วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

ศาลปกครองชี้บัวแก้วเลือกปฏิบัติต่อ 'จาตุรนต์ ฉายแสง' สั่งคืนหนังสือเดินทาง 3 ฉบับ

จาตุรนต์ ฉายแสง (ที่มา: เพจจาตุรนต์ ฉายแสง)

ยกเลิกคำสั่งเพิกถอนหนังสือเดินทาง 3 ฉบับ ให้มีผลย้อนหลัง ศาลปกครองกลางระบุ 'จาตุรนต์ ฉายแสง' แม้ถูกห้ามออกนอกประเทศตามคำสั่ง คสช. และศาลทหาร ก่อนเดินทางต้องขออนุญาตทุกครั้ง จึงถือว่าถูกจำกัดเสรีภาพการเดินทางอยู่แล้ว ที่ผ่านมาไปต่างประเทศก็กลับมาตามกำหนด นอกจากนี้ยังไม่เคยถอนหนังสือเดินทางกับผู้ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. และ ม.116 กรณีที่เกิดขึ้นกรมการกงสุล-อธิบดีกรมการกงสุล จึงปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมายและเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
31 มี.ค. 2560 ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ มีการอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 57/2559 ที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง ยื่นฟ้องกระทรวงการต่างประเทศ, กรมการกงสุล, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ, อธิบดีกรมการกงสุล, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ถูกฟ้องคดี 1-7 ขอให้ศาลเพิกถอนคำร้องและคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเจ็ดที่ยกเลิกหนังสือเดินทางทั้ง 3 ฉบับของนายจาตุรนต์ ผู้ฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดี ระบุว่า กระบวนการยกเลิกหนังสือเดินทางของผู้ฟ้องคดีเร่งรีบผิดปกติ ใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ และเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
ในรายงานของมติชนออนไลน์ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 และ 23 ที่ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธหรือยับยั้งการขอหรือแก้ไขหนังสือเดินทาง รวมทั้งยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ออกหนังสือเดินทางไปแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาผู้กระทำความผิดคดีอาญา ซึ่งกำลังรับโทษอยู่ หรือตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาเนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญา อยู่ระหว่างการดำเนินคดีในศาลและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวได้ 
แต่ข้อเท็จจริงรากฏแต่เพียงว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เนื่องจากฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไม่ไปรายงานภายในระยะเวลาที่กำหนด มีโทษจำคุกเพียงไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท ส่วนข้อหากระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และเป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินตามมาตรา 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
จากกรณีเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2558 ผู้ฟ้องคดีได้แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊ก กรณีการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่งว่า การถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ บัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.2558 ที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทยและเป็นการทำลายหลักการเกี่ยวกับการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างอำนาจอธิปไตยทั้งสามอย่างร้ายแรง ซึ่งเรื่องการถอดถอนนี้สาระสำคัญอยู่ในมาตรา 253 กับมาตราอื่นที่เชื่อมโยงกันนั้น ผู้ฟ้องคดีได้ปฏิเสธข้อหานี้และอยู่ระหว่างการต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยศาลได้มีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาคดี เพียงแต่มีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลเท่านั้น
ดังนั้น ถึงแม้ผู้ฟ้องคดีจะเป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุมัติจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 21/2557 และศาลทหารกรุงเทพก็ตาม
แต่ที่ผ่านมานายจาตุรนต์เคยได้รับอนุมัติจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติซึ่งให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศจีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเยอรมนี รวมหลายครั้ง
กรณีจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ฟ้องคดีมิใช่ผู้ที่ศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครองเห็นว่าไม่ควรจะออกหนังสือเดินทางให้ เนื่องจากได้รับอนุมัติให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรอยู่เป็นประจำ ประกอบกับหากผู้ฟ้องคดีมิได้รับอนุมัติจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและศาลทหารกรุงเทพตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้เสียก่อน ผู้ฟ้องคดีย่อมต้องเป็นบุคคลที่ต้องห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและศาลทหารกรุงเทพ ซึ่งเท่ากับว่าผู้ฟ้องคดีถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรอยู่แล้ว
และช่วงที่ผ่านมานายจาตุรนต์เดินทางออกนอกราชอาณาจักรบ่อยครั้ง และก็เดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรภายในระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในคำสั่งที่ได้รับอนุมัติทุกครั้ง โดยไม่มีพฤติการณ์ว่าจะหลบหนีคดีอาญาออกนอกราชอาณาจักรแต่อย่างใด จึงไม่เป็นภาระหน้าที่แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 จะต้องกังวลในการสืบหา ระบุถิ่นที่อยู่เพื่อใช้เป็นข้อมูลหลักฐานประกอบคำร้องขอให้ส่งตัวผู้ฟ้องคดีเข้ามาดำเนินคดีหรือรับโทษทางอาญาในฐานะที่เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 7 ยกเลิกหนังสือเดินทางทั้ง 3 ฉบับของผู้ฟ้องคดีโดยมีเจตนาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้บัญชาการตำรวจอ้าง ชี้ให้เห็นชัดเจนว่ามาตรการในการยกเลิกหนังสือเดินทางทั้ง 3 ฉบับของผู้ฟ้องคดีไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ได้
กรณีจึงยังมิอาจถือได้ว่ามาตรการยกเลิกหนังสือเดินทางทั้ง 3 ฉบับของผู้ฟ้องคดีมีความเหมาะสมหรือสมควร ตรงกันข้าม มาตรการดังกล่าวมีผลกระทบต่อความมั่นคงในการใช้สิทธิ มีและใช้หนังสือเดินทางเพื่อการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ฟ้องคดีอย่างรุนแรง จึงเท่ากับว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้มาตรการดังกล่าวมีน้ำหนักน้อยกว่าผลเสียที่เกิดขึ้นแก่ผู้ฟ้องคดี
อีกทั้งยังไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 7 ได้ใช้มาตรการยกเลิกหนังสือเดินทางกับบุคคลอื่นที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกับผู้ฟ้องคดีที่ฝ่าฝืนคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาตามมาตรา 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเช่นเดียวกันกับผู้ฟ้องคดี กรณีจึงถือได้ว่ากรมการกงสุลและอธิบดีกรมการกงศุลใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางทั้ง 3 ฉบับโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดี
พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของกรมการกงสุล ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยอธิบดีกรมการกงสุล ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ที่ยกเลิกหนังสือเดินทางทั้ง 3 ฉบับของผู้ฟ้องคดี โดยให้มีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่มีคำสั่งยกเลิก คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

ห้ามผู้แทนอนามัยโลก WHO พูดเวทีประชาพิจารณ์ร่างกฎหมาย สสส. หวั่นรุกล้ำอธิปไตย

แดเนียล เอ. เคอร์แทสซ์ (Dr.Daniel A. Kertesz) ผู้แทนจากองค์การอนามัยโลก

ผู้แทนองค์การอนามัยโลก WHO ร่วมเวทีประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นร่าง พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพฉบับใหม่ แต่เมื่อจะเริ่มแสดงความเห็น ก็ถูก พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา กรรมการแพทยสภาเบรกไว้เสียก่อน อ้างว่าการแสดงความเห็นขององค์กรระหว่างประเทศจะรุกล้ำอธิปไตยไทย กระทบความมั่นคงประเทศ WHO ไม่ใช่พ่อ เราไม่จำเป็นต้องฟัง
31 มี.ค. 2560 ที่เวทีประชาพิจารณ์ ร่าง พระราชบัญญัติ สสส. กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (ฉบับที่...) พ.ศ..... ครั้งที่ 1 จัดขึ้นที่โรงแรมมิราเคิล แกรน์ด คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ โดยมีกระทรวงวาธารณสุขเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดรับฟังความเห็น ภายในงานมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมทั้งจากองค์กรเอกชน หน่วยงานรัฐและภาคประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากผู้แทนจากองค์กรอนามัยโลก (WHO) เข้าร่วมรับฟังความเห็นพร้อมให้ข้อเสนอแนะ
อย่างไรก็ตามเมื่อ ดร.แดเนียล เอ. เคอร์แทสซ์ (Dr.Daniel A. Kertesz) ผู้แทนจาก WHO เริ่มกล่าวแสดงความเห็น กลับมีผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา หนึ่งในคณะกรรมการแพทยสภา กล่าวโต้ถึงความกังวลใจต่อการแสดงความเห็นขององค์กรระหว่างประเทศก่อนที่จะได้ฟังว่า หาก WHO แสดงทัศนะต่อร่าง พ.ร.บ. สสส. แล้วนั้น ตนเกรงกว่า จะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งยังเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของคนไทย
“WHO ไม่ใช่พ่อ เราไม่จำเป็นต้องฟัง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นผลกระทบของคนในชาติ หากให้ต่างชาติเข้ามาเสนอความเห็น อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศได้” พญ.เชิดชู กล่าว
ทั้งนี้ ผู้แทน WHO กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าทางองค์กรจะทำหนังสือถึงที่ประชุมเกี่ยวกับข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. สสส. เข้ามาภายหลัง 

สนช.ผ่านวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ถอนปมตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ไปไว้ในข้อสังเกตแทน


สนช. มีมติ 227 เสียงผ่านวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม โดยให้จัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ภายใน 1 ปี ไว้ในข้อสังเกต  ขณะที่ ประยุทธ์ ยันต้องศึกษาตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ยันรับฟังทุกความเห็น ขออย่าปิดล้อมสถานที่ราชการ โดยวานนี้ คปพ. ร้องตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติให้เสร็จ ก่อนประมูลผลิตปิโตเลียม
31 มี.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า  สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติผ่านวาระ 3 ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ปิโตรเลียม พ.ศ. ....  ด้วยคะแนน เห็นด้วย  227 เสียง  ไม่เห็นด้วย 1 และงดออกเสียง 3 ทั้งนี้  ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม  สมาชิกสนช. ได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง  ในประเด็น มาตรา 10/1 เกี่ยวกับการตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ  ในร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมที่คณะกรรมาธิการเพิ่มขึ้นมาใหม่ โดยสมาชิก สนช. หลายคน  เสนอให้มีการตัดมาตราดังกล่าวออกไป เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการเปิดช่องสุ่มเสียงให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอาจจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบบรรษัทผิดเพี้ยนไปและเสนอให้ใส่ไว้ในข้อสังเกต โดยเห็นว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ควรแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นภายใน 60 วันเพื่อพิจารณาศึกษาถึงรายละเอียดของรูปแบบและวิธีการในการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติที่เหมาะสมภายใน 1 ปีต่อไป ทำให้คณะกรรมาธิการฯ  ได้ขอถอนประเด็นดังกล่าวที่กำหนดไว้ใน มาตรา 10/1 ออกไป โดยจะให้ไปใส่ในข้อสังเกตของร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม แทน
สำหรับการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ จะใส่ไว้ในข้อสังเกตว่า “การจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ โดยที่ร่าง พ.ร.บ.นี้ได้เพิ่มให้มีการนำระบบสัญญาสัญญาแบ่งปันผลผลิต และสัญญาจัดจ้างบริการ มาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งการบริหารจัดการตามระบบที่เกิดขึ้นใหม่ทั้ง 2 ระบบ มีความแตกต่างจากการบริหารจัดการตามระบบสัมปทานที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือระบบอื่นใดที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต รวมทั้งการดำเนินการตามระบบที่เพิ่มขึ้นใหม่ จะมีผลทำให้รัฐมีกรรมสิทธิ์ในผลผลิตปิโตรเลียมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด รัฐจึงควรจัดตั้งองค์กรขึ้นใหม่เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารทรัพยากรปิโตรเลียมนั้นให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดโดยเร็ว ครม.จึงควรแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นภายใน 60 วัน เพื่อพิจารณาศึกษาถึงรายละเอียดของรูปแบบและวิธีการในการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติที่เหมาะสมภายใน 1 ปีต่อไป”

ประยุทธ์ ยันต้องศึกษาตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ

วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)  ให้สัมภาษณ์กรณี สนช. ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  โดยให้จัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (Nation Oil Company) หรือ NOC ภายใน 1 ปี ไว้ในข้อสังเกต ว่า ในนามของรัฐบาลต้องรับมาปฏิบัติทั้งหมด เพราะเมื่อร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวประกาศบังคับใช้ ต้องปฏิบัติตามข้อสังเกต ส่วนผลการศึกษาจะออกมาอย่างไร เหมาะสมหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องหาวิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางพลังงานของประเทศไทย โดยได้นำแบบอย่างจากต่างประเทศมาศึกษาควบคู่ไปด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การทำงานไม่สามารถทำตามความรู้สึก หรือความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ จึงต้องสร้างความไว้ใจซึ่งกันและกัน เพราะเรื่องพลังงานเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วน มีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด หากจะทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าดี ก็จะส่งผลดีไป แต่หากไม่ดี ก็จะส่งผลกระทบตามมาทั้งหมด ดังนั้น จึงต้องใช้แนวทางแก้ปัญหาทีละขั้นตอน และแก้ปัญหาทุกระดับ ซึ่งจะทำให้ปัญหาดีขึ้น หากยังประท้วง หรือล้มโครงการทั้งหมด ต้องคำนึงถึงระบบเศรษฐกิจทั้งหมดจะเดินไปอย่างไร 

ยันรับฟังทุกความเห็น ขออย่าปิดล้อมสถานที่ราชการ

“การเสนอความคิดเห็น หรือต้องการให้รัฐบาลรับทราบความเดือดร้อนในเรื่องใด สามารถยื่นหนังสือมาได้ที่ศูนย์ดำรงธรรม อย่ามาปิดล้อมสถานที่ราชการ หรือเขตพระราชฐาน เพราะจากนี้ ผมจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ได้ขู่ แต่ต้องรักษาระเบียบวินัยของบ้านเมือง ขณะนี้ประเทศไม่ได้มีปัญหาเรื่องพลังงานเรื่องเดียว แต่มีอีกหลายเรื่องที่ต้องแก้ปัญหา ขอให้เชื่อใจกัน หากสิ่งไหนไม่ดี ขอให้บอก พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นในช่องทางที่ถูกต้อง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มีความระมัดระวังในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานให้สำเร็จ โดยไม่ทำให้เกิดปัญหาซ้ำขึ้นมาอีก และไปกระทบกับงานอื่นๆ ที่ทำอยู่ ตนเป็นห่วงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจการค้า การลงทุน เพราะประเทศไทยมีด้านอื่นๆ ที่ต้องขับเคลื่อน และวันนี้รัฐบาลกำลังวางอนาคตให้กับประเทศ ทุกคนจึงต้องช่วยรัฐบาลพัฒนาประเทศ การจะศึกษาเรื่องใด จะต้องเป็นไปตามขั้นตอน
"ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ตามระเบียบวิธีการขั้นตอน ผมส่งเอกสารขั้นตอนให้ดูแล้วเมื่อวานนี้ ขั้นตอนก็เป็นแบบนั้น รัฐบาลรับทราบ เห็นชอบให้ดำเนินการศึกษาได้ เพราะเมื่อมีการพูดคุยพบปะกับประชาชนมาแล้ว ก็ว่ามา ถ้าทำได้ ก็ทำไป ผมไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับท่าน แต่ทำอย่างไรจะไม่ไปมีผลกระทบเดิม ก็ต้องไปหาวิธีการให้ได้ ถ้าจะทำ แต่ต้องระมัดระวัง อย่าให้ธุรกิจใหญ่เสียหาย ขอแค่นั้น" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

คปพ. ร้องตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติให้เสร็จ ก่อนประมูลผลิตปิโตเลียม

โดยวานนี้ (30 มี.ค.60) พีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช. เข้ารับหนังสือจาก ปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ แกนนำเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) โดยขอให้ สนช.ถอนร่าง พ.ร.บ.ปิโตเลียม และ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตเลียม ออกจากการพิจารณาของที่ประชุม สนช.ก่อน  เพื่อขอให้แปรญัตติ ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเครือข่ายฯ โดยก่อนที่จะมีการประมูลผลิตปิโตเลียมในระบบแบ่งปันผลผลิต หรือ การจ้างผลิตให้มีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติให้เสร็จสิ้นเสียก่อน เพื่อดำเนินการบริหาร และขายปิโตรเลียมในส่วนของรัฐให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมแก้ไขเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับให้สอดคล้องกับรายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 และ พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม 2514 และต้องระบุให้ชัดเจนในระบบแบ่งปันผลผลิต ว่า หากใช้วิธีการประมูลแข่งขันการเสนอส่วนแบ่งปิโตรเลียมรัฐต้องได้ประโยชน์สูงสุดเป็นเกณฑ์ แต่หากเป็นระบบการจ้างผลิตให้ใช้เกณฑ์ค่าจ้างขั้นต่ำในการพิจารณา พร้อมกันนี้ต้องมีมาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งทางตรงและทางอ้อมของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องด้วย 

ทักษิณโพสต์ขอตัดตนออกจาก 'สมการปรองดอง' อัดผู้มีอำนาจหยุดเลี้ยงไข้ความขัดแย้ง


ทักษิณ โพสต์เฟซบุ๊ก ขอให้ทุกฝ่ายโปรดตัดตนออกจากสมการปรองดอง ยันไม่ต้องการให้ใครมาเสนอเพื่อช่วย พร้อมอัดผู้มีอำนาจก็ไม่ควรใช้อภินิหาร-ทำทุกทางเพื่อขจัดตนเพียงคนเดียว โดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม และต้องไม่เลี้ยงไข้ความขัดแย้ง ให้ยืดเยื้อ เพื่อเป็นข้ออ้างที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป
31 มี.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.57 น. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Thaksin Shinawatra' ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความ ระบุตอนหนึ่งถึง กระบวนการปรองดองที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ ว่า ขอให้ทุกฝ่ายโปรดตัดตนออกจากสมการไปได้เลย ตนไม่ต้องการให้ใครมาเสนออะไรเพื่อช่วยตัวตน และในทางกลับกัน ผู้มีอำนาจก็ไม่ควรใช้อภินิหารและกระทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดตนเพียงคนเดียว โดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม และต้องไม่เลี้ยงไข้ความขัดแย้ง ให้ยืดเยื้อ เพื่อเป็นข้ออ้างที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป ดังเช่นที่หลายๆ คนรู้สึกได้อยู่ทุกวันนี้
โดยมีรายละเอียดดังนี้

เรียน พี่น้องที่เคารพรัก
ผมตั้งใจที่จะหยุด โดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ รวมทั้งไม่ต้องการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่จะถูกมองหรือถูกอ้างว่าไปขัดขวางการทำงานของรัฐบาลทหารมานานมากแล้ว มิใช่เพราะกลัวรัฐบาลทหาร แต่เพราะผมตระหนักดีว่า พี่น้องร่วมชาติเรากำลังลำบาก โดยเฉพาะปัญหาปากท้องที่มีแต่จะย่ำแย่ลงทุกวัน จึงอยากให้รัฐบาลทหาร ได้ใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างเต็มที่
แต่ระยะเวลาที่ผ่านมา เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นในบ้านเมือง รัฐบาลกลับพยายามป้ายสี โดยพูดให้คนเข้าใจว่า ตัวผมอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ หรือลากผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นเหตุระเบิดตรงแยกราชประสงค์บริเวณพระพรหม หรือเหตุระเบิดครั้งใหญ่ในเขตจังหวัดภาคใต้ ก็จะโยนบาปมาให้ผมทันที ซึ่งทุกครั้งความจริงก็ปรากฏในภายหลังว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลเองทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวผมเลย
ไม่เพียงแต่ตัวผมคนเดียว ครอบครัวของผมก็ตกเป็นเหยื่อของการกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสี และถูกกระทำมาโดยตลอด ล่าสุดคือเรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งหากมีการกระทำผิดจริงแล้ว รัฐบาลที่มาจากผลพวงของการรัฐประหาร 2-3 รัฐบาลที่ผ่านมา ย่อมต้องเอาผิดผมไปนานแล้ว คงไม่ปล่อยไว้จนกระทั่งหมดอายุความ จึงค่อยใช้ “อภินิหารทางกฎหมาย” มาเล่นงานผมแบบนี้ ซึ่งผมขอเรียนว่า ในหลักการของกฎหมายสากล จะต้องไม่มีการใช้อำนาจหรืออภินิหารใดๆ นอกเหนือไปจากการใช้ “ความเที่ยงตรงและเป็นธรรม” ในการสั่งฟ้องหรือตัดสินคดีเท่านั้น
ครั้งนี้ ผมจำเป็นต้องออกมาพูดอีกครั้ง เนื่องจากมีความพยายามที่จะสร้างภาพว่า ตัวผมเชื่อมโยงและเกี่ยวพันกับขบวนการล้มล้างระบอบการปกครองของไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมยอมรับไม่ได้ ตัวผมขอยืนยันว่าผมมีความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และเคยถวายงานเจ้านายทุกพระองค์ ด้วยหัวใจแห่งความจงรักภักดีมาตลอด และมีความเชื่อมั่นที่แน่วแน่มั่นคง ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง และผมเชื่อว่า ระบอบการปกครองของไทยเรานี้ ประกอบกับพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ คือสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยของเรารักษาเอกราชและความเป็นไทยมาได้ตราบจนทุกวันนี้
ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่เป็นอันตรายต่อระบอบการปกครองของไทย คือการปฏิวัติรัฐประหารมากกว่า และการรัฐประหารตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ ใช้ข้ออ้างที่แทบไม่เคยเปลี่ยน คือความไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การทุจริตคอรัปชั่น แต่ทั้งนี้ ภายใต้การปกครองของทหาร ประชาชนไม่มีโอกาสตรวจสอบความโปร่งใสในการทำงานของรัฐบาลเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการรัฐประหารครั้งใดที่ไม่ใช้หลักนิติธรรมในการแก้ปัญหา ก็จะยิ่งทำให้ความไม่เข้าใจและความเห็นต่างกลับบานปลาย กลายเป็นความขัดแย้งที่จะแก้ไขได้ยากขึ้นทุกที
ผมต้องจากประเทศไทยที่ผมรักสุดชีวิตมาร่วมสิบเอ็ดปีแล้ว ต้องจากบ้านที่เคยอยู่ จากครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่ง เนื่องจากการรัฐประหาร จากนั้นแล้ว ยังถูกใส่ร้ายป้ายสี รวมถึงถูกกลั่นแกล้งด้วยการตั้งคณะบุคคลซึ่งเป็นปฏิปักษ์ขึ้นมาตรวจสอบโดยไม่ใช้หลักนิติธรรม ซึ่งผมอยากให้พี่น้องได้รับทราบว่า ผมยินดีแบกรับความเจ็บปวดและความรู้สึกโดดเดี่ยวนี้ไว้ทั้งหมด ขอเพียงบ้านเมืองมีความปรองดอง สามารถเดินไปข้างหน้าได้ และพี่น้องหายทุกข์ยาก ผมก็พอใจและมีความสุขแล้ว
สำหรับกระบวนการปรองดองที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ ผมขอให้ทุกฝ่ายโปรดตัดผมออกจากสมการไปได้เลยครับ ผมไม่ต้องการให้ใครมาเสนออะไรเพื่อช่วยตัวผม และในทางกลับกัน ผู้มีอำนาจก็ไม่ควรใช้อภินิหารและกระทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดผมเพียงคนเดียว โดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม และต้องไม่เลี้ยงไข้ความ “ขัดแย้ง” ให้ยืดเยื้อ เพื่อเป็นข้ออ้างที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป ดังเช่นที่หลายๆ คนรู้สึกได้อยู่ทุกวันนี้
ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้ คนไทยทุกคนอยู่ในห้วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้หัวใจของเราทุกคนแตกสลาย พวกเราจึงควรใช้เวลานี้ มาร่วมกันทำสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่บ้านเมือง รู้รักสามัคคี จริงใจในการสร้างความปรองดอง ซึ่งจะส่งผลให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข เพื่อเป็นการส่งเสด็จพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้ายให้สมพระเกียรติ ด้วยความจงรักภักดีอย่างแท้จริง
สุดท้ายผมอยากจะบอกว่า “ผมคือคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เติบโตจากครอบครัวธรรมดาครอบครัวหนึ่ง และวันนี้ก็ยังเป็นคนธรรมดาคนเดิม ผมถือว่าผมโชคดีมากแล้ว ที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบารมี ได้สนองงานรับใช้สังคมไทยในฐานะต่างๆ มาไม่น้อยกว่า 35 ปี และจะขอรับใช้ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ผมรักนับถือ เคารพ และเทิดทูน ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ไม่ว่าผมจะอยู่ ณ หนใดบนพื้นพิภพนี้”
ผมหยุดแล้วครับ ท่านล่ะ เมื่อไหร่จะหยุดสักที อย่ารักชาติ รักสถาบันฯ เพียงแค่คำพูดกันเลยครับ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากร นำหนังสือแจ้งประเมินภาษีจากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ปฯ ของ ทักษิณ เมื่อปี 2549 รวมเป็นเงินกว่า 17,629.58 ล้านบาท ไปติดไว้ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งเป็นบ้านพักของ ทักษิณ โดย เอกสารดังกล่าว ระบุว่า การประเมินภาษีครั้งนี้ เป็นการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.12 ประจำปี 2549 อาศัยอำนาจตามมาตรา 20, 22 ,27 และ 61 แห่งประมวลรัษฎากร โดยทักษิณมีเงินได้พึงประเมิน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 15,899.27 ล้านบาท เมื่อรวมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ซึ่งคำนวณถึงวันที่ 31 มี.ค. 2560 รวมเป็นระยะเวลา 120 เดือน ทำให้มีเงินภาษีซึ่งทักษิณต้องจ่ายทั้งสิ้นรวม 17,629.58 ล้านบาท โดยให้ไปชำระที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาบางพลัด
ทั้งนี้ ตามกฎหมายทักษิณสามารถยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษีดังกล่าว ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ หรือภายในวันที่ 27 เม.ย. นี้

วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

ผอ.บีบีซีเวิลด์ ตอบกรณี ‘ไผ่ ดาวดิน’ การแชร์เป็นสิทธิในการเผยแพร่ข่าวสาร


ผู้อำนวยการบีบีซีภาคบริการโลกเผย รัฐบาลทั่วโลกกำลังหาช่องทางควบคุมสื่อเพื่อจัดการข้อมูลก่อนส่งถึงประชาชน ส่วนสื่อต้องมุ่งมั่นที่จะรายงานข้อเท็จจริงอย่างยุติธรรมและซื่อสัตย์ ตั้งใจรักษาเสรีภาพเพื่อนำเสนอข้อมูลที่เป็นกลางให้โลกได้รับรู้ พร้อมตอบกรณีไผ่ ดาวดิน การกดแชร์เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้คนรับรู้ข่าวสาร เป็นสิทธิที่ทุกคนควรมี

29 มี.ค. 2560 ฟรานเชสกา อันส์เวิร์ธ ผู้อำนวยการบีบีซีภาคบริการโลก และรองผู้อำนวยการฝ่ายข่าว บรรยายเรื่อง เสรีภาพสื่อในยามที่โลกอำนาจนิยมเบ่งบาน ที่วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ชั้น 2 ห้อง 205 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยชี้ว่า ความสัมพันธ์ของบีบีซีกับนักการเมือง ไม่ต่างกับการชักเย่อ ที่แต่ละฝ่ายควรจะต้องดึง ซึ่งความเป็นจริงก็เป็นกระบวนการตามหลักการประชาธิปไตย เพราะเป็นการทดสอบผู้ที่อยู่ในอำนาจ สื่อสามารถถูกตรวจสอบได้ หากสื่อมีอำนาจมากเกินไปจะส่งผลกระทบ สร้างความเสียหายต่อระบบการเมือง หากอ่อนแอเกินไปจะเสี่ยงต่อการถูกดึงไปทางใดทางหนึ่ง เสี่ยงต่อการสูญเสียเสรีภาพของสื่อ

ฟรานเชสกา เล่าจากประสบการณ์ในช่วงการรณรงค์ทำประชามติ กรณีสหราชอาณาจักรต้องการออกจากสหภาพยุโรป (EU) ว่า บีบีซีต้องสู้กับการปล่อยข่าวจากทั้งสองฝั่ง ที่พยายามอยากแก้ไขข่าวเพื่อให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายตนเอง ทั้งนี้เอง บีบีซีได้รับการยอมรับจากนักการเมืองว่าเป็นอิสระ และเราต้องคงความอิสระนั้นไว้ การทำประชามติครั้งนั้นเตือนให้เรารู้ว่าเส้นแบ่งระหว่างการตรวจสอบอย่างเหมาะสมและการแทรกแซงสื่อเป็นสิ่งที่เราต้องหวงแหน

ฟรานเชสกา เล่าต่อว่า ในการรักษาสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สื่อต้องมีความรับผิดชอบ รู้ถึงจุดกึ่งกลางระหว่างเสรีภาพในการแสดงออกอย่างสุดโต่งพร้อมผลกระทบที่จะตามมา ในกรณีประเทศไทยมีกฎหมายมาตรา 112 เพื่อปกป้องราชวงศ์ ตอนนั้นบีบีซีเกือบตกที่นั่งลำบากจากการนำเสนอบทความประวัติของในหลวงรัชกาลใหม่ลงสื่อออนไลน์ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาที่ออฟฟิศบีบีซีกรุงเทพ ทำให้เนื้อหาที่นำเสนอถูกบล็อค แต่ความเป็นจริงแล้วบทความดังกล่าวเขียนขึ้นและตีพิมพ์ที่สำนักงานใหญ่บีบีซีที่ลอนดอน ซึ่งพนักงานในประเทศไทยต่างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบทความนั้น

ทั้งนี้ภายในห้องบรรยาย ได้มีผู้ตั้งคำถามถึงกรณีนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษาหรือไผ่ ดาวดินที่ถูกดำเนินคดี 112 หลังแชร์พระราชประวัติในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่บีบีซีนำเสนอ ฟรานเชสกา ตอบว่าบีบีซีเชื่อในหลักการสิทธิที่จะเผยแพร่ (The Right to Share) การกดแชร์เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้คนรับรู้ข่าวสาร เป็นสิทธิที่ทุกคนควรมี บีบีซีไม่มีเจตนาจะทำให้เกิดความไม่พอใจ และไม่ได้มาที่นี่เพื่อละเมิดกฎหมาย แต่เป็นการทำงานตามกรอบมาตรฐานของกองบรรณาธิการ

“ดิฉันไม่อยากจะพูดถึงประเด็นเก่าๆ ระหว่างเรา เราอยากมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทย เราไม่อยากทำให้ประเทศไทยไม่พอใจ รวมถึงราชวงศ์ แต่บีบีซียืนยันในบทความดังกล่าวและเชื่อมั่นว่ามันตรงกับหลักการบรรณาธิการของบีบีซี และมันเลี่ยงไม่ได้ จะเป็นการดีด้วยซ้ำที่ในประเทศใดก็ตาม นักการเมืองและสื่อมวลชนจะเห็นไม่ตรงกันตลอด” ฟรานเชสกา กล่าว

ฟรานเชสกา เล่าต่อว่า ตอนนี้คำถามสำหรับสื่อและนักการเมืองคือ ใครเป็นผู้จำกัดเสรีภาพและเราควรถูกตัดสินอย่างไร ใครคือผู้กำกับดูแล และกฎกติกาในการกำกับดูแลคืออะไร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณว่าอยู่ส่วนไหนของโลก วัฒนธรรมของประเทศนั้นเป็นอย่างไร มุมมองด้านประชาธิปไตยและบทบาทของสื่อในระบอบประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยและเสรีภาพสื่อไม่สามารถเกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน บางทีอาจไม่เกิดขึ้นเลย และจำเป็นต้องใช้เวลา

ฟรานเชสกา ระบุด้วยว่า ค่อนข้างเป็นกังวลสำหรับการคุกคามสื่อจากรัฐบาลบางประเทศ ตามรายงานขององค์กรสื่อไร้พรมแดน นักข่าวหลายร้อยคนถูกจำคุกในประเทศตุรกี หลังล้มเหลวในการทำรัฐประหารเมื่อเดือนกรกฎาคม และนักข่าวอีกหลายร้อยคนถูกขังในประเทศจีน, 27 คนในประเทศอียิปต์, 24 คนในประเทศอิหร่าน รัฐบาลฮังการีจัดตั้งองค์กรสื่อจากฝ่ายการเมืองมีอำนาจในการเซ็นเซอร์การรายงานข่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กีดกันไม่ให้สื่อหลายสำนักเข้าฟังการแถลงข่าวของทำเนียบขาวและเลือกเฉพาะสื่อบางสำนักในการเข้าทำเนียบขาวเท่านั้น

“ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ รัฐบาลทั่วโลก กำลังหาทางควบคุมสื่อ หรือใช้อำนาจควบคุมข่าวสารที่จะส่งต่อถึงประชาชน ในบางครั้งยิ่งเราพูดถึงเสรีภาพสื่อมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งฟังดูว่างเปล่ามากเท่านั้น” ฟรานเชสกา กล่าว

เห็นมากันน้อย 'สุรพงษ์' เสนอนับองค์ประชุม สนช.โต้วุ่น ไม่ให้นับ อ้างคนนอกไม่มีสิทธิเสนอ


สนช. แถลงปิดคดีด้วยวาจาคดี สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต รมว.การต่างประเทศ ออกหนังสือเดินทางธรรมดาให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ก่อนนัดลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอน 30 มี.ค. นี้

29 มี.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (29 มี.ค.60) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ดำเนินกระบวนการถอดถอน สุรพงษ์  โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในคดีใช้อำนาจโดยมิชอบ ออกหนังสือเดินทางธรรมดาให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร โดยวันนี้เป็นการแถลงปิดคดีด้วยวาจาของผู้กล่าวหา และผู้ถูกกล่าวหา
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้กล่าวหา ยืนยันว่า หลักฐานทุกอย่างที่ ชี้มูล สุรพงษ์ มีความถูกต้อง ย้ำ สุรพงษ์ อย่าเอาสถานภาพ คุณสมบัติของ กรรมการ ป.ป.ป. บางคน มาอ้าง เพื่อให้เอกสารกลายเป็นเท็จ พร้อมชี้ว่า การออกหนังสือเดินทางต้องมีการตรวจสอบ โดย กระทรวงการต่างประเทศต้องต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ร้องขอ ตามขั้นตอน และ กระทรวงการต่างประเทศสามารถยับยังการออกหนังสือเดินทางได้  หากพบว่าผู้นั้นมีลักษณะต้องห้าม เป็นผู้กำลังรับโทษในคดีอาญา หรือถูกออกหมายจับแล้ว อีกทั้งกรณีที่ สุรพงษ์ ใช้อำนาจโดยอ้างว่าเป็นการใช้อำนาจ รมว.กระทรวงการต่างประเทศทางนโยบาย ลงความเห็นให้ยกเลิกคำสั่งห้ามออกหนังสือเดินทางของรัฐบาลชุดก่อน เพื่อออกหนังสือเดินทางให้กับอดีตนายกฯ ทักษิณ จนในที่สุดอดีตนายกฯทักษิณ ได้เดินทางออกนอกประเทศ โดยไม่กลับมาอีกเลย จึงแสดงให้เห็นได้ว่า  สุรพงษ์ ได้ใช้อำนาจ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น โดยมิชอบ เพื่อช่วยผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับหลายคดีและเป็นผู้ต้องหาที่ศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศ และมีคำพิพากษาให้จำคุกถึงที่สุด ให้หลบหนีอยู่นอกประเทศโดยสะดวก ทำให้กระทรวงการต่างประเทศเสียหาย กระบวนการยุติธรรมหยุดชะงัก  
ขณะที่ สุรพงษ์ ผู้ถูกกล่าวหา ยืนยันว่า กรรมการ ป.ป.ช. ที่ขาดคุณสมบัติขัดต่อประกาศ คปค. รวมทั้งองค์ประชุมและเอกสารของ  ป.ป.ช.  ขณะลงมติในสำนวนชี้มูลความผิด  ทำให้การประชุมเป็นโมฆะและมีปัญหาแน่นอน ไม่สามารถให้เป็นสำนวนถอดถอนตนได้ อีกทั้งคำร้องของ วิรัตน์ กัลยาศิริ อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ และส.ส. รวม 139 คน  ที่ไม่ปรากฎการลงรายมือชื่อ  ก็ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่สามารถใช้เป็นเอกสารร้องให้ถอดถอนตนได้ ซึ่งเมื่อตนได้แจ้งเรื่องนี้ให้ ป.ป.ช. ทราบ เพื่อให้ดำเนินการให้ถูกต้องก่อนใช้คำร้องดังกล่าวในการไต่สวน  ป.ป.ช. ก็กลับอ้างว่า  มีเลขที่ ส.ส. ซึ่งเพียงพอต่อการแสดงตนของผู้ร้อง และวุฒิสภาตรวจสอบแล้ว  การกระทำดังกล่าวของ ป.ป.ช. จึงแสดงชัดว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และมุ่งหวังให้ตนถูกถอดถอน  พร้อมระบุว่า การปฏิเสธการออกหนังสือเดินทางให้อดีตนายกฯ ทักษิณ อาจทำให้เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ถูกฟ้องร้องได้  และตนได้วางนโยบายในฐานะ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ เท่านั้น ไม่ได้ใช้อำนาจสั่งการให้ออกหนังสือเดินทางให้กับอดีตนายกฯ ทักษิณ แต่อย่างใด และหากการออกหนังสือเดินทางให้อดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นการทำผิดกฎหมายจริง  เหตุใดตนจึงถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเพียงคนเดียว  โดยที่เจ้าหน้าที่ผู้ออกหนังสือเดินทางให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่มีความผิดใด ๆ  จึงขอให้ สมาชิก สนช. ให้ความเป็นธรรมด้วย
สุรพงษ์ ได้แถลงปิดคดี ซึ่ง สุรงพษ์แถลงปิดคดีไม่ถึง 10 นาที ก็ได้ร้องขอให้ตรวจสอบองค์ประชุม โดยอ้างรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 13 ที่ระบุว่า การประชุมต้องมีสมาชิกมีไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง แต่เท่าที่ดูเห็นสมาชิกสนช.เข้ามาร่วมประชุมฟังการแถลงปิดคดีแค่ประมาณ 50 คน ทั้งๆ ที่จะทำหน้าที่เป็นเหมือนตัดสินลงมติตนในวันพรุ่งนี้ จน สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช.คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานต้องกดออดเพื่อนับองค์ประชุม ทำให้สมาชิกสนช.ต่างทยอยเข้ามาในห้องประชุม พร้อมทั้งได้ลุกขึ้นอภิปรายทักท้วงคัดค้านการทำหน้าที่ของประธาน ที่ปล่อยให้บุคคลภายนอกที่ไม่มีสิทธิเสนอนับองค์ประชุม อีกทั้งยังปล่อยให้พูดจากล่าวร้ายเสียดสี ทำให้รัฐสภาอันทรงเกียรติเสื่อมเสียเหมือนสภาในอดีต แถมผู้ถูกกล่าวหา รวมทั้งยังนำบุคคลภายนอก คือ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่เป็นบุคคลที่เคยแถลงข่าวข่มขู่ ใส่ร้าย ตีปลาหน้าไซ และจะแจ้งความเอาผิดประธาน รองประธานและสมาชิก สนช. อย่างไรก็ตามสมาชิกอภิปรายคัดค้านพฤติกรรมของ สุรพงษ์อย่างดุเดือดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ในที่สุดที่ประชุมได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ 149 เสียง ไม่ให้ตรวจนับองค์ประชุม จากนั้นนายสุรชัยเชิญคู่กรณีกลับเข้ามาอีกครั้ง โดยให้นายสุรพงษ์ แถลงปิดคดีต่อจนจบในเวลา 16.35 น ซึ่งประธานได้นัดลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนในวันที่ 30 มี.ค. เวลา 10.00 น. 

'ทักษิณ' ส่งทนายแจ้งความ 'เปลว สีเงิน-ทีนิวส์' หมิ่นประมาท-พ.ร.บ.คอม


ทักษิณส่งทนายแจ้งความ หมิ่นประมาท-พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เปลว สีเงิน กรณีเขียนบทความเรื่องหุ้นชิน -ทีนิวส์-ปราชญ์ สามสี กรณีโกตี๋
30 มี.ค. 2560 เว็บไซต์ไทยโพสต์ รายงานว่า ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) นายชุมสาย ศรียาภัย ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายทักษิณ ชินวัตร ได้เข้าร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี กับ เปลว สีเงิน และ สำนักข่าว TNEWS ในข้อหา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
นายชุมสายกล่าวว่า กรณีของ เปลว สีเงิน นั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่ผ่านมา ได้เขียนบทความในคอลัมน์ คนปลายซอย กล่าวหานายทักษิณ ชินวัตร ว่า มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีหุ้น ชินคอร์ป และกล่าวหาว่าข้าราชการทำตามคำสั่งของ นายทักษิณ ที่ไม่ประเมินและเรียกเก็บภาษี ทั้งที่เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวได้ยุติไปแล้วว่าไม่สามารถทำได้ มิฉะนั้นก็คงไม่มีการปล่อยให้เรื่องผ่านมาหลายรัฐบาลเป็นแน่
ส่วนการดำเนินคดีกับสำนักข่าว TNEWS นั้น เป็นการกล่าวหานายทักษิณ ชินวัตร ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการของโกตี๋ และนายจารุพงศ์ โดยให้ขอให้ดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงโฆษณาและเผยแพร่ข้อความ รวมถึงเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อ “ปราชญ์ สามสี” ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นในการเขียนข้อความอันเป็นการใส่ร้ายดังกล่าวด้วย ส่วนข้อหาที่ขอให้ดำเนินคดี คือความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) (5) และมาตรา 15
นายชุมสาย กล่าวเตือนไปยังผู้ที่คิดจะเขียนหรือส่งต่อข้อความในลักษณะใส่ร้ายต่อนายทักษิณว่าขอให้ยุติเพราะหากกระทำการอันเข้าข่ายเป็นความผิดก็จะมีการดำเนินคดีทุกคน ทั้งผู้สร้างหรือผู้ส่งต่อข้อความ
อนึ่ง เมื่อปลายปีที่่ผ่านมา มีการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยมาตรา 14(1) เรื่องการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ มีการแก้ไขใจความสำคัญโดยเพิ่มองค์ประกอบว่า เป็นการนำเข้า "โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง" และเพิ่มข้อความ "อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา" และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คอมฯ ของ สนช. ย้ำหลายครั้งในต่างกรรมต่างวาระว่า มาตรา 14(1) ไม่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท
ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของ สนช.แล้ว และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 24 ม.ค. โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือน พ.ค.นี้ (120 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา)

โฆษก กมธ.วิสามัญฯ พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ยัน ทหาร-กมธ.ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน


29 มี.ค.2560 รายงานข่าวระบุว่า พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ โฆษกกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียม และร่างพ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ยืนยันว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลตามขั้นตอนแล้ว ซึ่งการมีบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ไม่ใช่แนวคิดใหม่ เคยศึกษาและเสนอเรื่องนี้ ไปยังรัฐบาล สมัยที่  ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นรองนายกรัฐมนตรี มาแล้ว แต่ร่างที่ ครม. เสนอกลับมา ไม่ได้กำหนดให้ตั้ง บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ คณะกรรมาธิการจึงพิจารณาถึงความจำเป็น ที่ต้องกำหนดให้มีบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไว้ในร่าง พ.ร.บ. เพื่อกำกับดูแลระบบการแบ่งปันผลประโยชน์  จึงได้กำหนดเพิ่มเติมในร่าง พ.ร.บ. นอกเหนือจากเดิมที่มีเพียงระบบพลังงาน  พร้อมยืนยันว่า ผ่านมาได้รับฟังความเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านแล้ว  ทหาร และ กรรมาธิการทั้ง 21 คน ที่ร่วมพิจารณา ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นการออกกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ ส่วนการที่ไม่กำหนดโครงสร้างของบรรษัทน้ำมันที่ชัดเจน ไว้ในมาตรา 10 / 1 มองว่า หากเขียนแบบผูกขาดจนเกินไป  จะยากต่อการปฏิบัติของรัฐบาล  ซึ่ง ไม่มั่นใจว่า ในอนาคต จะมีฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซงโครงสร้าง หรือไม่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะบริหารจัดการ
พล.อ.อกนิษฐ์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร  ระบุว่าในร่างกฎหมายฉบับนี้ จะเปิดช่องให้ กรมพลังงานทหาร เข้ามาดูแลบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ  ว่า  ส่วนตัวมองว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะกรณีนี้ ผู้ที่มีอำนาจสูงสุด คือ รัฐมนตรีว่าการการทรวงพลังงาน แต่กรมพลังงานทหารขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหม ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคิดค้นพลังงานใช้ในการปกป้องประเทศ ไม่ได้ดำเนินธุรกิจน้ำมัน

ยันพรุ่งนี้ ไม่เลื่อนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม

ขณะที่ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงการพิจารณาร่างดังกล่าว ของที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิปสนช.) เมื่อวานนี้ ว่า ที่ประชุมวิปสนช. ได้พูดคุยเรื่องความเป็นมาของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว และได้รับการอธิบายจากพลเอกสกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ถึงการเพิ่มมาตรา 10/1ว่าด้วย การจัดตั้งคณะกรรมการบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากกรรมาธิการชุดดังกล่าว ที่มีข้อเสนอของผู้ทรงคุณวุฒิและกรรมาธิการที่รับฟังความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ เสนอว่า ควรจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกในการดำเนินการเรื่องปิโตรเลียม เนื่องจากระบบการปิโตรเลียมของไทยเป็นการให้สัมปทาน แต่การเพิ่มเรื่องนี้อยู่นอกหลักการของกฎหมายฉบับนี้ เพราะฉบับที่รัฐบาลส่งมา เป็นระบบสัมปทาน ดังนั้น จึงต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และกรรมาธิการก็ได้รับการอนุมัติจาก ครม.แล้ว อย่างไรก็ตาม ตนได้ตรวจสอบพบว่า ในร่างกฎหมายดังกล่าว บัญญัติเพียงว่า หากจะดำเนินการในลักษณะของบรรษัทเช่นนี้ จะต้องศึกษาความพร้อมอย่างไร ซึ่งเป็นการเขียนกฎหมายแบบเปิดทางไว้เท่านั้น ยังไม่ได้มีการจัดตั้ง เนื่องจากมีแนวคิดว่า นอกจากระบบสัมปทานแล้ว ก็ควรมีรัฐบาลแห่งชาติเข้าไปดำเนินการเอง โดยจัดในรูปแบบของบรรษัทของรัฐบาล  แต่ทั้งนี้ จากกรณีดังกล่าว ทำให้มองได้ 2 ทาง  คือฝ่ายที่ผลักดันมองว่าร่างกฎหมายเพิ่มเติมมาไม่สมบูรณ์และไม่ชัดเจน ส่วนอีกฝ่ายที่สนับสนุนกฎหมายเดิม ก็มองว่า เพิ่มประเด็นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร  อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า กังวลที่มีกลุ่มเตรียมชุมนุมต่อต้านการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว แต่อยากให้เข้าใจว่า กฎหมายสามารถปรับปรุงแก้ไขได้เสมอในอนาคต เพราะกฎหมายไม่ตายตัว วันนี้ทำให้ดีที่สุดสำหรับรัฐบาลนี้ ส่วนจะดำเนินการพิจารณากฎหมายตามมาตรา 77 ในรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบว่าจะต้องทำเมื่อใด แต่ยืนยันว่า ขณะนี้เปิดรับฟังความเห็นอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว  รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบของกฎหมายที่มีต่อประชาชนด้วย
พรเพชร ยืนยันว่า ที่ประชุม สนช.จะไม่เลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ในวันพรุ่งนี้ (30มี.ค.) เนื่องจากต้องพิจารณาหลักการอื่นๆของกฎหมายด้วยโดยเฉพาะเรื่องการค้นหาพลังงานของประเทศ ส่วนปัญหาเรื่องการตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ จะต้องหาข้อยุติโดยการอภิปรายของสมาชิกสนช. ซึ่ง ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา คือร่างของรัฐบาล แต่ที่ระบุว่าต้องเดินหน้าต่อไป คือ เดินหน้าในส่วนที่ไม่ได้ขัดแย้ง ส่วนข้อเสนอใหม่จะต้องพิจารณาว่าดำเนินการอย่างไร หากดำเนินการได้ก็เดินหน้าต่อ แต่หากยังดำเนินการไม่ได้ก็ต้องหาทางออกต่อไป ขณะนี้ยังคาดเดาอนาคตไม่ได้ว่าจะได้ข้อยุติหรือไม่ แต่ที่ผ่านมา สนช.เคยแก้ไขกฎหมายในชั้นกรรมาธิการเช่นนี้มาแล้ว 3-4ครั้ง และการพิจารณาของ สนช.มีหลายรูปแบบ ทั้งการโหวต การประนีประนอม หรือบางครั้งกรรมาธิการจะนำร่างกลับไปพิจารณา จึงต้องดูสถานการณ์และเปิดให้อภิปรายก่อน เพื่อให้ทราบความคิดเห็นของสมาชิกสนช.และขอย้ำว่าจะพยายามให้ได้ข้อสรุปที่ลงตัวและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

อภิสิทธิ์ แนะตั้งองค์กรกำกับด้านดูแลด้านพลังงานต้องชัดเจน

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวด้วยว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวช่วยเปิดทางเลือกให้กับประเทศด้วยการจำแนกระบบแบ่งปันผลผลิต ระบบการจ้างผลิต ซึ่งนอกเหนือจากเดิมที่มีระบบสัมปทานอย่างเดียว แต่การปรับเปลี่ยนย่อมต้องปรับโครงสร้างองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับด้านพลังงานทั้งหมด จึงต้องมีการตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นมาดูแล ซึ่งจะต้องมีการเพิ่มเนื้อหาสาระลงในร่างกฎหมายให้ชัดเจนว่าควรมีองค์กรเข้ามาบริหารจัดการในประเด็นต่างๆ เมื่อใด พร้อมกำหนดกรอบเวลา และอำนาจขององกรค์ที่จะเข้ามาทำงานแต่ละด้าน อาทิ การผูกขาดท่อก๊าซ การสำรวจผลผลิต ผู้เข้ามาทำหน้าที่ควรมีทักษะที่เหมาะสมในแต่ละงาน ทั้งนี้ การดำเนินการควรอยู่บนทางสายกลาง หากจัดตั้งเป็นบรรษัทที่ใหญ่เกินไปอาจเกิดปัญหาการแทรกแซงผูกขาด
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลควรจริงจังในการใช้โอกาสนี้ปฏิรูปพลังงาน ส่วนการพิจารณาของร่างกฎหมาย สนช. ในวันที่ 30 มี.ค.นี้เห็นว่า กรรมาธิการสามารถรับความเห็นของสมาชิกไปปรับแก้ไขได้ตามกระบวนการของสภา ซึ่งอาจพิจารณาดูว่าจะปรับแก้ร่างเดิม หรือเสนอรัฐบาลเพิ่มร่างกฎหมายฉบับใหม่

ศาลสั่งจำคุกอดีตผู้ว่าฯททท. 66 ปี คดีรับสินบนบางกอกฟิล์มฯ ลูกสาวโดน 44 ปี


เจ้าหน้าที่คุมตัว 'จุฑามาศ ศิริวรรณ อดีต ผู้ว่าฯททท. และบุตรสาว ไปทัณฑสถานหญิงกลาง เหตุยังไม่มีคำสั่งให้ประกันตัว หลังศาลพิพากษาจำคุก 66 ปี และ 44 ปี คดีรับสินบนบางกอกฟิล์มฯ
29 มี.ค.2560 รายงานข่าวระบุว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษา ในคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง จุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. และ จิตติโสภา ศิริวรรณ บุตรสาว ตกเป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือฮั้วประมูล กรณีเรียกรับเงินจาก เจอรัลด์-นางแพทริเซีย กรีน สามีภรรยานักธุรกิจภาพยนตร์สัญชาติอเมริกัน เพื่อให้ได้รับสิทธิจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ หรือ บางกอกฟิล์ม เฟสติวัล เมื่อปี 2545-2550 มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท  
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องจริง โดยจำเลยที่ 2 ได้รับการโอนเงินจากนักธุรกิจชาวอเมริกันเข้าบัญชีของ จิตติโสภา เมื่อปี 2546-2550 เพื่อให้ได้รับสิทธิจัดงานเทศกาลดังกล่าวฯ และมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้เซ็นอนุมัติ จึงพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 ตามความผิด 11 กระทง กระทงละ 6 ปี รวม 66 ปี แต่ตามกฎหมายหากทำความผิดหลายกระทง ให้ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 50 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุกกระทงละ 4 ปี รวมเป็น 44 ปี และสั่งริบเงินจำนวนกว่า 62 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน 
ด้านทนายความยื่นหลักทรัพย์ 1 ล้านบาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างขออุทธรณ์คดี ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องร้ายแรง คดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าหากปล่อยชั่วคราวจำเลยจะหลบหนี จึงเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาสั่งประกันต่อไป ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องควบคุมทั้ง 2 คน ไปยังทัณฑสถานหญิงกลาง เพื่อควบคุมตัวชั่วคราว จนกว่าจะมีคำสั่งให้ประกันหรือไม่ประกันตัวจากศาล

สุรพงษ์ ไม่ท้อ หลัง สนช.มีมติถอดถอน ตัดสิทธิการเมือง 5 ปี


สุรพงษ์ อัด สนช. ไม่ได้พิจารณาจากข้อเท็จจริง แต่เป็นการใช้อารมณ์ที่ไม่พอใจกรณีที่ตนขอนับองค์ประชุม เผยรอประธานสนช.วินิจฉัย หลังยื่นเช็คความถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เหตุอดีตศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเรื่องลักษณะนี้มาแล้ว
30 มี.ค. 2560 การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอน สุรพงษ์  โตวิจักษณ์ชัยกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จากกรณีออกหนังสือเดินทางธรรมดาให้อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร โดยมิชอบ โดยเป็นการลงมติถอดถอนหรือไม่ ด้วยวิธีการลงคะแนนลับด้วยการขานชื่อ  
ผลการลงคะแนนปรากฏว่า ที่ประชุม สนช. มีมติ  ถอดถอน  231 เสียง ไม่ถอดถอน 4 เสียง ไม่ออกเสียง 3 เสียง ซึ่งเสียงถอดถอนได้คะแนนไม่น้อยกว่า 3 ใน  5 หรือตั้งแต่ 150 คะแนน  ของจำนวนสมาชิก สนช. ที่มีอยู่  250 คน จากมตินี้ส่งผลให้ สุรพงษ์ ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง  และถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันลงมติ ทั้งนี้  สนช. จะแจ้ง ไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้กล่าวหา  และสุรพงษ์  ผู้ถูกกล่าวหา  รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้รับทราบต่อไป  
สุรพงษ์ เปิดเผยว่า ต้องยอมรับที่วันนี้(30 มี.ค.) ต้องถูกถอดถอนแล้ว ยืนยันว่าไม่ท้อ เชื่อว่าในครั้งนี้สังคมไทยจะได้รับทราบอะไรมากขึ้น เพราะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า สนช. ไม่ได้พิจารณาจากข้อเท็จจริง แต่เป็นการใช้อารมณ์ที่ไม่พอใจกรณีที่ตนสอบถามกฎระเบียบตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 13 และข้อบังคับที่ 20 เรื่องให้ประธานวินิจฉัย หลังจากแสดงความสงสัยว่าระหว่างพิจารณาถอดถอนในชั้นแถลงปิดคดี องค์ประชุมครบหรือไม่ ถูกต้องตามข้อบังคับหรือไม่
สุรพงษ์ กล่าวว่า ต้องรอการวินิจฉัยของประธานสนช. หลังจากที่ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยได้ยื่นเรื่องสอบถามไปว่า การถอดถอนครั้งนี้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะในอดีตศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเรื่องลักษณะนี้มาแล้วและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือว่าผูกพันทุกองค์กร ผมนจะปรึกษากับทีมกฎหมายว่าประเด็นใดที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมได้ จะดำเนินการภายใต้กฎหมายต่อไป 
“อย่างน้อยวันนี้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนว่าการตัดสินลงคะแนนในวันนี้ของสนช.เป็นไปอย่างที่สื่อคาดการณ์เอาไว้วานนี้ (29 มี.ค.) อยู่แล้วว่าจะพิจารณาตามความโกรธ ไม่ใช่ตามข้อเท็จจริง ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่ากระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นความจริงหรือไม่ จะมีธงหรือไม่ รู้กันอยู่แก่ใจ และ หากเป็นเช่นนี้ เท่ากับผมถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี หลังจากนี้คงแก่เกินกว่าที่จะกลับมา คงให้เด็กรุ่นใหม่เข้ามาทำงานการเมือง ซึ่งตลอดชีวิตการเมือง ไม่เคยยึดติดกับตำแหน่ง ไม่เคยมักใหญ่ใฝ่สูง  ไม่อิจฉาริษยาใครทั้งสิ้น แต่เป็นตัวของตัวเองมาตลอด ต้องการเห็นชาติบ้านเมืองพัฒนา เจริญรุ่งเรือง คนไทยมีความสุขก้าวหน้าทุกคน” สุรพงษ์ กล่าว

วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

อนุสรณ์เตือนทบทวนการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ ทำไทยถอยหลังครึ่งศตวรรษ


เตือนให้พิจารณาแนวคิดการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติโดยให้รัฐเข้าไปจัดการกิจการพลังงานทั้งหมดอย่างรอบคอบ ชี้เป็นการถอยหลังของนโยบายด้านพลังงานอย่างน้อย 50-60 ปี และ ขอให้ดูตัวอย่างความหายนะทางเศรษฐกิจและกิจการพลังงานของเวเนซูเอลาและเม็กซิโก

28 มี.ค. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง  เปิดเผยว่า ขออนุญาตแนะนำและเตือนให้พิจารณาแนวคิดการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติในมาตรา 10/1 ในร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียมฉบับใหม่อย่างรอบคอบ เนื่องจากแนวคิดจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติโดยให้ รัฐเข้าไปจัดการกิจการพลังงานทั้งหมดนั้น เป็น แนวคิดสะท้อนการถอยหลังของนโยบายสาธารณะด้านการจัดการพลังงานของประเทศไทยอย่างน้อย 50-60 ปี แนวคิดแบบนี้ประสบความล้มเหลวในหลายประเทศ เพราะก่อให้เกิดการยึดกิจการเอกชนมาเป็นของรัฐ จะเป็นการดำเนินกิจการพลังงานที่ผูกขาดโดยรัฐ (ขอให้นึกถึงกิจการปั๊มสามทหาร กับ ปั๊มของ ปตท และ บางจากต่างกันอย่างไร ขอให้นึกถึงโรงกลั่นน้ำมันของหน่วยงานพลังงานทหาร กับ โรงกลั่นของไทยออย ไออาร์พีซีและบางจากบริหารจัดการต่างกันอย่างไร) การกำกับดูแลโดยรัฐบาลผ่านทางคณะกรรมการบรรษัทพลังงานแห่งชาติซึ่งในช่วงแรกจะมีกรมพลังงานทหารเป็นผู้ดำเนินการ ปัจจุบัน โครงสร้างระบบการกำกับดูแลโดยองค์กรอิสระนั้นถูกวางระบบไว้ดีระดับหนึ่งแล้ว ส่วนจุดอ่อนจุดด้อยที่ยังมีอยู่นั้นเป็นปัญหาในรายละเอียดไม่ใช่ทิศทางหรือหลักการใหญ่ ระบบที่ผูกขาดโดยอำนาจรัฐที่มาแทนที่ระบบการแข่งขันด้วยการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนและการเปิดเสรีจะนำมาสู่ ความไร้ประสิทธิภาพ การคอร์รัปชันและหนี้สาธารณะของประเทศในอนาคต   
อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า หากมีการจัดตั้ง บรรษัทพลังงานแห่งชาติ ตามร่างที่จะนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประเทศไทยจะมีความเสี่ยงทางการคลังในอนาคตอย่างแน่นอน ขอให้ดูกรณีของประเทศเวเนซูเอลาที่ประสบความล้มละลาย เกิดวิกฤติทางการคลัง จนต้องยอมทำสัญญาขายน้ำมันดิบล่วงหน้ากับจีนเพื่อแลกเงินกู้มาจ่ายเงินเดือนราชการและบริหารประเทศ ทั้งที่ประเทศเวเนซูเอลาเคยเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันและมีฐานะทางการคลังที่มั่นคงมาก่อน หากจะยกตัวอย่างกรณีบรรษัทพลังงานแห่งชาติแบบเปโตรนาสของมาเลเซียว่าประสบความสำเร็จก็ไม่
อนุสรณ์ กล่าวว่า สามารถพูดได้เต็มปากเพราะ เปโตรนาส เป็นทั้งผู้ทำหน้าที่กำกับดูแล (Regulator) และ เป็นผู้ทำธุรกิจ (Operator) ด้วยในขณะเดียวกันจึงทำให้มีกำไรสูงแต่ระบบนี้ดีที่สุดกับประชาชนมาเลเซียหรือไม่ยังมีข้อสงสัย และ การไม่แยกระหว่าง การเป็นผู้กำกับดูแล (Regulator) กับ ผู้ทำธุรกิจ (Operator) ยังขัดกับหลักธรรมาธิบาลหรือการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจสอบถ่วงดุลอีกด้วย
อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เราเห็น ก็คือ การทุจริตคอร์รัปชันของกลุ่มผู้นำทางการเมืองที่ควบคุมดูแลบรรษัทพลังงานแห่งชาตินอกจากนี้ท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนปัจจุบันก็มีข้อครหาพัวพันกับกองทุน 1-MDB ที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตและยังมีกรณีพัวพันกับการทุจริตให้สินบนของบริษัท Unaoil อีกด้วย และไม่มีใครไปกล้าตรวจสอบบัญชีของเปโตรนาสได้ ขณะที่ บมจ ปตท ถูกตรวจสอบทั้งจาก สตง ในฐานะรัฐวิสาหกิจ และ กลต รวมทั้งผู้ถือหุ้น นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนต่างประเทศ การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพและโปร่งใสกว่าแม้นไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม และขอให้ดูตัวอย่างความหายนะทางเศรษฐกิจและกิจการพลังงานของประเทศเม็กซิโกก่อนหน้านี้ด้วย ในที่สุดก็ยกเลิกระบบผูกขาดโดยรัฐ มาเป็นระบบเสรีเปิดให้มีการแข่งขันของภาคเอกชนผู้รับสัมปทาน หรือ แบ่งปันผลผลิต