วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คำร้องขอให้ตัดสิทธิ์ผู้พิพากษาฮันส์-ปีเตอร์ คาอูล (Hans-Peter Kaul)
ในการพิจารณาคดีคนเสื้อแดง

http://robertamsterdam.com/thai/?p=707

Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม


16 กุมภาพันธ์ 2554

ฯพณฯ ลูอิส โมเรโน-โอแคมโป

อัยการ

ศาลอาญาระหว่างประเทศ

ตู้ไปรษณีย์ 19519

2500 ซีเอ็ม

กรุงเฮก

ประเทศเนเธอร์แลนด์
เรื่อง คดีระหว่างแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
และคำร้องต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ
ให้ทำการสอบสวนสถานการณ์ในราชอาณาจักรไทย
กรณีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งยื่นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554

เรียน ท่านอัยการ

เราขอยื่นบันทึกฉบับนี้ต่อท่านเพื่อขอให้ท่านใช้อำนาจตามกฎหมาย
ในการขอให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ
มีคำสั่งห้ามผู้พิพากษาฮันส์-ปีเตอร์ คาอูล (Hans-Peter Kaul)
มิให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีที่ระบุข้างต้น
เนื่องจากมีพฤติการณ์ที่อาจทำให้มีข้อสงสัยในความเป็นกลางของผู้พิพากษาท่านดังกล่าว​
(มาตรา 41.2 (60) ของสนธิสัญญากรุงโรม) ด้วยเหตุผลที่ว่า
“มีการแสดงความเห็นผ่านทางสื่อมวลชน
หรือโดยการเขียนบทความใดๆ
หรือโดยการแสดงออกในที่สาธารณะ
ซึ่งหากพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการแสดงออกดังกล่าวแล้ว
อาจมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อหน้าที่ในการวางตนเป็นกลาง
ในการพิจารณาพิพากษาคดีของบุคคลดังกล่าว” (กฎข้อ 34.1 (ดี))

เราขอยื่นคำร้องก่อนที่ท่านอัยการจะเริ่มการสอบสวน
กรณีการกระทำความผิดตามที่ร้องขอ ด้วยเหตุผลสองประการ
ประการแรก ตามกฎข้อ 34.2 กำหนดว่า “การร้องคัดค้านคุณสมบัติผู้พิพากษา
ในกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรทันทีที่ทราบเหตุแห่งการกระทำนั้น”
ประการที่สอง ในฐานะที่เป็นองค์คณะผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีเบื้องต้น
ผู้พิพากษาคาอูล อาจเข้ามีส่วนร่วมในการวินิจฉัยเบื้องต้น
ในเรื่องที่เกี่ยวกับการอนุมัติการสอบสวนตามมาตรา 15.4 ของสนธิสัญญากรุงโรม
และการพิจารณาเรื่องเขตอำนาจของศาลในคดีนี้ตามมาตรา 19 ของสนธิสัญญากรุงโรม

คำร้องเรียนของเรามาจากพื้นฐานของข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้

เมื่อเดือนมกราคม 2554ไม่นานก่อนที่เราจะยื่นคำร้องขอต่ออัยการในศาลอาญาระหว่างประเทศ
แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นที่รับรู้กันทั่วไปในประเทศไทยว่า
กำลังจะมีการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
ผู้พิพากษาคาอูลได้เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมในการสัมมนา
เรื่อง “สิทธิมนุษยชนและศาลอาญาระหว่างประเทศ”
ซึ่งจัดร่วมกันโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสถานทูตเยอรมัน

ในวันที่ 21 มกราคม 2554 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้ตีพิมพ์
บทสัมภาษณ์ผู้พิพากษาคาอูล (ตามเอกสารแนบหมายเลข A)
เมื่อมีการสอบถามผู้พิพากษาคาอูลถึงคำร้องของ นปช.
ที่จะยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ปรากฏข้อมูลว่า
ผู้พิพากษาคาอูลได้ตอบว่า
“อัยการทราบดีอยู่ว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีของสนธิสัญญากรุงโรม . . .
ดังนั้น ศาลไอซีซีไม่สามารถมีอำนาจในการพิจารณาคดี
ที่มีการฟ้องว่ามีการกระทำผิดกฎหมายในประเทศไทยได้
จนกว่าประเทศไทยจะให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญากรุงโรม”

“ผมขอชี้แจงให้ชัดเจนว่า
ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาคดีทำผิดกฎหมายอาญาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
แม้ว่าการกระทำผิดดังกล่าวจะถึงขั้นที่เรียกได้ว่า
เป็นอาชญากรรมต่อมนุษย์ชาติตามมาตรา 7 ของสนธิสัญญาดังกล่าวก็ตาม”

ในทำนองเดียวกัน
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2554 ผู้พิพากษาคาอูลได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
(ตามเอกสารแนบหมายเลข B) ซึ่งในระหว่างการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว
ปรากฏว่าผู้พิพากษาคาอูลได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้

“ . . . เป็นเรื่องที่ไร้สาระ ทำไมถึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เพราะ[ทนายของ นปช.] ต้องรู้ดีว่า
ตราบเท่าที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีของสนธิสัญญากรุงโรม
ศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีทางที่จะเข้าแทรกแซงนโยบายภายในประเทศของไทย
ข้าพเจ้ายินดีที่ได้ชี้แจงข่าวสารที่มีความสำคัญเช่นนี้
เพราะมีคนจำนวนมากในประเทศนี้ที่ไม่เข้าใจระบบของสนธิสัญญา
ดังนั้น ความเข้าใจของมหาชนจะต้องไม่ถูกนำไปในทางที่ผิด
เพราะความเชื่อผิดๆ
ซึ่งกำลังมีผู้ชี้นำความคิดเห็นของมหาชนไปในทางที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่สามารถทำได้”

“อย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว และจะขอย้ำเป็นครั้งที่สาม
ศาลไอซีซีจะมีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทยได้
ถ้าคนไทยและรัฐบาลไทยทำการตัดสินใจที่จะเข้าเป็นภาคีของไอซีซี”

คำพูดของผู้พิพากษาคาอูล ได้ก่อให้เกิดอคติต่อความเข้าใจของสาธารณชน
ในการยื่นคำร้องเรียนนี้แล้ว
รัฐบาลและสื่อที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลได้อ้างอิง
ถึงคำพูดของผู้พิพากษาคาอูลมากมายหลายครั้ง
โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะดิสเครดิตกระบวนการของ นปช.
ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลไอซีซี ยกตัวอย่างเช่น
ในวันที่ 31 มกราคม 2554 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ (ตามเอกสารแนบท้ายหมายเลข ซี)
รายงานว่า:

“เมื่อวันจันทร์ ทนายความของ นปช. ได้ยื่นฟ้อง
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก
โดยขอให้มีการสอบสวนการกระทำผิดอาญาต่อมนุษยชาติ
ในช่วงการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปีที่แล้ว”

โดยก่อนหน้านี้
ผู้แทนของศาลไอซีซีได้แจ้งต่อขบวนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงว่า
ศาลไอซีซีไม่มีอำนาจพิจารณาความผิดที่ถือเป็นเรื่องทางการเมืองในประเทศไทย
เพราะประเทศไทยยังไม่ได้ไห้สัตยาบันในสนธิสัญญาที่ลงนามไว้ตั้งแต่ปี 2548”

ต่อมาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 บทบรรณาธิการของบางกอกโพสต์
(ตามเอกสารแนบท้ายหมายเลข ดี) ได้กล่าวหาคำฟ้องของ นปช. ว่า
“ราคาถูกและไร้ยางอาย” โดยอ้างว่าทนายความที่ยื่นคำร้องต่อศาลไอซีซีนั้น
“รู้ดีอยู่ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาลไอซีซีได้บอกแล้วว่า
ศาลไม่มีอำนาจพิพากษาคดีและไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้
และไม่มีทางที่จะยินยอมที่จะรับพิจารณาคดี”
บทบรรณาธิการดังกล่าวยังระบุด้วยว่า
แม้จะมีการยื่นคำขอแล้ว
“เพราะไอซีซีได้แถลงออกมาเองว่า จะไม่รับพิจารณาคดีดังกล่าว”

ไม่เคยมีการแถลงการณ์ใดๆ
จากผู้พิพากษาท่านอื่นหรือบุคคลากรท่านอื่นๆ ของศาลไอซีซี
เกี่ยวกับคำฟ้องของ นปช.
การที่สื่ออ้างอิงดังกล่าวจึงอ้างอิงจากคำสัมภาษณ์ของผู้พิพากษาคาอูลเท่านั้น

ถ้าคำให้สัมภาษณ์ของผู้พิพากษาคาอูลถูกต้องตามความเป็นจริง หมายความว่า
เขาได้แสดงความเห็นต่อสาธารณะโดยเป็นการพิพากษาตัดสินคดีแทนศาลไอซีซีแล้ว
ในประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาล
การแสดงความเห็นก่อนการพิจารณาคดี
จึงทำให้ผู้พิพากษาคาอูลไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้พิพากษาในคดีนี้

มาตรา 41.2 (60) ของสนธิสัญญากรุงโรมระบุว่า
“ผู้พิพากษาจะต้องไม่พิจารณาคดีที่อาจมีข้อสงสัย
ในเรื่องความเป็นกลางของบุคคลดังกล่าว”
กฎข้อ 34 (1) (ดี) ของกฎการพิจารณาคดีและพยานหลักฐานกำหนด
เรื่องคุณสมบัติของผู้พิพากษาโดยผู้พิพากษาที่มีพฤติกรรม
“แสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางสื่อมวลชน
โดยการเขียนหรือโดยการแสดงออกในที่สาธารณะ
ในลักษณะที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลาง”

ในคดีนี้ มีข้อสงสัยอย่างสมควรเกี่ยวกับความเป็นกลางของผู้พิพากษาคาอูล
เพราะได้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านทางสื่อมวลชน
โดยแสดงจุดยืนว่าศาลไอซีซี “ไม่สามารถมีอำนาจในการพิจารณาคดี”
กรณีของการกระทำความผิดต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
เพียงเพราะไทยไม่ได้เป็นภาคีต่อสนธิสัญญากรุงโรม

คำแถลงดังกล่าวของผู้พิพากษาคาอูลไม่เพียงแต่เป็นการด่วนสรุป
ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผู้เสียหายและต่อกระบวนการยุติธรรม
แต่ยังเป็นคำแถลงที่ไม่ถูกต้องในสาระสำคัญ
ทั้งนี้เพราะปรากฏชัดเจนว่าผู้พิพากษาท่านนี้ไม่ทราบถึงพยานหลักฐานชิ้นสำคัญ
ที่ระบุในคำฟ้องของ นปช. ว่า
นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาว่า
กระทำความผิดเป็นบุคคลสัญชาติอังกฤษ
ซึ่งสหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่เป็นภาคีของสนธิสัญญากรุงโรม
ดังนั้น คำฟ้องของ นปช. จึงเข้าเงื่อนไขเรื่องเขตอำนาจศาล
ในกรณีของสัญชาติตามมาตรา 12.2 (บี) ของสนธิสัญญา
นอกจากนี้
ผู้พิพากษาคาอูลยังไม่ได้คำนึงถึงประเด็น
ที่รัฐบาลไทยในอนาคตอาจยอมรับเขตอำนาจของศาลไอซีซี
ตามมาตรา 12.3 ของสนธิสัญญาดังกล่าว
และยังไม่ได้พิจารณาถึงประเด็นเรื่องสิทธิของคณะมนตรีความมั่นคง
ในการเข้าพิจารณาคดีนี้ตามมาตรา 13 (บี) ของสนธิสัญญา

ตามมาตรา 36 (3) ของสนธิสัญญากรุงโรม
ผู้พิพากษาจะได้รับเลือกจากบรรดาบุคคลที่มีจริยธรรมสูง มีความเป็นกลาง และมีศักดิ์ศรี
โดยมีคุณสมบัติตามที่ระบุในกฎหมายของแต่ละประเทศ
ที่เขามีสัญชาติในการที่จะเป็นผู้พิพากษาในศาลสูงสุดของประเทศนั้นๆ”

นอกจากนี้ มาตรา 40 (2) ของสนธิสัญญากรุงโรมได้ระบุไว้ว่า
“ผู้พิพากษาจะต้องไม่มีส่วนในกิจกรรม
ซึ่งอาจจะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
หรืออาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในความเป็นอิสระ”

กฎข้อ 34 (1) (ดี) ของกฎของไอซีซีว่าด้วยกระบวนวิธีพิจารณาและพยานหลักฐาน
ได้ระบุสาเหตุของการคัดค้านคุณสมบัติผู้พิพากษาไว้ดังนี้
“ห้ามผู้พิพากษาแสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางสื่อมวลชน
โดยการเขียน
หรือการแสดงออกในที่สาธารณะในลักษณะที่อาจกระทบต่อความเป็นกลาง”

ประเด็นนี้สอดคล้องกับมาตรา 41 (2) ของสนธิสัญญา
ซึ่งกำหนดว่า “ผู้พิพากษา” จะต้องไม่มีส่วนร่วมในคดีที่มีข้อสงสัยในเรื่องความเป็นกลาง”

ความเป็นกลางและความเป็นอิสระของตุลาการเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
ตามมาตรา 6 ของสนธิสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
ซึ่งมีผลต่อกระบวนการพิจารณาคดีของศาลไอซีซี
ในคดีที่เป็นบรรทัดฐานระหว่าง Hauschildt V. Denmark
ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหภาพยุโรป (ECHR) ได้วินิจฉัยว่า

“การพิจารณาเรื่องความเป็นกลางตามวัตถุประสงค์ของมาตรา 6 วรรค 1
จะต้องคำนึงถึงการตรวจสอบทางความคิดเห็น (Subjective Test)
ซึ่งหมายถึง พื้นฐานความเชื่อของบุคคลที่มีต่อผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่ง
ในคดีใดคดีหนึ่งและยังต้องคำนึงถึงการตรวจสอบทางภาวะวิสัยด้วยว่า
ผู้พิพากษาคนหนึ่งคนใดได้ดำเนินการใด
ที่จะเป็นหลักประกันที่เพียงพอในเรื่องของความเป็นกลาง”

“สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ
ความเชื่อมั่นซึ่งศาลในสังคมประชาธิปไตยจะต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณชน…..
ด้วยเหตุนี้ในกรณีที่มีเหตุผลที่ควรเชื่อที่ทำให้มีความวิตกว่า
ผู้พิพากษาคนหนึ่งคนใดขาดความเป็นกลาง สิ่งที่ต้องใช้ในการตัดสินคือ
เหตุแห่งความวิตกนั้นสามารถมีหลักฐานยืนยันได้หรือไม่”

ด้วยเหตุนี้ ในรัฐที่เป็นประชาธิปไตย
หน้าที่ของศาลไม่เพียงแต่ต้องจัดให้มีความยุติธรรม
แต่ต้องดำเนินการให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า
ได้มีการให้ความยุติธรรมแล้วด้วย เมื่อคำนึงถึงคำให้สัมภาษณ์ของผู้พิพากษาคาอูล
ซึ่งเป็นการด่วนสรุปความเห็นทางกฎหมาย
หรือด่วนให้คำวินิจฉัยก่อนการสืบพยานในประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลนี้
จึงมีเหตุอันสมควรที่อาจจะทำให้เกิดข้อสงสัย
ในเรื่องความเป็นกลางของผู้พิพากษารายนี้ได้

ดังนั้น ก่อนที่ผู้พิพากษาคาอูล
จะมีโอกาสที่จะวินิจฉัยประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนี้
จึงจำเป็นต้องมีการดำเนินการให้เขา “ไม่มีคุณสมบัติ” [ในการเป็นผู้พิพากษาในคดีนี้]
ตามเงื่อนไขแห่งสนธิสัญญากรุงโรม

อัยการของศาลไอซีซี
มีอำนาจและหน้าที่ในการดำเนินการร้องขอให้มีการกำหนดว่า
เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งพิจารณาคดีนี้เมื่อมีพฤติกรรมต่างๆ
ที่เข้าเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา
เราจึงขอเรียกร้องให้ท่านอัยการใช้อำนาจ
ในการร้องขอต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในการกำหนด
ให้ผู้พิพากษาคาอูลไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งพิจารณาพิพากษาในคดีนี้

นอกจากนี้ ตามกฎข้อ 34 (2) ของกฎว่าด้วย
การพิจารณาคดีและพยานหลักฐานของไอซีซี
เราขอร้องให้มีการส่งสำเนาคำร้องนี้ให้แก่ผู้พิพากษาคาอูลด้วย

ขอแสดงความนับถือ

โรเบิร์ต อาร์. อัมสเตอร์ดัม

สำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ เพรอฟ

ศาสตราจารย์ ดัก แคสเซล

จี. เจ. อเลกซานเดอร์ คนูป

สำนักกฎหมายคนูป แอนด์ พาร์ทเนอร์

ทนายความของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ


http://robertamsterdam.com/thai/?p=707

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น