Open Letters in Thai and English:
1)
เรียนท่านสมาชิกและเครือข่ายประชาคมประชาธิปไตย
(Community of Democracies) ทุกท่าน
อนุสนธิจากการที่ท่านให้เกียรติประเทศไทยโดยให้โอกาส นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในการประชุมที่อูลานบาตอร์ ๒๙ เมษายน ศกนี้ และนางได้กล่าวเรียกร้องให้นานาชาติได้ให้ความสนับสนุนการต่อสู้ของตนและครอบครัวนั้น
ข้าพเจ้าในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งขอยืนยันว่า สิ่งที่นางกล่าวล้วนเป็นเรื่องตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ เหมือนเช่นที่ได้ขึ้นเบิกความเท็จต่อศาลไทยในคดีซุกหุ้นของครอบครัวมาก่อนหน้านี้แล้ว ตัวจริงของนางและพี่น้องหาใช่นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแต่อย่างใดเลย แท้ที่จริงนั้นครอบครัวชินวัตรได้พยายามยึดประเทศไทยเป็นวิสาหกิจหาประโยชน์โดยมิชอบมา กว่า ๑๐ปีแล้ว พวกเขาได้ลงทุนกว่า ๕ พันล้านบาทตั้งพรรคการเมืองเป็นคอกขัง สส. ส่งตนเองเข้าสู่อำนาจและสืบอำนาจส่งคนในครอบครัวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีไทยได้ถึง ๓ คนด้วยกัน ตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรผู้นี้ ก็ถูกพี่ชายส่งขึ้นมาครองอำนาจเป็นการเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขกฎหมายลบล้างคดีคอร์รัปชั่นของครอบครัวเท่านั้น
นางขึ้นมาสืบอำนาจของครอบครัวเพื่อปกครองประเทศไทยไม่ต่างจากนายคิม จองอึล สืบอำนาจตระกูลคิมขึ้นปกครองเกาหลีเหนือแต่อย่างใด ขึ้นมาได้และอยู่ได้เพื่อใช้อำนาจตามที่พี่ชายจะคิดและสั่งการเท่านั้น ท่านผู้มีเกียรติ์ทั้งหลาย แม้ร่างของเธอจะปรากฏต่อหน้าท่านก็จริง แต่ความคิดและวาจาทั้งหมดล้วนส่งทางไกลมาจากพี่ชายจอมบงการทั้งสิ้น การเลือกตั้งของไทยที่ผ่านมายังมีค่าเป็นเพียงการลงทะเบียนรับรองอำนาจเผด็จการให้เข้ายึดครองประเทศได้โดยชอบเท่านั้นเอง หากท่านทั้งหลายพิเคราะห์ให้แจ่มแจ้งท่านจะพบว่า พรรคเพื่อไทยของครอบครัวชินวัตรเต็มไปด้วยข้าทาสบริวาร ที่อ้างตนเป็นผู้แทนราษฎรอยู่เต็มไปหมดไม่ต่างจากพรรคคอมมูนิสต์เกาหลีเหนือเลย ข้างสื่อมวลชนไทยก็ยอมรับใช้ รับจ๊อบสร้างความหลงใหลของมวลชนให้ตระกูลชินวัตรไม่ต่างจากสื่อมวลชนเกาหลี เมื่อท่านไปเยือนดินแดนเกาหลีเหนือท่านก็จะพบใบหน้าท่านผู้นำโผล่จากคัทเอาท์เกลื่อนกล่นไปหมดฉันใด ดินแดนไทยปัจจุบันก็เช่นกัน ทุกหนแห่งทุกหน่วยงานทั้งสองตระกูลต่างก็ทุ่มเทส่งบริวารไปแทรกซึมจนทั่วทั้งสิ้น
ท่านที่นับถือ ประชาคมของท่านได้ประกาศไว้ในปฏิญญาวอร์ซอว์ว่า จะรวมตัวกันเพื่อสนับสนุน “การทำประชาธิปไตยให้เป็นจริง”ในทุกดินแดนของโลกใช่หรือไม่ ถ้าใช่ท่านก็ต้องมีความสามารถที่จะแยกแยะให้ได้ว่า ประเทศใดกำลังเป็นเผด็จการหรือเป็นประชาธิปไตย ซึ่งประวัติศาสตร์มนุษยชาติก็ได้ยืนยันต่อท่านชัดเจนแล้วว่า ลำพังการมีเลือกตั้งให้เห็นนั้นหาใช่ตัวชี้วัดความเป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใดไม่ เผด็จการที่แต่งตัวเป็นประชาธิปไตยนั้นมีมากมายยิ่งนัก
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าระบอบการปกครองของชินวัตรคือเผด็จการทุนนิยมสามานย์ในคราบประชาธิปไตย ครอบครัวนี้มิได้สร้างตัวจากทุนเสรีที่บากบั่นและสร้างสรรค์ พวกเขาได้สัมปทานผูกขาดโทรคมนาคมไทยจากอำนาจคณะรัฐประหาร พวกเขาร่ำรวยจากการใช้ข้อมูลภายในหากำไรจากตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ แล้วรุกคืบเข้าสู่วงการเมืองเพื่อแปลงสินทรัพย์สาธารณะของเมืองไทยเป็นทุนอีกชนิดหนึ่งของวิสาหกิจชินวัตร เมื่อได้อำนาจก็ใช้อำนาจส่วนรวมปรนเปรอเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของครอบครัว ทำรัฐเสียประโยชน์กว่าแสนล้านบาท ใช้ข้อมูลภายในของรัฐเล่นหุ้น และซื้อที่ดินอยู่ตลอดเวลา จนแม้ทุกวันนี้ครอบครัวนี้จะถูกศาลยุติธรรมยึดทรัพย์ไปกว่าสี่หมื่นล้านบาทแล้วก็ตาม เขาก็ยังมีเงินได้ซุกซ่อนอยู่ในสถาบันการเงินต่างประเทศอีกเป็นแสนล้าน จนนำไปซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ได้ ความจริงที่ชัดเจนอย่างนี้ท่านไม่เห็นเลยหรืออย่างไร
การ”คอร์รัปชั่นทางการเมือง” โดยการขายตัวขายวิญญาณของ สส.ไทยบางส่วน, โดยการขายเสียงของประชาชนจำนวนหนึ่ง จนลงเอยเป็นวิสาหกิจการเมืองของครอบครัวชินวัตรนี่เอง คือต้นเหตุทำให้สถาบันการเมืองและกฎหมายในระบบรัฐธรรมนูญไทยไม่อาจพาข้าพเจ้าและพี่น้องร่วมชาติไปสู่ประชาธิปไตยที่เป็นจริงได้
ท่านสมาชิกประชาคมที่นับถือ ท่านเข้าใจแล้วหรือไม่ว่าแรงปฏิกิริยาในสังคมไทยที่มีต่อรัฐบาลไทยในปัจจุบัน คือแรงต่อต้านเผด็จการทุนนิยมสามานย์โดยตระกูลชินวัตร หาใช่กระแสปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยดังที่นางได้กล่าวไว้โดยไร้ยางอายแต่อย่างใดไม่ เราต่อต้านครอบครัวนี้ เพราะพวกเขากำลังพาบ้านเมืองเราไปสู่หายนะด้วยการอัดฉีดความโลภ ความหลง และความโกรธเกลียดลงไปในหัวใจผู้คนให้แตกแยกกัน จนสังคมไทยทุกวันนี้ต้องห่างไกลทั้งจากประชาธิปไตยและความเป็นปรกติสุขไปทุกขณะ
ทุกวันนี้ครอบครัวชินวัตรและบริวารกำลังระดมสรรพกำลัง บีบคั้นขัดขวางการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อที่จะแก้ไขกฎหมายล้างผิดล้างโทษของ พตท.ทักษิณ ให้จงได้ ภารกิจของนางสาวยิ่งลักษณ์ที่อูลานบาตอร์นั้น แท้จริงก็คือการไปหลอกลวงให้ท่านหลงเชื่อว่าครอบครัวชินวัตรคือธงนำของกระแสประชาธิปไตย แรงต่อต้านรัฐบาลชินวัตรคือกระแสปฏิกิริยาโดยนางได้กล่าวขอร้องพวกท่านไว้อย่างชัดเจนว่า “ หากเกิดอะไรกับระบอบของนางก็ขอท่านจงคว่ำบาตรอย่าได้ยอมรับหรือรับรองเป็นอันขาด” ท่านเห็นชัดแล้วใช่ไม่ว่านี่คือสาสน์แท้จริงที่ระบอบชินวัตร บอกต่อท่านผ่านปากนายกฯจมูกยาวผู้นี้
ท้ายนี้ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าประชาคมประชาธิปไตยของท่านจะรู้จริงและฉลาดพอที่จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของเผด็จการชินวัตร ข้าพเจ้าและคนไทยหลายล้านจะไม่ขออะไรจากท่าน บ้านเมืองเราเราเชื่อว่าเราสามารถแก้ปัญหาของเราได้ สาสน์ฉบับนี้มีจุดประสงค์เพียงเพื่อทำความกระจ่างต่อท่านเท่านั้นว่านางผู้นี้มิใช่ตัวแทนของประชาธิปไตย มิใช่ตัวแทนของความจริงและมิใช่ตัวแทนที่รู้จักรับผิดชอบต่อคนไทยแต่อย่างใดเลย
ด้วยจิตคารวะจากคนไทยคนหนึ่ง
2)
An Open Letter from concerned Thai citizens
Dear All Members and Associates of the Community of Democracies,
With reference to your honoring Thailand with an opportunity for Prime Minister Ms. Yingluck Shinawatra to deliver a speech at the Conference of the Community of Democracies, held in Ulaanbaatar, Mongolia on 29th April 2013 whereby she appealed to the international community to render support to her and her family’s struggle.
We, as Thai citizens, would like to affirm that what she said was a set of self-serving lies angling for sympathy. It was similar to what she did previously in her appearance before the Thai Court of Justice to tell lies in the case concerning the hiding of her family’s assets.
The true nature of Ms. Yingluck Shinawatra and that of her siblings is not that of fighters for democracy at all. On the contrary, the Shinawatra family has been trying by dubious means for the past ten years to take over Thailand and turn it into a kind of state enterprise. They have been investing to the tune of more than five billion baht, to set up a political party to cage in members of parliament (MPs) to help them to attain power which so far has resulted in 3 members of the family becoming Prime Ministers of Thailand.
Ms Yingluck was handpicked by her brother Thaksin Shinawatra to assume the premiership with the sole task of amending laws to whitewash their family of corruption charges.
Ms. Yingluck’s assumption of office to continue and perpetuate her family’s dominance is no different from that of Mr. Kim Jong Il’s continuation of his family’s control over North Korea. Ms. Yingluck’s tenure is totally dependent on the wishes and orders of her brother, Thaksin Shinawatra.
Excellencies, although you saw the physical presence of Ms. Yingluck before you, her thoughts and utterances were all directed from afar by her manipulative and demanding brother.
Successes at past general elections were simply legalizing acts of authorization of this authoritarian family to gain power, to capture and subjugate the country. If your Excellencies were to be more judicious and scrutinizing you would have found out that the Shinawatra-owned Pheu Thai Party is full of stooges in the guise of Members of Parliament. They are no different from members of the Communist Party of North Korea.
The Thai media in general behave in a similarly subservient manner, being commissioned by the Shinawatra family to create personality cults and promote public adoration for themselves. They behave no differently from the North Korean media.
If you pay a visit to North Korea you will witness the omnipresence of portraits of the leader. In Thailand it is the same. These two likeminded families have thus been sending their followers and subordinates to infiltrate all strata of their respective societies.
Excellencies, has not your Community stated in its Warsaw Declaration that the Community would join in efforts to promote “the making of democracy a reality” in every part of the earth? If so, you must first be able to distinguish which countries are authoritarian and which are democratic.
Human history has ascertained clearly that the holding of general elections is not the only indication or proof of democracy. Dictators dressed up as democrats are many in this world of ours. We would like to assert therefore that the Shinawatra family’s rule is an amoral, ultra-capitalist authoritarian one in the cloak of democracy.
The Shinawatras did not build up their wealth and fortune in the context of a liberal market economy that needs creativity, entrepreneurship and hard work. They obtained a monopoly of the telecommunication business through concessions gained from the military government of that time.
They further enriched themselves through insider-trading in the
stock market and the property market, buying up properties on a continuous basis. They used the accumulated wealth as an entry into the political arena. With their political power, they transformed public assets for the perpetuation of their family’s wealth. It is the use of power to generate wealth, and this wealth in turn generates yet more power. The country as a consequence has lost billions and billions of baht.
In spite of the fact that 45 billion baht of their wealth was confiscated by the decision of the Court of Justice, the family still has hidden assets in various financial enclaves to the amount of more than 100 billion baht. They were even at one time owners of Manchester City Football Club.
These are the clear facts and evidence before you, Excellencies.
“Political corruption” through the acquisition of the loyalty of some Thai Members of Parliament, and the sale of votes of some Thai citizens, has culminated in the creation of a Shinawatra political corporation. This is the fundamental reason why political institutions, and the system of the rule of law as stipulated in the Constitution of Thailand could not and have not been able to lead us, as Thai citizens, towards a true and authentic democracy.
Members of the Community, you may by now have understood that the attitude and reaction of the Thai populace to the conduct of the current government of Thailand is actually a forceful and genuine undertaking against the amoral-capitalist authoritarian regime of the Shinawatra family. It is not a reactionary force against democracy as claimed by Ms. Yingluck, in her shameless speech.
We are against the Shinawatra family because this family is leading Thailand into an abyss of darkness. It injects greed, misinformation, anger and hate into the hearts and minds of the people in order to divide Thai society, which is at every second in the state of distancing itself from democracy and a peaceful environment.
Today the Shinawatra family and their subordinates are redoubling their efforts to obstruct the Constitutional Court at all costs, in order to effect the amending of laws to white wash the wrong doings of Mr. Thaksin Shinawatra.
The real task and intention of Ms. Yingluck in Ulan Bator was to fool your Excellencies into believing that the Shinawatra family is the flagship and bearer of the torch of Thai democracy; and that the forces opposed to the family are reactionary and anti-democracy. Ms. Yingluck has appealed to your Excellencies that “if anything were to happen to her regime, the Community should impose sanctions and not accept such a change”. Your Excellencies must have realized by now what was the true message and intention of the Thaksin regime as delivered in the deceitful words of this Prime Minister.
In conclusion it is hoped that the Community of Democracies and its members have by now learned the truth and are astute and judicious enough not to become a tool of the authoritarian Shinawatra family.
We, the millions of Thai citizens, do not seek your help; we can solve our own problems. This Open Letter is intended to present a factual account and clarification that this lady Prime Minister of Thailand is not a representative of Thai democracy, not a representative of the truth, and not a responsible representative of the Thai people at all.
With deepest respect from Concerned Thai citizens,
May 2013, Bangkok
---------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------
ข้อความอ้างอิง: คำกล่าวปาฐกถาพิเศษของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภาษาไทยและอังกฤษ
Appendix: Yingluck speech in Thai and English at the conference.
3)
คำกล่าวปาฐกถาพิเศษของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการประชุมประชาคมประชาธิปไตย วันที่ 29 เมษายน 2556 ณ State Palace ประเทศมองโกเลีย
คำแปลปาฐกถาพิเศษ
นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร
การประชุมประชาคมประชาธิปไตย
อูลัน บาตอ, มองโกเลีย
29 เมษายน 2013
ท่านผู้มีเกียรติ,
ท่านผู้เข้าร่วมประชุม,
ดิฉันขอเริ่มด้วยการขอบคุณท่านประธานาธิบดีแห่งมองโกเลียที่ได้เชิญให้ดิฉันมาปาฐกถา ณ การประชุมประชาคมประชาธิปไตยแห่งนี้
ดิฉันได้ตอบรับเชิญไม่เพียงเพราะดิฉันต้องการที่จะได้มีโอกาสเยือนมองโกเลีย ประเทศที่ประสบความสำเร็จในความเป็นประชาธิปไตย หรือไม่ได้มาเพียงที่จะได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย แต่ดิฉันเดินทางมาที่นี่เพราะความเป็นประชาธิปไตยมีความสำคัญต่อดิฉันอย่างมาก และที่สำคัญยิ่งกว่าคือความไม่เป็นประชาธิปไตยมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็น อยู่ของประชาชนในประเทศบ้านเกิดของดิฉัน ประเทศไทยที่ดิฉันรัก
ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่เป็นแนวคิดอุดมการณ์ใหม่ ในช่วงเวลาที่ผ่านมายาวนานแนวทางประชาธิปไตยได้นำมาซึ่งความก้าวหน้าและความ หวังสำหรับผู้คนจำนวนมาก และในขณะเดียวกัน ผู้คนจำนวนมากได้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องรักษาและสร้างความเป็นประชาธิปไตย
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ไม่ได้ได้มาฟรีๆ สิทธิ เสรีภาพ และความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงมีความเท่าเทียมกันนั้นได้มาด้วยการต่อสู้ และที่น่าเศร้าใจคือ ทำให้ต้องมีผู้เสียชีวิต
ทำไม ถึงเป็นเช่นนั้นหรือ ? ก็เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ที่ไม่เชื่อในแนวคิดประชาธิปไตย คนเหล่านี้พร้อมที่จะให้ได้มาด้วยอำนาจและด้วยการกดขี่การมีเสรีภาพ นั่นหมายความว่าพวกเขาพร้อมที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เขาไม่เคารพสิทธิมนุษยชนหรือความเสรีภาพ พวกเขาพร้อมจะใช้กำลังเพื่อกดขี่ให้คนอยู่ใต้อำนาจ และยังใช้อำนาจในทางที่ผิด สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในอดีตและยังคงท้าทายเราทุกคนในปัจจุบัน
มีหลายประเทศที่ความเป็นประชาธิปไตยได้หยั่งรากลึกแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและเป็นความรู้สึกสดชื่นที่ได้เห็นกระแสประชาธิปไตยที่นำ ความเปลี่ยนแปลงสู่ประเทศต่างๆ จากปรากฏการณ์อาหรับสปริงค์ถึงช่วงผ่านเปลี่ยนในเมียนมาร์ภายใต้ผลักดันของ ประธานาธิบดี เต็ง เส่ง รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศของดิฉัน ด้วยพลังของประชาชนคนไทยที่ทำให้ดิฉันมายืนอยู่ที่นี่ได้ในวันนี้
ในระดับภูมิภาค หลักการสำคัญๆในปฏิญญาอาเซียนก็ยึดมั่นในหลักนิติธรรม, ประชาธิปไตย และรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย แต่ในขณะเดียวกันเราทุกคนต้องระมัดระวังว่าแรงปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตย ไม่เคยที่จะถดถอยลดน้อยลง ดิฉันขอยกเรื่องของดิฉันเองเป็นอุทาหรณ์
ใน ปี 1997 ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งร่างขึ้นโดยที่ประชาชนมีส่วนร่วม เราทุกคนคิดว่ายุคใหม่ของประชาธิปไตยไทยมาถึงแล้ว และจะเป็นยุคสมัยที่ไร้การรัฐประหาร
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2006 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าที่จะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา
หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่ดิฉันพูดถึงคือรัฐบาลที่พี่ชาย ของดิฉัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
หลายคนที่ไม่รู้จักดิฉัน อาจบอกว่า เธอจะบ่นไปทำไม? เป็นเรื่องปกติในกระบวนการการเมืองที่รัฐบาลมาแล้วก็ไป ซึ่งหากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็คงจะปล่อยวาง
แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นไปที่เกิดขึ้น จากการรัฐประหารประเทศไทยต้องถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการและแผนงานที่พี่ชายของดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิก ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไป
คำ ว่า “ไทย” หมายความว่า “อิสระ” และประชาชนคนไทยก็ได้ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้เสรีภาพคืนมา แต่ในเดือนพฤษภาคม 2553 มีการสลายการชุมนุมของผู้เรียกร้องกลุ่มคนเสื้อแดง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง91 คนในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ
คนบริสุทธิ์ถูกลอบยิงโดยสไนป์เปอร์ แกนนำการชุมนุมต้องติดคุกหรือหลบหนีไปต่างประเทศ และแม้แต่ทุกวันนี้ยังคงมีเหยื่อทางการเมืองจากการเคลื่อนไหวเพื่อ ประชาธิปไตยที่ติดคุกอยู่
ประชาชนคนไทยไม่ท้อถอยและยืนยันที่จะเดินไปข้างหน้า จนในที่สุดรัฐบาลในขณะนั้นต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งก็มีฝ่ายปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยที่เชื่อว่าจะบริหารจัดการและบิด เบือนเจตนารมณ์ประชาธิปไตยได้ต่อ แต่ในที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของประชาชนได้ ดิฉันได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนใหญ่ขอประเทศ แต่เรื่องราวนั้นยังไม่จบ
มีความชัดเจนว่าผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยยังคงอยู่ รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นในรัฐบาลภายใต้คณะรัฐประหารได้ใส่กลไกที่ตีกรอบเพื่อ จำกัดความเป็นประชาธิปไตย
ตัวอย่าง หนึ่งที่ดีในประเด็นนี้ จะเห็นได้จากที่จำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการเลือกตั้ง แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น กลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่ แท้จริงเป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม
นี่คือความท้ายทายของประชาธิปไตยไทยในปัจจุบัน ดิฉันนั้นต้องการเห็นความปรองดองเกิดขึ้นในประเทศไทยและประชาธิปไตยของไทย พัฒนาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยหลักนิติธรรมและกระบวนการทางกฎหมายที่ แข็งแรงมีขั้นตอนที่ชัดเจนโปร่งใสและเมื่อนั้นทุกคนจะสามารถมั่นใจได้ว่าเขา จะได้รับการดูแลที่ยุติธรรม เจตจำนงนี้ ดิฉันได้แสดงออกโดยประกาศเป็นนโยบายต่อที่ประชุมของรัฐสภา ก่อนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล
ความมีประชาธิปไตยทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง เกิดสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดการลงทุน นำมาสู่การสร้างงานสร้างรายได้ ที่สำคัญดิฉันเชื่อว่าเสรีภาพทางการเมืองเป็นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ด้วยการเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจและนำมาซึ่งการลดช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนจน คนรวย นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นความสำคัญที่จะต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาชน ในระดับรากหญ้า เราจะต้องเดินหน้าปฏิรูปการศึกษา เพราะการศึกษาสร้างโอกาสด้วยความรู้ และปลูกฝังวัฒนธรรมทางประชาธิปไตยในวิถีชีวิตของประชาชน
เมื่อประชาชนมีความรู้ ประชาชนจะสามารถตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนและสามารถปกป้องความเชื่อของตน จากผู้ที่ต้องการกดขี่ และนี่คือเหตุผลที่ประเทศไทยสนับสนุนข้อเสนอของมองโกเลียในที่ประชุมใหญ่สห ประชาชาติเกี่ยวกับการศึกษาและประชาธิปไตย
การลดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนก็สำคัญเช่นกันมนุษย์ทุกคนควรมีโอกาสที่เท่า เทียมกัน เราต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สิ่งนี้จะทำให้ประชาชนเป็นผู้มีส่วนร่วมที่แท้จริงในการพัฒนาเศรษฐกิจและ เสริมสร้างประชาธิปไตยของประเทศ
นี่คือเหตุผลที่รัฐบาลต้องริเริ่มนโยบายที่จะเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสร้างชีวิต ที่ดีกว่า และมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม ดิฉันได้เริ่มต้นไว้หลายโครงการ รวมถึงการสร้างกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และวิสาหกิจขนดกลางขนาดย่อม ในขณะที่ได้กำหนดมาตรการยกระดับรายได้ของเกษตรกร
และดิฉันเชื่อว่าเราต้องการการนำที่มีประสิทธิภาพและมีความสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายและหลักนิติธรรมตลอดจนความสร้างสรรค์ในการ หาทางออกที่สันติในการแก้ไขปัญหาของประชาชน
เราต้องการการนำที่ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในซีกรัฐบาลแต่ในฝ่ายค้านและประชาชนทุกคน ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ทุกคนต้องเคารพกฎหมายและช่วยกันสร้างประชาธิปไตย
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ,
อีกบทเรียนที่ได้เรียนรู้คือ เพื่อนในต่างประเทศมีความสำคัญ การกดดันจากนานาชาติที่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยทำให้กระบวนการประชาธิปไตยใน ประเทศไทยคงอยู่ได้ การคว่ำบาตรและการไม่ยอมรับเป็นกลไกที่สำคัญที่จะหยุดกระบวนการปฏิกิริยาที่ ต่อต้านประชาธิปไตย
เวทีนานาชาติอย่างประชาคมประชาธิปไตยแห่งนี้มีบทบาทที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยยืน หยัดอยู่ได้ การส่งเสริมและปกป้องประชาธิปไตยด้วยการหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ประสบการณ์และสร้างความร่วมมือ หากประเทศใดก็ตาม ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย ทุกคนต้องร่วมกันกดกันเพื่อการเปลี่ยนแปลงและนำเสรีภาพกลับคืนสู่ประชาชน
ดิฉันขอยืนยันว่าจะให้การสนับสนุนเวที่นี้เวทีนี้และการดำเนินงานของสภาบริหาร ( Governing Council ) เพื่อจะได้ช่วยให้ประชาธิปไตยแข็งแกร่งขึ้นทั่วโลกนอกจากนี้ ดิฉันขอชื่นชมประธานาธิบดีมองโกเลียสำหรับข้อริเริ่มความเป็นหุ้นส่วนเอเชีย เพื่อประชาธิปไตย ( Asian Partnership Initiative for Democracy ) และทางรัฐบาลไทยพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือในส่วนนี้
ท่านผู้มีเกียรติ,
ดิฉันขอปิดท้ายด้วยการประกาศว่า ดิฉันหวังว่าความเจ็บปวดที่ครอบครัวของดิฉันได้รับ ที่ครอบครัวของเหยื่อทางการเมืองไทย และครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 91 คนในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ต้องเผชิญจะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายสำหรับประเทศไทย
ขอให้เราทุกคนสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยเพื่อที่เสรีภาพและอิสรภาพของมนุษย์ได้รับการปกปักษ์รักษาเพื่อลูกหลานและคนรุ่นต่อๆไป
ขอบคุณค่ะ
4)
Statement of
HerExcellency Ms. Yingluck Shinawatra
PrimeMinister of the Kingdom of Thailand
At the 7th Ministerial Conference of the Community of Democracies
Ulaanbaatar,Mongolia, 29 April 2013
Mr.Chairman,
Excellencies,
Delegates to the Conference,
Ladies and Gentlemen,
I wish to begin by expressingmy appreciation to His Excellency the President of Mongolia for inviting me tospeak at this Conference of the Community of Democracies.
I accepted this invitation not only because I wanted to visit a country that has made many achievements regarding democracy, or to exchange ideas and views ondemocracy. But I am here also because democracy is so important to me, and more importantly, to the people of my beloved home, Thailand.
Democracyis not a new concept. Over the years, It has brought progress and hope to a lotof people. At the same time, many people have sacrificed their blood and livesin order to protect and build a democracy.
Agovernment of the people, by the people and for the people does not come without a price. Rights, liberties andthe belief that all men and women are created equal have to be fought, andsadly, died for.
Why?This is because there are people in this world who do not believe in democracy.They are ready to grab power and wealth through suppression of freedom. This means that they are willing to take advantage of other people without respecting human rights and liberties. They use force to gain submission and abusethe power. This happened in the past andstill posed challenges for all of us in the present.
In many countries, democracy has taken a firm root. And it is definitely refreshing to seeanother wave of democracy in modern times, from Arab Spring to the successful transition in Myanmar through the efforts of President Thein Sein, and also thechanges in my own country where the people power in Thailand has brought mehere today.
At the regional level, the key principles in the ASEAN Charter are the commitment to rule of law, democracy and constitutional government. However, we must always beware thatanti-democratic forces never subside. Let me share my story.
In1997, Thailand had a new constitution that was created through the participation from the people. Becauseof this, we all thought a new era of democracy has finally arrived, an erawithout the cycle of coups d’état.
It was not to be. An elected government which won twoelections with a majority was overthrown in 2006. Thailand lost track and thepeople spent almost a decade to regain their democratic freedom.
Many of you hereknow that the government I am talking about was the one with my brother,Thaksin Shinawatra, as the rightfully elected Prime Minister.
Many who don’tknow me say that why complain? It is anormal process that governments come and go. And if I and my family were theonly ones suffering, I might just let it be.
But it was not. Thailand suffered a setback andlost international credibility. Rule of law in the country was destroyed.Projects and programmes started by my brother’s government that came from the people’s wishes were removed. The people felt their rights and liberties werewrongly taken away.
Thai means free,and the people of Thailand fought back for their freedom. In May 2010, acrackdown on the protestors, the Red Shirts Movement, led to 91 deaths in theheart of the commercial district of Bangkok.
Many innocentpeople were shot dead by snipers, and the movement crushed with the leaders jailed or fled abroad. Even today, manypolitical victims remain in jail.
However, the people pushed on, and finally the government then had to call for an election,which they thought could be manipulated. In the end, the will of people cannotbe denied. I was elected with an absolute majority.
But the story is not over. It is clear that elements of anti-democratic regime still exist. The new constitution, drafted under the coup leaders led government, put inmechanisms to restrict democracy.
A good exampleof this is that half of the Thai Senate is elected, but the other half is appointed by a small group of people. In addition, the so called independent agencies have abused the power that should belong to the people, for the benefit of the few rather than to the Thai society at large.
This is the challenge of Thai democracy. I would like to see reconciliation and democracy gaining strength. This can only be achieved through strengthening of the rule of law and due process. Only thenwill every person from all walks of life can feel confident that they will betreated fairly. I announced this as part of the government policy at Parliament before I fully assumed my duties as Prime Minister.
Moreover,democracy will also promote political stability, providing an environment forinvestments, creating more jobs and income. And most importantly, I believe political freedom addresses long term social disparities by opening economic opportunities that would lead to reducing the income gap between the rich and the poor.
That is why it is so important to strengthen the grassroots. We can achieve this through education reforms. Education creates opportunities through knowledge, anddemocratic culture built into the ways of life of the people.
Only then willthe people have the knowledge to be able to make informed choices and defend their beliefs from those wishing to suppress them. That is why Thailand supported Mongolia’s timely UNGA resolution on education for democracy.
Also important is closing gaps between rich and poor. Everyone should be given opportunities and no one should be leftbehind. This will allow the people tobecome an active stakeholder in building the country’s economy and democracy.
That is why my Government initiated policies to provide the people with the opportunities tomake their own living and contribute to the development of our society. Some ofthese include creating the Women Development Fund, supporting local products andSMEs as well as help raising income for the farmers.
And I believe you need effective and innovative leadership. Effective in implementing rule of law fairly. Innovative in finding creative peaceful solutions to address the problems of the people.
You need leadership not only on the part of governments but also on the part of the opposition and all stakeholders. All must respect the rule of law and contribute to democracy.
Ladies andGentlemen,
Another important lesson we have learnt was that international friends matter. Pressure from countries who value democracykept democratic forces in Thailand alive. Sanctions and non-recognition are essential mechanisms to stopanti-democratic regimes.
An international forum like Community of Democracies helps sustain democracy, seeking to promote and protect democracy through dialogue and cooperation. More importantly, if any country took the wrong turn against the principle ofdemocracy, all of us here need to unite to pressure for change and return freedomto the people.
I will always support the Community ofDemocracies and the work of the Governing Council. I also welcome thePresident’s Asian Partnership Initiative for Democracy and will explore how toextend our cooperation with it.
Ladies and Gentlemen,
I would like to end my statement by declaring that, I hope that the sufferings of my family, the families of the political victims, and the families of the 91people, who lost their lives in defending democracy during the bloodshed in May2010, will be the last.
Letus continue to support democracy so that the rights and liberties of all humanbeings will be protected for future generations to come!
Thank you.
--------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น