วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

เสียงแตก ‘สุภิญญา’ ค้านปิดช่อง Peace TV แจง ‘ยังไม่ถึงขั้นปลุกปั่น’ ชี้มติไม่ผ่านอนุฯ ก่อน


27 เม.ย.2558 หลังจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีมติให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการฯมีมติให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการของบริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด (ช่อง Peace TV) เนื่องจากการกระทำที่เป็นความผิดซ้ำซากมีเนื้อหาละเมิดต่อข้อตกลงฯ ในลักษณะเช่นเดิมที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่น ให้เกิดความขัดแย้ง และสร้างให้เกิดความแตกแยก (อ่านรายละเอียด)
ขณะที่ สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ได้โพสต์ทวิตเตอร์ @supinya  กล่าวถึงกรณีมติ กสท. สั่งเพิกถอนใบอนุญาตช่อง Peace TV โดยระบุว่า มติ กสท. กรณีสั่งเพิกถอนใบอนุญาตช่อง Peace TV วันนี้ 4 : 1 ตนเป็นเสียงเดียวที่ลงมติไม่เห็นชอบ พร้อมเปิดเผยความเห็นในรายละเอียดต่อไป


“ดิฉันเห็นว่า กสทช. ควรให้กระบวนการกฏหมายปรกติของ กสทช.คือมาตรา 37 ในการพิจารณาโทษก่อน ที่จะไปใช้ประกาศ คสช.และ MOU ตั้งแต่แรก
อำนาจ กสทช.มีอยู่แล้วตามมาตรา37คือ เตือน ปรับขั้นต้น ปรับขั้นสูง พักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต แต่ กสท.ข้ามไปใช้ประกาศ คสช.และข้อตกลงแทนแต่แรก
แม้ในทางกฏหมาย กสท.จะมีสิทธิ์อ้างอำนาจประกาศ คสช.และข้อตกลงได้ แต่เนื้อหาของช่องดังกล่าวเป็นการพูดข้อมูลด้านเดียว ยังไม่ถึงขั้นปลุกปั่นยุยง
ดังนั้นเท่าที่ดูเนื้อหาที่ฝ่ายมั่นคงร้องเรียนมา ถ้าจะมีความสุ่มเสี่ยงก็คือการให้ข้อมูลด้านเดียว ถ้ามีความผิดควรใช้การปรับตามมาตรา37ก่อน
หลักการคือถ้ามีบางรายการเข้าข่ายสุ่มเสี่ยง แต่การเพิกถอนใบอนุญาต ให้ยุติทั้งสถานี ในมุมมองของดิฉันถือว่าอาจเป็นการลงโทษที่เกินสัดส่วน
ดิฉันเห็นด้วยในหลักการว่า กสทช.ควรกำกับดูแลช่องทีวีให้เข้มขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาการผลิตซ้ำความเกลียดชังและการปลุกปั่น แต่ต้องไม่เกินกว่าเหตุ
การใช้อำนาจต้องมีสัดส่วนที่เหมาะสม ไต่ระดับ ไม่ใช่จากที่ไม่ค่อยจะใช้อำนาจ กระโดดไปใช้อำนาจแบบสูงสุด ที่สำคัญต้องไม่เลือกปฏิบัติ
ถ้าเราดูในบริบทภาพรวมที่ กสทช.ก็อนุญาตให้ช่องอื่นๆวิจารณ์การเมือง ให้ข้อมูลด้านเดียวได้ การเพิกถอนบางสถานีอาจเข้าข่ายเลือกปฏิบัติได้
ในส่วนของกระบวนการ ปรกติเวลามีเรื่องร้องเรียนเข้ามา จะส่งให้อนุกรรมการเนื้อหากลั่นกรอง และเชิญผู้รับใบอนุญาตมาชี้แจงก่อน แต่คราวนี้ไม่มี
การลงมติ 4:1เพิกถอนใบอนุญาตช่อง PeaceTV รอบนี้ เข้ามาครั้งแรก ไม่ผ่านอนุฯ ก็ลงมติเลย อ้างเหตุฉุกเฉินในการไม่ให้ผู้รับใบอนุญาตได้ชี้แจงก่อน
บอร์ด กสท.ให้เหตุผลว่าการต้องรีบตัดสินเพิกถอนใบอนุญาตช่อง PeaceTV เพราะจะมีผลกระทบร้ายแรงต่อสาธารณะ  ทั้งที่ สนง.ยังไม่ได้ถอดเทปครบเลย
เท่าที่ดูเนื้อหาเบื้องต้น หลักๆคือการวิจารณ์การร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งดิฉันคิดว่าอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ แม้จะใช้ลีลาเหมือนอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา
ข้ออ่อนคือผู้ดำเนินรายการช่องPeaceTVใช้วิธีพูดคนเดียว พูดข้างเดียว เหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา แต่ถ้าเนื้อหายังไม่ล้ำเส้น ควรเตือนก่อน
หรือถ้าบางประเด็นละเอียดอ่อนเช่นกรณีระเบิดที่สมุยที่วิจารณ์ /ใส่ความรัฐบาลข้างเดียว ถ้าผิดจริงก็ควรใช้การปรับก่อนเหมือนช่องทีนิวส์ก่อนนี้
จากที่ฟัง ช่องPeaceTVไม่ได้ใช้ภาษาหยาบเหมือนอีกช่องของกลุ่มการเมืองเดียวกัน เพียงแต่เนื้อหาอาจเข้าข่ายเป็นการวิจารณ์อำนาจรัฐแบบไม่ไว้วางใจ
วันนี้มีเรื่องร้องเรียนช่องTV24ด้วย ซึ่งมีการเสนอให้ปรับตามมาตรา37 และให้ กสทช.ฟ้องหมิ่นประมาทเขา แต่ดิฉันไม่เห็นด้วยข้อหลัง เลยยังไม่สรุป
ช่อง TV24 จริงๆก็เป็นการวิจารณ์ กสทช. และรัฐบาลในการทำงาน แต่มีประเด็นผู้ดำเนินรายการบางท่าน ใช้ภาษาที่อาจจะหยาบคาย แม้พูดในลำคอ
ดังนั้นกรณีช่องTV24 ดิฉันไม่เห็นด้วยที่จะไปฟ้องหมิ่นประมาทเขา ที่เขามาวิจารณ์ กสทช. แต่ถ้าจะปรับฐานใช้ภาษาหยาบคาย ตามมาตรา37 ดิฉันเห็นด้วย
การใช้ภาษาหยาบคาย เราควรเตือน/ปรับก่อน ถ้าเขายังผิดซ้ำซาก คราวนี้จะเป็นเหตุผลให้ไต่ระดับการลงโทษเป็นการพักใช้/เพิกถอนใบอนุญาตได้ตามขั้นตอน
จากที่ดูเนื้อหาด้วยใจเป็นธรรม ช่องการเมืองเลือกข้างทั้งสอง ยังไม่ถึงขั้นปลุกปั่น แบ่งสี หลักๆคือวิจารณ์ผู้มีอำนาจรัฐ คนร่าง รธน. และ กสทช.
อาจมีบางสิ่งที่ดูขัดรสนิยมหรือมาตรฐานจรรยาบรรณไป ถ้าผิด ก็ควรลงโทษแบบไต่ระดับ เบาไปหนักตั้งแต่แรก ที่สำคัญควรเปิดให้เขาชี้แจงก่อน”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น