27 เม.ย.2558 หลังจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีมติให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการฯมีมติให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการของบริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด (ช่อง Peace TV) เนื่องจากการกระทำที่เป็นความผิดซ้ำซากมีเนื้อหาละเมิดต่อข้อตกลงฯ ในลักษณะเช่นเดิมที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่น ให้เกิดความขัดแย้ง และสร้างให้เกิดความแตกแยก (อ่านรายละเอียด)
ขณะที่ สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ได้โพสต์ทวิตเตอร์ @supinya กล่าวถึงกรณีมติ กสท. สั่งเพิกถอนใบอนุญาตช่อง Peace TV โดยระบุว่า มติ กสท. กรณีสั่งเพิกถอนใบอนุญาตช่อง Peace TV วันนี้ 4 : 1 ตนเป็นเสียงเดียวที่ลงมติไม่เห็นชอบ พร้อมเปิดเผยความเห็นในรายละเอียดต่อไป
“ดิฉันเห็นว่า กสทช. ควรให้กระบวนการกฏหมายปรกติของ กสทช.คือมาตรา 37 ในการพิจารณาโทษก่อน ที่จะไปใช้ประกาศ คสช.และ MOU ตั้งแต่แรกอำนาจ กสทช.มีอยู่แล้วตามมาตรา37คือ เตือน ปรับขั้นต้น ปรับขั้นสูง พักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต แต่ กสท.ข้ามไปใช้ประกาศ คสช.และข้อตกลงแทนแต่แรกแม้ในทางกฏหมาย กสท.จะมีสิทธิ์อ้างอำนาจประกาศ คสช.และข้อตกลงได้ แต่เนื้อหาของช่องดังกล่าวเป็นการพูดข้อมูลด้านเดียว ยังไม่ถึงขั้นปลุกปั่นยุยงดังนั้นเท่าที่ดูเนื้อหาที่ฝ่ายมั่นคงร้องเรียนมา ถ้าจะมีความสุ่มเสี่ยงก็คือการให้ข้อมูลด้านเดียว ถ้ามีความผิดควรใช้การปรับตามมาตรา37ก่อนหลักการคือถ้ามีบางรายการเข้าข่ายสุ่มเสี่ยง แต่การเพิกถอนใบอนุญาต ให้ยุติทั้งสถานี ในมุมมองของดิฉันถือว่าอาจเป็นการลงโทษที่เกินสัดส่วนดิฉันเห็นด้วยในหลักการว่า กสทช.ควรกำกับดูแลช่องทีวีให้เข้มขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาการผลิตซ้ำความเกลียดชังและการปลุกปั่น แต่ต้องไม่เกินกว่าเหตุการใช้อำนาจต้องมีสัดส่วนที่เหมาะสม ไต่ระดับ ไม่ใช่จากที่ไม่ค่อยจะใช้อำนาจ กระโดดไปใช้อำนาจแบบสูงสุด ที่สำคัญต้องไม่เลือกปฏิบัติถ้าเราดูในบริบทภาพรวมที่ กสทช.ก็อนุญาตให้ช่องอื่นๆวิจารณ์การเมือง ให้ข้อมูลด้านเดียวได้ การเพิกถอนบางสถานีอาจเข้าข่ายเลือกปฏิบัติได้ในส่วนของกระบวนการ ปรกติเวลามีเรื่องร้องเรียนเข้ามา จะส่งให้อนุกรรมการเนื้อหากลั่นกรอง และเชิญผู้รับใบอนุญาตมาชี้แจงก่อน แต่คราวนี้ไม่มีการลงมติ 4:1เพิกถอนใบอนุญาตช่อง PeaceTV รอบนี้ เข้ามาครั้งแรก ไม่ผ่านอนุฯ ก็ลงมติเลย อ้างเหตุฉุกเฉินในการไม่ให้ผู้รับใบอนุญาตได้ชี้แจงก่อนบอร์ด กสท.ให้เหตุผลว่าการต้องรีบตัดสินเพิกถอนใบอนุญาตช่อง PeaceTV เพราะจะมีผลกระทบร้ายแรงต่อสาธารณะ ทั้งที่ สนง.ยังไม่ได้ถอดเทปครบเลยเท่าที่ดูเนื้อหาเบื้องต้น หลักๆคือการวิจารณ์การร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งดิฉันคิดว่าอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ แม้จะใช้ลีลาเหมือนอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาข้ออ่อนคือผู้ดำเนินรายการช่องPeaceTVใช้วิธีพูดคนเดียว พูดข้างเดียว เหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา แต่ถ้าเนื้อหายังไม่ล้ำเส้น ควรเตือนก่อนหรือถ้าบางประเด็นละเอียดอ่อนเช่นกรณีระเบิดที่สมุยที่วิจารณ์ /ใส่ความรัฐบาลข้างเดียว ถ้าผิดจริงก็ควรใช้การปรับก่อนเหมือนช่องทีนิวส์ก่อนนี้จากที่ฟัง ช่องPeaceTVไม่ได้ใช้ภาษาหยาบเหมือนอีกช่องของกลุ่มการเมืองเดียวกัน เพียงแต่เนื้อหาอาจเข้าข่ายเป็นการวิจารณ์อำนาจรัฐแบบไม่ไว้วางใจวันนี้มีเรื่องร้องเรียนช่องTV24ด้วย ซึ่งมีการเสนอให้ปรับตามมาตรา37 และให้ กสทช.ฟ้องหมิ่นประมาทเขา แต่ดิฉันไม่เห็นด้วยข้อหลัง เลยยังไม่สรุปช่อง TV24 จริงๆก็เป็นการวิจารณ์ กสทช. และรัฐบาลในการทำงาน แต่มีประเด็นผู้ดำเนินรายการบางท่าน ใช้ภาษาที่อาจจะหยาบคาย แม้พูดในลำคอดังนั้นกรณีช่องTV24 ดิฉันไม่เห็นด้วยที่จะไปฟ้องหมิ่นประมาทเขา ที่เขามาวิจารณ์ กสทช. แต่ถ้าจะปรับฐานใช้ภาษาหยาบคาย ตามมาตรา37 ดิฉันเห็นด้วยการใช้ภาษาหยาบคาย เราควรเตือน/ปรับก่อน ถ้าเขายังผิดซ้ำซาก คราวนี้จะเป็นเหตุผลให้ไต่ระดับการลงโทษเป็นการพักใช้/เพิกถอนใบอนุญาตได้ตามขั้นตอนจากที่ดูเนื้อหาด้วยใจเป็นธรรม ช่องการเมืองเลือกข้างทั้งสอง ยังไม่ถึงขั้นปลุกปั่น แบ่งสี หลักๆคือวิจารณ์ผู้มีอำนาจรัฐ คนร่าง รธน. และ กสทช.อาจมีบางสิ่งที่ดูขัดรสนิยมหรือมาตรฐานจรรยาบรรณไป ถ้าผิด ก็ควรลงโทษแบบไต่ระดับ เบาไปหนักตั้งแต่แรก ที่สำคัญควรเปิดให้เขาชี้แจงก่อน”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น