท้ายมีแต่พวกเจ้าที่ชุบมือเปิบ คอยอุปถัมภ์ค้ำจุนนายทุน ถือหุ้นบรรษัทใหญ่กวาดเอาทรัพย์สินเอาไว้หลายแสนล้านบาท หุ้นเหล่านี้ได้มาจากไหน ก็ล้วนมาจากผลพวงของการอภิวัฒน์สยาม พุทธศักราช 2475 ทั้งสิ้น คณะราษฎรมุ่งหวังจะไม่ให้ราษฎรต้องอดอยาก ผ่านไปแล้ว 80 ปีแรงงานสยามยังคงตกอยู่ใต้เงื้อมมือของนายทุนใต้เงาเจ้า รัฐบาลรีรอไม่ลงนามรับรองอนุสัญญา ILO 87/98 ขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศที่จะคุ้มครองส่งเสริมการรวมตัวกันเป็นสหภาพและสร้างอำนาจต่อรองให้กับราษฎร ก็เพราะเกรงจะขัดแข้งขาคหบดีนายทุน แทนที่จะยึดเอาประโยชน์แห่งราษฎรเป็นที่ตั้ง รัฐบาลกลับฟังแต่เสียงของคหบดีนายทุนเรื่อยมา เหตุฉะนั้น ราษฎร นิสิตและนักศึกษาที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายดังกล่าวแล้ว จึ่งรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรที่สองขึ้น คณะราษฎรที่สองเห็นว่า การที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ ก็โดยที่จะต้องยุติการผูกขาดธุรกิจพลังงาน คืนสมบัติธรรมชาติแก่ราษฎร เร่งฝึกอาชีพพัฒนาฝีมือแรงงานอย่างจริงจังเพื่อให้นโยบายค่าแรง 300 ทั่วประเทศสัมฤทธิ์ผลในเร็ววัน โดยจะต้องมิใช่เพื่อประโยชน์แก่นายจ้าง แต่ต้องมุ่งเอาประโยชน์ของราษฎรเป็นสำคัญ ลงนามในอนุสัญญา ILO87/98 เพื่อผลักดันให้แรงงานมีสหภาพที่เข้มแข็งและสามารถต่อร่องกับคหบดีนายทุนได้อย่างทัดเทียม ขยายความคุ้มครองของประกันสังคมมิให้จำกัดแต่ในเพียงแรงงานในระบบแต่จะต้องคุ้มครองราษฎรที่ประกอบกิจการร้านค้า ขับขี่ยวดยานรับจ้าง แลกรรมกรทั้งหลายให้มีหลักประกันอันมั่นคงไม่ต่างกัน อีกทั้งจะต้องเข้มงวดกวดขันมาตรการรับจำนำข้าวให้โปร่งใสไร้การคอรัปชั่นเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรอย่างเต็มกำลัง ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรที่สองให้ทำกิจอันจะคงอยู่อย่างสถิตสมบูรณ์สถาพร เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม เพื่อความบริบูรณ์ของปากท้องของพี่น้องเกษตรกร แรงงาน ให้ราษฎรผู้กรำงานหนักตลอดชีวิตได้รับผลตอบแทนที่พึงได้เอง มิใช่เป็นข้าทาสผู้ทำงานรับใช้คหบดีนายทุนผู้อาศัยร่มบารมีเจ้าทำนาบนหลังราษฎร อันจะสืบสานเจตนารมณ์แห่งคณะราษฎรที่ได้เคยประกาศไว้ ณ ที่แห่งนี้ให้วิวัฒน์พัฒนา เพื่อความสุขประเสริฐจะได้บังเกิดแก่ราษฎรโดยถ้วนหน้า หลักประการที่ ๔ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร : หลักเสมอภาค เพราะเป็นที่ประจักษ์แจ้งและเป็นความจริงแท้ว่ามนุษย์เกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเกิดมาเพื่อเป็นนาย และไม่มีมนุษย์ที่เกิดมาเพื่อเป็นทาส ในแผ่นดินนี้มีเพียงมนุษย์ที่ยืนอยู่บนผืนธรณีเดียวกัน ไม่มีอำนาจจากสรวงสรรค์ที่จะรังสรรค์ชอบความธรรมแห่งการกดขี่ด้วยชั้นชน มีเพียงคุณค่าแห่งความเป็นคนและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์คือที่สุดแห่งอำนาจและความชอบธรรมทั้งปวง และเพราะความสำเร็จแห่งการอภิวัฒน์โดยคณะราษฎรชุดก่อนนั้นเอง ที่ได้ทำลายการปกครองอันกดขี่ ไม่ชอบธรรมและได้สถาปนารัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยเพื่อมอบสิทธิและความเสมอภาคให้ทั่วถึงกันแก่ราษฎรทั้งหลาย อันเป็นที่มาแห่งหลักประการที่ ๔ ของเราคณะราษฎรที่ ๒ ว่าจะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอกัน สิทธินั้นคืออะไร เรื่องนี้เราอาจตอบได้ว่า สิทธิ คือ อำนาจหรือประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและบังคับบัญชาให้ราษฎรทั้งหลายพึงมีสิทธิและใช้สิทธิได้โดยชอบ แต่สำหรับความเสมอภาคนั้นคืออะไร ? ต่อคำถามนี้ จะมีอะไรดีกว่าการถามราษฎรทั้งหลายก่อนว่าพวกเขามาอยู่รวมกันเป็นรัฐเพื่ออะไร ถ้ามิใช่เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดี และต้องเป็นที่แน่นอนว่าชีวิตที่ดีและอุดมสมบูรณ์พูนสุขนั้นจะต้องไม่ตกเป็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหมู่คณะใดหมู่คณะหนึ่งโดยอาศัยความทุกข์ยากตรากตรำของราษฎรส่วนใหญ่เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในความอุดมสมบูรณ์พูนสุขของบุคคลเหล่านั้น เช่น ผู้ที่ปลูกข้าวทำนาพวกเขาก็ย่อมมีสิทธิในข้าวนานั้นยิ่งกว่าผู้ที่มิได้ออกแรงไถหว่าน หลักการนี้ก็เป็นหลักการของความยุติธรรมนี่เอง เพราะผู้ที่มิได้ออกแรงหว่านไถ ไฉนเลยเล่าจะมีสิทธิในนาข้าวที่ผู้อื่นปลูกได้ โดยนัยนี้เองความเสมอภาคจึงเป็นฐานรากและเสาหลักแห่งความยุติธรรมทั้งปวงในหมู่ราษฎร หรืออาจกล่าวได้ว่าความเสมอภาคมิได้หมายถึงการที่ราษฎรทุกคนมีสิทธิเท่ากัน แต่หมายถึงราษฎรทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน ความเสมอภาคนี้ยังเป็นองค์ประกอบแห่งความสมบูรณ์ของหลักประการอื่นๆทั้งก่อนนี้และที่จะกล่าวถึงหลังจากนี้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะความปลอดภัยที่มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่ได้รับ ในขณะที่ราษฎรส่วนใหญ่อยู่ท่ามกลางความเสี่ยงและอาชญากรรม ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าความปลอดภัย ความสุขสมบูรณ์ในทางเศรษฐกิจที่มีเพียงคนบางกลุ่มได้ประโยชน์ ในขณะที่ราษฎรส่วนใหญ่ล้วนอดอยากโดยเฉพาะเมื่อมันเกิดจากการทำนาบนหลังคน ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าความสุขสมบูรณ์ และเป็นที่แน่นอนว่าเสรีภาพที่มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่มีสิทธิใช้ได้ ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเสรีภาพ ดังนั้นเราคณะราษฎรที่ ๒ จักขอเรียกร้องให้รัฐไทยส่งเสริมให้เกิดความเสมอภาคให้สมดังเจตนารมณ์ของคณะราษฎรผู้ทำการอภิวัฒน์ในกาลก่อน โดยมีข้อเรียกร้องที่สำคัญ คือ ๑. ราษฎรทุกคนต้องได้รับความยุติธรรมเสมอกันต่อหน้ากฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายในข้อเท็จจริงที่มีสาระสำคัญเหมือนกัน ต้องได้รับคำสั่งและคำพิพากษาเป็นอย่างเดียวกัน ๒. รัฐต้องส่งเสริมและพัฒนากระบวนการที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการใช้อำนาจต่างๆของรัฐเพื่อจักการบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียมกัน เป็นต้นว่า ประชาชนจักต้องได้รับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน อาทิ สิทธิประกัน ประชาชนไม่ว่ายากดี มีจนจักต้องได้รับการส่งเสริมที่เท่าเทียมกัน มิใช่ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และรัฐจักต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้เข้าถึงง่าย ราคาถูก และรวดเร็ว และนอกจากนี้ในบริการอื่นๆของรัฐที่สำคัญ รัฐต้องคำนึงถึงการเข้าถึงอย่างเสมอภาคของประชาชน ด้วย นอกเหนือจากคุณภาพ ๓. รัฐต้องส่งเสริมให้ประชากรชายขอบของรัฐได้เข้าถึงอำนาจรัฐได้อย่างเท่าเทียม เพื่อให้เขามีความเสมอภาคที่แท้จริงทางการเมือง เป็นต้นว่า รัฐจักต้องให้สิทธิพลเมืองกล่าวคือ สัญชาติไทยแก่คนชายขอบของรัฐอย่างเสมอภาค เช่น ชาวกระเหรี่ยง โรฮิงยา เป็นต้น หรือ รัฐจักต้องบรรจุภาษามลายูเป็นภาษาราชการที่สอง ในจังหวัดที่มีประชากรมุสลิมที่ใช้ภาษามลายู จำนวนมาก หลักประการที่ ๕ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร : หลักเสรีภาพ จะต้องให้ราษฎรมีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น มนุษย์เกิดมาเสรี มีเพียงเจตจำนงของเขาเท่านั้นที่จะกักขังเขาไว้ในพันธนาการแห่งความเป็นทาส แต่นั่นย่อมหมายความว่าเมื่อเขาได้พยายามกอบกู้เจตจำนงแห่งอิสระกลับคืนมา เขาย่อมมีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังใคร นอกจากตัวเขาเองเท่านั้น สิทธิที่จะมีเสรีภาพนี้เป็นสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นคุณค่าอันสูงสุดอันมิอาจจะล่วงละเมิด การใช้กำลังบังคับและคำหลอกลวงโป้ปดของผู้ปกครองให้เชื่อฟังต่อให้มีมากสักเพียงใด ก็ไม่เคยเพียงพอที่จะพรากเสรีภาพไปจากเขาได้ หนึ่งในสิ่งที่คณะราษฎรผู้ก่อการอภิวัฒน์เมื่อ ๒๔๗๕ ได้มอบไว้แก่ราษฎรชาวไทย คืออำนาจอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้ราษฎรทั้งหลาย ตื่นขึ้นมาจากความฝันเฟี่องแลโป้ปดในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ผู้ปกครองล้วนบังอาจสถาปนาตนเป็นเจ้าชีวิตของราษฎรทั้งหลาย สามารถชี้เป็นตายได้เพียงอาศัยความพึงพอใจของตน ให้ราษฎรทั้งหลายกลายเป็นผู้ทรงสิทธิอำนาจที่จะลุกขึ้นมากำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ โดยมิตกอยู่ภายใต้อาณัติครอบงำอย่างเก่าก่อน อำนาจนี้เรียกว่า เสรีภาพ เสรีภาพ เป็นอำนาจที่เกิดจากจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ เสรีภาพจึงมีคุณค่าอันสูงสุด มิอาจถูกจำกัดได้โดยอำนาจใด มีเพียงกฎหมายที่มาจากผู้แทนปวงชนเท่านั้นที่จะจำกัดอำนาจแห่งเสรีภาพนี้ได้ ในปัจจุบันเสรีภาพของราษฎรชาวไทยถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นจำนวนมาก ทว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ เสรีภาพในการสื่อสารและแสดงความคิดเห็นซึ่งควรจะเป็นเหมือนลมหายใจของระบอบประชาธิปไตยกำลังถูกลิดรอนและทำให้ตกอยู่ภายใต้อาณัติครอบงำแห่งความหวาดกลัวโดยการใช้อำนาจรัฐ ดังนั้นเพื่อกอบกู้เจตนารมณ์แห่งการอภิวัฒน์เมื่อ ๒๔๗๕ กลับคืนมา คณะราษฎรที่ ๒ จึงมีข้อเรียกร้องตามหลักเสรีภาพและอิสรภาพ ดังนี้ ๑. ทุกฝ่ายไม่ว่ารัฐหรือราษฎรจักต้องหยุดการใช้บังคับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ เพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง ๒. การตีความกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ไม่ว่าจะโดยพนักงานอัยการหรือศาลต้องวางอยู่บนพื้นฐานของหลักเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ และต้องสอดคล้องกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยมิใช่อุดมการณ์ราชาธิปไตย ๓. รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหลายให้ได้รับอิสรภาพ หลักประการที่ ๖ ในการปกครองประเทศของคณะราษฎร : หลักการศึกษา ราษฎรทั้งหลาย เมื่อรัฐมนตรีคนนี้ได้ดำรงตำแหน่งต่อจากรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการคนก่อนนั้น ในชั้นต้น ราษฎรบางคนได้หวังกันว่า การศึกษาไทยจะดีขึ้น แต่การก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังไม่ รัฐมนตรีคนใหม่กลับสนับสนุนการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ ปล่อยให้มีการเก็บค่าเทอมเหมาจ่าย ข้าราชการและสภามหาวิทยาลัยใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต เกิดเผด็จการในมหาวิทยาลัย ยกพวกราษฎรร่ำรวยขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎรอื่น กดขี่ข่มเหงราษฎรที่ยากจน เปิดโครงการพิเศษที่มีค่าเทอมแสนแพงขึ้นมากกมาย ปล่อยให้การศึกษาเป็นไปตามยถากรรม ดั่งที่จะเห็นได้จากความตกต่ำในทางวิชาการและความฝืดเคืองในการหางานทำ ซึ่งพวกราษฎรได้รู้กันอยู่ทั่วไปแล้ว การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้ การที่แก้ไขไม่ได้ ก็เพราะม.นอกระบบและค่าเทอมเหมาจ่ายมิได้เพื่อราษฎร มหาวิทยาลัยได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่า ไพร่ บ้าง ข้า บ้าง) เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร จะเห็นได้ว่า ค่าเทอมที่บีบคั้นเอามาจากราษฎรนั้น ผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้หักเอาไว้ใช้ส่วนตัวปีหนึ่งเป็นจำนวนหลายล้าน ส่วนราษฎรสิ กว่าจะหาได้แม้แต่เล็กน้อย เลือดตาแทบกระเด็น ถึงคราวเสียเงินราชการหรือค่าเทอม ถ้าไม่มีเงิน มหาวิทยาลัยก็ไม่ให้ลงทะเบียนเรียนหรือไม่ให้จบการศึกษา ผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่า หลอกว่าจะบำรุงการศึกษาอย่างโน้นอย่างนี้ หอพักใหม่จะเสร็จตอนนั้นตอนนี้ แต่ครั้นคอย ๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำ กล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียค่าเทอมให้มหาวิทยาลัยว่า ราษฎรยังไม่มีค่าเทอมก็ให้ไปกู้ยืมมาจ่าย คำพูดของมหาวิทยาลัยเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงนั้น ไม่ใช่เพราะโง่ เป็นเพราะขาดการศึกษาที่มีค่าเทอมราคาแพง ไม่ได้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษา ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่ทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้ใครทำนาบนหลังคน ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า มหาวิทยาลัยนี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของอธิการบดีหรือสภามหาวิทยาลัยตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้มหาวิทยาลัยมีอิสรภาพพ้นมือจากเผด็จการทหาร พวกผู้บริหารและสภามหาวิทยาลัยมีแต่ชุบมือเปิบ และกวาดรวบทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากค่าเทอมของราษฎร เพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนเรียนเสร็จแล้วและทหารปลดกองหนุนแล้วไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย เหตุฉะนั้น ราษฎร ข้าราชการทหารและพลเรือน ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของมหาวิทยาลัยดังกล่าวแล้ว จึ่งรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรที่ ๒ ขึ้น และได้ยึดอำนาจของสภามหาวิทยาลัยไว้ได้แล้ว คณะราษฎรที่๒เห็นว่า การที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีพรบ.มหาวิทยาลัยที่มาจากประชาชน จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลาย ๆ ความคิด ดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นรัฐมนตรีของกระทรวงศึกษาธิการนั้น คณะราษฎรที่๒ไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงตำแหน่ง ฉะนั้น จึ่งได้ขอให้รัฐมนตรีคนนี้ดำรงตำแหน่งต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายมหาวิทยาลัยฉบับประชาชน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยการมีส่วนร่วมของนักศึกษาและประชาชน คณะราษฎรที่๒ได้แจ้งความประสงค์นี้ให้รัฐมนตรีทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ารัฐมนตรีตอบปฏิเสธ หรือไม่ตอบภายในกำหนด โดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมา ก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่มหาวิทยาลัยจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ พรบ.มหาวิทยาลัยต้องมาจากประชาชน ตามวิธีนี้ ราษฎรพึงหวังเถิดว่า ราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด ทุก ๆ คนจะมีที่เรียน เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้ว-ตามสภาพ เมื่อเราได้ยึดเงินเดือนที่พวกผู้บริหารและสภามหาวิทยาลัยรวบรวมไว้จากการทำนาบนหลังคนตั้งหลายร้อยล้านมาบำรุงมหาวิทยาลัยขึ้นแล้ว การศึกษาจะต้องเฟื่องฟูขึ้นเป็นแม่นมั่น การพัฒนาการศึกษาซึ่งคณะราษฎรที่๒จะพึงกระทำก็คือ จำต้องวางโครงการ อาศัยหลักวิชา ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด เป็นหลักใหญ่ ๆ ที่คณะราษฎรวางไว้ มีอยู่ว่า ๑. จะต้องรักษาเสรีภาพทั้งหลาย เช่น เสรีภาพในทางวิชาการ ของมหาวิทยาลัยไว้ให้มั่นคง ๒. จะต้องรักษาความปลอดภัยในมหาวิทยาลัย ให้การประทุษร้ายต่อราษฎรต่างมหาวิทยาลัยกันลดน้อยลงให้มาก ๓. จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางสวัสดิการ โดยมหาวิทยาลัยจะจัดหาหอพัก ห้องสมุด รถรับส่ง และโรงอาหารให้เพียงพอ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก ๔. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่ราษฎรร่ำรวยมีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรยากจนเช่นที่เป็นอยู่) ๕. จะต้องให้อาจารย์ได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น ๖. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรที่๒ ให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ คณะราษฎรที่๒ ขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากผู้บริหารและสภามหาวิทยาลัยพึงตั้งตนอยู่ในความสงบ และตั้งหน้าเรียนหนังสือ อย่าทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎรที่๒ การที่ราษฎรช่วยคณะราษฎรที่๒นี้ เท่ากับราษฎรช่วยการศึกษาชาติ และช่วยตัวราษฎร บุตรหลานเหลนของตนเอง ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้การศึกษาที่ดี ทุกคนจะต้องมีที่เรียน ไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน หมดสมัยที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือความสุขความเจริญอย่างประเสริฐ ซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า “ศรีอาริยะ” นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า ภาพบรรยากาศกิจกรรม: เรื่องที่เกี่ยวข้อง: กลุ่มคณะราษฎร์ที่ 2 ยืมรถถัง ทบ.ร่วมกิจกรรม 24 มิ.ย.2475 คุยกับคณะราษฎรที่ 2 พร้อมคลิปเปิดตัวกิจกรรมสัปดาห์คณะราษฎร คัดค้านอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ | |
http://redusala.blogspot.com |
เทียนอันเหมิน ไทยแลนด์
เทียนอันเหมิน ไทยแลนด์ | |
ดูคลิ๊ปนี้ ไม่ได้โศกเศร้าอะไรเลย แต่ไม่รู้ทำไม ผมน้ำตาไหล | |
http://redusala.blogspot.com |
ประชาชนเตรียมพร้อมรับศึกใหญ่!
ประชาชนเตรียมพร้อมรับศึกใหญ่! | |
ประชาชนเตรียมพร้อมรับศึกใหญ่! โดย ร จาก “โลกวันนี้วันสุข” ฉบับวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2555 การปิดสมัยประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 คือความพ่ายแพ้ของแกนนำพรรคเพื่อไทย เบื้องหน้าการข่มขู่ของพวกเผด็จการผ่านองค์กรตุลากร พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มมวลชนนอกสภา การไม่สามารถระดมจำนวนคะแนนเสียงในรัฐสภาให้มากพอที่จะผลักดันญัตติไม่ยอมรับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ เป็นความรับผิดชอบของแกนนำพรรคเพื่อไทยโดยตรง การ “ชะลอ” วาระสามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไป แม้จะมีความพยายามแก้ตัวว่า เป็นการถอยเพื่อรุกบ้าง ลับ ลวง พรางบ้าง หลีกเลี่ยงความรุนแรงและการนองเลือดบ้าง แต่ความเป็นจริงก็คือ แกนนำพรรคเพื่อไทยได้ยอมจำนนกับการคุกคามของเผด็จการ โดยหวังว่า จะได้รับ “ความเมตตา” ให้เป็นรัฐบาลต่อไปเรื่อย ๆ ข้อแก้ตัวที่ “แย่” ที่สุดคือ อ้างว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างเงื่อนไขรัฐประหาร และนี่เป็นข้ออ้างเพียงข้อเดียวที่ยกขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปิดปากผู้คนที่วิจารณ์ยุทธศาสตร์ “ปรองดอง” ของพรรคเพื่อไทย ทาสีให้ผู้วิจารณ์กลายเป็นพวก “ฮาร์ดคอร์” “แดงเทียม” หรือ “แดงเสี้ยม” ไปทุกครั้ง ยุทธศาสตร์แต่เพียงประการเดียวของแกนนำพรรคเพื่อไทยคือ อยู่เป็นรัฐบาลให้นานที่สุดไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยอะไร แม้จะต้องแลกด้วยการยกเลิกการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมดก็ตาม ทั้งที่ประการหลังนี้ คือภารกิจสำคัญที่สุดของพรรคเพื่อไทยที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้ฝากความหวังไว้ แกนนำพรรคเพื่อไทยย่อมรู้ดีว่า กระบวนการโค่นล้มรัฐบาลได้เริ่มขึ้นอีกแล้ว เหมือนที่ได้เผชิญมาแล้วสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลพรรคพลังประชาชน แต่พวกเขาก็ไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนสองครั้งแรก ยังคงหลอกตัวเอง ฝันหวานไปว่า การยอมถอยในทุกแนวรบและยอมสยบต่อการคุกคาม หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในทุกกรณี เป็นหนทางเดียวที่จะต่อสู้รับมือและ “ยืดอายุ” รัฐบาลออกไปได้เรื่อย ๆ จนครบวาระสี่ปี เพื่อหวังไปชนะเลือกตั้งอีกรอบ แกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนอ้างว่า ถึงแม้จะผ่านวาระสามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันนี้ไปได้ ก็จะต้องเผชิญกับ “ด่านแห่งความตาย” ในขั้นตอนต่อไปอยู่ดี ฉะนั้น ควรรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน ตราบใดที่วาระสามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยังคงค้างอยู่ รัฐบาลก็ยังมีเวลาอีกหลายปี จะยกขึ้นมาพิจารณาเมื่อไรก็ได้ แกนนำพรรคเพื่อไทยทำเป็นนอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็นว่า ถึงพวกท่านจะหลีกเลี่ยง “ด่านแห่งความตาย” ด้วยการไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญวาระสามในวันนี้ แต่ฝ่ายเผด็จการก็ยังมีด่านอื่น ๆ รอท่านอยู่ในทันที พวกท่านยังมองไม่เห็นอีกหรือว่า ในขณะนี้ ใบมีดบั่นคอของตุลาการได้ง้างขึ้นจนสุดในเบื้องหน้าแล้ว และรัฐบาลอาจจะอยู่รอดได้อีกเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนี้! ความเป็นจริงก็คือ ไม่ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะประจบเอาใจและถอยให้กับฝ่ายเผด็จการสักเท่าใด ในที่สุด การโค่นล้มรัฐบาลในขั้นสุดท้ายก็จะมาถึงอย่างแน่นอน และจะมาถึงในเวลาอันรวดเร็วจนตั้งรับไม่ทันอีกด้วย ทั้งด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเดือนกรกฎาคมนี้ และขององค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่น ๆ ที่กำลังตามมาอย่างเป็นขบวน ทั้งที่มุ่ง “บั่นคอ” รัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ไปจนถึงบรรดาสส.ในสภา จบลงด้วยการแทรกแซงของฝ่ายทหาร ดังที่เกิดมาแล้วสองครั้ง การยอมจำนนไม่ต่อสู้ใด ๆ ไม่ใช่ “การยืดอายุรัฐบาลให้นานที่สุด” แต่เป็นการนั่งเฉย เหมือน “ไก่ในสุ่มรอถูกเชือด” ปล่อยให้กระบวนการทั้งหมดนี้อยู่ในมือของฝ่ายเผด็จการอย่างสิ้นเชิง ให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้กำหนด “กดปุ่ม” แต่ฝ่ายเดียวว่า จะให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย “ล่มสลาย” ลงวันไหน การยอมตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญและการปิดสมัยประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนคือเครื่องหมายว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ล้มเหลวลงแล้ว ฝ่ายเผด็จการได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า จะไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แล้วยังจะฉวยใช้โอกาสนี้ ขยายไปเป็นการโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพื่อฟื้นอำนาจเผด็จการแบบเปิดเผยของพวกเขาขึ้นมาอีกครั้ง ความหวังของพรรคเพื่อไทยและประชาชนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจทางการเมืองภายในกรอบรัฐธรรมนูญ 2550 และยุติวิกฤตการเมืองปัจจุบันอย่างสันติ ได้หมดสิ้นไปแล้ว สิ่งที่จ้องตาเราอยู่เบื้องหน้าคือ การปะทะครั้งใหญ่และอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างพลังเผด็จการกับพลังประชาธิปไตย! การยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อภายหลังชัยชนะขั้นเด็ดขาดและการเปลี่ยนมืออำนาจรัฐที่แท้จริงมายังฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น จากประสบการณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในทั่วโลก ชัยชนะขั้นเด็ดขาดดังว่าชี้ขาดด้วยการต่อสู้ของประชาชนนอกรัฐสภา การต่อสู้นี้จะสันติหรือหลั่งเลือดมากน้อยเพียงใด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝ่ายประชาชน หากแต่ฝ่ายเผด็จการที่กุมอำนาจรัฐและกองทัพคือผู้กำหนด นับแต่นี้ สนามการต่อสู้หลักจะไม่ใช่ภายในรัฐสภา แกนนำพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจะไม่ใช่กำลังหลักของฝ่ายประชาธิปไตยอีกต่อไป ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยคือ ทัพหลวง ในการต่อกรกับฝ่ายเผด็จการในสนามรบนอกสภา ผ่านการต่อสู้ยืดเยื้อมาหกปี เห็นได้ชัดว่า การเคลื่อนไหวของฝ่ายเผด็จการผ่านองค์กรตุลาการ พรรคประชาธิปัตย์ และมวลชนนอกสภาในครั้งนี้ มีลักษณะโดดเดี่ยว อ่อนพลัง และขาดความชอบธรรมมากยิ่งกว่าในอดีต พลังครอบงำทางความคิดและอุดมการณ์เสื่อมถอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในขณะที่พลังฝ่ายประชาธิปไตยเข้มแข็งเติบใหญ่ ขยายตัวทั้งจำนวนคน อุดมการณ์และความรับรู้ประสบการณ์ การรวมกลุ่มองค์กร กิจกรรม และท่วงทำนองหลากหลาย แม้จะผ่านการบาดเจ็บล้มตายมาแล้ว แต่จิตใจกลับยิ่งเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่มีท้อถอย สิ่งที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องเตรียมการในเบื้องหน้าคือ การสามัคคีรวมพลัง เร่งขยายเครือข่ายของมวลชนคนเสื้อแดงกลุ่มย่อยต่าง ๆ ทั่วประเทศ เชื่อมโยงเข้ากันให้ทั่วถึง รวมตัวเคลื่อนไหวแสดงพลังในเงื่อนไขและโอกาสที่เหมาะสม หนุนช่วยสส.พรรคเพื่อไทยปีกที่ร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สนับสนุนแกนนำระดับชาติ พร้อมไปกับการตระเตรียมแกนนำหลักและแกนนำรองของตนเองในระดับท้องถิ่น จัดวางเครือข่ายสื่อสารหลักและเครือข่ายสื่อสารสำรองฉุกเฉินไว้หลาย ๆ ชั้น ตระเตรียมทรัพยากรต่าง ๆ ให้พร้อมสรรพ พร้อมรับการรุกครั้งใหม่ของพวกเผด็จการ เผด็จการไทยก็เหมือนเผด็จการอื่นในโลก คือประเมินกำลังของตนเองสูงเกินไป และประเมินประชาชนต่ำเกินไป พวกเขาได้ทำความผิดพลาดเบื้องต้นแล้วด้วยการเคลื่อนไหวรุกไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยในเงื่อนไขปัจจุบันที่ยังเป็นคุณกับฝ่ายประชาธิปไตย พวกเขาจะทำความผิดพลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุด โอกาสที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะตอบโต้และช่วงชิงให้ได้ชัยชนะในขั้นสุดท้าย ก็จะมาถึง | |
http://redusala.blogspot.com |
2475 ของแดง 2490 ของเหลือง
“ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ”ชำแหละ 80 ปี ปชต.ไทย การเมืองยังเหมือนเดิม ชี้ต้องรู้ประวัติศาสตร์เพื่อปรับตัว.
“ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ”ชำแหละ 80 ปี ปชต.ไทย การเมืองยังเหมือนเดิม ชี้ต้องรู้ประวัติศาสตร์เพื่อปรับตัว. | |
“ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ”ชำแหละ 80 ปี ปชต.ไทย การเมืองยังเหมือนเดิม ชี้ต้องรู้ประวัติศาสตร์เพื่อปรับตัว. “ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ”ชำแหละ 80 ปี ปชต.ไทย การเมืองยังเหมือนเดิม ชี้ต้องรู้ประวัติศาสตร์เพื่อปรับตัว ในมติชน ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 19:37 น. วันที่ 24 มิ.ย. ที่หอประชุมพูนสุข พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ธรรมศาสตราภิชาน วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในการแสดงปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2555 ครบรอบ 80 ปี การอภิวัฒน์สยาม และครบรอบ 17 ปีสถาบันปรีดี พนมยงค์ ในหัวข้อ “แปดทศวรรษสยามปฏิวัติ : ความคิดว่าด้วยระบอบประชาธิปไตยในระยะเปลี่ยนผ่าน ” ว่า แม้จะผ่านมา 80 ปีเหตุการณ์ทางการเมืองก็ยังคงเหมือนเดิม ระยะเปลี่ยนผ่านของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยนั้นเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ 24 มิ.ย.2475 - 24 มิ.ย.2476 โดยคณะราษฎรมีแนวคิดต้องการเปลี่ยนการปกครองจากเดิมที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือกฎหมายมาเป็นอยู่ใต้กฎหมาย พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สุข ซึ่งถือว่าเป็นการปกครองใหม่ จนในการประชุมสภาครั้งแรกมีการโต้แย้งกันในประเด็นเรื่อง ประชาธิปไตยใหม่นี้เป็นอย่างมาก ซึ่งในระหว่างเปลี่ยนผ่านนี้อำนาจอธิปัตย์ก็ยังคงอยู่ที่พระมหากษัตริย์ โดยสังเกตได้จากการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยใน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการยกโทษการกระทำของคณะราษฎร ตามที่คณะราษฎรเสนอมา ศ.ดร.ธเนศ กล่าวว่า “การปกครองในระบอบประชาธิปไตยถูกกำหนดให้มีความต่อเนื่อง โดยนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคณะราษฎรได้แสดงจุดยืนอย่างออมชอม ประนีประนอมเพื่อต้องการให้การปกครองใหม่นี้ดำเนินการต่อไปได้ นายปรีดีจึงใช้กระบวนการช่วยพยุงประชาธิปไตยใหม่ให้อยู่ได้และก้าวหน้าต่อไป อย่างไรก็ตามผู้นำ 2 ฝ่ายในขณะนั้น คือฝ่ายรัฐบาลเก่าและกลุ่มคณะราษฎรยอมรับตรงกันว่าการปกครองใหม่ที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่กระบวนการที่จะสำเร็จเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีการผสมผสานรูปแบบเก่ากับใหม่อยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าเป็นการอภิวัฒน์ที่ยังไม่เสร็จสิ้น ซึ่งก็มีฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ดำเนินการเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในการเมืองไทยจนถึงปัจจุบัน ” “การเปลี่ยนแปลงใหม่นี้ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น และเดินหน้าต่อไปจนคิดว่าน่าจะมีการผลักดันให้การปกครองเข้าสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นจากการที่นายปรีดี พยายามเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่เป็นการช่วยยกระดับของประชาชน กระจายรายได้สู่ประชาชน แต่ก็มีการกีดขวางจนมีพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุม จนทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนั้นตกไป” ศ.ดร.ธเนศ กล่าว “แนวคิดเค้าโครงทางเศรษฐกิจของนายปรีดีขณะนั้นได้ก้าวข้ามระบบเสรีนิยม เป็นการนำเสนอที่ล้ำหน้า ช่วยยกระดับประชาชน เป็นแนวคิดที่ปฏิวัติเศรษฐกิจอย่างแท้จริง แต่ปัจจุบันนี้ไม่สามารถทำได้แล้วเพราะโครงสร้างการถือครองแข็งตัวไปหมดแล้ว ” ศ.ดร.ธเนศ กล่าวว่า “ ปัญหาของประชาธิปไตยนั้นเกิดขึ้นหลังจาก พ.ศ.2490 ซึ่งมีการขยายบทบาทของสถาบันกษัตริย์เชื่อมโยงเข้าสู่การปกครอง . . หนทางที่จะไม่ให้เหตุการณ์กลับไปซ้ำรอยอดีตก็ควรจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นและนำมาปรับใช้กับปัจจุบัน ” | |
http://redusala.blogspot.com |
ผบก.น.6 เบิกความกลางศาล! เสื้อแดงโดนเจ้าหน้าที่รัฐยิงตาย ไม่มีชายชุดดำ
ผบก.น.6 เบิกความกลางศาล! เสื้อแดงโดนเจ้าหน้าที่รัฐยิงตาย ไม่มีชายชุดดำ | |
ที่ห้องพิจารณา 501 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง63 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ศาลออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคำร้องการเสียชีวิตนัดแรกที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิตของนายชาติชาญ ชาเหลา อายุ 25 ปี ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณหน้าอาคารอื้อจื่อเหลียง ในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 13 พ.ค.53 ในสมัยรัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันนี้พนักงานอัยการเตรียมพยานเข้าเบิกความจำนวน 2 ปาก ประกอบด้วย พ.ต.อ. สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 นางพลอย ขบวนฮาม มารดาของนายชาติชาย พ.ต.อ. สืบศักดิ์ เบิกความปากแรกสรุปว่า ตนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน ชุดที่ 3 โดยเมื่อวันที่ 19 ก.ย.54 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งสำนวนมาให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลสอบสวน (บช.น.) สอบสวนต่อ เนื่องจากเชื่อว่าการเสียชีวิตของนายชาติชายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งตนได้ทำหนังสือยื่นต่อสำนักงานอัยการสูงสุดขอให้ส่งพนักงานอัยการร่วมสืบสวนด้วย โดยการสอบสวนในชุดของตนพบว่า คดีนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. -19 พ.ค.53 โดยกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) เริ่มชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน เพื่อขอให้รัฐบาลยุบสภา แต่รัฐบาลไม่ยอมทำตาม กลุ่มผู้ชุมนุมจึงขยายการชุมนุมไปหลายพื้นที่รวมถึงแยกราชประสงค์ ซึ่งมีผู้มาร่วมชุมนุมจำนวนมาก นายอภิสิทธิ์จึงได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง จากนั้นได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นพนักงานปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อระงับสถานการณ์รุนแรง รวมทั้งได้ประกาศห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ห้ามเข้าไปในพื้นที่การชุมนุม ห้ามเดินรถโดยสารบางพื้นที่ ห้ามให้บริการรถไฟฟ้าบางสถานี และตัดสาธารณูปโภค พ.ต.อ. สืบศักดิ์ เบิกความต่อว่า ในวันเกิดเหตุวันที่ 13 พ.ค.53 ศูนย์ ศอฉ.มีคำสั่งมอบหมายให้กำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตั้งด่านแข็งแรงที่บริเวณสะพานลอยหน้าอาคารอื้อจื่อเหลียง มีอาวุธปืนเอ็ม 16 เอ็ม 653 เอชเค ปืนลูกซองกระสุนยาง กระสุนซ้อมรบ และกระสุนจริงประจำกาย ซึ่งแนวกั้นด่านนอกจากทหารแล้วผู้อื่นไม่สามารถเข้าไปในบริเวณนั้นได้ ขณะที่ผู้ชุมนุมจำนวนมากจากแยกถนนวิทยุมุ่งหน้าตรงเข้าหาด่านของทหาร โดยผู้ชุมนุมใช้พลุและตะไลยิงเข้าใส่ด่าน เจ้าหน้าที่ทหารจึงใช้ปืนยิงตอบโต้กลุ่มผู้ชุมนุม กระทั่งเวลาประมาณ 22.50 น. ขณะที่นายชาติชายซึ่งมาร่วมชุมนุมและถือกล้องวีดีโอยืนถ่ายภาพเหตุการณ์อยู่หน้าบริษัทปริศนา มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ใกล้อาคารอื้อจื่อเหลียง ได้ถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่หน้าผากด้านขวาทะลุศรีษะ 1 นัด เสียชีวิตที่ รพ.จุฬา ภายหลังการเสียชีวิตพนักงานสอบสวนสน.ปทุมวัน พร้อมด้วยแพทย์นิติเวช พนักงานอัยการ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง รวมทั้งสิ้น 10 ฝ่ายร่วมชันสูตรพลิกศพผลปรากฏว่า นายชาติชายถูกกระสุนความเร็วสูงยิงเข้าที่ศรีษะทำลายอวัยวะสำคัญจนเสียชีวิต เมื่อตรวจสอบพยานหลักฐานจากที่เกิดเหตุพบเศษชิ้นเนื้อ เส้นผม คราบเลือดของผู้ตาย และเศษหัวกระสุนตกที่พื้นใกล้จุดที่นายชาติชาย ผู้ตายล้มลง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนตรวจพิสูจน์พบเพียงแค่รอยแนววิถีกระสุนที่นายชาติชายถูกยิง และยืนยันว่าเป็นกระสุนความเร็วสูง แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นกระสุนชนิดใด เนื่องจากเศษกระสุนเสียสภาพมาก อย่างไรก็ตาม จากการรวบรวมพยานเอกสารหลักฐาน ประจักษ์พยานแล้วไม่พบชายชุดดำปะปนกับผู้ร่วมชุมนุม จึงเชื่อว่านายชาติชายเสียชีวิตเนื่องจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ | |
http://redusala.blogspot.com |
สัญญาณให้ "รัฐประหารเงียบ" จาก "อำนาจพิเศษ"
สัญญาณให้ "รัฐประหารเงียบ" จาก "อำนาจพิเศษ" | |
สัญญาณให้ "รัฐประหารเงียบ" จาก "อำนาจพิเศษ" ตอน 1 ตอน 2 | |
http://redusala.blogspot.com |
NASA เซ็ง! ครม.ให้เอาเข้าสภาถก ให้ประชาชนตัดสินเอ
NASA เซ็ง! ครม.ให้เอาเข้าสภาถก ให้ประชาชนตัดสินเอ | |
นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี( 26 มิถุนายน) มีมติให้เปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วม โดยไม่มีการลงมติในปัญหาที่อภิปราย ทั้งนี้ เพื่อให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ได้อภิปรายแสดงความคิดความเห็นกรณีนาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 179 บัญญัติว่า ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังประธานรัฐสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ รัฐสภาจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายมิได้ | |
http://redusala.blogspot.com |
นายกฯ แจง ครม.อนุญาตนาซาใช้อู่ตะเภา แต่ต้องผ่านกระบวนสภา
นายกฯ แจง ครม.อนุญาตนาซาใช้อู่ตะเภา แต่ต้องผ่านกระบวนสภา | |
ทำเนียบรัฐบาล 26 มิ.ย.-นายกรัฐมนตรีแถลงผลประชุม ครม. ระบุ ครม.อนุญาตให้นาซาใช้สนามบินอู่ตะเภาได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการสภา เพื่อให้ฝ่ายค้านได้ตรวจสอบตามกลไก ยอมรับเสียใจที่ไทยอาจต้องเสียโอกาส หากการพิจารณาล่าช้าและนาซายกเลิกโครงการ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซา ใช้สนามบินอู่ตะเภาในการวิจัยสภาพชั้นบรรยากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก แต่ขอให้ผ่านกระบวนการของสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 ก่อน เพราะแม้ว่าคณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันว่า เรื่องดังกล่าวไม่เข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 (2) แต่เมื่อมีความเห็นต่าง โดยเฉพาะฝ่ายค้านที่กล่าวหาและทักท้วงรัฐบาลอย่างรุนแรง จึงต้องใช้กลไกของสภาในการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ว่าเป็นไปตามข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านหรือไม่ ทั้งนี้ เรื่องการขอใช้พื้นที่ของนาซาเป็นการดำเนินการมาจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา และจนถึงขณะนี้รัฐบาลกับกองทัพยังไม่เคยดำเนินการใดๆ ที่เป็นผลผูกพันทางข้อกฎหมาย ซึ่งผ่านความเห็นชอบจาก ครม. นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การใช้กลไกของสภาตรวจสอบกรณีนาซาอาจทำให้เกิดความล่าช้า และอาจทำให้นาซายกเลิกโครงการวิจัยในปีนี้ เพราะหากจะทำวิจัยจะต้องอยู่ในช่วงมรสุม ซึ่งเหมาะสมกับสภาพอากาศที่จะตรวจสอบ ดังนั้น จึงถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายต่อโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีของไทย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนให้ความร่วมมือในการค้นหาเทคโนโลยีต่างๆ มาวิเคราะห์คำนวณภัยธรรมชาติ ส่วนหากตรวจสอบแล้วไม่พบการดำเนินการที่ผิดปกติ ฝ่ายค้านจะต้องรับผิดชอบหรือไม่นั้น อยู่ที่ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐว่า มอบหมายให้รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศไปชี้แจง เชื่อว่าสหรัฐจะเข้าใจ และเคารพการตัดสินใจของไทย ขณะเดียวกัน หากมีงานวิจัยจากต่างประเทศเข้ามาดำเนินการในไทย ก็จะไม่ใช้บรรทัดฐานเดียวกับองค์การนาซา แต่จะดูขอบข่ายของรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เป็นหลัก. | |
http://redusala.blogspot.com |
คุก "เจิมสาก" 4 เดือน รอลงอาญา 2 ปี คดีใส่ร้ายรับสินบน
คุก "เจิมสาก" 4 เดือน รอลงอาญา 2 ปี คดีใส่ร้ายรับสินบน | |
ศาลอาญาพิพากษาจำคุก “เจิมศักดิ์” 4 เดือนปรับ 1 แสนบาท ฐานหมิ่นประมาทในคดีภรรยาที่ปรึกษา“สนิท วรปัญญา” ประธานวุฒิสภา ฟ้องผู้ดำเนินรายการ “มุมมองเจิมศักดิ์” ชี้จำเลยพูดถึงนายอภิพล คงชนะกุล ผู้ตายว่าเป็นผู้ที่เรียกรับสินบนคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จนถึงกับถูกให้ออกหรือปลดออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา ไม่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี วันนี้ (26 มิ.ย.) ที่ศาลอาญา รัชดาฯ ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ อ.237/2554 ที่ นางอภิวรรณ คงชนะกุล ภรรยานายอภิพล คงชนะกุล อดีตที่ปรึกษาประธานวุฒิสภา ซึ่งเสียชีวิตแล้ว เป็นโจทก์ฟ้องนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภาและผู้ดำเนินรายการชื่อดัง เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โดยจำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์ฟ้องสรุปว่า จำเลยได้พูดในรายการ “มุมมองเจิมศักดิ์” และรายการพูดตรงใจกับ “ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” ออกอากาศทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม ว่าในสมัยที่นายอภิพล คงชนะกุล ผู้ตายเป็นที่ปรึกษาของนายสนิท วรปัญญา ประธานวุฒิสภานั้นมีปัญหาเรื่องสินบนในการแต่งตั้งคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.) โดยจำเลยได้พูดเปิดเผยในที่ประชุมลับของวุฒิสภา ว่าผู้ตายเป็นคนเรียกรับสินบน ชอบอ้างว่ามีความสัมพันธ์ทางการเมืองกับบุคคลต่างๆ และชอบอ้างว่าจบดอกเตอร์ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ ต่อมาถูกนายสนิท วรปัญญาปลดออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 327 และ 328 ศาลพิเคราะห์หลักฐานโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่า ข้อความที่จำเลยพูดถึงนายอภิพล ผู้ตายว่า เป็นผู้ที่กระทำการเรียกรับสินบนคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จนถึงกับถูกให้ออกหรือปลดออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา และเป็นผู้ที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับปริญญาเอก แต่แอบอ้างว่าจบการศึกษาดังกล่าว ไม่ใช่การแสดงความเห็นหรือข้อความโดยสุจริต หรือติชมด้วยความเป็นธรรม และยังรับฟังไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นความจริง ข้อความที่พูดดังกล่าวเป็นการทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าผู้ตายเป็นคนไม่ดีแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบโดยเรียกสินบนหากบุคคลอื่น อันมีลักษณะเป็นการกระทำผิดกฎหมายและแอบอ้างว่าจบการศึกษาระดับปริญญาเอก เป็นบุคคลที่ไม่สมควรคบหา เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงของผู้ตายและส่งผลกระทบต่อโจทก์และครอบครัว ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท และการที่จำเลยพูดข้อความผ่านทางวิทยุกระจายเสียง โดยเผยแพร่ออกอากาศไปทั่วประเทศ นั้นเป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 2 เดือน และปรับกระทงละ 50,000 บาท รวมสองกระทง เป็นจำคุก 4 เดือน และปรับ 1 แสนบาท แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับและให้ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวัน 2 ฉบับ เป็นเวลา 2 วัน โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา | |
http://redusala.blogspot.com |
"ถาวร เสนเนียม" ตายสนิท! "นักวิจัยนาซ่า" ด่าอย่าเอาการเมืองมายุ่งวิทยาศาสตร์
"ถาวร เสนเนียม" ตายสนิท! "นักวิจัยนาซ่า" ด่าอย่าเอาการเมืองมายุ่งวิทยาศาสตร์ | |
"ถาวร เสนเนียม" ตายสนิท! "นักวิจัยนาซ่า" ด่าอย่าเอาการเมืองมายุ่งวิทยาศาสตร์คลิปบันทึกรายการ คม ชัด ลึก ตอน “นาซ่า...ฝ่าหมอกควันการเมือง?” ผู้ร่วมรายการ ถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์, รศ.ดร.เสริม จันทร์ฉาย ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ | |
http://redusala.blogspot.com |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)