วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

ตร.รวบ อดีตสข.เพื่อไทยส่งเพลงล้อ 'ประยุทธ์' ให้เพื่อนทางไลน์ ชี้ผิด พ.ร.บ.คอมฯ


28 ม.ค.2559 เมื่อเวลา 20.00 น. ที่ผ่านมา  พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวีรัชต์ ศรีธวัชพงศ์ รอง ผบก.น4 , พ.ต.อ.ชัยรพ จุณณวัตต์ ผกก.สน.โชคชัย ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัวนายณรงค์ รุ่งธนวงษ์ อายุ 39 ปี พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง ผู้ต้องหาตามความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา14 (5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ หลังจากส่งต่อคลิปเพลง 'เพื่อลุงที่รักของเรา' ซึ่งมีข้อความอันเป็นเท็จกล่าวหาบุคคลอื่นให้ได้รับความเสียหาย
     
จากการสอบสวนนายณรงค์ ให้การรับสารภาพว่า ตนเองได้รับคลิปดังกล่าวมาจากทางกลุ่มไลน์ เมื่อตนเปิดดูเห็นว่าเป็นเพลงล้อเลียนนายกรัฐมนตรี ด้วยความสนุกสนาน ตนจึงส่งต่อเพลงดังกล่าวไปยังกลุ่มเพื่อน และญาติพี่น้องในไลน์ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่างไรก็ตาม ตนเองรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยตนเองอยากจะขอโทษ และขออภัยท่านนายกรัฐมนตรีถึงเรื่องดังกล่าว และพร้อมที่จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย 
    
ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้สืบทราบว่านายณรงค์  ได้ส่งข้อความผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ เป็นคลิปเสียงเพลงที่ล้อเลียนนายกรัฐมนตรีผ่านทางเพลง จึงได้เดินทางไปควบคุมตัวมาสอบสวน อย่างไรก็ตาม อยากจะฝากเตือนไปถึงประชาชนทั่วไปว่า การเผยแพร่หรือส่งต่อข้อความอันเป็นเท็จ อันก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้อื่น มีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา14 (5) จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป สำหรับนายณรงค์ นั้นเคยเป็นอดีตสมาชิกสภาเขตบางเขน พรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2553 

มีชัยเผยอาจขยับโรดแมปเลือกตั้งปลายปี 60 ชี้ ม.44 ยังอยู่ จนกว่ามี รบ.ใหม่


เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 59 นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า ไม่ได้เขียนบทเฉพาะกาลเพื่อสืบทอดอำนาจ แต่เพื่อให้รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) สามารถทำงานต่อไปได้จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง เพราะไม่มีใครทราบว่าระหว่างทางจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นหรือไม่ จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือดูแลความเรียบร้อย ดังนั้นนายกรัฐมนตรีและคสช. ยังมีอำนาจเต็มและสามารถใช้มาตรา 44 ได้ตามปกติ เพราะไม่มีช่องทางใดให้ตัดอำนาจในส่วนนี้
“คนเราถ้ายอมให้ใช้อำนาจคุณจะไม่ไว้วางใจเขาเลยหรือ ต้องวางใจ อย่างน้อยที่ผ่านมาเขาไม่ได้ใช้อำนาจอะไร มันไม่รู้ว่าในอนาคตก่อนการเลือกตั้งจะเกิดอะไรขึ้น ก่อนรัฐบาลใหม่จะมา แล้วคุณไปตัดมือตัดเท้าเขาจะทำงานได้อย่างไร เป็นอำนาจเดิมไม่ได้ลดทอน แล้วจะไปลดตรงไหน คนต่อต้านไม่ว่าจะทำอะไรเขาก็ต่อต้านอยู่แล้ว พวกคุณอย่าไปต่อต้านด้วยแล้วกัน อันนี้เป็นกลไกตามปกติ” นายมีชัย กล่าว
“เชื่อว่ารัฐบาลและคสช.ไม่ใช้อำนาจเกินขอบเขตตามที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันยังมีสื่อมวลชนคอยตรวจสอบอยู่  ส่วนระยะเวลา 8 เดือนในการร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นระยะเวลาที่น้อยมากสำหรับการยกร่างกฎหมายกว่า 10 ฉบับ โดยเมื่อร่างเสร็จแล้วก็จะทยอยเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณาทันที ซึ่งไม่ถือเป็นการถ่วงเวลาของโรดแมป และยังอยู่ในวิสัยที่จะให้มีการเลือกตั้งได้ในปี 2560 แต่อาจจะเลื่อนไปเป็นปลายปี” ประธานกรธ. กล่าว
ประยุทธ์ ห่วงร่าง รธน. แง้มมีแผนสำรอง แต่เปิดเผยไม่ได้ เพราะจะถือเป็นคำสั่ง ขออย่าใจร้อน
 
ขณะที่ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กล่วยอมรับว่า มีความเป็นห่วงเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ และมีแผนสำรองไว้แล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะถ้าเปิดเผยออกไปจะถือเป็นคำสั่ง พร้อมขอว่าอย่าใจร้อน
 
ส่วนข้อกังวลการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวในประเด็นการทำประชามตินั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ยังไม่มีการปรึกษาตน สำหรับประเด็นที่อยากให้มีการแก้ไขโดยเฉพาะเรื่องการใช้สิทธิ์ลงคะแนนประชามติ ตนเห็นว่าที่ยังคงเนื้หานี้ไว้ เพราะต้องการให้คนออกมาใช้สิทธิ์จำนวนมาก
'วิษณุ' เผยอ่าน ร่างแรกของ กมธ. แล้ว ระบุดีกว่าเดิมและเชื่อว่าน่าจะผ่านประชามติ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกของ กรธ.แล้ว ซึ่งได้ให้ความเห็นไปก่อนหน้านี้ว่าเป็นร่างที่ดีกว่าเดิมและเชื่อว่าน่าจะผ่านประชามติ
เมื่อถามย้ำว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติจะทำอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าแผนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นอย่างไร แต่ยืนยันว่าไม่มีร่างสำรอง เพียงแต่ถึงอย่างไรต้องแก้ปัญหาให้ได้ แต่ปัญหาเป็นในส่วนใดบ้างไม่ทราบ ส่วนเรื่องความชัดเจนการออกเสียงประชามติว่าจะใช้เสียงข้างมากของผู้มีสิทธิ์หรือผู้มาใช้สิทธิ์ ต้องพิจารณาว่าจะแก้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ให้เกิดความชัดเจนด้วยหรือไม่ แต่ยังไม่จำเป็นต้องแก้ในขณะนี้ ขอให้มีความชัดเจนก่อน ไม่ควรพูดรายวัน
สปท.ส่ง 4 ตัวแทนซักถาม กรธ.ร่าง รธน.ร่างแรก 3 ก.พ.นี้

นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิป สปท.) เปิดเผยถึงการชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต่อ สปท.และสภานิติบัญญัติ (สนช.) ในวันที่ 3 ก.พ. นี้ ว่า สมาชิก สปท.ได้กำหนดตัวแทนในการซักถาม จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ,นายเสรี สุวรรณภานนท์ ,นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร และนางนินนาท ชลิตานนท์ แต่ยังไม่ได้กำหนดจำนวนคำถามเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งวิป สปท.จะเปิดรับคำถามจากคณะกรรมาธิการทั้ง 12 คณะก่อนคัดเลือกคำถามในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เพื่อให้ตัวแทนทั้ง 4 คนเป็นผู้ซักถาม กรธ.

ไทยขอ 'กูเกิล' ลัดขั้นตอน เซ็นเซอร์เนื้อหา ไม่ต้องรอคำสั่งศาล


กมธ.สื่อ ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศหารือกูเกิล ขอปิดกั้นเว็บเนื้อหากระทบความมั่นคง แบบไม่ต้องรอคำสั่งศาล พร้อมขอให้นึกถึงความสัมพันธ์อันดีที่ประชาชนมีต่อสหรัฐอเมริกา และความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกูเกิลฯ  ชี้หากมีปัญหาในการประกอบธุรกิจในประเทศไทย ขอให้เสนอรัฐบาลไทยได้ โดย กมธ.พร้อมพิจารณาผลักดันและให้ความช่วยเหลือเต็มที่
28 ม.ค. 2559 วานนี้ เพจเฟซบุ๊กกลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway: Thailand Internet Firewall #opsinglegateway เผยแพร่เอกสาร "สรุปผลการประชุมคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ 11" ซึ่งระบุถึงการพูดคุยระหว่างคณะกรรมาธิการฯ กับตัวแทนจากบริษัท กูเกิล
ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบกับเว็บไซต์ของสภาขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปประเทศ พบว่ามีเอกสารตรงกัน (ดูเอกสาร)
 

เอกสารดังกล่าวระบุว่า เป็นการประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 219 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา โดยมีเรื่องที่พิจารณาคือ แนวทางและมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์และการส่งเสริมการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญนาย Matt Sucherman รองประธานและที่ปรึกษากฎหมายในประเด็นระหว่างประเทศ บริษัท กูเกิล เอเชีย แปซิฟิก จำกัด เข้าร่วมประชุม
เอกสารดังกล่าวระบุว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้กล่าวกับผู้แทนบริษัท กูเกิล ว่า การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่เป็นไปในทางสร้างสรรค์นั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดผลกระทบต่อความมั่นคง ทั้งด้านการมุ่งทำลายสถาบันสำคัญของชาติ หรือละเมิดกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงอยากขอความร่วมมือให้ทางบริษัท กูเกิลฯ ช่วยถอดเว็บไซต์ที่มีลักษณะดังกล่าว ที่เผยแพร่ผ่านเครือข่ายของกูเกิล เช่น ยูทูบ เป็นต้น ไม่ให้ออกเผยแพร่ เพื่อสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นต่อไป
ขณะที่ตัวแทนกูเกิล ระบุว่า ทราบดีว่าการเผยแพร่เว็บไซต์บางเรื่องเป็นสิ่งต้องห้ามและอาจมีปัญหาจากแนวคิดทางสังคมและวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตาม กูเกิลฯ มีบริการและนโยบายที่เป็นมาตรฐานเหมือนกันทั่วโลก การถอดถอนหรือป้องกันการเผยแพร่เว็บไซต์ผิดกฎหมายของประเทศใดประเทศหนึ่งนั้น บริษัท กูเกิลฯ ไม่อาจพิจารณาหรือตัดสินใจเองได้ จำต้องได้รับการร้องขอจากหน่วยงานที่มีอำนาจของประเทศนั้นและมีขั้นตอน กระบวนการอันเป็นที่ยอมรับได้ในระดับสากล คือการขอให้ศาลมีคำสั่งระงับ ยับยั้งการเผยแพร่เว็บไซด์ดังกล่าว ซึ่งทางกูเกิลฯ ได้ถือปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกประเทศทั่วโลก
จากนั้น คณะกรรมาธิการฯ ระบุว่าที่ผ่านมา มีการขออำนาจศาลอยู่แล้ว เพียงแต่ในกรณีจำเป็นเร่งด่วน อยากให้กูเกิลฯ เร่งรัดกระบวนการในการถอดเว็บไซต์หากมีคำขอจากหน่วยงานที่มีอำนาจ เพื่อให้ทันต่อการยับยั้งความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งอาจไม่ทันการหากต้องรอให้ผ่านกระบวนการทางศาล พร้อมระบุว่าขั้นตอนการร้องขอดังกล่าว อย่างไรก็ต้องผ่านการพิจารณาของหน่วยงานที่มีอำนาจยับยั้งการกระทำผิดกฎหมาย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือกระทรวงไอซีที
ด้านผู้แทน กูเกิล ระบุว่า จะนำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณา โดยจะคำนึงถึงความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละประเทศที่ไม่เหมือนกัน พร้อมแนะนำว่า วิธีป้องกันการเผยแพร่เว็บที่มีปัญหาได้พอสมควร คือ หากประชาชนเห็นว่าเว็บใดมีเนื้อหาไม่พึงประสงค์เพราะขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี สามารถใช้วิธีปักธง (flagging) เว็บนั้น ซึ่งจะทำให้บุคลากรของกูเกิลที่มีความรู้และประสบการณ์คอยสอดส่องเว็บดังกล่าว หากเห็นว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่สมควรเผยแพร่ก็จะระงับหรือถอดออกจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตต่อไป
ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าว ระบุด้วยว่า ในตอนท้าย คณะกรรมาธิการฯ ได้ขอให้ กูเกิลฯ คำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีที่ประชาชนมีต่อประเทศสหรัฐอเมริกา และความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกูเกิลฯ นำไปเป็นข้อพิจารณาด้วย พร้อมกันนี้หากมีปัญหาหรือความกังวลใดๆ ในการประกอบธุรกิจของ กูเกิลฯ ในประเทศไทย และอยากให้ช่วยเหลือ ขอให้เสนอทางรัฐบาลไทยได้และทางคณะกรรมาธิการฯ พร้อมพิจารณาผลักดันและให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่
 

'ประยุทธ์' ตอบ "เพื่อไว้ให้ไอ้พวกหมานี่พูดอยู่ไง"


ปมบทความ 'ทหารมีไว้ทำไม' ของ 'นิธิ' ล่าสุด 'ประยุทธ์' ตอบหน้าที่ทหาร คือเอาชีวิตรักษาแผนดินกว่า 5 แสน ตารางกิโลเมตร เพื่อให้ "ไอ้พวกหมานี่พูดอยู่ไง" 
หลังจาก นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการเขียนบทความ เรื่อง 'ทหารมีไว้ทำไม' ตีพิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 1-7 ม.ค. 2559 (อ่านบทความ) จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมกับการติดแฮชแท็กในโซเชียลเน็ตเวิร์กว่า #ทหารมีไว้ทำไม โดยหลายความเห็นตอบโต้เพียงตัวชื่อบทความของนิธิ โดยไม่ได้ลงรายละเอียดที่นิธิเขียนในเนื้อบทความ หลังเกิดเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ทหารบุกอุ้ม นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักศึกษาและนักกิจกรรม ในยาววิกาลบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีการยกเหตุการณ์อุ้มประชาชนดังกล่าวมาเพื่อโต้กลับผ่านแฮชแท็กดังกล่าวด้วย (อ่านยรายละเอียด)
ล่าสุดวันนี้ (29 ม.ค.59) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวในระหว่างปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "อาชีวศึกษา ฝีมือชน คนสร้างชาติ" ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ว่า ทหารรักษาแผ่นดินกว่า 5 แสนตารางกิโลเมตร 
"วันนั้นเขาถามว่ามีทหารแล้วได้อะไร ตอบสิ ได้อะไร ไม่ได้อะไรเลย อย่างน้อยก็มีทหารได้ก็คือเอาชีวิต ชีวิตเขานี่ทุ่มเทรักษาไอ้แผ่นดินผืนนี้ 5 แสนกว่าตารางกิโลเมตร ไว้ให้ไอ้พวกหมานี่พูดอยู่ไง ผมไม่อยากจะพูดอย่างงี้ วันนี้ผมเบรคไม่อยู่จริงๆ เพราะมันถามผมทุกวัน นะ เขาตายไปเท่าไหร่ เขาตายไปเท่าไหร่ เขารักษาแผ่นดินไปเท่าไหร่ มันยังบอกว่ามีทหารไว้ทำอะไร น้ำท่วม ฝนแล้ง โจรขโมย ทหารตำรวจเขาทำอะไร นึกถึงเวลาเขาทำบ้าง ไม่ใช่ไปจับจิ๊กๆๆ ไอ้นี่เรียกเงิน มันเรียกสักกี่คน ไปแจ้งความมา โน้นเขามีช่องทางอยู่แล้ว ร้องทุกข์กล่าวโทษ แจ้งโรงพัก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
พล.อ.ประยุทธ์ ยังย้อนถามด้วยว่า ถ้าเช่นนั้นจะจ้างยามมาเป็นแทนไหม เป็นยามชายแดน โรงพักก็จ้างยามทั้งหมดเลย เอาไหม มันทำได้ไหมเล่า
 
โดยเมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ เองก็เคยพูดถึงประเด็นบทความนี้ด้วยว่า ให้ไปถามว่าเขาทำประโยชน์อะไรให้แผ่นดินบ้าง “ผมปกป้องแผ่นดินนี้มาตลอดชีวิต ให้ใคร หรือให้คนเหล่านี้มาพูด ให้คนเหล่านี้มาทำลายชีวิตผม ไปถามเขาด้วย” นายกฯ กล่าวด้วยอารมณ์เสียงดัง ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปยังตึกไทยคู่ฟ้า พร้อมกล่าวว่า “หมดอารมณ์ ชอบยั่วอารมณ์”

ดาวน์โหลดร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ‘มีชัย’


29 ม.ค. 2559 เมื่อวานนี้ เว็บข่าวรัฐสภา รายงานว่า อุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(โฆษก กรธ.) นำเอกสารสรุปสาระสำคัญร่างแรกรัฐธรรมนูญแสดงต่อสื่อมวลชน รวมจำนวน 35 หน้า ขนาดครึ่งหน้าเอ 4 แต่ยังไม่เผยเนื้อหาภายในให้ทราบ พร้อมแถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างพิจารณาทบทวนร่างรัฐธรรมนูญ ทั้ง 270 มาตรา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของถ้อยคำ โดยไม่มีการปรับแก้เนื้อหา เพื่อให้แล้วเสร็จก่อนที่จะมีการแถลงข่าวร่างแรกรัฐธรรมนูญ ในวันพรุ่งนี้(29 ม.ค. 59) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุม กรธ. (ห้องประชุมงบประมาณ) จากนั้น จะมีการนำส่งร่างแรกดังกล่าวในลักษณะหนังสือให้กับสภาขับเคลื่อนการปฏิรูป ประเทศ (สปท.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รัฐบาล รวมถึงส่วนราชการและพรรคการเมือง ส่วนสื่อมวลชนจะให้ดาวน์โหลดร่างรายมาตราได้
โฆษก กรธ. กล่าวว่าเบื้องต้นร่างยังคงมีจำนวนทั้งสิ้น 270 มาตรา ส่วนเอกสารสรุปประเด็นสำคัญร่างแรกนั้นจะแสดงความเชื่อมโยงเกี่ยวกับหลัก 10 ข้อ ที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 กำหนดต้องมีในร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงกรอบ 5 ข้อ ของ คสช.  พร้อมระบุว่า กรธ.จะพยายามอธิบาย ทั้งสิ่งที่คิดว่าเป็นโครงสร้างปกติของรัฐธรรมนูญ อาทิ การกำหนดหลักการสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย รวมถึงการบัญญัติหลักการขึ้นมาใหม่ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่รัฐ หรือแนวนโยบายของรัฐ และส่วนที่คิดว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเมือง อาทิ การใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ส.ว.มาการเลือกตั้งทางอ้อม กรธ.จะอธิบายให้ประชาชนได้ทราบถึงเหตุผลและที่มา
อุดม กล่าวต่อไปว่า จะมีการชี้แจงถึงเรื่องสำคัญของร่างทั้งเรื่องโครงสร้างฝ่ายบริหารที่มีการ เปลี่ยนแปลงว่านายกรัฐมนตรีจะมาจากคนที่ได้รับการเสนอชื่อจากประชาชน และจะต้องได้รับความเห็นชอบจากเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ เรื่ององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญที่ กรธ.เสนอให้มีการทำงานในลักษณะกระฉับกระเฉงว่องไว มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มีเรื่องกระบวนการการปฏิรูปที่ร่างฉบับนี้มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการปฏิรูปการศึกษาและการบังคับใช้กฎหมาย พร้อมกันนี้ จะชี้แจงว่า หากประชาชนให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ จะมีระยะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งให้ได้ ส.ส.เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลเมื่อใด และในระยะที่ยังไม่มีการเลือกตั้งจะมีองค์กรใดทำหน้าที่ปกติก่อนที่จะมีการ เลือกตั้งอย่างไรบ้าง
ดาวน์โหลดร่างรัฐธรรมนูญ http://bit.ly/1Snnef0     

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

เปิดคลิป 3 ชายฉกรรจ์อ้างเป็นตร. บุกอุ้มถึงหน้าบ้านอ้างพาไปตรวจสารเสพติด


28 ม.ค.2559 เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม' รายงานและโพสต์วิดีโอคลิปผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ระบุว่า วันนี้(28 ม.ค.59) ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยคลิป นาทีระทึก ชายฉกรรจ์ 3 คน อ้างเป็นตำรวจ ขับรถเก๋งนิสสัน สีดำสองตอน ทะเบียน กรุงเทพมหานคร มาอุ้ม น.ส.ประภาพร อายุ 23 ปี เพื่อนำตัวไปรีดเงิน ในเขตเทศบาลบางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมา เวลา 16.20 น.
 
 
 
โดยชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คน ได้อ้างกับชาวบ้านบริเวณนั้นว่า จะนำตัว น.ส.ประภาพร ไปตรวจสารเสพติด แต่กลุ่มญาติพี่น้องของ น.ส.ประภาพร ไม่ยอม โดยเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นที่หน้าบ้านของ น.ส.ประภาพร แต่ชายฉกรรจ์ทั้ง 3 ก็ไม่สน จะอุ้มน.ส.ประภาพร ขึ้นรถอย่างเดียว  
 
"เรื่องนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก เพราะบริเวณที่เกิดเหตุ อยู่ไม่ไกลจากโรงพักเมืองสมุทรปราการ" ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ระบุ
 
โดยวันนี้ ทางชมรมฯ ได้นำผู้เสียหายพร้อมพยานหลักฐาน และรายชื่อผู้กระทำความผิดทั้ง 3 คน ไปมอบให้กับผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สมุทรปราการ และผู้กำกับสถานีตำรวจเมืองสมุทรปราการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 
 
ต่อมา เพจดังกล่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม 2 ใน 3 คนร้ายได้แล้ว 

กต.เผยรัฐบาลไทยผิดหวัง 'ฮิวแมนไรท์วอทช์' อย่างแรง หลังรายงานว่าไม่เคารพสิทธิมนุษยชน


เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) ได้เปิดเผยรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกในปี 2015 ซึ่งมีสถานการณ์ของประเทศไทยด้วย โดย ฮิวแมนไรท์วอทช์ รายงานว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กระชับอำนาจมากขึ้น และปราบปรามปิดกั้นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างหนักในรอบปีที่ผ่านมา คณะทหารไม่ได้ทำตามคำสัญญาที่กล่าวว่าจะเคารพสิทธิมนุษยชน และนำพาประเทศไทยกลับคืนสู่การปกครองโดยรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง
ในรายงานประจำปีฉบับที่ 29 ความยาว 659 หน้า ฮิวแมนไรท์วอทช์ตรวจสอบสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในกว่า 90 ประเทศ เรียงความของเคนเน็ธ ร็อธ ผู้อำนวยการบริหาร กล่าวถึงการแพร่กระจายของการก่อการร้ายออกนอกภูมิภาคตะวันออกกลาง และการไหลบ่าของผู้ลี้ภัยจำนวนมาก เนื่องจากการกดขี่ และความขัดแย้งที่เป็นผลมาจากละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งรัฐบาลของหลายประเทศอ้างว่าทำไปเพื่อปกป้องความมั่นคง ขณะเดียวกัน รัฐบาลเผด็จการทั่วโลกได้ปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างหนักที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน เพราะเกรงกลัวต่อการแสดงความคิดเห็นอย่างสันติ ซึ่งมักเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์
คณะทหารใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ โดยไม่ต้องรับผิดใดๆ 
แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่า “วิกฤติสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยย่ำแย่มากขึ้น มองไม่เห็นเลยว่าจะจมลึกลงไปในระบอบเผด็จการทหารของ คสช. ต่อไปอีกเท่าไหร่” “คณะทหารใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ โดยไม่ต้องรับผิดใดๆ และใช้เวลาส่วนใหญ่ของปีที่แล้วคุกคาม และดำเนินคดีผู้เห็นต่าง ปิดกั้นการชุมนุม เซ็นเซอร์สื่อ และจำกัดการแสดงออกทางการเมืองที่คณะทหารไม่เห็นด้วย”
ตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 คสช. ซึ่งมีหัวหน้า คือ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจโดยไม่ต้องรับผิดใดๆ ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งยังไม่ใส่ใจต่อความกังวลของสหประชาชาติ องค์กรสิทธิมนุษยชน และรัฐบาลประเทศต่างๆ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2558 การบังคับใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก 2457 ได้ถูกแทนที่ด้วยการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งยกเว้นความรับผิดตามกฎหมายแก่ผู้ที่ดำเนินการต่างๆ ในนามของ คสช. เมื่อเดือนพฤศจิกายน คณะทหารเสนอว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังร่างอยู่ควรรับประกันการนิรโทษกรรมต่อการใช้กำลังทหารเพื่อ “ปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ”
กำหนดเวลาที่คณะทหารสัญญาว่าจะนำพาประเทศกลับสู่การปกครองโดยพลเรือนยังคงเลื่อนออกไปเรื่อยๆ โดยไม่มีความชัดเจนว่าในที่สุดแล้วจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขณะเดียวกัน คณะทหารยังคงห้ามกิจกรรมทางการเมือง และการชุมนุมอย่างสันติในที่สาธารณะ ใช้อำนาจตามอำเภอใจจับกุมคุมขังหลายร้อยกรณี โดยเพิกเฉยต่อข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงเกี่ยวกับการซ้อมทรมาน และการปฏิบัติอย่างมิชอบต่อผู้ที่อยู่ในการควบคุมตัวของทหาร มีผู้ที่ถูกดำเนินคดีข้อหายุยงปลุกปั่นอย่างน้อย 27 คน เนื่องจากวิพากษ์วิจารณ์การปกครองของคณะทหาร และฝ่าฝืนคำสั่งห้ามการชุมนุมในที่สาธารณะ ในรอบปีที่ผ่านมา คสช.ดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหารมากขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นกรณีของผู้ที่ต่อต้านคณะทหาร และผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันกษัตริย์ แต่ศาลทหารนั้นขาดความเป็นอิสระ และไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศเกี่ยวกับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
ในปี 2558 งานสัมมนา เวทีวิชาการ และกิจกรรมที่มีหัวข้อเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง และสิทธิมนุษยชนอย่างน้อย 60 ครั้งถูกสั่งให้ยกเลิก รวมถึงการเสนอรายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ เนื่องจากคณะทหารเห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพ และความมั่นคงของประเทศ
คดีหมิ่นสถาบันกษัตริย์อย่างน้อย 56 หลังรัฐประหาร ศาลทหารลงโทษอย่างหนัก 
คณะทหารดำเนินคดีผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ด้วยกฎหมายที่ร้ายแรง มีคดีหมิ่นสถาบันกษัตริย์อย่างน้อย 56 กรณีนับตั้งแต่การรัฐประหาร โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องการแสดงความคิดเห็นออนไลน์ โดยศาลทหารได้พิพากษาลงโทษอย่างหนัก เช่น เมื่อเดือนสิงหาคม 2558 ศาลทหารพิพากษาจำคุกพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง 60 ปี เนื่องจากโพสต์เฟซบุ๊คที่มีเนื้อหาหมิ่นสถาบันกษตริย์ (ลดโทษเหลือ 30 ปี เนื่องจากสารภาพผิด) ซึ่งเป็นการลงโทษรุนแรงที่สุด ในคดีหมิ่นสถาบันกษัตริย์เท่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
พลเอกประยุทธ์​กล่าวในที่สาธารณะหลายครั้งว่า ทหารไม่ควรถูกตำหนิ และลงโทษในกรณีความสูญเสียที่เกิดจากกระทำของกองทัพในเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีบุคคลกรของกองทัพแม้แต่คนเดียวที่ถูกดำเนินคดีอาญาจากการละเมิดสิทธิ์มนุษยชนอย่างร้ายแรงในปฏิบัติการต่อต้านการก่อความไม่สงบในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
ละเมิดกติการะหว่างประเทศที่ห้ามไม่ให้บังคับส่งตัวผู้ลี้ภัย ส่งตัว 2 นักกิจกรรมชาวจีน กลับ
รัฐบาลไทยไม่รับฟังคำร้องขอขอสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) และรัฐบาลหลายประเทศ โดยละเมิดกติการะหว่างประเทศที่ห้ามไม่ให้บังคับส่งตัวผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาการลี้ภัยกลับไปยังประเทศที่คนเหล่านั้นอาจจะถูกประหัตประหาร ซึ่งรวมถึงกรณีการส่งตัวนักกิจกรรมชาวจีน 2 คนกลับไปประเทศจีนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 และการส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คนกลับไปประเทศจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2558  
แบรด อดัมส์ กล่าวว่า “การเคารพสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยถดถอย โดยมองไม่เห็นว่าปัญหานี้จะจบลงเมื่อใด” “ประชาคมระหว่างประเทศจำเป็นจะต้องกดดันคณะทหารอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เปลี่ยนท่าที ยุติการปราบปรามปิดกั้นสิทธิมนุษยชน และทำตามคำสัญญาด้วยการนำพาประเทศกลับสู่การกครองโดยพลเรือนตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”  
กต. ระบุ รบ.ไทยผิดหวังกับรายงานอย่างยิ่ง ถูกกล่าวหาไม่เคารพสิทธิมนุษยชน
วันนี้ (28 ม.ค.59) สำนักข่าวไทย รายงานปฏิกิริยาจากทางการไทย โดย นายเสข วรรณเมธี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณี ฮิวแมนไรท์วอทช์ ได้ออกรายงานดังกล่าวว่า รายงานดังกล่าวของฮิวเมนไรท์วอทช์ ทางกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่าเป็นรายงานซึ่งจัดทำโดยองค์กรที่ไม่ใช่รัฐบาล สถานการณ์ในประเทศไทยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรายงาน
“รัฐบาลไทยรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งที่รายงานดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนและมิได้สะท้อนถึงความคืบหน้าของการปฎิรูปซึ่งมีพัฒนาการอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลไทยยืนยันความมุ่งมั่นการดำเนินการตามโรดแมป เพื่อนำมาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง สังคมที่ปรองดองและบ้านเมืองที่มีเสถียรภาพ ตามกรอบระยะเวลาที่ระบุไว้ชัดเจน โดยจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมิถุนายน 2560 และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ในเดือนกรกฎาคม 2560" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว
 
นายเสข วรรณเมธี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (ที่มาภาพ : เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ) 
 
นายเสข กล่าวว่า ขณะนี้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่เปิดให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมมีความคืบหน้าตามแผนที่กำหนดไว้ และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เตรียมเปิดเผยรายละเอียดร่างแรกต่อสาธารณชนในวันที่ 29 มกราคมนี้ หลังจากนั้นจะลงพื้นที่เพื่อสอบถามความเห็นจากประชาชนเพื่อนำมาปรับแก้ให้เป็นร่างสุดท้ายภายในเดือนเมษายน ก่อนนำไปทำประชามติ  ร่างรัฐธรรมนูญจะมีความเป็นสากลและเป็นที่ยอมรับได้จากทุกฝ่าย โดยมองปัญหาของประเทศในห้วงที่ผ่านมาเพื่อมิให้เกิดขึ้นอีก และช่วยแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่สั่งสมมานาน นอกจากนั้น ในช่วง 1 ปีที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ได้เสนอกฎหมายเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว จำนวน 164 ฉบับ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายและสอดคล้องตามพันธกรณีระหว่างประเทศ

ระดับเสรีภาพปี 2016 ฟรีดอมเฮาส์จัดไทยตกต่ำสุดปีที่ 2 ‘Not Free’

ฟรีดอมเฮาส์ ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชน ที่รายงานเรื่องสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพพลเมือง ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงาน "FREEDOM IN THE WORLD 2016 Anxious Dictators, Wavering Democracies: Global Freedom under Pressure รายงานระบุว่า สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและความหวาดกลัวเรื่องความไม่สงบในสังคมทำให้รัสเซีย จีน และประเทศในระบอบอำนาจนิยมอื่นๆ จัดการกับคนเห็นต่างอย่างรุนแรงมากขึ้น ขณะที่แรงงานข้ามชาติจำนวนมหาศาลและการก่อการร้ายรูปแบบใหม่ก็เป็นเชื้อเพลิงเร่งความรู้สึกกลัวต่างชาติในประเทศประชาธิปไตยตั้งมั่นทั้งหลาย
ในรายงานระบุว่าปี 2015 เป็นปีที่เสรีภาพของโลกลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 จำนวนประเทศที่เสรีภาพลดลงในปีนี้มีทั้งสิ้น 72 ประเทศ เป็นจำนวนที่มากที่สุดตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และมีเพียง 43 ประเทศที่มีอันดับดีขึ้น
ในจำนวน 195 ประเทศ มี 86 ประเทศที่อยู่ในสถานะ Free (สีเขียว)  มี 59 ประเทศที่อยู่ในสถานะ Partly Free หรือมีเสรีภาพบางส่วน (สีเหลือง) และมี 50 ประเทศที่อยู่ในสถานะ Not Free (สีม่วง)

ภาพจาก Freedom House
แสดงผลจำนวนประเทศที่ลำดับเสรีภาพ "ขึ้น" (ฟ้า) และ "ลง" (ชมพู) ตลอดสิบปีที่ผ่านมา
สำหรับปีนี้ประเทศไทยนั้นอยู่ในส่วน Not Free ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แล้ว ไทยได้อยู่ในโซน “สีม่วง” ซึ่งเป็นสถานะเดียวกับประเทศ 12 แห่งที่มีคะแนนด้านสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพพลเมืองเลวร้ายที่สุด เรียงจากส่วนที่มีเสรีภาพน้อยที่สุด คือ ซีเรีย ธิเบต โซมาเลีย เกาหลีเหนือ อุซเบกิสฐาน เอริเธรีย เติร์กเมนิสถาน ซาฮาราตะวันตก เป็นต้น
รายละเอียดคะแนนของไทยนั้น ด้านสิทธิพลเมืองได้ 6 คะแนน ด้านเสรีภาพ ด้านเสรีภาพพเมืองได้ 5 คะแนน
ด้านสิทธิทางการเมือง ได้ 6 เต็ม 7 (คะแนนยิ่งมากยิ่งแย่) ความหมายของคะแนน 6 หมายถึง ประเทศที่มีสิทธิทางการเมืองแบบจำกัดมาก ปกครองโดยพรรคเดียวหรือโดยเผด็จการทหาร อาจอนุญาตให้มีสิทธิทางการเมืองได้บ้างเล็กน้อย เช่น การแสดงออกบางอย่าง หรือสิทธิในการปกครองตนเองของคนกลุ่มน้อย และมีจำนวนน้อยที่มีจารีตแบบกษัตริย์นิยมซึ่งยอมอดทนต่อการถกเถียงทางการเมืองและยอมรับการเรียกร้องจากสาธารณะ
ด้านเสรีภาพพลเมือง ได้ 5 เต็ม 7 (คะแนนยิ่งมากยิ่งแย่) ความหมายของคะแนน 3,4,5 คือ ประเทศที่ปกป้องเสรีภาพของพลเมืองเกือบทั้งหมดพอสมควร หรืออาจเป็นการปกป้องอย่างแข็งขันในเสรีภาพพลเมืองบางอย่างขณะที่บกพร่องในการปกป้องบางอย่าง
ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่ประเทศไทยจะอยู่ในสถานะ Partly Free เคยตกอยู่ในสถานะ Not Free ในปี 2550 เนื่องจากปลายปีก่อนหน้านั้นมีการรัฐประหาร 19 กันยายนโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)  จนกระทั่งมีการรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 ก็ทำให้ปีต่อมาไทยตกไปอยู่ในสถานะ Not Free อีกครั้งเรื่อยมาจนปัจจุบัน

กรรมการสิทธิฯถูกลดเกรดเป็น B สุณัยแนะรีบพิสูจน์ตัวเอง ยุค คสช.


กรรมการสิทธิของไทยถูกลดระดับจาก A เป็น B หลังถูกประเมินมีปัญหาหลายส่วน ด้านสุณัย ผาสุข แนะเร่งพิสูจน์ตัวเองด้วยการมีบทบาทเชิงรุกต่อสถานการณ์สิทธิในประเทศที่เข้าขั้นวิกฤตแล้ว
28 ม.ค. 2559 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ถูกลดระดับจากสถานะ A เป็น B อย่างเป็นทางการ หลังคณะอนุกรรมการในการประเมินสถานะฯ ของคณะกรรมการประสานงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (International Coordinating Committee on National Human Rights Institutions: ICC) ซึ่งมีบทบาทในการตรวจสอบและประเมินการทำงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนทั่วโลก มีมติเสนอให้ลดระดับ กสม. ของไทย จากสถานะ A เป็น B เมื่อปี 2557
ในรายงานเมื่อ ต.ค. 2557 ICC แสดงความกังวลเกี่ยวกับขั้นตอนการคัดเลือก กสม., การขาดการคุ้มกันและความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ และความล้มเหลวในการตอบสนองต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในบริบทที่ไทยอยู่ใต้การปกครองของทหาร ทั้งนี้ ICC ให้เวลา กสม. 12 เดือนในการแก้ไข อย่างไรก็ตาม เมื่อ พ.ย. 2558 ICC เสนอให้ลดระดับ กสม. เป็น B หลังไม่มีการดำเนินการตามคำแนะนำของ ICC
ด้านสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (OHCHR) ระบุด้วยว่า ในขณะที่ประเทศไทยกำลังร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญใช้โอกาสนี้ในการรับเอาข้อเสนอแนะของอนุกรรมการ เพื่อทำให้ กสม.ของไทย กลับมาอยู่ในสถานะ A อีกครั้ง
สำหรับการได้สถานะ B จะส่งผลคือ
1) จะไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือส่งเอกสารในการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ รวมถึงการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย (Universal Periodic Review) ในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่เกิดขึ้นในต้นปี 2559
2) สถานะของ กสม. คือ จะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ในการประชุมในระดับภูมิภาคและนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (เช่น การประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก - Asia Pacific Forum on National Human Rights Institutions)
3) จะไม่สามารถลงคะแนนเสียงในการประชุมของ ICC หรือสมัครเป็นคณะกรรมการ/อนุกรรมการของ ICC ได้
สุณัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ประชาไทว่า ผลจากการลดระดับครั้งนี้ ในทางรูปธรรม สถานะของ กสม.เวลาไปร่วมประชุมกับคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ จะไม่สามารถนำเสนอได้ จะเป็นได้แค่ผู้สังเกตการณ์ เท่ากับจะไม่มีบทบาททั้งในเชิงที่จะไปมีส่วนร่วมตัดสินใจประเด็นสำคัญๆ ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนและคณะทำงานสิทธิฯ อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการผลักดันนโยบายหรือข้อผูกพันระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนต่างๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่า ไทยเคยมีบทบาทสำคัญมากในการผลักดันประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เช่น การผลักดันให้มีการผ่านมติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง หรือหลักการเนลสัน แมนเดลลา เรื่องสิทธิผู้หญิง เรื่องความหลากหลายของเพศสภาพ
เขาชี้ว่า การลดระดับลงมามีผลชัดเจนในเรื่องของการตอกย้ำว่ากลไกระดับประเทศในการตรวจสอบและปกป้องสิทธิมนุษยชน ได้รับผลกระทบอย่างมากจากเงื่อนไขทางการเมืองในประเทศ เพราะมาตรฐานของ กสม. เป็นประเด็นต่อเนื่องจาก กสม. ชุดที่แล้ว แทนที่จะมีการแก้ไขให้ดีขึ้น กลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลย เรื่องการสรรหาที่ไม่โปร่งใสไม่มีส่วนร่วมของภาคประชาชน องค์กรสิทธิมนุยชน คุณสมบัติของผู้ที่มาเป็น กสม. ที่ไม่ได้ถูกคัดกรองตามกติการะหว่างประเทศ อย่างหลักการปารีส (Paris Principles) ทำให้ได้บุคคลที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนเข้ามาเป็นส่วนใหญ่ ท่าทีความเป็นกลางของ กสม. ซึ่งเป็นประเด็นต่อเนื่องจาก กสม. ชุดที่แล้ว ก็สะท้อนว่าปัญหาที่เป็นเรื่องของการเมืองแบ่งขั้วในประเทศ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่ได้สนใจประเด็นการปกป้องคุ้มครองส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในประเทศเข้ามามีอำนาจก็สะท้อนออกมาในความเป็นตัวตนของ กสม.
กรณีที่ กสม.เคยชี้แจงประเด็นเรื่องการสรรหาแต่งตั้งว่าอยู่นอกเหนืออำนาจ กสม. หรือบางประเด็นยังอยู่ระหว่างรอร่างรัฐธรรมนูญอยู่ สุณัยกล่าวว่า ฮิวแมนไรท์วอทช์เคยออกแถลงการณ์สองครั้งใหญ่ๆ ในสมัย อ.อมรา เป็นประธานและสมัยที่ กสม.ชุดนี้ได้รับเลือก โดยชี้ว่ากระบวนการนั้นไม่สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศ เพราะฉะนั้น ทางแก้มีสองทาง คือ ระยะสั้นหรือเฉพาะหน้าคือ ตัวบุคคลที่ลงสมัครก็ควรแสดงสปิริต แสดงจุดยืนทางหลักการด้วยการลาออก เพราะเมื่อตั้งใจมาทำงานก็ควรทำให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นการแสดงออกที่สามารถทำได้ อยู่ในวิสัยของตัวผู้สมัครเอง แล้วให้เกิดกระบวนการสรรหาใหม่ ที่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นขั้นตอนที่ยาวกว่า คือแก้ไขกระบวนการสรรหา
สุณัย กล่าวต่อว่า หรือหากไม่ลาออก การทำหน้าที่ก็จะสามารถตอบโจทย์อีกโจทย์ได้ว่ากระบวนการสรรหามีปัญหา และระหว่างที่รอให้มีการแก้กระบวนการสรรหา ก็ทำหน้าที่ในระหว่างปฏิบัติงานให้ตอบโจทย์ที่เป็นข้อจำกัดให้ดีขึ้น แต่ว่าตั้งแต่ชุดที่แล้ว จนมาถึงชุดนี้เราไม่เห็นความพยายามที่ชัดเจนในการตอบโจทย์อันนั้น ปัญหาเรื่องการเลือกทำประเด้นยังมีอยู่ ฝักฝ่ายก็ยังมีอยู่ ใน กสม.ชุดที่แล้ว ที่เป็นที่วิจารณ์ที่เป็นที่รับรู้ในสังคม พอมา กสม.ชุดใหม่ เข้ามาก็ไม่มีบทบาทในเชิงรุก ทั้งที่ตอนนี้ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยในสายตาของฮิวแมนไรท์วอชท์อยู่ในสภาพวิกฤตอย่างหนัก บทบาทของ กสม. ต้องเป็นบทบาทเชิงรุก เราก็ไม่เห็นบทบาทนั้น
นอกจากนี้ ยังมีการตัดแบ่งงานด้านสิทธิการเมืองและสิทธิพลเมือง ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากหลังรัฐประหาร ออกจากกัน แทนที่อนุกรรมการชุดนี้ จะถูกส่งเสริมให้แข็งแกร่ง กลับถูกแยกออกจากกัน ทั้งที่ในกติการะหว่างประเทศว่าสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) เรื่องสองเรื่องอยู่ด้วยกัน และหลังจากตัดแบ่งเห็นได้ชัดเลยว่าบทบาทหายไป จากเดิมซึ่งเคยเป็นอนุฯ ที่แข็งขันที่สุด มีบทบาทต่อสาธารณะชัดเจนที่สุด ในสมัยที่มี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ พอจับแยกก็จะเห็นบทบาทของ อังคณา ในอนุพลเมือง แต่บทบาทของอนุการเมือง ที่มีประธาน กสม. มาดูแลเอง เราไม่เห็นบทบาทที่เด่นชัดเลย และยังมีเรื่องย้อนแย้งอย่างกรณีที่ นิวเคยไปร้องเรียนว่าถูกคุกคามสิทธิไม่ให้ทำกิจกรรม แล้วพอจ่านิวถูกอุ้ม แทนที่ กสม.จะมีบทบาทเข้าไปช่วย เราก็ยังไม่เห็นท่าทีจาก กสม.ออกมาเลย ทั้งที่กรณีนี้เป็นเรื่องอื้อฉาวไปทั่วโลก
"เหล่านี้ก็สะท้อนว่า ระหว่างที่มีโอกาสจะตอบโจทย์ที่เป็นข้อกังวลของ ICC ที่เขาปรับเกรดเพื่อเร่งให้มีการยกสถานะกลับไป เราไม่เห็นความพยายามที่จะทำอะไรในทางปฏิบัติ นอกจากให้สัมภาษณ์ว่าอยากจะฟื้นสถานะ" สุณัยกล่าวและว่า แล้วถ้าเกิดจะหวังว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะแก้ไขกระบวนการสรรหา ก็ดูจะลำบากเพราะมันไม่ได้ถูกเขียนให้ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเป็นประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น โอกาสที่เราจะเห็นการสรรหาที่ดีขึ้นผ่านรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นโอกาสเดียวที่ กสม.จะยกระดับตัวเองได้ก็คือต้องช่วยตัวเองก่อน แต่เราไม่เห็นความพยายามที่จะช่วยตัวเองเลย ไม่เห็นความพยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองเลย
"กสม.ชุดใหม่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า ถึงแม้จะมีข้อจำกัดเรื่องกระบวนการสรรหา จะมีข้อจำกัดเรื่องคุณสมบัติของ กสม.แต่ละคน แต่ข้อจำกัดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้และแก้ไขเพิ่มเติมได้ ไม่มีประสบการณ์ ก็สามารถเรียนรู้ เรียกผู้เชี่ยวชาญ เข้าไปสนับสนุนการทำงาน และมีบทบาทในเชิงรุกที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง ตอนนี้เหมือนกับรอให้มีผู้ร้องเรียน ซึ่งมันไม่ใช่ และต่อให้มีผู้ร้องเรียนแล้ว ก็ยังไม่เห็นมีการทำงานในหลายๆ เรื่อง" สุณัยแนะนำ
เขาย้ำว่า สิ่งที่ กสม.ทำได้เฉพาะหน้า เร็วที่สุดและเป็นรูปธรรมที่สุด คือ พิสูจน์ตัวเองให้เห็นด้วยการมีบทบาทเชิงรุกต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทยที่เข้าขั้นวิกฤตแล้ว แล้วตอนนี้มันหนักไปทุกเรื่อง ทั้งสิทธิทางการเมืองและพลเมืองที่กล่าวไปแล้ว ทั้งสิทธิด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมก็มีปัญหา คนออกจากป่า สิทธิชาวเล เหมือง สิทธิยา สุขภาพ