วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

ท่าทีข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนยูเอ็น ต่อ *คำพิพากษาสมยศ*

ท่าทีข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนยูเอ็น-สมาพันธ์ผู้สื่อข่าวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-องค์กรสิทธิไทย-เทศ ต่อ *คำพิพากษาสมยศ*
Posted: 23 Jan 2013 09:58 AM PST (อ้างอิงจากเวบไซท์ประชาไท)




        ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กังวลไทยเสื่อมถอยด้านคุ้มครองสิทธิ สมาพันธ์ผู้สื่อข่าวในเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ ชี้คำตัดสินคดี ขยายความรับผิดชอบ บก.ไปถึงเนื้อหาของผู้อื่น องค์กรสิทธิสากล-ไทย ร่วมประณาม เตือนไทยห่างไกล ''การปรองดองแห่งชาติ''

         (23 ม.ค.56) ต่อกรณีศาลอาญาพิพากษาให้สมยศ พฤกษาเกษมสุข บก.นิตยสาร Voice of Taksin มีความผิดตามมาตรา 112 ด้วยการจัดพิมพ์ จัดจำหน่ายและเผยแพร่นิตยสารเสียงทักษิณ (Voice of Taksin) ซึ่งมีบทความเข้าข่ายหมิ่นพ ระบรมเดชานุภาพ  ลงโทษจำคุก 10 ปี จากความผิด 2 กรรม  บวกกับโทษเดิมเมื่อปี 2552 คดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่รอลงอาญาไว้อีก 1 ปี รวมเป็นจำคุก 11 ปี

          องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงองค์กรในประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเห็นต่อคำตัดสินในวันนี้ ดังนี้

          นางนาวี พิลเลย์ ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อคำตัดสินและการลงโทษที่รุนแรงอย่างที่สุดต่อสมยศ พฤกษาเกษมสุข และเสริมว่า นี่แสดงให้เห็นถึงการเสื่อมถอยในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

           "คำตัดสินและการลงโทษที่รุนแรงอย่างที่สุดต่อสมยศส่งสัญญาณที่ผิดต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในประเทศไทย คำพิพากษาของศาลเป็นตัวชี้วัดล่าสุดของแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงอย่างการใช้กฎหมายหมิ่นฯ เพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง"

       "ฉันยินดีและสนับสนุนความพยายามของสมาชิกรัฐสภาและนักวิชาการบางคนที่เสนอการแก้ไขมาตรา 112 เพื่อสื่อถึงความกังวลต่อการบังคับใช้กฎหมาย"

        ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติแสดงความกังวลต่อระยะเวลาที่สมยศถูกควบคุมตัว โดยถูกปฏิเสธการขอประกันตัวถึง 12 ครั้ง โดยระบุว่า "ฉันกังวลใจเมื่อสมยศไม่ได้รับการประกันตัว และหลายครั้งที่ปรากฏตัวในศาลโดยถูกใส่โซ่ตรวน ราวกับเขาเป็นอาชญากรร้ายแรง" เธอบอกว่าและว่า "ผู้ที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออกไม่ควรถูกลงโทษตั้งแต่แรกแล้ว"

         ทั้งนี้  เมื่อวันที่ 30 ส.ค.55 คณะทำงานขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องการควบคุมตัวโดยไม่ชอบ ได้สรุปว่า การจับกุมตัวสมยศเป็นการกระทำโดยไม่ชอบและเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปล่อยสมยศและชดเชยค่าเสียหายต่อสมยศ เพื่อให้เป็นไปตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบัน

"นักกิจกรรม นักข่าว และนักวิชาการ มีบทบาทที่มีพลวัตในการสนับสนุนวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย" พิลเลย์กล่าวและว่า "นี่สะท้อนให้เห็นสังคมไทยในเชิงบวก แต่กรณีของคดีสมยศนั้นเสี่ยงต่อการสวนทางกับความก้าวหน้าที่ประเทศไทยสร้างมา"
 

''ซีป้า'' ชี้คำตัดสินคดี ขยายความรับผิดชอบ บก.ไปถึงเนื้อหาของผู้อื่น
 
            ด้านแถลงการณ์ของสมาพันธ์ผู้สื่อข่าวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPA) ชี้ว่า คำตัดสินคดีนี้ได้ขยายความรับผิ
ดชอบของบรรณาธิการไปถึงเนื้อหาที่ตีพิมพ์ หากเนื้อหานั้นละเมิดประมวลกฎหมายอาญา

            การลงโทษสำหรับความรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่คนอื่นเขียนนี้คล้ายกับ คำตัดสินที่จีรนุช เปรมชัยพร ได้รับเมื่อพฤษภาคม 2555 ในความผิดฐาน ฝ่าฝืน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 โดยเธอได้รับโทษรอลงอาญาสองปี จากการนำข้อความที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพออกจากเว็บบอร์ด "ไม่เร็วพอ"

            และแม้ทนายของสมยศจะต่อสู้ว่าตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ไม่ได้กำหนดให้บรรณาธิการต้องรับผิดชอบกับบทความที่ผู้อื่นเขียน แต่ศาลก็ชี้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขาพ้นจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ขณะที่ไม่มีการดำเนินคดีกับผู้เขียนบทความ ซึ่งสมยศได้ให้การต่อศาลว่าคือจักรภพ เพ็ญแข แต่อย่างใด

            นอกจากนี้ ศาลยังระบุว่า แม้ไม่มีการกล่าวถึงพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในบทความ แต่เนื้อหาก็สามารถทำให้เข้าใจได้ว่ากล่าวถึงพระองค์ ซึ่งกรณีนี้ SEAPA ชี้ว่าคล้ายกับคำพิพากษาคดีของยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ซึ่งถูกตัดสินจำคุกสองปีจากการปราศรัยเมื่อปี 2553 โดยบทความในนิวยอร์กไทมส์ระบุว่า ศาลได้ตัดสิน่า แม้จำเลยจะไม่ได้กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง แต่คำปราศรัยดังกล่าวไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้

           กายาทรี เวนกิท สวารัน ผู้อำนวยการสมาพันธ์ผู้สื่อข่าวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPA) ระบุว่า โทษที่สมยศได้รับ "ไม่ได้สัดส่วน" ทั้งที่สมยศไม่ได้เป็นผู้เขียนบทความดังกล่าว

           การให้ความรับผิดชอบไปอยู่ที่บรรณาธิการ ขับเน้นให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นฯ ที่มีปัญหา ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งก็ได้ชี้ให้เห็นแล้ว

องค์กรสิทธิสากล-ไทย ร่วมประณาม ชี้ไทยห่างไกล ''การปรองดองแห่งชาติ''

 
           สหพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล  (International Federation for Human Rights: FIDH) และองค์การสากลว่าด้วยการต่อต้
านการทรมาน (World Organisation Against Torture: OMCT) ภายใต้การทำงานร่วมกันเพื่อคุ้มครองนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ร่วมด้วยสมาคมสิทธิเสรีภาพประชาชน (สสส.) ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงต่อคำตัดสินคดีต่อ สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมแรงงาน

           "คำตัดสินวันนี้ไม่เป็นธรรมอย่างชัดเจน การคงไว้ซึ่งกฎหมายเผด็จการและใช้กฎหมายนี้อย่างต่อเนื่อง นำประเทศไทยไปไกลจากการปรองดองแห่งชาติ ซึ่งตั้งอยู่บนการเคารพเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน" แดนทอง บรีน  ประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าว

            "แม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้ปล่อยตัวสมยศและปฏิรูปกฎหมายหมิ่นฯ จากทั้งพลเมืองไทย ภาคประชาสังคม และสหประชาชาติ หลายครั้ง แต่ประเทศไทยก็ตัดสินใจออกห่างจากมาตรฐานระหว่างประเทศในการปกป้องเสรีภาพในการแสดงความเห็น ทำตัวแปลกแยกจากสังคมประชาธิปไตย" ซิวเฮร์ เบลฮัสสัน ประธานสหพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล ระบุ

            "การตั้งข้อกล่าวหาทางอาญากั
บการเสียดสีทางการเมืองก็แย่พอแล้ว แต่การดำเนินคดีกับบรรณาธิการที่ไม่ได้เขียนงานนั้นๆ ทำให้การละเมิดถูกยกระดับขึ้นไปอีก" เจอราด สเตเบอร็อก เลขาธิการองค์การสากลว่าด้วยการต่อต้านการทรมานระบุและว่า "เราเรียกร้องต่อทางการไทยปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะทำงานขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องการควบคุมตัวโดยไม่ชอบ ซึ่งพบว่า การควบคุมตัวสมยศ ขัดต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล รวมทั้งเรียกร้องให้ปล่อยตัวสมยศ การกลับคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์และการปล่อยตัวสมยศในทันที จะแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ถึงคำมั่นสัญญาที่ไทยเคยประกาศบ่อยครั้ง เกี่ยวกับหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น