วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
จาก “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2555

    
   
            ฝ่ายประชาธิปไตยและพรรคเพื่อไทยดูเหมือนว่า จะได้รับ “ชัยชนะเล็ก ๆ” เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2555 ให้ยกคำร้องเรื่อง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.291 เป็นการ “ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ


               ผลก็คือ ผู้ถูกร้องหรือผู้ที่เสนอร่างแก้ไขฯ จึงไม่มีความผิดตาม ม. 68 และผลอันเลวร้ายที่คาดกันไว้ก่อนคือ “ยุบพรรคการเมือง” ตามมาด้วยคดีอาญาและการถอดถอนตำแหน่งจึงไม่เกิดขึ้น

              ในการรุกครั้งนี้ ฝ่ายเผด็จการได้ “ลงแรง” ไปมากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาวะที่องค์กรตุลาการได้ทำลายเกียรติภูมิ ความศักดิ์สิทธิ์ และความน่าเชื่อถือของตนเองไปจนหมดสิ้น ไปปรากฎตัวเปลือยเปล่าอยู่บนเวทีต่อชาวโลกว่า มิได้เป็นองค์กรที่อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง ต้องวินิจฉัยกรณีทั้งปวงบนหลักการแห่งนิติรัฐและระบอบรัฐธรรมนูญ หากแต่เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นคู่ขัดแย้งตรงข้ามกับประชาธิปไตย อ้างอิงหลักเหตุผลและข้อกฎหมาย นำประเด็นไปในทางที่เป็นผลเสียต่อพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ความจริงข้อนี้เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนทุกฝ่าย แม้แต่ผู้ที่ไม่นิยมพรรคเพื่อไทยแต่ยังมี “จิตใจที่เป็นธรรม” อยู่บ้างก็ไม่อาจยอมรับการกระทำเช่นนี้

              พวกเขาสูญเสียเกียรติภูมิความน่าเชื่อถือไปจนหมด แต่ก็ยังไม่สามารถนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามที่หวังไว้ได้ จึงกล่าวได้ว่า พวกเผด็จการได้ “ยอมถอยชั่วคราว” ในการรุกใหญ่ครั้งนี้ ซึ่งก็มิได้หมายความว่า พวกเขาจะไม่ก่อการรุกในลักษณะเดียวกันอีกในอนาคตอันใกล้

              แม้ฝ่ายประชาธิปไตยและพรรคเพื่อไทยจะได้รับ “ชัยชนะเล็ก ๆ” ในเฉพาะหน้านี้ แต่ในระยะยาว ฝ่ายประชาธิปไตยได้สูญเสียทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ ความเป็นเอกเทศและอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ

              ในโครงสร้างของรัฐธรรมนูญ 2550 ฝ่ายบริหารก็มีข้อจำกัดอย่างมากมายในการใช้อำนาจอยู่แล้ว โดยถูกควบคุมและคุกคามจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่อยู่ในมือของพวกเผด็จการจารีตนิยม องค์กรเหล่านี้กุมอำนาจเฉพาะด้านที่จะ “ถอดถอน” นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีได้ด้วยข้อกล่าวหาต่าง ๆ สารพัดทั้งคดีเลือกตั้ง คดีพรรคการเมือง คดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และคดีอาญาอื่น ๆ แล้วแต่จะสรรหามาให้

                จึงเหลืออยู่เพียงสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนอำนาจนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แม้ประธานสภาและสส. อาจถูกถอดถอดเป็นรายบุคคลโดยองค์กรตามรัฐธรรมนูญ แต่สภาผู้แทนราษฎรโดยรวมนั้น มีแต่ต้องถูกยุบโดยนายกรัฐมนตรีตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญ หรือถูกรัฐประหารโดยตรงเท่านั้น สภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นอาวุธชิ้นสำคัญที่สุดและเป็นอำนาจอันน้อยนิดที่มีอยู่ของฝ่ายประชาธิปไตยและของพรรคเพื่อไทย

               เหตุการณ์ในครั้งนี้ โดยเนื้อแท้แล้วคือ การสถาปนาระบอบการเมืองใหม่ที่มีศาลรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจสูงสุดเหนืออำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ ศาลรัฐธรรมนูญได้สถาปนาอำนาจ   นั้น ด้วยการตีความ “ยืดและหด” นัยของกฎหมายตามที่ตนต้องการ เพื่อไปบรรลุเป้าประสงค์ทางการเมืองของตน


              เช่น ม. 68 ระบุให้คำร้องต้องผ่านอัยการสูงสุดก่อน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ตีความว่า ตนมีอำนาจรับคำรองได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุด ซึ่งขัดกับปริบทและเจตนารมณ์ของ ม. 68 และขัดกับหลักปฏิบัติที่ผ่านมาของศาลรัฐธรรมนูญเองอีกด้วย

               หลักการของระบอบรัฐธรรมนูญคือการแบ่งแยกอำนาจทั้งสาม อำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นตัวแทนโดยตรงของประชาชนเท่านั้น ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ตีความว่า ตนมีอำนาจนั้นโดยอ้างว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ “อาจเป็นการล้มล้างระบอบการปกครอง” ซึ่งเข้าเงื่อนไข ม. 68 เป็นต้น

               คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมยิ่งเป็นตัวอย่างชัดแจ้งที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจที่มิได้อยู่ในรัฐธรรมนูญ ประเด็นในคำร้องคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.291 เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ แต่กลับถูกลากไปโยงกับอีกประเด็น คือ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 สามารถแก้ไขเพิ่มเติมโดยยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้หรือไม่?” ในการนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ “แนะนำ” ว่า ให้แก้ไขเป็นรายมาตรา โดยอ้าง “เจตนารมณ์ของ ม.191” ทั้ง ๆ ที่ ม. 291 มิได้ห้ามการแก้ไขทั้งฉบับ อีกทั้งผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 รวมทั้งตุลาการบางคนในศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบันเอง ก็เคยแสดงทรรศนะไว้หลายแห่งว่า สามารถยกร่างใหม่ทั้งฉบับได้

               ศาลรัฐธรรมนูญยังมี “คำแนะนำ” ต่อไปอีกว่า ถ้าจะร่างใหม่ทั้งฉบับ “ก็ควรที่จะไปทำประชามติก่อน” ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับนักกฎหมายโดยทั่วกัน เพราะในรัฐธรรมนูญ 2550 นี้ ไม่มีบทบัญญัติใดเลยที่ระบุให้ต้องทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ตามหลักการแห่งระบอบรัฐธรรมนูญนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่อย่างแคบและจำกัดอยู่ที่การตีความและวินิจฉัยกฎหมายรัฐธรรมนูญเฉพาะในประเด็นเท่าที่มีผู้ร้องมาเท่านั้น ไม่มีหน้าที่ออกความเห็นหรือให้ “คำแนะนำ” ที่นอกเหนือไปจากประเด็นทางกฎหมายเฉพาะที่พิพาทกันอยู่แต่อย่างใด นัยหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่และไม่ใช่อำนาจของตน

                สิ่งที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทำในกรณีทั้งหมดนี้ก็คือ “เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทุกวัน” ตามแต่จุดประสงค์ทางการเมืองของตน นี่จึงมิใช่เป็นเพียงแค่ศาลรัฐธรรมนูญได้สถาปนาอำนาจใหม่เหนืออำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่ยังเป็นอำนาจใหม่ที่ “อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ” อีกด้วย ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นรัฐธรรมนูญที่พวกเผด็จการรวมหัวกันร่างขึ้นหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

                ที่น่าเศร้าคือ ท่าทีของแกนนำพรรคเพื่อไทยและของประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องต่อสู้ปกป้องอำนาจนิติบัญญัติที่มาจากประชาชน กลับไปยอมสยบ แสดงความหวาดกลัวจนลนลาน จำนนให้กับการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ยอมให้เกิดเป็นบรรทัดฐานใหม่ขึ้น ด้วยความต้องการแต่เพียงประการเดียวคือ เป็นรัฐบาลให้นานที่สุด แต่แก้ตัวให้ดูดีว่า “เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดของประชาชน”

                สิ่งที่ฝ่ายประชาธิปไตยและพรรคเพื่อไทยจะเผชิญนับแต่นี้ไปคือ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะอ้างอำนาจในการรับคำร้องโดยตรงตาม ม. 68 เข้ามา “แนะนำ” แทรกแซง และสั่งห้ามการกระทำใด ๆ ของรัฐบาลและของสภาผู้แทนราษฎร โดยอ้างบรรทัดฐานที่ได้เกิดขึ้นแล้วจากกรณีล่าสุดนี้

               นี่คือ “ระบอบรัฐประหารโดยศาลรัฐธรรมนูญ” โดยแท้ ที่ซึ่งตุลาการจะหยิบจับข้อกฎหมายต่าง ๆ ใช้ตรรกะตามปรารถนา เปิดพจนานุกรมไทย อ้างภาษาต่างชาติ อิงความเชื่อหรือความกังวลส่วนตัวในเรื่องการเมือง มาแสดงความคิดเห็นนอกศาล กระทั่งไปมีผลต่อการวินิจฉัย โดยมีจุดประสงค์คือ ทำลายฝ่ายประชาธิปไตย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล 
คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น