ปรากฏการณ์ทางการเมืองในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีทั้งปัญหาเรื่องการใช้ความรุนแรงกับนักการเมืองของพรรคเพื่อไทยที่ส่อแววว่าจะเป็นผู้ได้ชัยชนะทางการเมือง จนถึงขั้นต้องใช้วิธีการล่าสังหารเอาชีวิตกัน รวมถึงบรรยากาศการเปิดตัวผู้สมัครพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เมื่อมองทั้งสองปรากฏการณ์ผนวกกันไปแล้วมีคำถามว่าน่าเชื่อได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งอย่างแน่นอน แต่คำถามที่สะท้อนจากปรากฏการณ์ความรุนแรงคือ แม้จะชนะจะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้จริงหรือ?
ผู้เขียนถามปัญหาที่ตรงประเด็นนี้เนื่องจากวิเคราะห์จากสถานการณ์และปรากฏการณ์รูปธรรมที่เกิดขึ้น รวมถึงภูมิปัญญาของฝ่ายอีลิต การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาแล้ว อดคิดตามคำถามนั้นไม่ได้จริงๆว่าผู้เขียนเชื่อว่าการเลือกตั้งต้องเกิดขึ้น และพรรคเพื่อไทยน่าจะชนะการเลือกตั้ง แต่ปรากฏการณ์ระดับพื้นผิวบ่งบอกแล้วว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มิใช่แค่การเลือกตั้งในสถานการณ์ปรกติที่เป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองหลายๆพรรคที่มีสถานภาพ ความสามารถ ความคิดความอ่าน แล้วเสนอทางเลือกให้ประชาชน รวมถึงประชาชนก็ตัดสินใจเลือกบุคคลหรือพรรคแบบสมเหตุสมผล โดยตัดสินใจจากทั้งประสบการณ์ระดับบุคคลที่เสนอตัวให้เลือก ความรู้ คุณความดี หรือการทำงานรับใช้พื้นที่ในห้วงที่ผ่านมา
แต่ผู้เขียนเชื่อว่าในความเป็นจริงแล้ว ปรากฏการณ์พื้นผิวดังกล่าวเป็นภาพลวงตาเท่านั้น เพราะการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจการบริหาร อำนาจการเมืองระหว่างกลุ่มหลักภายใต้โครงสร้างอำนาจที่แท้จริงของรัฐไทย คือระหว่างกลุ่มอีลิตที่ร่วมมือกับทุนเก่ามาก่อนต่อสู้กับกลุ่มทุนใหม่ที่มีฐานสนับสนุนจากพลังของมวลชนครึ่งค่อนประเทศ
โดยเฉพาะในประเด็นที่แหลมคมคือ กลุ่มทุนใหม่อย่างน้อยก็เดินแนวทางทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิเลือก มีสิทธิวิจารณ์ และท้ายที่สุดหากเบื่อหรือโกงมากเกินไป ไม่ว่าจะโกงทั้งโครต หรือโครตโกง ประชาชนก็ใช้สิทธิของตนที่จะไม่เลือกได้ในคราวหน้า
ดังนั้น กลุ่มทุนใหม่เมื่อตนเองเสนอนโยบายที่ลงไปดูแลคนชั้นล่าง รวมถึงถูกรังควานและใช้อำนาจไม่เป็นธรรมจากชนชั้นบน จึงทำให้มวลชนกลับมาสนับสนุน ซ้ำร้ายกลุ่มอีลิตยังใช้วิธีรุนแรงสังหารผู้สนับสนุนเหล่านั้น โดยสร้างความชอบธรรมจากวาทกรรมที่กล่าวหาว่ามวลชนเสื้อแดงที่สนับสนุนทุนใหม่เป็นพวกล้มเจ้าและก่อการร้าย ยิ่งทำให้เกิดการขยายตัวเชิงปริมาณและคุณภาพของหมู่มวลผู้สนับสนุนกลุ่มทุนใหม่มากเข้าไปอีกเป็นเท่าทวี
ความชอบธรรมของกลุ่มทุนใหม่จึงอิงอยู่กับระบอบการเลือกตั้ง ประชาธิปไตย ปรัชญาของการที่ทุกคนมีสิทธิมีเสียงที่จะเลือกอนาคตตนเอง ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือร่ำรวยขนาดไหน เขาสามารถเลือกหรือไม่เลือกผู้ที่ต้องการจะให้เป็นตัวแทนมาปกครองบ้านเมืองของเขาได้เท่าเทียมกัน
ตรงข้ามกับกลุ่มอีลิตที่ไปร่วมมือกับทุนเก่าโบราณ โดยสาระแล้วนับด้านขีดความสามารถถือว่าเป็นทุนนายหน้าล้าหลัง คอร์รัปชัน และไร้ประสิทธิภาพ ไม่รู้จักทำมาหากิน ส่วนพวกอีลิตก็คิดบนตรรกะของทฤษฎีโบราณที่ว่าประชาชนยังโง่เขลา ขาดความพร้อมที่จะปกครองตนเอง จึงต้องมีตัวแทนที่เหนือกว่า ทั้งด้านองค์ความรู้และชาติพันธุ์ ซึ่งได้แก่กลุ่มพวกอีลิตด้วยกันเองมาเป็นผู้ปกครอง ปรัชญาแนวคิดของคนกลุ่มนี้จึงไม่สนใจเรื่องความเท่าเทียม และไม่คิดว่าหนึ่งเสียงของคนจนกับคนรวยจะเท่ากัน
คนเหล่านี้มองแต่ข้อบกพร่องของฝ่ายตรงข้ามที่ว่าเป็นทุนสามานย์และคดโกง ไม่ควรมาปกครองประเทศ ซึ่งเป็นการมองปัญหาที่ไม่ได้ผิดอะไรนัก เพียงแต่ว่าคนกลุ่มนี้นั่นเองเมื่อ 4 ปีที่แล้วมีโอกาสแก้ไขปัญหาก็ดันไม่แก้ปัญหาในระดับต้นตอ คือปัญหาการผูกขาดรวมศูนย์เชิงโครงสร้างอำนาจทั้งทุนและการเมืองต่างสามารถรวมอำนาจภายในโครงสร้างที่ตนได้เปรียบแล้วนำอำนาจทางเศรษฐกิจมาปูทางสู่การมีอำนาจทางการเมือง
คนกลุ่มนี้ทำได้แค่สร้างวาทกรรมแล้วแย่งอำนาจจากกลุ่มทุนใหม่ที่เขาผ่านการเลือกตั้งมาแล้วทำสิ่งที่เลวกว่า ร้ายที่สุดคือเมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ ผู้คนออกมาเรียกร้องกลับใช้ความรุนแรง ใช้กองทัพ ซึ่งเผอิญพวกเบาปัญญาครองอำนาจอยู่ทั่วกองทัพมากเกินไป จึงประพฤติตนเหมือนสัตว์เลี้ยงในระบบ ยอมทำตามกลุ่มอีลิต ใช้อาวุธสงครามสังหารเข่นฆ่าประชาชนแล้วนึกว่าจะได้ชัยชนะ เพราะประชาชนหยุดชั่วคราวกลับไปทบทวน
อย่างไรก็ตาม วิเคราะห์แล้วเชื่อได้ว่าวันนี้กลุ่มอีลิตและกองทัพเบาปัญญาต่างรับรู้และสำนึกได้ว่าประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจแท้จริงกำลังจะออกมาแสดงสิทธิ และเป็นที่เชื่อได้อีกเช่นกันว่าถ้าปล่อยให้มีการเลือกตั้งชัยชนะจะต้องเป็นของประชาชนและกลุ่มทุนใหม่คือพรรคเพื่อไทย เหตุการณ์ต่อไปข้างหน้าจึงมีหนทางความเป็นไปได้ คือปล่อยให้มีการเลือกตั้งภายใต้การตัดกำลัง (สังหารแกนของเสื้อแดง) ซึ่งเชื่อกันผิดๆว่าเป็นต้นตอที่ทำให้คนมาร่วมชุมนุมมากขึ้น
หากกำจัดคนกลุ่มนี้ได้ประชาชนจะไม่มารวมตัว การลงคะแนนจะพลิกผันไปได้ หรือหนทางที่สองอาจจะใช้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระดับท้องถิ่นทำท่าแบบประชาธิปไตยคือ หาเรื่องสอยและแจกใบแดงผู้สมัครพรรคเพื่อไทยให้มากขึ้น หรือทางเลือกที่สาม เมื่อหมดท่าจริงๆก็ให้ กกต. หมดสภาพ ผิดกฎเกณฑ์ ผิดกฎหมาย จนทำหน้าที่ไม่ได้หรือลาออกเสียจนไม่สามารถรับรองการเลือกตั้งได้ แล้วแถมพ่วงด้วยการใช้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่เตรียมเอาไว้ ทำให้เกิดหนทางการขยายอำนาจปกครองของกลุ่มอีลิตต่อไป
ที่พูดมาทั้งหมดไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะความโง่เขลาเบาปัญญา รวมถึงกระหายอำนาจของกลุ่มอีลิต ผนวกกับความโง่เขลาของกองทัพช่วงนี้ สามารถบันดาลสภาพดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้จริง
แต่จะขอเตือนเอาไว้ว่าอย่าประมาทพลังมวลชน สถานการณ์สากลในลิเบียและประเทศอื่นๆก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้นำเผด็จการใน พ.ศ. นี้ ภายใต้สังคมโลกาภิวัตน์ไม่สามารถจะใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขตและไม่ชอบธรรมอีกได้ต่อไป
หากไม่ตรงไปตรงมาและไม่ทำให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม กกต. ไม่ใช้อำนาจบนความถูกต้องชอบธรรม เชื่อว่าแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ โมเดลลิเบียจะเกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู คนที่ฉลาดกว่านั้นป่านนี้รู้ตัวหมดแล้ว และกำลังผ่องถ่ายสมบัติพัสถานและทรัพย์สินออกต่างประเทศกันอยู่ทุกวัน ถ้าช่างสังเกตจะพบปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่าอย่าประมาทพลังของประชาชนเป็นอันขาด
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 311
วันที่ 21 - 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หน้า 10
คอลัมน์ ทหารใหม่วันนี้ โดย ชายชาติ ชื่นประชา |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น