|
โดย สอาด จันทร์ดี
แปลกไหม...ชาวบ้านธรรมดายังรู้ว่าประเทศไทยติดหล่มการเมืองโสโครก แต่คนที่ฉลาด มีความเจริญรุ่งเรืองกลับไม่รู้ว่าประเทศของตัวกำลังติดหล่มการเมือง ?
ผมอยากนำเสนอความเห็นที่อาจจะทำให้คนอ่านเจ็บปวด เห็นแล้วไม่อยากอ่าน แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะว่าถ้าหากเก็บเงียบเอาไว้ จะเป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง ผมจึงอยากบอกกล่าวกับคนที่ไม่อยากอ่าน ให้รีบอ่าน ก่อนที่จะสายเกินไป โปรดไตร่ตรองกับประโยคที่ว่า ระวังก่อนจะสายเกินไป ?!
ทั้งนี้โปรดอย่าลืมว่าได้มีการปฏิวัติในฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1789 และปฏิวัติใหญ่ในรัสเซียเมื่อปี 1903 เป็นตัวอย่าง ซึ่งคนไทยน่าจะรู้ว่ามันเกิดจากอะไร รวมทั้งน่าจะรู้ว่าได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศจีนถึงขั้นต้องทำลายนายทุนทิ้งถึง 22 ล้านคนในปี พ.ศ. 2492
ทำไมมันถึงได้ร้ายแรงถึงขนาดนั้น ครั้งหลังสุดก็มีการเปลี่ยนแปลงในอินโดจีน ลาว เขมร เวียดนาม เมื่อปี พ.ศ. 2518 แล้วเลยไปเกิดที่อิหร่าน เมื่อปี พ.ศ. 2522 และขณะนี้กำลังเกิดเหตุร้ายในหลายประเทศ เช่นลิเบีย อียิปต์ และกำลังลุกลามไปที่ซีเรีย
เรื่องเหล่านี้ คิดหรือว่าจะไม่เกิดกับประเทศไทย ?
ปัญหาในประเทศไทยของเรา เป็นปัญหาที่ยังพอมีทางที่จะแก้ไขได้ แต่ด้วยเหตุแห่งมิจฉาทิฐิเกิดกับผู้ปกครองและผู้บริหารมีอำนาจสูงส่งมากจึงทำให้ดวงตามืดบอดมองไม่เห็นปัญหา ผมจะขอนำเอาปัญหาที่เห็นง่ายที่สุดเอามาขยายความให้ทุกท่านได้โปรดรับเอาไปพิจารณาต่อ กล่าวคือกฎกติกาใดที่คนไทยพากันตั้งขึ้น ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ย่อมตั้งอยู่บนเจตจำนงเพื่อจะได้ใช้กฎกติกา (นั้นๆ) ให้เป็นประโยชน์แก่คนไทยทุกคนทุกคน โดยไม่เลือกเทือกเถาเหล่ากอ
กฎแรก คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎต่อมาได้แก่กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา นอกจาก “กฎ” ดังว่านั้นแล้ว ยังมีองค์กรต่างๆอีกมากมายที่ถูกสร้างขึ้นเป็นกฎ เช่นศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ กกต. ปปช. กสทช.(ลฯ) เป็นต้น จุดมุ่งหมายในการสร้างรัฐธรรมนูญ สร้างศาล และสร้างองค์กร (องค์อิสระ)ขึ้นมา ก็เพื่อจะเกื้อกูลสิทธิประโยชน์ให้แก่ประชาชนในชาติ โดยเชื่อว่าองค์กรต่างๆเหล่านั้น จะเข้าไปส่งเสริมสิทธิเสรีภาพรวมทั้งมีอำนาจที่จะจัดการให้เกิดความเป็นธรรมให้แก่ทุกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทย
แต่เหตุใดเล่า...สิ่งเหล่านั้น กลับกลายเป็นประโยชน์แก่ผู้คนเพียงกลุ่มน้อยแล้วเป็นภัยต่อคนกลุ่มใหญ่ จนถึงขั้นเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของประชาชน
ดังเช่นรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไทย ได้กลายเป็น “สมบัติส่วนตัว” ของผู้มีอำนาจ เป็นภัยต่อประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม อันหมายถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญของคนไทยกลายเป็นประโยชน์แก่คนกลุ่มน้อยอย่างเป็นกอบเป็นกำ พูดถึงองค์กรอิสระ เช่นศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตั้งเป็นเสมือนเสาหลักให้แก่สังคมไทย สุดท้ายก็ได้ดำเนินการ “ขัดขวาง” การพัฒนาประเทศ ขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แถมได้ชี้ผิดลงไปว่าคนที่คิดแก้รัฐธรรมนูญ กำลังจะล้มล้างระบอบการปกครอง (ล้มล้างพระเจ้าแผ่นดิน) ?!
ใช่...ศาลรัฐธรรมนูญได้พลิกกลับความเห็นด้วยการวินิจฉัยเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2555 ว่าไม่ได้เป็นการล้มล้างระบอบการปกครอง แต่ก็ได้ “วางกติกา” ขึ้นมาใหม่ว่า ไม่ให้รัฐสภาลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ถ้าจะทำต่อจะต้อง “ทำประชามติ” หรือไม่ก็ต้องแก้รายมาตรา
การกระทำของศาลรัฐธรรมนูญทำไมจึงเป็นอย่างนั้นไปได้ ?!
ลองหันไปดูองค์กรอิสระอีกองค์กรหนึ่ง คือ “กสทช.” ที่เข้ามาดูแลกิจการวิทยุชุมชน และกิจการโทรคมนาคม ผลสุดท้ายก็ได้เรียกเครือข่ายวิทยุชุมชนทั่วประทศมากกว่า 6,180 แห่ง มาประชุมที่ศูนย์ราชการ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 แล้วจัดทำประชาวิจารณ์จะให้สถานีวิทยุชุมชนทุกสถานีลดความแรงลงมาอยู่ 100 วัตต์ เสาส่งให้มีความสูงเพียง 40 เมตร (เท่านั้น) ถ้าเป็นแบบนี้ คลื่นที่ส่งกระจายเสียงที่ส่งออกไปจะหยุดอยู่ในระยะแค่คืบ (รัศมี 600 เมตร)แล้วจะมีความหมายอะไรต่อการส่งกระจายเสียง สู้ไม่ต้องตั้งเครื่องส่ง หากแต่เอาเครื่องขยายเสียงมาเปิด ยังจะดังได้ไกลกว่า
การประชุมในวันนั้น จึงพังครืนเพราะมีการต่อต้านจากเจ้าของสถานีวิทยุชุมชนมากกว่า 6,000 คนพร้อมกับได้กล่าวหา กสทช. ว่าเป็นพวกเผด็จการ ไม่มีความเห็นอกเห็นใจการทำมาหากินของประชาชน คิดแต่จะลิดรอนสิทธิเสรีภาพ โดยอ้างว่าวิทยุชุมชนไปรบกวนวิทยุการบิน รบกวนปัญหาความมั่นคง อันเป็นการกล่าวเท็จทั้งสิ้น (ทำไมเล่า คลื่นของ กรมประชาสัมพันธ์จึงไม่รบกวนวิทยุการบิน) ?
นี้คือตัวอย่างการกระทำอันเป็นการขัดขวางความก้าวหน้าของประชาชน สิ่งที่พวกองค์กรอิสระพากันทำ ล้วนแต่เป็นการ “ยับยั้ง” ความก้าวหน้าของสังคมโดยส่วนรวม ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นจุดยืนของผู้มีอำนาจในประเทศไทย มิได้มีความเข้าใจในปัญหาของชาติที่แท้จริง จึงทำให้เกิดข้อบกพร่องทางการเมืองอย่างร้ายแรง 3 ระดับด้วยกัน กล่าวคือ
บกพร่องข้อที่ 1 ได้แก่คนไทยมอมเมาประชาชนว่าประเทศนี้มีประชาธิปไตยเต็มใบ
บกพร่องข้อที่ 2 ได้แก่การใช้อำนาจเผด็จการคุดคามและทำลายล้างประชาชน
บกพร่องข้อที่ 3 พวกเผด็จการดื้อดันอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่
ข้อบกพร่องทั้ง 3 ข้อ จะเป็นมูลเหตุและปัจจัยให้คนไทยแตกออกเป็น ๒ เสี่ยง และสุดท้ายก็จะเกิดการปะทะกันขึ้น...ไม่แตกต่างจากการปะกะกันในหลายประเทศ การปะทะกันที่จะมีขึ้น (นั้น) จะเกิดจากการเมืองโสโครกปัญหาเดียว...ถ้าแก้ปัญหานี้ได้ ความเลวร้ายจะไม่เกิด แต่ผมอยากฟันธงเอาไว้ว่า ประเทศไทยหนีไม่พ้นความเลวร้ายได้ดอกครับ...เพราะการเมืองไทยโสโครกร้ายแรงคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินกว่าที่จะทนก้มหัวสิโรราบให้ ?!
“สอาด จันทร์ดี”
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น