วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สืบคดีทหารฟ้อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ชาวลาหู่-หลังโพสต์หาว่าทหารตบชาวบ้าน

ศาลเชียงใหม่นัดสืบพยานโจทก์และจำเลย 2-4 ก.พ. คดีทหารที่ฐานบ้านอรุโณทัย ฟ้องชาวลาหู่ด้วย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังชาวบ้านเผยแพร่คลิปในเฟซบุ๊ค ชาวบ้านโต้เถียงกับทหารว่ามีเหตุทหารตบเด็กและผู้ใหญ่ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า 2557 โดยจำเลยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี ยืนยันว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง
2 ก.พ. 2559 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 2-4 กุมภาพันธ์ นี้ ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ มีการนัดสืบพยานโจทก์และจำเลย ในคดีหมายเลขดำที่ อ.1676/58 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ กับนายไมตรี เจริญสืบสกุล ในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 โดยคดีนี้ มีเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้กล่าวหาว่าจำเลยได้นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทหาร
การเข้าแจ้งความในคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 58 โดย ร.อ.พนมศักดิ์ กันแต่ง เจ้าหน้าที่ทหารจากฐานปฏิบัติการบ้านอรุโณทัย ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป็นผู้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายไมตรี เจริญสืบสกุล ชาวลาหู่ ที่สถานีตำรวจภูธรนาหวาย โดยระบุว่านายไมตรีได้เผยแพร่ข้อความในเฟซบุ๊ก กล่าวถึงทหารจากฐานปฏิบัติการบ้านอรุโณทัยว่าได้ทำร้ายเด็กและผู้ใหญ่หลายคนขณะนั่งผิงไฟอยู่ที่บ้านกองผักปิ้ง อำเภอเชียงดาว ในช่วงคืนวันที่ 31 ธ.ค.57 และยังได้นำคลิปวีดีโอเป็นภาพตัดต่อทหารโต้เถียงกับประชาชนมาเผยแพร่ โดยเจ้าหน้าที่ทหารระบุว่าเหตุการณ์การทำร้ายดังกล่าวเป็นข้อความเท็จทั้งสิ้น
เจ้าหน้าที่ทหารยังระบุว่าโดยข้อเท็จจริง ตามวันเวลาดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ทหารประจำฐานปฏิบัติการบ้านอรุโณทัย เข้าไปช่วยระงับเหตุการณ์ที่มีชาวบ้านมาแจ้งว่ามีกลุ่มวัยรุ่นบ้านเมืองนะกลาง และวัยรุ่นบ้านกองผักปิ้งก่อเหตุทะเลาะวิวาทกัน อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ จึงเห็นว่านายไมตรีได้นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหน้าที่ทหาร
ภายหลังมีการแจ้งความ ร.ต.อ.สงวน มีกลิ่น พนักงานสอบสวน สภ.นาหวาย อำเภอเชียงดาว ได้เรียกตัวนายไมตรีไปรับทราบข้อกล่าวหาและสอบคำปากคำเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 58 โดยพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 คือนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ซึ่งตามกฎหมายกำหนดโทษจำคุกไว้ไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ไมตรีได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

พื้นที่เกิดเหตุเป็นหมู่บ้านชาวลาหู่ ใน อ.เชียงดาว ผู้ถูกฟ้องเป็นนักสื่อสารของชุมชน
พื้นที่เกิดเหตุในคดีนี้ คือบ้านกองผักปิ้ง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ มีประชากรราว 80 หลังคาเรือน โดยบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ใกล้ชายแดนไทย-พม่า ไกลจากตัวอำเภอเชียงดาวไปราว 50 กิโลเมตร มีหมู่บ้านของหลายกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ไม่ไกลจากกัน และยังมีหน่วยของเจ้าหน้าที่ทหารพรานประจำอยู่ คือฐานปฏิบัติการบ้านอรุโณทัย
จากข้อมูลของ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้ต้องหาในคดีนี้คือนายไมตรี เจริญสืบสกุล อายุ 31 ปี เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ไมตรีเป็นผู้มีบทบาทในการทำกิจกรรมภายในชุมชน เช่น  ร่วมกับกลุ่มดินสอสี ทำโครงการ "พื้นที่นี้ดีจัง" ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมสุขภาวะให้กับเด็กและเยาวชนในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ โดยไมตรีเป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการนี้ในพื้นที่ชุมชนของตนเอง นอกจากนี้ไมตรียังเคยเข้าร่วมโครงการอบรมการทำภาพยนตร์ของมูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน เคยเข้าร่วมการอบรมโครงการผู้สื่อข่าวพลเมืองกับทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส "เขาจึงมีบทบาทในการส่งรายงานข่าวจากพื้นที่ ทั้งปัญหาเรื่องสัญชาติ หรือบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ให้สังคมได้รับรู้ ไมตรีจึงมีบทบาทเป็น “ปากเสียง” ให้กับผู้คนในพื้นที่มาจนถึงปัจจุบัน"
จากบทบาททางสังคมดังกล่าว ทำให้ไมตรีเข้าไปทำหน้าที่เป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านกองผักปิ้ง และนำไปสู่การถูกดำเนินคดีนี้

เหตุทำร้ายชาวบ้านในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ข้อมูลจากชาวบ้านในบ้านกองผักปิ้ง ยืนยันว่ามีเหตุการณ์การทำร้ายร่างกายชาวบ้านเกิดขึ้นจริง โดยในคืนวันส่งท้ายปีเก่า 31 ธ.ค.57 เวลาราว 20.30 น. ระหว่างที่กลุ่มชาวบ้านกว่า 10 คน กำลังนั่งล้อมวงผิงไฟอยู่บริเวณมุมของลานสนามกีฬาราดปูนเล็กๆ ภายในหมู่บ้าน ได้มีรถกระบะยี่ห้อเชฟโรเลตสีดำ พร้อมกับรถจักรยานยนต์อีก 1 คัน ขับเข้ามาจอดบริเวณถนนติดกับลานสนามกีฬา พร้อมมีการส่องไฟหน้ารถเข้ามาทางกลุ่มชาวบ้านที่กำลังผิงไฟอยู่
จากนั้น ชาวบ้านระบุว่าได้มีกลุ่มบุคคลเป็นชายแปลกหน้าประมาณ 5 คน ในชุดนอกเครื่องแบบ แต่บางรายใส่กางเกงทหาร และมีคนหนึ่งถือปืนยาวในมือ ขณะที่หลายคนพกปืนสั้น ทั้งบางรายยังใส่เสื้อเกราะกันกระสุน ทั้งหมดได้เดินเข้ามาหากลุ่มชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านบางส่วนตกใจกลัว วิ่งหนีออกไปก่อน ขณะที่ยังมีชาวบ้านอีกราว 7 คน นั่งล้อมวงอยู่ ไม่ได้ลุกหนีไปไหน ในจำนวนนี้มีหญิงสูงอายุ 1 ราย และเด็กชายอายุช่วงสิบปีต้นๆ จำนวน 3 คน
ชายกลุ่มดังกล่าวเข้ามาถึง ก็มีการสั่งให้ชาวบ้านก้มหน้าลง ไม่ให้เงยหน้าขึ้น พร้อมกับมีการนำปืนมาจี้ ก่อนที่ชายคนหนึ่งในกลุ่มจะใช้ฝ่ามือตบที่ใบหน้าชาวบ้านทีละคน จนเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกตบถึงกับร้องไห้ ชายคนดังกล่าวไม่ได้มีการกล่าวชี้แจงใดๆ ทำให้ชาวบ้านไม่มีใครทราบสาเหตุการทำร้ายนี้ และชายคนดังกล่าว ก็ได้เดินหลบหายตัวไปทันที โดยขณะนั้นยังมีไฟจากรถกระบะส่องมาที่กลุ่มชาวบ้าน ทำให้เห็นใบหน้าของชายคนดังกล่าวไม่ชัด
สักพักหนึ่ง ชาวบ้านในหมู่บ้านทยอยกันออกมาดูว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบอีกชุดหนึ่ง ราว 5 นาย ขับรถเดินทางตามมา ส่วนชายนอกเครื่องแบบที่เหลือก็ยังอยู่ในบริเวณนั้น เจ้าหน้าที่รายหนึ่งระบุว่าได้เกิดเหตุที่วัยรุ่นชาวไทใหญ่และชาวลาหู่ทะเลาะกัน เจ้าหน้าที่จึงขึ้นมาติดตาม
ส่วนชาวบ้านที่ตามมาถึง เมื่อทราบว่าคนที่ถูกตบหน้า มีคนแก่และเด็กด้วย ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้น และต้องการให้เจ้าหน้าที่ขอโทษ ทำให้เกิดการโต้เถียงกันกับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะมีการนัดหมายไปทำความเข้าใจกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้านในวันรุ่งขึ้น
จากเหตุการณ์ขณะนั้น ชาวบ้านเชื่อว่ากลุ่มชายนอกเครื่องแบบดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร เพราะมีทั้งการพกพาอาวุธปืน และมีท่าทางสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบอีกชุดที่ติดตามขึ้นมา ไมตรีแม้ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุในคืนนั้น แต่ได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้าน จึงได้ช่วยสื่อสารเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

ชาวบ้านเข้าไปสอบถามทหารในวันปีใหม่ เป็นที่มาของคลิปโต้เถียง และฟ้องด้วย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ส่วนหนึ่งจากคลิปเหตุการณ์ชาวบ้านหลายสิบคน รวมทั้งไมตรี เจริญสืบสกุล เข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่เมื่อ 1 ม.ค. 2558 หลังคืนเกิดเหตุทำร้ายชาวบ้าน และมีการโต้เถียงกันโดยเจ้าหน้าที่ปฏิเสธว่าไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำร้ายชาวบ้าน ต่อมามีการโพสต์คลิปดังกล่าว และมีเพจอื่นนำไปโพสต์ต่อโดยเพิ่มข้อความในลักษณะโจมตีทางการเมือง ทำให้เจ้าหน้าที่ได้ฟ้องดำเนินคดีต่อไมตรี ด้วย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ต่อมาในเช้าวันที่ 1 ม.ค.58 ชาวบ้านหลายสิบคนได้เดินทางไปขอความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ โดยไมตรีก็ร่วมไปกับชาวบ้านด้วย การพูดคุยเกิดขึ้นที่หน้าที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านได้เรียกร้องให้ทหารหาคนที่ทำร้ายชาวบ้านมากล่าวขอโทษ โดยยืนยันว่าทหารน่าจะทราบเรื่อง เพราะเป็นคนที่มาด้วยกัน แต่ทหารที่พูดคุยกับชาวบ้าน ยังคงปฏิเสธไม่รู้ว่าใครเป็นคนตบ จึงมีการโต้เถียงกันอีกครั้ง ก่อนทางผู้นำชุมชนจะพยายามเข้ามาพูดคุยทำความเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของชาวบ้าน
หลังจากการพูดคุย ชาวบ้านเห็นร่วมกับไมตรีในการโพสต์คลิปวีดีโอการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ขึ้นในเฟซบุ๊กส่วนตัว ก่อนที่ข้อความและคลิปดังกล่าวจะถูกคัดลอกและนำไปเผยแพร่ต่อจำนวนมาก โดยไมตรีระบุว่าได้มีเพจเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องกับการเมือง นำโพสต์ของเขาไปเพิ่มเติมข้อความเอาเองในลักษณะโจมตีทางการเมือง ซึ่งไม่ใช่ความตั้งใจของเขาและชาวบ้าน รวมทั้งในวันถัดมา เจ้าหน้าที่ทหารยังได้ติดต่อมาที่ผู้นำชุมชน ขอให้มีการลบโพสต์ออก ทำให้เขาตัดสินใจลบข้อความและคลิปในหน้าเฟซบุ๊กของตนเองออก แต่ก็พบว่าในเพจอื่นๆ ที่ได้มีการคัดลอกไปแล้ว ยังคงมีข้อมูลปรากฏอยู่
ไม่กี่วันจากนั้น ไมตรีได้ทราบว่าเมื่อวันที่ 4 ม.ค. เจ้าหน้าที่ทหารมีการเข้าแจ้งความเอาผิดเขาจากการโพสต์ข้อความและคลิปดังกล่าว
สำหรับขั้นตอนดำเนินคดี ข้อมูลจาก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ภายหลังไมตรีเข้ารับทราบข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนให้อัยการ ก่อนที่วันที่ 7 พ.ค. 58 พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ฝ่ายจำเลยได้ซื้อหลักทรัพย์เพื่อยื่นขอประกันตัวในชั้นศาล โดยรวมเงินประกันตัวจำนวน 50,000 บาท และศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว
จากนั้นศาลได้มีการนัดสอบคำให้การ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 58 โดยจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พร้อมแถลงข้อต่อสู้คดีว่าจะต่อสู้ว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง และการกระทำของจำเลยเป็นไปโดยสุจริตในส่วนได้ส่วนเสียของตนและชาวบ้านทีเกี่ยวข้อง ขณะที่ทางฝ่ายโจทก์ได้ขอนัดสมานฉันท์คดี ศาลจึงให้ส่งคดีเข้าสู่ศูนย์สมานฉันท์และสันติวิธีก่อน ถ้าหากตกลงกันไม่ได้ ค่อยกำหนดวันนัดพิจารณาต่อไป
ในการสมานฉันท์คดีเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 58 ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารผู้แจ้งความ และเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายกฎหมายเข้าร่วมพูดคุยด้วย โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่ากรณีนี้ ผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้มีการดำเนินคดีตามขั้นตอน เพราะทำให้กองทัพเสื่อมเสีย เจ้าหน้าที่ทหารที่มาพูดคุยด้วยจึงไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจจะแถลงไม่ติดใจจำเลย หรืออำนาจจะขอถอนคดี ขณะที่ทางจำเลยเองก็ยืนยันจะต่อสู้คดีต่อไป เนื่องจากเชื่อว่าตนไม่ได้กระทำความผิด ทั้งเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัวของจำเลยผู้เดียว แต่เกี่ยวข้องกับชาวบ้านในพื้นที่ด้วย
เมื่อคู่ความตกลงกันไม่ได้ จึงได้มีการนัดหมายสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยต่อเนื่องกันสามนัด ในวันที่ 2-4 ก.พ.59 ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ โดยเป็นการสืบพยานโจทก์หนึ่งนัดครึ่ง และสืบพยานจำเลยอีกหนึ่งนัดครึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น