วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554


คำท้าทายถึงชนชั้นกลาง
'ใบตองแห้ง' ออนไลน์: คำท้าทายถึงชนชั้นกลาง
         เสียดาย ทักษิณไม่น่าใจเร็วด่วนตัดไฟ น่ารอวัดใจม็อบพันธมิตรวันจันทร์เสียก่อน ว่าจะมีคนมากี่มากน้อย น่าจะวัดกระแสไปถึงวันเสาร์ ก่อนฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ค่อยประกาศ “ไม่ขอรับอภัยโทษ” ทำให้พรรคแมลงสาบไปไม่เป็น กระแสช็อต ไฟตกวูบ จอดับ
         แกนนำพันธมิตรคงทั้งเสียดายและทั้งโล่งอก ที่เสียดายคือพันธมิตรทุกวันนี้เหมือนปลากระดี่จมปลัก อ้าปากผงาบๆ รอน้ำใหม่ไหลมาชุบชีวิต พรฎ.อภัยโทษเปรียบเหมือน “ษิณเจริญเชิญแขก” ที่อาจช่วยให้ได้เงินบริจาคต่อค่าเช่าช่องสัญญาณ แต่ขณะเดียวกันก็โล่งอก เพราะกลัวอยู่เหมือนกันว่า ขนาดถอยมานัดชุมนุมที่ถนนท่าพระอาทิตย์ (ไม่ยักยึดราชดำเนิน) จะเหลือที่ว่างให้เตะตะกร้อเป็นร้อยวง ถ้าเรียกคนไม่ได้ดังคำคุย สถานภาพที่เป็นเสือกระดาษอยู่แล้วก็จะกลายเป็นเสือกระบากเข้าไปใหญ่
       โถ ดูอย่างหมอตุลย์นัดชุมนุมที่สวนลุมเมื่อวันศุกร์สิครับ มีคนไปมากกว่าปกติตั้ง 10 เท่า คือจากปกติราว 100 คน เพิ่มเป็น 1,000 คน คริคริ
       เปล่า ไม่ได้เยาะเย้ยหมอตุลย์ เพราะยังไงผมก็ยังนับถือหมอตุลย์เป็นส่วนตัว การที่หมอตุลย์นัดชุมนุมครั้งไรมีคนไปแค่หลักร้อยเนี่ย แสดงว่าหมอตุลย์แกบริสุทธิ์ใจ ไม่มีใครหนุนหลัง ไม่มีม็อบจัดตั้ง ไม่มีตังค์จ้างใคร
        แต่การชุมนุมครั้งนี้ไม่ใช่แค่หมอตุลย์ ได้ข่าวว่ามีตั้ง 32 องค์กร รวมเหล่าดาวกระจุยที่ว่างงานเหงาปากมานาน อาทิเช่น ประสาร มฤคพิทักษ์, วสันต์ สิทธิเขตต์, พล.ท.นันทเดช เมฆสวรรค์, นิติธร ล้ำเหลือ, สุริยันต์ ทองหนูเอียด ฯลฯ และ อ.แก้วสรร อติโพธิ ที่เคารพรักของผมอีกคน สมทบกับ สว.ลากตั้งอย่าง สมชาย แสวงการ, พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม
        ขนาดนั้นยังมีมิตรรักแฟนเพลงบางตา ไม่ยักสามารถเชิญแขกเท่าไหร่เลย เห็นมีแค่พวก “เก่งแต่นิ้ว” คือมีนิ้วไว้กด like ทางเฟซบุค โลกยุคโซเชียลเนตเวิร์คได้สร้างคนรุ่นใหม่ ที่แย่เสียกว่า “เก่งแต่ปาก” เพราะเก่งแต่ปากอย่างน้อยก็ยังกล้าเผยตัว แต่พวกเก่งแต่นิ้ว มีนิ้วไว้กด like เป็นแสนๆ ตัวจริงหดหัว เอาเข้าจริงสังคมออนไลน์แบบไทยๆ ก็เป็นแค่วงนินทาด่าคนลับหลัง อย่าหวังว่าจะเป็นพลังสร้างสรรค์แบบ “การปฏิวัติดอกมะลิ” ในโลกอาหรับ
        ผมกล้าท้าเลยว่าต่อให้ทักษิณตัวเป็นๆ กลับเมืองไทยมานั่งหัวโต๊ะประชุม ครม. ก็ไม่มีทางเกิดม็อบพันธมิตรเรือนแสนที่สยามสแควร์ เพราะพลังของชนชั้นกลาง (ทางวัฒนธรรม ตามคำกล่าวของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล) กลายเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ไปแล้ว เป็นได้แค่อีแอบในเฟซบุค หมกมุ่นอยู่กับอคติและความเกลียดชัง ไร้ทิศทาง มองไม่เห็นทางออก ขังตัวเองอยู่ในกรงแคบๆ กลัวน้ำเสียจนบางครั้งก็กัดกันเอง
          พลังแห่งการทำลาย
        ผลงานชิ้นโบแดงของพวกสลิ่มเฟซบุคในช่วงมหาอุทกภัย คือพวกเขาสามารถบ่อนทำลายเครดิตของ ศปภ.จนยอดเงินบริจาคตกต่ำน่าใจหาย กล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีใครบริจาคช่วยผู้ประสบภัยผ่าน ศปภ.อีก 
        แน่นอนว่าด้านหนึ่ง ศปภ.ทำตัวเอง ด้วยการทำงานไม่เป็นระบบ ขาดประสิทธิภาพ “มั่ว” รวมทั้งมีข้อกังขา (มีมูลเสียด้วย) เรื่องทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ แต่ข้อบกพร่องหรือความไม่โปร่งใสดังกล่าว ถ้ามีอยู่ 30พวกสลิ่มก็ตีปี๊บให้เป็น 100ถ้ามีอยู่ 60ก็ตีปี๊บเป็น 200และสรุปกันเรียบร้อยก่อนจะรู้ข้อเท็จจริงด้วยซ้ำ อย่างเช่นคลิปที่อ้างว่า ศปภ.ทิ้งของบริจาคไว้เต็มดอนเมืองวันที่ 29 ตุลา พวกสลิ่มเชื่อโดยไม่ต้องพิสูจน์ ทั้งที่หลังเป็นข่าว นักข่าวหลายสำนักไปดู ก็พบว่า ศปภ.ขนของออกมาหมดแล้ว (ในคลิปมีของมูลนิธิไทยคมด้วย โห ใครจะกล้าเอาของมูลนิธิไทยคมไปทิ้ง)
         เรื่องทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ เท่าที่ได้ข้อมูลเป็นเรื่องจริง ซึ่งรัฐบาลต้องจัดการเด็ดขาด “นิ้วไหนร้ายตัดนิ้วนั้นทิ้ง” เพราะไม่เช่นนั้นก็จะไม่เป็นธรรมกับคนของพรรคเพื่อไทยเอง หรือคนของรัฐบาล ที่ส่วนใหญ่ทำงานจริงจัง เหนื่อยยาก ทนถูกด่า แล้วยังต้องมาแบกหม้อก้นดำ ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง
         แต่เรื่องถุงยังชีพที่จุดประเด็นขึ้นในเฟซบุค เกิดจากพวกฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด หาว่าถุงที่รวมของบริจาค เป็นถุงจัดซื้อราคา 800 บาท ต่อมา ศปภ.จึงชี้แจงว่ามีถุง 3 ราคา คือ 300,500,800 แล้วฝ่ายค้านก็จับพิรุธได้ว่าถุงราคา 800 น่าจะแพงเกินเหตุ (ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะร้านโชว์ห่วยที่ขายถุงยังชีพให้ ปภ. 4 หมื่นถุง 32 ล้านบาท คือร้านเดียวกับที่ขายให้รัฐบาลที่แล้ว 25 ล้านบาท เข้าตำราไก่เห็นตีนงู
         กระนั้น เรื่องที่ตามหลังมาพวกสลิ่มไม่สนใจหรอก เพราะเชื่อกันตั้งแต่แรกแล้วว่า ศปภ.โกง เอาเงิน 800 มาซื้อถุงยังชีพราคาแค่ 2-300 ต่อให้ไม่มีการทุจริต พวกสลิ่มก็เชื่อว่าทุจริตอยู่ดี
         ประเด็นคือ ถ้าพวกสลิ่มรณรงค์ให้คนบริจาคกับสภากาชาด หรือมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ หรือองค์กรอื่นๆ ก็ไม่ว่ากัน แต่เท่าที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างนั้นสิครับ ส่วนใหญ่เป็นแค่พวกโรคจิตดิสเครดิต ศปภ.ได้ก็หัวร่อสะใจ โดยไอ้พวกนี้ไม่เคยควักสตางค์ช่วยผู้ประสบภัยซักบาท ขณะที่พวกเสื้อแดงซึ่งเมริงกล่าวหาเขา ยังแยกวงจาก ศปภ.มาจัดขบวนรถออกช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง
         พวกสลิ่มใช้เฟซบุคเพื่อการจ้องจับผิดและทำลาย แม้กระทั่งโพสต์ภาพอาสาสมัคร ศปภ.เล่นเฟซบุค เขาชี้แจงก็ไม่ฟัง แต่ไปๆ มาๆ เจออาสามัคร มธ.เข้าเป็นไงล่ะ “ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันลัก Dapper ประชาชน” (อ.ปริญญายังออกมาชี้แจงข้างๆ คูๆ แย่ยิ่งกว่า ศปภ.ชี้แจงเสียอีก)
        ที่พูดนี่ไม่ได้ว่าเสื้อเหลืองทั้งหมด เพราะพวกเสื้อเหลืองดีๆ มีจิตอาสาก็ไม่น้อยเหมือนกัน อย่างเช่นกลุ่ม “สยามอาสา” นี่เหลืองจ๊าดๆ เลยนะครับ แต่เขาไม่ได้เอาสีเสื้อเข้ามาเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (เหมือนๆ มูลนิธิกระจกเงา ที่ช่วยภัยพิบัติแม้ในยุครัฐบาล ปชป.) เออเฮ้ย เหลืองแบบนี้สิน่าเคารพจิตใจ เป็นคนที่สามารถร่วมมือกันได้เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า
         เวลาประณาม “สลิ่ม” ยังต้องแยกออกจากคนที่เขาเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างบริสุทธิ์ใจ และยึดถือเป็นแบบอย่างในการทำความดี ตัวอย่างเช่น ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ผู้เขียนหนังสือ “ธรรมดีเพื่อพ่อ” นำทีมปั้น EM Ball ช่วยเหลือผู้ประสบภัย คุณดนัยมีพลังในการโน้มน้าวผู้คนให้ทำความดี โดยไม่แบ่งสีเลือกข้าง ดังนั้น คำว่า “สลิ่ม” ถ้าบัญญัติให้ชัดเจนก็คือพวกอ้างความ “รักในหลวง” มาสร้างความเกลียดชัง
         คุณ Faris Yothasamuth บัญญัติคุณลักษณะของสลิ่มไว้ครบถ้วน สะใจ สลิ่มคือพวกที่มีความรู้เฉพาะด้านตามมาตรฐานการศึกษาไทย แต่ไม่รู้จักใช้หัวคิด จบปริญญาโทปริญญาเอก กลับไปหลงงมงายศาสดาโกเตกซ์ ครั้นพอรู้ไส้ศาสดา (คือเพิ่งรู้ว่าตัวเองโง่) ก็ไม่กล้าใส่เสื้อเหลือง กระนั้นยังคงความเชื่อง่ายและใช้ความรักความเกลียดชี้นำ แบบว่าพอเกจินู้ดด่ายิ่งลักษณ์ เกจินู้ดก็เป็นฮีโร่ (ทั้งที่พวกนี้อ้างว่ามีศีลธรรม รุมประณามสาวเต้นเปลือยอก) เก่ง การุณ ถีบสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เก่งเป็นผู้ร้าย แต่พอมัลลิกา บุญมีตระกูล ถีบเก่งเข้าบ้าง มัลลิกาเป็นนางเอก กด like กันสนั่นหวั่นไหวใน You Tube
         สลิ่มเป็นพวกเชื่อง่าย ถ้าใจอยากเชื่อ ประทับใจง่าย ถูกหลอกง่าย เหมือนสาวกค่ายกรีนเวฟหัวกลวง หลงคำคร่ำครวญว่า กสทช.ยึด “คลื่นเพื่อสังคม” แต่เอาเข้าจริงก็เก่งแต่พูดฉอดๆ อยู่วงนอก เขาท้าไปออกทีวีประจัญหน้า เอาสัญญามาแฉกัน ก็ไม่กล้าไป
         ฉันใดฉันนั้น เหมือนพวกเชื่อเว็บการกุศลช่วยน้ำท่วมด้วยจิตอาสา (แต่พอไม่ได้ดังใจก็ฟาดงวงฟาดงาด่าเสื้อแดง) หารู้ไม่ว่าทันทีที่คุณคลิกเข้าไปดูข่าว เขาก็เชื่อมลิงก์เข้าเว็บแม่ ได้เรตติ้งเพิ่มค่าโฆษณา (รอบหน้าคงขายเว็บได้อีกหลายร้อยล้าน) ใครว่าการกุศลไม่ได้ผลประโยชน์ ธุรกิจสมัยใหม่ต้องทำควบคู่ไปกับการสร้างภาพ เพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง รับเงิน สสส.มาทำงานเพื่อสังคม เพียงแต่บางครั้งก็ผิดพลาดบ้าง โปรดอภัย (เช่น ใช้ถ้อยคำอนาจารหลอกล่อ “ดักควาย” เข้าไปดูเว็บตัวเอง แล้วอ้างว่าเป็นฝีมือนักศึกษาฝึกงาน คริคริ)
         นี่แหละคือสลิ่ม ซึ่งดูถูกชาวบ้านเสื้อแดง ว่าถูกแกนนำหลอกใช้ แต่ตัวเองถูกจูงจมูกง่ายยิ่งกว่าชาวบ้านผู้ไร้การศึกษา แล้วยังมีหน้ามาเรียกร้องว่าควรให้ผู้จบปริญญาตรีเท่านั้นมีสิทธิเลือกตั้ง
         สลิ่มมีความสามารถในการบ่อนทำลาย แต่ไม่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ มีความสามารถในการปลุกความเกลียดชัง แต่ไม่สามารถนำเสนอสิ่งที่ดีกว่า นั่นคือสาเหตุ ที่ทำให้พวกเขาได้แต่ทำลายคนอื่นและทำลายตัวเอง สื่อสลิ่มปลุกคนให้บ้า โดยไม่สามารถหาทางออก สุดท้ายคนอ่านก็กลายเป็นพวกโรคจิต มีแต่ความไม่พึงพอใจสังคมที่ดำรงอยู่ แต่ไม่รู้จะทำให้ดีขึ้นอย่างไร
        เหมือนการต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” โดยหันไปพึงรัฐประหารตุลาการภิวัตน์ พอรัฐประหารล้มเหลว ก็ฝากความหวังกับ “ระบอบแมลงสาบ” พอแมลงสาบล้มเหลว ก็พยายามวาดภาพฝัน ยึดเอา “ระบอบรักในหลวง” เป็นที่พึ่ง ซึ่งไม่ทราบว่าจะเอาอย่างไรแน่ ไม่มีความชัดเจน ไม่มีทิศทาง ไม่รู้ว่าจะนำพาประเทศไปอย่างไร
          มีไหม พลังที่มีเหตุผล
        สลิ่มเฟซบุคส่วนใหญ่ เป็นผลิตผลของระบบการศึกษาไทยยุคหลัง 2520 ซึ่งเน้นผลิตบุคลากรมารับใช้ความเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยถูกตัดขาดจากความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สังคม และประวัติศาสตร์การต่อสู้ประชาธิปไตยตั้งแต่ 2475 ถึง 6 ตุลา 2519 คนพวกนี้ถูกเสี้ยมสอนให้เป็นเครื่องจักรที่ดีของสังคม รู้จักเข้าคิว อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ยึดมั่นในพระบรมราโชวาท ไม่เหมือนคนยุคแสวงหา ยุคซิกซ์ตี้ ที่มักจะมีวิญญาณกบฎ 
        ในทางวัฒนธรรรมพวกนี้ก็เติบโตมากับหนังแอคชั่นของอาร์โนลด์ ชวาเซนเนกเกอร์, ซิลเวสเตอร์ สตาลโลน หนังมหาลัยวัยหวานของศุภักษร หรือมีเทสต์ขึ้นมาหน่อยก็ละครตลกของซูโม่สำอาง (มีเทสต์จนดูถูกคนไร้การศึกษา)
        พอโตมาอย่างสมองกลวง จึงไม่น่าประหลาดใจที่คนจบปริญญาโทปริญญาเอก ไปหลงงมงายศาสดาโกเตกซ์ ต่อให้ไม่เกิดพันธมิตร พวกนี้ก็จะแสวงหาศาสดาต่างๆ เป็นที่พึ่ง ทั้งไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์ ลัทธิประหลาด ลัทธิจานบิน แสงทิพย์โยเร ฯลฯ บางทีก็ดูเหมือนจะยึดถือศาสดาที่ดี คำสอนมีเหตุผล เช่นไปนั่งสมาธิสายหลวงพ่อชา หรืออ่านหนังสือพุทธทาส แต่เอาเข้าจริงก็เข้าไม่ถึง บางคนมีหนังสือพระเต็มตู้แต่ก็ตะกายอยู่กับโมหะ ไม่ได้อ่านหนังสือพระเพื่อปล่อยวาง แต่อ่านหนังสือพระเพื่อเสริมความหลงผิดคิดว่าตัวเองดีวิเศษกว่าคนอื่น
         ดูง่ายๆ พวกที่ไปปฏิบัติธรรมตามสำนักสงฆ์ต่างๆ ล้วนแต่เป็นคนมีปัญหาทั้งนั้น คนไม่มีปัญหาชีวิตเขาไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมกันหรอก เพราะเขาสามารถประสานฆราวาสธรรมให้เข้ากับการดำรงชีวิตตามปกติอยู่แล้ว 
         คนที่ควรตำหนิมากกว่าสลิ่มผู้น่าสงสารคือพวกเสแสร้งเป็นสลิ่ม แต่มีอิทธิพลชักนำสลิ่ม ซึ่งก็คือพวกที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยสมัย 14 ตุลามาจนถึงพฤษภา 35 บางคนก็เข้าป่า ออกป่า มามีบทบาทในภาคประชาสังคม ในแวดวงธุรกิจ วิชาการ ในสื่อ และในทางศิลปวัฒนธรรม
        คนพวกนี้ (อย่างที่สมศักดิ์กล่าวถึง) ไม่ได้เป็นสลิ่มโดยธรรมชาติ แต่เสแสร้งเป็นสลิ่ม อย่างมี Agenda คือรู้ทั้งรู้ว่าหาทางออกไม่ได้แต่ก็ชักนำพลังสลิ่มไปใช้เพื่อทำลาย
        หลังเลือกตั้ง เวลาเจออดีตเพื่อนพ้องน้องพี่เหล่านี้ ผมบอกเสมอว่ารัฐบาลเพื่อไทย (ที่ผมเลือกเนี่ย) มันแย่ มันไปไม่รอดหรอกนะ มันไม่สามารถนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ตามที่เราต้องการ แต่ปัญหาคือถ้าคุณไล่รัฐบาลแล้วจะนำไปสู่อะไร รัฐประหารก็ไม่มีใครเขาเอาแล้ว แมลงสาบก็ไม่มีใครเขาเอาแล้ว รัฐบาลพระราชทานก็ไม่ใช่คำตอบ ถ้าพวกคุณไม่มีทางออกให้สังคม ผมก็ต้องสนับสนุนระบอบที่มาจากเสียงข้างมากของประชาชนไว้ก่อน
        สิ่งที่ผมอยากเห็นคือ มีไหม พลังของคนชั้นกลางที่มีสติ มีเหตุผล ที่จะมาตรวจสอบ ถ่วงดุล คานอำนาจรัฐบาลชุดนี้ โดยไปให้พ้นจากความบ้าคลั่ง ไร้สติ ไปให้พ้นจากพันธนาการเดิมๆ ของพันธมิตร ไม่หวนหารัฐประหาร ไม่ผูกติดกับผลพวงรัฐประหาร ตุลาการภิวัตน์ ไม่อ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาขัดขวางพัฒนาการประชาธิปไตย และไม่ผูกตัวเองไว้กับพรรคการเมืองที่เก่งแต่ให้ร้ายป้ายสี
        ถ้าสร้างพลังอย่างนี้ไม่ได้ รัฐบาลห่วยๆ ก็จะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เพราะพลังที่คัดค้านต่อต้าน ไร้สติเสียยิ่งกว่า และมุ่งแต่จะหาทางโค่นล้มอำนาจอธิปไตยของปวงชน ไม่ใช่แค่ล้มรัฐบาล
        น้ำท่วมครั้งนี้พูดได้เต็มปากว่ารัฐบาลทำงานด้อยประสิทธิภาพ แถมยังมีเรื่องฉาวโฉ่ถุงยังชีพ ถ้าฝ่ายตรงข้ามวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างมีเหตุผล ว่าตามเนื้อผ้า ไม่ใช้วิธีการของแมลงสาบและสลิ่ม รัฐบาลแย่แน่ครับ แต่พวกเมริงนั่นแหละ หารู้ไม่ว่าช่วยอุ้มรัฐบาลด้านกลับ เดี๋ยวก็ด่าผู้หญิงเหนือ เดี๋ยวก็วิจารณ์การใช้ภาษาอังกฤษ เดี๋ยวก็หาว่าบีบน้ำตาแสดงความอ่อนแอ ให้ร้ายป้ายสีกันให้เว่อร์เข้าไว้ พวกเสื้อแดงปทุม อยุธยา นนทบุรี โดนน้ำท่วมมิดหัวเพราะความไม่เอาไหนของรัฐบาลที่ตัวเองเลือกมา จึงต้องชูนิ้วกลางให้สลิ่มและแมลงสาบไว้ก่อน
        พลังของชนชั้นกลางตอนเริ่มต้นไล่ทักษิณเมื่อ 5 ปีก่อน แม้จะเป็นกระแสอารมณ์แต่ก็ยังอยู่ในวิถีประชาธิปไตยที่มีเหตุผล จนมาเป๋เมื่อขอ ม.7 และออกบัตรเชิญรัฐประหาร จำได้ไหมว่าเลือกตั้ง 2 เมษา คะแนน Vote No รวมบัตรเสีย สูงถึง 13 ล้าน ไม่ใช่แค่คะแนน ปชป.หรือพรรคชาติไทยด้วย เพราะหลายจังหวัดในภาคเหนือภาคอีสาน Vote No ชนะ
         แต่ 5 ปีผ่านไปพลังของชนชั้นกลางทำลายตัวเอง ไม่ใช่แค่ปีกที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยแตกออกมาเป็น “สองไม่เอา” (ซึ่งสุดท้ายก็ถูกผลักเป็นเสื้อแดงอยู่ดี) แต่พวกเสื้อเหลืองและสลิ่มก็แตกคอกันเอง กลายเป็นโรคจิต 500 จำพวก แม้แต่พรรคการเมืองใหม่ก็ยังแตกคอกับพันธมิตร คนบางส่วนอาจแตกไปเพราะผลประโยชน์ แต่หลักๆ เป็นเพราะความคิดสับสน ไร้แนวทาง กระทั่ง “การเมืองใหม่” ภาพสังคมในอุดมการณ์ ก็ยังไม่สามารถอธิบายให้เห็นภาพได้ว่ามันคืออะไร จะไปสู่จุดนั้นได้อย่างไร
        คนนอกอาจจะแปลกใจที่เห็นสมศักดิ์ โกศัยสุข แตกคอกับพันธมิตร แล้วเล่นกันแรงถึงขั้นฟ้องร้องยะใส แต่ผมไม่แปลกใจ พคท.ตอนขัดแย้งกันรุนแรงใกล้ป่าแตกก็เป็นอย่างนี้ หลายๆ เขตถึงขั้นจะยิงกัน จะฆ่ากัน (ทางใต้บางเขตได้ข่าวว่าฆ่ากันจริงๆ) ทั้งที่เป็นมิตรร่วมรบ ร่วมเป็นร่วมตายทุกข์ยากลำบากมาด้วยกัน
         แต่คนที่คลั่งอุดมการณ์เวลาขัดแย้งก็จะเห็นกันเป็นศัตรูได้ถึงเพียงนั้น เหมาเจ๋อตุงถึงได้ฆ่าหลิวเซ่าฉี สตาลินถึงส่งคนตามฆ่าทรอตสกี้
        ที่พูดนี่เพราะผมตั้งข้อสังเกตว่าพวก “ซ้ายเก่า” ทั้งในเสื้อเหลืองและเสื้อแดงยังติดเชื้อพิษจากพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีต (แบบว่าแกนนำเสื้อแดงบางคนก็พยายามเอารูปการจัดตั้งเข้ามายัดเยียดให้ นปช.ใครไม่เห็นด้วยก็ด่าเขา แต่เอาไว้วันหลังค่อยพูดอีกที เดี๋ยวจะนอกเรื่องไป)
         ผมไม่ได้บอกว่าพลังเสื้อแดง พลังคนชั้นล่างหรือคนชั้นกลางชนบท เป็นพลังประชาธิปไตยที่งามพร้อมสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีทิศทางที่ก้าวไปข้างหน้า ขณะที่พลังของชนชั้นกลางกลับถอยหลัง
           ใครจะมองไปข้างหน้าก่อนกัน
        สิ่งที่ชนชั้นกลางสลิ่มพึงสังวรณ์คือมันมีเค้าลางปรากฏการณ์ที่ชนชั้นนำฝ่ายอำมาตย์ อาจเกี้ยเซี้ยกับชนชั้นนำฝ่ายทักษิณ หาทางอยู่ร่วมกันโดยแบ่งปันอำนาจระหว่างสองฝ่าย 
        ถ้ามันเกิดขึ้นจริง กระบวนการ “เกี้ยเซี้ย” จะทำให้รัฐบาลลดเงื่อนไขการแก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปประชาธิปไตย ไม่แตะต้องกองทัพ ไม่แตะต้องอะไรหลายๆ เรื่อง (เป็นสันดานนักการเมืองอยู่แล้วที่ต้องการแค่อำนาจ) แลกกับการให้ทักษิณกลับบ้าน (แลกแม้กระทั่งยอมให้อากง SMS ติดคุก 20 ปี)
        ถึงกระนั้นพวกสลิ่มก็ยังคงออกมาต่อต้านแค่ตัวบุคคล ยึดติดกับทักษิณ ยึดติดกับความเกลียดชัง ขณะที่พลังฝ่ายประชาธิปไตย พลังเสื้อแดงส่วนที่เรียกร้องต้องการประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ พร้อมจะ “ก้าวข้ามทักษิณ” ไปสู่เนื้อหาที่แท้จริง (ถ้าเขาเกี้ยเซี้ยกันจริง ก็จะเป็นจุดตัดระหว่างเสื้อแดงประชาธิปไตยกับเสื้อแดงที่ผูกติดทักษิณ)
        สมมตินะครับ สมมติว่าเขาเกี้ยเซี้ยกันจริง ก็ประชาชนนั่นแหละที่ผิดหวังทั้งสองฝ่าย แต่คุณจะแปรความผิดหวังให้เป็นพลังที่พัฒนาไปข้างหน้าอย่างไร หรือเป็นแค่พลังที่โวยวาย ไม่เอา ไม่ยอม เรียกหารัฐประหาร ทหารก็ไม่เล่นด้วยแล้ว เรียกหาอำมาตย์ อำมาตย์ก็รู้แล้วว่ามีแต่เปลืองตัว สุดท้าย สลิ่มก็ได้แต่คลั่งอยู่ในกะลา
        ภาระหน้าที่ของชนชั้นกลางมันควรจะก้าวหน้ากว่านั้น ภาระหน้าที่ของนักเคลื่อนไหว NGO นักวิชาการ นักคิด อธิการบดี ศิลปินแห่งชาติ ศาสตราจารย์เสื้อกั๊ก ที่มีเกียรติคุณเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมา 40 ปี ควรจะมีสติปัญญาหาทางออกให้สังคมไทย มากกว่าการยึดติด “ระบอบรักในหลวง”
        อะไรคือการพัฒนาประชาธิปไตยไปข้างหน้า ถ้าต้องการให้ก้าวข้าม “ระบอบทักษิณ” ถึงวันนี้ “ระบอบทักษิณ” ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก มันพร้อมจะล้มทุกเมื่อ ขอเพียงมี “โมเดล” ที่ชัดเจนมาแทนที่
       ในทัศนะผม มันหมดยุคแล้วที่จะคิดเรื่อง “ยึดอำนาจรัฐ” ไม่ว่าอำนาจรัฐเป็นของทักษิณ เป็นของแมลงสาบ เป็นของอำมาตย์ เป็นของทหาร ล้วนไม่ใช่คำตอบสำหรับประชาชน
        เราจะต้องสร้างโมเดลของการ “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” แต่เป็นโมเดลที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม ไม่ใช่พูดเจื้อยแจ้วแล้วลงท้ายต่อต้านนักการเมืองจากการเลือกตั้ง อย่างหมอประเวศ วะสี การลดอำนาจรัฐไม่ใช่แค่ลดอำนาจนักการเมือง แต่ยังต้องลดอำนาจระบบราชการ ลดอำนาจทหาร ตำรวจ อัยการ ลดอำนาจศาล องค์กรอิสระ ลดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้เป็นอำนาจที่ตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้ และมีอำนาจโดยจำกัด ใช้อำนาจแล้วต้องรับผิดชอบ
        คุณกล้าสร้างโมเดลนี้ไหมล่ะ ลดศูนย์กลางอำนาจรัฐให้เล็ก กระจายอำนาจให้ประชาชนจริงๆ (ไม่ใช่หลอกให้เข้าชื่อ 1 หมื่นชื่อโดยไร้ความหมาย) กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สู่การปกครองขนาดเล็ก ยกเลิกผู้ว่าฯแบบเก่า เลือกตั้งผู้ว่าฯแบบใหม่ ชำแหละระบบราชการ แยกส่วน ปฏิรูปใหม่หมด ให้ยึดโยงกับประชาชน กระจายอำนาจสู่ข้าราชการชั้นผู้น้อย ตรวจสอบกันได้ตั้งแต่ล่างถึงบน ไม่ใช่รวมศูนย์อำนาจ รวมศูนย์การใช้ดุลพินิจ อยู่ที่ปลัดพันล้าน ปฏิรูปฐานความคิด  ความเชื่อเรื่องบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ค่านิยมเชิงพิธีกรรม หัวโขน อนุรักษ์นิยม ซึ่งทำให้คนกลัวหงอไม่กล้าต่อต้านคอรัปชั่น ฯลฯ
        ผมไม่ได้เป็นนักคิดนักวิชาการ ศาสตราจารย์ ผู้มากความสามารถ เป็นแค่คอลัมนิสต์ ก็คิดได้แค่นี้ แต่ขอฝากคำท้าทาย ถึงชนชั้นกลางทางวัฒนธรรมทั้งหลาย ว่าพวกคุณมีความสามารถที่จะคิดสร้างสรรค์ คิดไปข้างหน้าได้ไหม หรืออย่างน้อยก็คิดร่วมกัน ไม่ใช่เราคิดแล้วพวกคุณเอาแต่ต่อต้าน โดยอ้างทักษิณ
        ถ้าคิดไม่ได้ก็ยุติบทบาทตัวเองไปเสียเถอะ เพราะไอ้ที่ทำๆ กันอยู่ อย่างเช่นการเข้าชื่อของอาจารย์มหาลัย ทุกวันนี้ไม่มีใครยอมรับแล้วว่าอาจารย์มหาลัยรู้ทุกเรื่อง รู้ดีกว่าชาวบ้าน ถ้าพูดอะไรไม่มีเหตุผล ไม่มีตรรก ไม่มีหลักการ อาจารย์เข้าชื่อกัน 100 คนก็ไม่ต่างจากแม่ค้าท่าพระจันทร์เข้าชื่อกัน 100 คน เผลอๆ แม่ค้า 100 คนยังมีประโยชน์กว่าอาจารย์สลิ่ม 100 คนด้วยซ้ำ                    
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น