วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

ไล่ล่าสุดขอบฟ้าโกตี๋

ไล่ล่าสุดขอบฟ้าโกตี๋
 

Mon, 2014-04-21 23:49

             ในท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองของสังคมไทยเช่นนี้ กลับกลายเป็นเรื่องแปลกที่ทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ กลับมีท่าทีในทิศทางเดียวกันในกรณีหนึ่ง คือการไล่ล่าติดตามแกนนำของคนเสื้อแดงคนหนึ่ง ที่มีชื่อเล่นเรียกกันว่า “โกตี๋” โดยเหตุผลสำคัญในการเล่นงานก็คือ ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 จึงเท่ากับว่า ทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย ต่างก็ต้องลงเรือร่วมขบวนการ”ล่าแม่มด”ลำเดียวกัน
          โกตี๋มีชื่อจริงว่า นายวุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ แต่เดิมก็คือชาวบ้านธรรมดา แต่เริ่มตื่นตัวเข้ามามีบทบาททางการเมือง เพราะไม่อาจยอมรับการรัฐประหาร พ.ศ.2549 และเห็นว่า มีการจงใจใส่ร้ายทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างไม่เป็นธรรม เขาเข้าร่วมขบวนการเสื้อแดงเพราะต้องการต่อสู้ให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จึงได้รวบรวมประชาชนก่อตั้งกลุ่มปทุมธานีรักประชาธิปไตยเมื่อ พ.ศ.2552 เพื่อต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และต่อมาเขามีบทบาทชัดเจนขึ้นหลังจากการล้อมปราบคนเสื้อแดงเมื่อ พ.ศ.2553 ในฐานะหนึ่งในแกนนำเสื้อแดงอิสระนอกกลุ่ม นปช. โกตี๋สร้างฐานมาจากการเป็นโฆษกในสถานีวิทยุชุมชน จากการแสดงท่าทีที่ตรงไปตรงมาขวานผ่าซาก จึงถูกโจมตีว่าเป็นฝ่ายเสื้อแดงสายฮาร์คคอร์ นิยมความรุนแรง และเป็นที่เชื่อกันมากในสื่อมวลชนฝ่ายขวา พวกสลิ่มและกลุ่มนิยม กปปส. ทั้งที่ยังไม่เคยปรากฏหลักฐานด้วยซ้ำว่า โกตี๋ไปก่อความรุนแรงเรื่องใดในสถานการณ์ใด แต่ในระยะหลังจากที่ กลุ่ม กปปส.จัดชุมนุมก่อกวนบ้านเมืองแล้วเกิดความรุนแรง ชื่อโกตี๋จะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกกล่าวหาก่อนเสมอ

           เหตุการณ์หนึ่งที่โกตี๋ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย คือ กรณีไล่ยิงคนเสื้อแดงของการ์ดของฝ่าย กปปส.ที่นำโดยพระพุทธอิสระที่หลักสี่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในเหตุการณ์นี้ มือปืนของฝ่าย กปปส.ยิงประชาชนคือ นายอาเกว แซ่ลี้ จนบาดเจ็บทุพลภาพ นอนอยู่ในโรงพยาบาลจนถึงขณะนี้ กลายเป็นว่าโกตี๋ก็ถูกพาดพิงว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปะทะ ถูกกล่าวหาเป็นจำเลยแทนสุเทพ เทือกสุบรรณ และพระพุทธอิสระที่เป็นผู้ก่อความรุนแรงตัวจริง ทั้งที่โกตี๋ปฏิเสธด้วยซ้ำว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เลย และคงจะไม่สามาถบงการการยิงประชาชนของ”มือปืนป็อปคอร์น”ฝ่ายนายสุเทพได้

           กรณีที่เป็นเรื่องใหญ่ต่อมา คือ ในวันที่ 6 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้แถลงว่า รัฐบาลและศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) จะต้องเร่งดำเนินคดีกับโกตี๋ที่ขึ้นป้ายผ้าแบ่งแยกประเทศ ซึ่งมาจากการที่โกตี๋ขึ้นป้ายผ้ามีข้อความว่า "อยู่กันด้วยความสามัคคีไม่ได้...ก็แบ่งแยกกันอยู่..." และมีตัวหนังสือสีขาวด้านล่างข้อความ "มึงกับกู...แยกแผ่นดินกันเลย.." โดยโกตี๋อธิบายว่า การขึ้นป้ายนั้นเป็นการประชดที่กองทัพและองค์กรอิสระไม่ดำเนินการอะไรเลยกับ ฝ่าย กปปส.ที่เป็นกบฎก่อกวนบ้านเมือง แต่กลับมาริดรอนสิทธิเสียงของประชาชน

           กรณีที่นำมาสู่การกล่าวหาโกตี๋ตามมาตรา 112 มาจากการเผยแพร่คลิปวีดีโอในวันที่ 7 เมษายน โดยการที่สำนักข่าวไวซ์นิว (Vice News) ที่เป็นสำนักข่าวอิสระในแคนาดา ได้สัมภาษณ์นายวุฒิพงศ์เกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย สำนักข่าวอิสราได้รายงานว่า “ในคลิปวีดีโอดังกล่าวตอนหนึ่งถึงเหตุผลที่คนเสื้อแดง ต้องมาออกต่อสู้ในขณะนี้ ว่า “เพื่อเรียกร้องให้เขายุติในการก่อม็อบกัน เรียกร้องให้มีระบอบการเลือกตั้ง เพราะคุณบอกว่ารักชาติ แต่คุณทำลายชาติ เศรษฐกิจ เสียหายย่อยยับ แต่ผมสู้ระบอบที่ครอบงำในเมืองไทยมาชั่วนาตาปีแล้ว สุเทพแค่ตัวละคร ” ก่อนจะชี้มือขึ้นข้างบน และถามผู้สื่อข่าวกลับว่า“เข้าใจความหมายใช่ไหม” และยังกล่าวต่อไปว่า "คนอื่นไม่กล้าพูด แต่ผมกล้าพูด”

         การให้สัมภาษณ์ลักษณะนี้ ถูกตีความทันทีว่า โกตี๋เหิมเกริมจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงและจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สื่อมวลชนฝ่ายขวาต่างระดมโจมตีโกตี๋เป็นการใหญ่ แพทย์ฝ่าย กปปส.อย่าง พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ ก็ได้ระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเรียกร้องให้ทหารในกองทัพจัดการกับโกตี๋ เนื่องจากที่ผ่านมามีความชัดเจนว่ารัฐบาลเพื่อไทยและหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายนั้นจงใจปล่อยปละละเลย และไม่ดำเนินการเอาผิดกับคนที่จาบจ้วงสถาบันแต่อย่างใด

         ในวันที่ 9 เมษายน พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ส่งทีมกฏหมายเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับโกตี๋ในข้อหาหมิ่นพระเดชานุภาพ โดยพาดพิงสถาบันว่าอยู่เบื้องหลังการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ก็ได้สั่งให้นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือถึง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเอาผิดกับโกตี๋ ส่วนนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ประธานที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) ก็แถลงต่อมาว่า ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีแล้ว และถึงแม้จะมีข่าวว่า "โกตี๋" หนีออกนอกประเทศก็ยังสามารถขอความร่วมมือส่งตัวในลักษณะผู้ร้ายข้ามแดนได้

         ก่อนอื่นคงต้องอธิบายว่า การมุ่งเล่นงานโกตี๋ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็มีเป้าหมายที่ยืนยันข้อกล่าวหาที่สื่อมวลชนกระแสหลักสร้างกระแสกันมานานในเรื่อง”แดงล้มเจ้า” ทั้งที่คำสัมภาษณ์ทั้งหมดของโกตี๋ถ้าเป็นจริง ก็ไม่ได้เป็นการหมิ่นหรือล่วงละเมิดผู้ใด หรือเป็นการสื่อว่าจะมีการล้มล้างสถาบันแต่อย่างใด การอธิบายว่าการเคลื่อนไหวของนายสุเทพ มีผู้มีอำนาจเหนือกว่าอยู่เบี้องหลัง ก็เป็นที่พูดกันทั่วไป การนำเอามาตรา 112 มาเล่นงานกันจึงไม่ต่างจากขบวนการล่าแม่มดในสมัยกลาง และข้อสังเกตคือ ลักษณะการโจมตีไล่ล่าโกตี๋ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ต่างจากกรณีคุกคามไล่ล่าคุณดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือ ดาร์ตอปิโด เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2551 ซึ่งส่งผลให้คุณดารณีกลายเป็นเหยื่อรายสำคัญของมาตรา 112 ต้องถูกจับติดคุกมานานกว่า 5 ปีจนถึงทุกวันนี้

           ดังนั้น ขบวนการโจมตีไล่ล่าโกตี๋ ก็คือกระบวนสร้างเรื่อง ใส่ร้ายป้ายสี เอากฎหมายมาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือ ทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ซึ่งเป็นกระบวนการที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทำอยู่เสมอนั่นเอง กระบวนการใส่ร้ายป้ายสีของฝ่ายขวาครั้งนี้ยังพุ่งเป้าไปที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่ถูกเอ่ยถึงว่าอาจจะเป็นผู้ที่ให้ที่หลบภัยแก่โกตี๋ เพราะถือว่าเป็นคนใกล้ชิดเพราะ”เคยถ่ายรูปคู่กัน” ทำให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ต้องออกมาแถลงเร่งให้มีการดำเนินคดีและขอให้โกตี๋มามอบตัวแก่ทางการตำรวจ

         กรณีไล่ล่าโกตี๋ทั้งหมดนี้ จึงสะท้อนอีกด้วยว่า สังคมไทยยังเป็นสังคมที่ปราศจากเหตุและผล เชื่ออะไรตามกันโดยขาดการตรวจสอบ จึงสามารถปล่อยให้กฎหมายมาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเล่นงานฝ่ายตรงข้ามได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

          จักรภพ เพ็ญแข ได้อธิบายกรณีนี้อย่างชัดเจนว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ไม่ใช่เกมของขบวนประชาธิปไตย หากแต่เป็นเกมของระบอบอำมาตย์ศักดินา ดังนั้น เนื้อความที่โกตี๋ใช้ในการให้สัมภาษณ์นั้น ผิดหรือถูกไม่ใช่ประเด็นของเรื่อง เพราะ”พูดชัดหรือไม่ชัดเขาก็เอาผิดได้ทั้งนั้นถ้าเขาจะเอา” แต่ปัญหาคือระบบการบังคับใช้กฎหมายไทยมีความอ่อนแอเป็นพิเศษกับเรื่องของพระบรมเดชานุภาพ ประเด็นปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนพูด แต่อยู่ตัวกฎหมายที่ขาดความเป็นธรรมและขัดต่อหลักนิติธรรมสากลต่างหาก

และนี่คือประเด็นสำคัญของการไล่ล่าโกตี๋

จาก โลกวันนี้วันสุข ฉบับ 460 วันที่ 19 เมษายน 2557
http://www.redusala.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น