เบื้องลึกเอกสารร้อนหลุด ทหารไม่ตายเดี่ยว | |
สาระสำคัญของเอกสารที่ทหารเขียนในวารสารเสนาธิปัตย์ คือดึงเอาผู้สั่งการคือรัฐบาล(ซึ่งไปๆมาๆจะลากผู้อยู่เบื้องหลังมาด้วย)มาร่วมรับผิดชอบ ไม่ใช่ตัดตอนโยนความผิดในการสังหารให้แค่ระดับผู้ปฏิบัติ คือเหล่าสไนเปอร์ และหน่วยทหารระดับพื้นที่ทั้งหลาย โดย Pegasus 27 มิถุนายน 2554 กองทัพบกได้มีเอกสารเป็นทางการเรื่องการสลายการชุมนุมเ ผยแพร่ในวารสารเสนาธิปัตย์ของกองทัพบกเอง แม้ว่าจะออกตัวว่า เป็นความเห็นส่วนตัวก็ตาม ซึ่งก็หมายถึงเป็นคำให้การอย่างเป็นทางการได้เป็นอย่างดี เข้ากับหลักการพิจารณาคดีว่า หลักฐานที่เป็นวัตถุพยานนั้นมีความน่าเชื่อถือกว่า พยานบุคคล และพยานแวดล้อม สำหรับในคดีอาญา บทความนี้ก็จะขอถือโอกาสว่าความตามคำแถลงของฝ่ายจำเลยคือกองทัพบกและแน่นอนรวมศอฉ.เข้าไปด้วยเฉพาะที่เกี่ยวกับการกระทำอาชญากรรมในคราว 19 พฤษภาคม 53 ที่ราชประสงค์ว่า เข้าองค์ประกอบความผิดใดๆ หรือว่าคำแถลงนั้นทำให้จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนรายละเอียดคำแถลงนั้นโปรดอ่านด้านล่างนี้ เป็นเอกสารต้นฉบับลิ้งค์นี้ Lesson 7 การว่าความในครั้งนี้ จะอ้างถึงมาตราที่ระบุองค์ประกอบความผิดตามธรรมนูญกรุงโรม สำหรับศาลอาญาระหว่างประเทศซึ่งไทยกำลังจะให้สัตยาบัน หลังจากฝ่ายประชาธิปไตยได้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติมาหลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคมนี้ เพราะไม่ว่าจะมีการโกงกันขนาดไหนก็ตามคลื่นของมหาชนก็ยังเพียงพอที่จะชนะได้อยู่ดี จะมากจะน้อยแค่นั้นเอง ส่วนเหตุผลที่ไม่ได้นำมาตราในคดีอาญาของไทยมาว่ากัน ก็เพราะเห็นว่าการนำคดีนี้ขึ้นสู่ศาลไทย ก็จะมีฝ่ายเหลือง ฝ่ายทหาร ออกมากล่าวหาศาลสถิตยุติธรรมไทยได้ว่าไม่ยุติธรรม ดังนั้นการใช้คนนอก คนที่ไม่มีส่วนได้เสียกับสังคมไทยตัดสินคดี ดูจะทำให้เกิดการยอมรับ และทำให้เกิดการปรองดองได้ด้วยหลักนิติธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่ระบบปกติใครที่ไม่เกี่ยวข้องก็ทำมาหากินไป ใครเกี่ยวข้องทั้งๆที่รู้กฎหมายอยู่แล้วก็รับโทษซึ่งคงเป็นคนส่วนน้อยของสังคม ประเทศไทยก็จะก้าวเดินต่อไปได้ ก่อนอื่นขอสารภาพว่า เมื่อเห็นเอกสารดังกล่าวแล้ว บังเกิดความรู้สึกสงสารประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งที่ทหารไทยมีความคิดตื้นเขิน และเห็นชีวิตประชาชนเป็นเรื่องผักปลาได้ขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่ามีจิตใจที่โหดเหี้ยม อำมหิตกันได้ถึงขนาดนั้น ยิ่งเห็นตอนท้ายบอกว่าบรรลุชัยชนะ บนซากศพของประชาชนด้วยหลักของซุนวูแล้ว อยากจะถามว่า หลักการที่ว่านี้เข้าหลักกลยุทธ์ข้อไหนของซุนวูทั้ง 36 กระบวนศึก แนวคิดของซุนวูที่ เหมา เจ๋อ ตุง นำมาประยุกต์เป็นแม่บทในการปฏิวัติประเทศนั้นมีหลักคิดที่ได้ยินอยู่เสมอว่า ประชาชนคือน้ำพรรคคอมมิวนิสต์คือปลา ถ้าประชาชนไม่เอากับพรรคฯ ก็ล่มสลาย หรือคำพูดที่ว่า ยิ่งตี ยิ่งโต ก็มาจากพื้นฐานแนวคิดของซุนวูทั้งนั้น เรื่องนี้ไม่ทราบจะเป็นเรื่อง โอละพ่อเหมือนกรณี บทกลอนของโฆษกของทหารท่านหนึ่งที่บอกว่าทหารเรียนกันและมาจากพระราชนิพนธ์ ร.6 แต่แท้จริงแล้วเป็นของคุณนเรศ นโรปกรณ์ นักคิด นักเขียนฝ่ายซ้ายของประชาชนคนธรรมดานี่เอง ก็ขอไว้แค่นี้ก่อนสำหรับความรู้สึก ในด้านการนำเสนอของทหาร ถามว่าออกมาตอนนี้ทำไม คำตอบง่ายๆคือ ตอบโต้พรรคการเมืองบางพรรคที่ว่าเมื่อภารกิจสำเร็จ ก็ให้มีการทำสำนวนคดีทหารที่ไปยิงประชาชนตายไว้เรียบร้อยสมบูรณ์ เข้าทางเพื่อนเขี้ยวลากดิน ครั้นจะทำรัฐประหารยึดอำนาจ เพื่อนก็ทำให้ประชาชนลุกขึ้นมาเต็มบ้านเต็มเมืองเพราะโชคดีได้ผู้นำเด็กอมมือ แทนที่จะมีเฉพาะเสื้อแดง กลับมีคนที่อดอยาก หิวโหย โกรธแค้น เพราะเรื่องเศรษฐกิจอีกกว่าค่อนประเทศออกมาอยากเลือกตั้ง สถานการณ์ใกล้เคียงการปฏิวัติฝรั่งเศสกับรัสเซียเต็มแก่ พลาดพลั้งไปจะหมดทั้งแผ่นดิน ถ้าจะถามว่าตอบโต้ยังไง ก็หลังจากเพื่อนพรรคการเมืองนั้นไปบอกทุกหนแห่งว่า “หนูไม่รู้” ทหารก็ร้อนตัวสิครับ กลายเป็นผู้ผิดคนเดียวอยู่เต็มๆ ยังไม่รวมผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหลายก็พลอยทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไปด้วย ดังนั้นเอกสารสำคัญนี้มุ่งจะทำอยู่สองสามประการคือ ดึงคณะกรรมการใน ศอฉ.ออกมาร่วมรับผิดชอบทั้งหมด ทั้งยังบอกไว้อย่างเคลือบแคลงแต่ก็ชัดแจ้ง(ทหารเดี๋ยวนี้ทำไมทำตัวเหมือนพรรคการเมืองไปเสียแล้ว...ชักพูดไม่ตรงไปตรงมา เก่งขึ้นทุกวัน) ว่า กรณีการใช้คำสั่งว่ากระชับพื้นที่นั้นเป็นคำพูดที่สวยหรู ทำให้ดูดี แต่ก็ยังเผลอ หรือตั้งใจบอกไว้อีกว่า ก็คือการสลายการชุมนุมนั่นเอง ผนวกกับเรื่องที่ว่า นายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการให้มีการสลายการชุมนุมอย่างแน่นอน ดังคำอ้างในเอกสารนั้น(ในเครื่องหมายคำพูดและตัวเอน)ว่า ”นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ศอฉ. ในวันที่ 12 พฤษภาคม ให้ฝ่ายทหารเริ่มต้นปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่วางไว้” และนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ข้อเสนอเป็นตัวกลางในการเจรจาของ"วุฒิสมาชิก"ในคืนวันที่18 พฤษภาคมถูกปฏิเสธ” เฉพาะแค่นี้ก็เพื่อดึงเพื่อนเข้ามารับผิดชอบต่อการสั่งกลายการชุมนุมด้วยกรณีนี้จะเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 25 วรรค 3 ของธรรมนูญกรุงโรม โดยจะต้องยกภาษาอังกฤษมาไว้ด้วยสำหรับผู้ที่จะศึกษาอย่างละเอียดต่อไป Article 25 มาตรานี้สรุปอย่างง่ายๆคือ เป็นการกำหนดเฉพาะลงไปที่ผู้นำฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจสั่งการจริง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามต่อกำลังฝ่ายความมั่นคงที่ติดอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งด้วยคนเดียวหรือคณะบุคคลก็ตาม โดยอาจเป็นการสั่งโดยตรง การเรียกร้องห รือแนะนำอะไรก็ตามแต่ให้เกิดอาชญากรรมนั้น รวมถึงการสนับสนุนด้านต่างๆด้วย และแม้ว่าจะไม่เกิดอาชญากรรมขึ้น แต่ก็มีความพยายามในสาระสำคัญก็โดนด้วยแล้ว นอกจากจะละทิ้งการร่วมงานนั้น หรือป้องกันไม่ให้เกิดผลสำเร็จขึ้นจึงจะรอดพ้นมาตรานี้ไปได้ ดังนั้น การที่ทหารลากเพื่อนขึ้นเขียงครั้งนี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะแค่การจะเกิดเหตุก็เป็นความผิดแล้ว แต่คราวนี้ ชัดเจนว่ามีการกระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติขึ้นแล้วจริงๆ เมื่อผลเกิดแล้ว ผู้ก่อเหตุทั้งหลายได้แก่ฝ่ายการเมืองทั้งในและนอกม่านต้องรับผิดชอบทั้งหมด ต่อไปลองดูในสาระของการกระทำอาชญากรรมครั้งนี้กัน “...แผนยุทธการสลายม็อบราชประสงค์ถูกกำหนดดีเดย์ไว้ตั้งแต่ตี3 ครึ่งวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 หน่วยแรกที่เข้าปฏิบัติการคือ หน่วยสไนเปอร์ เพื่อยึดพื้นที่สูงข่มของตึกบนถนนวิทยุ (อาคารเคี่ยนหงวน) และสะพานแยกสารสิน(อาคารบางกอกเคเบิล)โดยที่อาคารสูงบนถนนวิทยุถูกยึดได้ก่อนตี 5 ครึ่ง ส่วนตึกสูงด้านถนนสารสินยังเข้าไม่ได้ จากรายละเอียดที่กล่าวมาของเอกสาร แสดงสาระสำคัญคือเป็นการกระทำอย่างตั้งใจ เป็นระบบ มีกำลังเป็นจำนวนมากพร้อมอาวุธสงคราม โดยใช้คำอ้างที่สำคัญคือ “การยุทธรบในเมือง” ขอย้ำว่าภาษาที่ใช้คือเป็นการรบ ไม่ใช่การควบคุมฝูงชนแบบตำรวจ เมื่อเอกสารของทหารเปิดเผยชัดว่า กำลังทหารที่เข้าไปกระทำการนั้น เข้าไปทำการรบก็ไม่ต้องสอบสวนอีกแล้วว่า ทหารมีเจตนาหรือไม่ในการสังหารผู้ที่ตัวเองคิดว่าเป็นศัตรู กรณีนี้ก็ไม่ต่างจากกรณี 6 ตุลาคม 2519 ที่เคยเลือนหายไปจากความจำด้วยวลี “แล้วๆกันไป เรื่องเก่า ให้อภัย ฯลฯ สุดแท้แต่จะสรรหามากล่าว” แต่ ณ วันนี้ กฎหมายระหว่างประเทศมีแล้ว องค์กรจัดการกับเผด็จการมีแล้ว ไม่ช้าคงจะรู้กันว่าจะปิดเงียบได้แค่ไหน เมื่อรู้เจตนาของทหารว่าจะเข้าไปสังหารแล้ว อะไรที่จะเป็นสิ่งบอกเหตุว่าจะเกิดการสังหารขึ้นแน่ๆ คำตอบนั้นปรากฏชัดในเอกสารเช่นกันว่า “...เอกสารชุดนี้บอกชัดเจนถึงแผนยุทธการทั้งหมด และหน่วยทหารที่ใช้ในครั้งนี้ มีการยอมรับในเอกสารถึงการใช้”หน่วยสไนเปอร์” เป็นหน่วยแรกในการเข้าสลาย โดยยึดพื้นที่สูงคืออาคารเคี่ยนหงวน และอาคารบางกอกเคเบิ้ล การใช้หน่วยสไนเปอร์ เป็นอาวุธยิงระยะไกล สมมติว่า เป็นการขึ้นศาลไทย หรือศาลในประเทศต่างๆ จะยึดหลักความสมมาตรหรือสมดุลกันระหว่างคู่กรณี เช่น ใช้อาวุธปืนป้องกันตัวจะทำได้โดยไม่มีความผิดต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่า คู่กรณีเช่นโจรขึ้นบ้าน ถ้ามีมีดและอาจทำอันตรายถึงตายได้ เราจึงยิงปืนเข้าใส่ ซึ่งต้องดูอีกว่าเราเป็นชายหรือหญิง โจรตัวใหญ่หรือตัวเล็ก การยิงนั้นเจตนาฆ่า หรือแค่หยุดยั้ง ฯลฯ แล้วยิงกี่นัดปกติ ถ้ายิงเกิน 1 นัด มักจะผิด เพราะกลายเป็นเจตนาฆ่า เป็นต้น อีกกรณีหนึ่งคือที่เราได้ยินกันว่า วิสามัญโดยตำรวจหมายถึงเมื่อยิงโจรแล้ว ตำรวจต้องไปขึ้นศาลเพื่อพิสูจน์ว่า ตนเองจำเป็นต้องยิงเพราะโจรมีอาวุธปืน และยิงก่อน ตำรวจจึงยิงสวนได้ เป็นต้น กรณีนี้เป็นกรณีปกติสำหรับกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ใช่ ยุติการหายใจของประชาชน ถ้าดูตามนี้ หากพิสูจน์ไม่ได้ว่า เจ้าหน้าที่สไนเปอร์มีอันตรายใกล้ถึงชีวิตแล้วจึงยิงละก็ เจ้าหน้าที่สไนเปอร์ที่มีการสอบสวนไว้แล้วนั้นคงต้องติดคุกทั้งหมดแน่นอน ไม่ว่าจะขึ้นศาลใดๆในโลกหากศาลนั้นมีความยุติธรรม นอกจากนั้น การสั่งการเป็นระบบ มีเอกสาร มีแผนรองรับ มีการสั่งการ มีหน่วยทหารเข้าร่วมจำนวนมากและใช้คำว่า การรบ ก็ไม่ต้องสงสัยว่าความผิดจะจะแจ้งเพียงใด ประการสำคัญคือ การใช้กระสุนจริง ซึ่งบางพรรคการเมือง และโฆษกดีแต่พูดทั้งหลายบอกว่า ทหารไม่มีการใช้กระสุนจริงค งหมดข้อสงสัยกันเรียบร้อยไปแล้ว ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ชุมนุมมีกระสุน และอาวุธสงครามได้ละก็ ทั้งหมดมีความผิดน่าจะทันที ตรงนี้หมายความว่า จะไม่มีการแยกส่วนทหารที่ถืออาวุธกระสุนจริง และกลุ่มใช้กระสุนยางออกจากกัน เพราะทุกกลุ่มใช้กระสุนจริงหมด ส่วนหลักฐานที่ว่ามีการพบในที่เกิดเหตุ แล้วนำมาให้ทูตดูตอนสังหารประชาชนเสร็จแล้วนั้น ใครเชื่อก็แปลก มีท่านทูตจากสแกนดิเนเวียท่านหนึ่งบอกว่า ถ้ามีอาวุธเท่าที่เห็นนี้ทหารน่าจะตายเป็นเบือไปแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่มีทหารเสียชีวิตเลยในวันนั้น (กรณี 10 เมษาฯ ก็เป็นทหารต่างกลุ่มยิงกันเองอีก ไม่เกี่ยวกับกรณีนี้แยกเวลาและสถานที่แน่นอน ทั้งยังจับคนชุดดำไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามไม่ได้เลยทั้งสองวัน ทั้งที่มีทหารอยู่เป็นหมื่นๆคน ไม่มีศาลยุติธรรมที่ไหนเชื่อนอกจากศาลเจ้าเท่านั้น) เมื่อเราทราบแล้วว่า หน่วยใดสังหารประชาชนตรงไหน คนคุมทหารมาจะรับผิดชอบหรือไม่ โดยในเอกสารมีการกล่าวไว้ว่า ในส่วนของ”ข้อเสนอแนะทางยุทธวิธี” มีข้อหนึ่งที่ระบุว่า “ผู้บังคับบัญชาหน่วยระดับยุทธวิธีควรปฏิบัติภายใต้การรักษาชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นที่สำคัญที่สุด และต้องควบคุมการลั่นไกกระสุนจริงโดยมีสติ และมีเจตนารมณ์ อย่าให้กำลังพลปฏิบัติด้วยความโมโห หรือการแก้แค้นเป็นอันขาด” กรณีนี้กล่าวได้ว่า มีการห้ามมิให้สังหารประชาชนที่ปราศจากอาวุธแน่นอน ซึ่งหากเป็นกรณีทั่วไปทั้ง ศอฉ.และผู้คุมหน่วยทหารไม่มีความผิด และควรที่จะหาทางออกในช่องทางนี้มากกว่าทางอื่น เพราะ ธรรมนูญกรุงโรมก็ได้ให้ทางออกไว้เช่นกันดังนี้ Article 28 สรุปความตามมาตรานี้ได้ว่า ผู้คุมนั้นหมายถึงคนปฏิบัติต้องรู้ว่าที่ทำไปจะผิดกฎหมาย และไม่ได้ทำการใดๆพอแก่เหตุที่จะหยุดยั้งไม่ให้เกิดขึ้น หรือรีบส่งประเด็นดังกล่าวให้กับหน่วยงานอื่นที่จะสอบสวนได้เช่น คณะกรรมการสิทธิฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น ในวรรคที่สองพูดถึงการมีคนในหน่วยงานของตนไปทำผิดกฎหมายนี้แล้วเมื่อรู้ยังเฉยก็โดนด้วย กรณีนี้ก็อาจหมายถึงเกิดเหตุโดยระดับรัฐมนตรีกลาโหมถ้าไม่ได้มีความผิดเนื่องจากร่วมสั่งการใน ศอฉ.ด้วย แต่เป็นกองทัพไปทำการเอง เป็นต้น การกระทำด้วยการออกเป็นหนังสือกำกับไม่ให้สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์นั้นถือว่าเป็นการป้องกันได้ชั้นหนึ่ง แต่ทว่ากรณีที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วยุติ แต่เป็นการกระทำต่อเนื่อง และประชาชนที่เสียชีวิตไม่ได้มีอาวุธติดตัวเลยทั้งนั้น อย่างมากก็หนังสติ๊กที่อาจยัดข้อหาได้ว่าสิ่งเทียมอาวุธเท่านั้น ส่วนการเผายางรถยนต์เป็นเหตุให้ต้องยิงทิ้งยิ่งฟังไม่ได้หนักเข้าไปอีก เพราะไม่ได้ทำอันตรายกับผู้ยิงถึงใกล้กับการเสียชีวิตได้ ที่น่าขำและตลกร้ายก็คือประโยคต่อไปนี้ และ”ควรมีการศึกษาค้นหาตัวแบบที่เหมาะสมในการกำหนดพื้นที่ที่ใช้กระสุนจริง เพราะปัจจุบันยังไม่ทราบว่ามีประเทศใดในระดับนานาชาติที่ได้นำมาปฏิบัติในการสลายการชุมนุมที่ได้รับการยอมรับ” ก็เพราะไม่มีนานาชาติอารยะใดเขาใช้กระสุนจริงกันกับประชาชนหรอ กจึงไม่มีตัวแบบนี้จากที่ไหนนอกจากประเทศใกล้ล่มสลายอย่าง ลิเบีย ซีเรีย ตูนีเซียหรือประเทศล้าหลังป่าเถื่อน ไร้อารยะธรรมที่ยังอยู่แบบชนเผ่าโบราณเช่นใน รวันดา โซมาเลีย เป็นต้น ต่างหากที่ทหารออกมาไล่ฆ่าประชาชน คำตอบนี้คงชัดเจนแล้ว สำหรับเหล่าอำมาตย์ ศักดินาทั้งหลาย รวมทั้งประชาชนด้วยว่า จะยังยอมพวกเขากันต่อไปอีกหรือหลังจากอ่านความคิดของเขากันแล้วจากเอกสารนี้ เอาล่ะทหารอาจแย้งว่า นปช.มีอาวุธสงคราม ก็มาว่ากันในเรื่องการมีอาวุธกันว่าจะรอดพ้นความผิดหรือไม่กัน กรณีมี ความขัดแย้งด้วยอาวุธ หรือพูดภาษาชาวบ้านว่าเกิดสงครามในหรือระหว่างประเทศก็ตาม Articles 8(2)(e)(i) War crimes of attacking civilians มาตรานี้สรุปได้ว่า การโจมตีต่อพลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธที่ก่อให้เกิดอันตรายนั้น ยังไงก็ทำไม่ได้อยู่ดี ขอกล่าวซ้ำ ไม่มีทหารที่เจริญแล้วประเทศไหน ยิงพลเรือนปราศจากอาวุธ นอกจากพวกหน้าตัวเมียอาศัยชายกระโปรงอยู่เท่านั้น ถ้าสงสัยให้ลองไปหาอ่านเอกสารการประชุมเรื่องเศรษฐกิจที่อินโดนีเซีย ที่นักการเมืองฟิลิปปินส์กล่าวถึงว่า ไม่มีประเทศอารยะที่ไหนสั่งทหารออกมาใช้อาวุธสงครามสังหารประชาชน หรือว่าประเทศเรา โอ้ พระเจ้า Articles 8(2)(e)(ii) War crime of attacking objects or persons using the distinctive emblems of the Geneva conventions มาตรานี้ย้ำเฉพาะผู้มีสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายที่ได้รับการยกเว้นจากสนธิสัญญาเจนีวา ซึ่งมีมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง นั่นหมายถึงทหารทุกคนต้องรู้ ในกรณีไทยคือ การยิงใส่รถพยาบาล และเจ้าหน้าที่พยาบาลนั้นผิดสนธิสัญญาเจนีวายังไม่ต้องกล่าวถึงศาลอาญาระหว่างประเทศเลย สุดท้ายที่ยังไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงเพราะไปสนใจมาตราที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนกันหมด กล่าวคือแม้ว่าจะเป็นในการสงคราม ก็ห้ามมิให้แสดงว่ามีการสั่งสังหารหมู่ทั้งหมด ลองดูมาตรานี้กัน Articles 8(2)(e)(x) War crime of denying quarter ในวรรคนี้สรุปแล้วคือ ห้ามสั่งหรือประกาศว่าจะไม่มีผู้รอดชีวิต แล้วขอถามง่ายๆว่า เขตใช้กระสุนจริงแปลว่าจะมีคนรอดชีวิตหรือไม่สำหรับประชาชนมือเปล่า .. จากเอกสารดังกล่าวที่เผยแพร่จะเห็นได้ว่า ทหารไทยไม่มีความรู้ทางการเมืองใดๆเลย ในขณะที่สังคมตะวันตกห้ามทหารยุ่งกับการเมือง เพราะความด้อยความชำนาญทางการเมืองอย่างนี้ ส่วนในทางตะวันออกเอง อย่างพรรคคอมมิวนิสต์จะคัดเลือกผู้ที่เก่งกาจด้านการเมือง(อย่างถูกต้องนะไม่ใช่ดีแต่พูด)เท่านั้นมาเป็นทหาร เพราะการทหารจะไม่มีวันประสบผลสำเร็จเลย ถ้าไม่ได้ชัยชนะทางการเมืองก่อน ไม่ว่าจะในระดับท้องถิ่น หรือในระดับชาติ ภาษิตทหารข้อหนึ่งจึงกล่าวไว้ว่า “เราอาจจะชนะในการรบได้ แต่แพ้ในสงคราม” ในครั้งนี้ทหารได้ชัยชนะในการรบ เพราะใช้อาวุธสงครามกับประชาชนที่ปราศจากอาวุธ แต่ได้แพ้ในสงครามการเมืองสร้างความเคียดแค้นชิงชังทหารไปทั่วประเทศ นอกเหนือจากในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในขั้นต่อไปถ้าการเลือกตั้งผ่านไปด้วยดี การโกงไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีการมาล้มการเลือกตั้ง หรือล้มรัฐบาลที่มาจากประชาชนอย่างหน้าไม่อายอีก ประเทศไทยก็จะเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ แต่ถ้าทุกอย่างซ้ำรอยเดิม ไม่มีใครที่ไหนจะโง่ให้หลอกซ้ำซากอยู่ได้ สถานการณ์ปฏิวัติจริงๆคงจะเกิดขึ้น ตรงนั้นก็ตัวใครตัวมันแล้ว .... กลับมาสู่เอกสารนี้อีกครั้ง จะขอยกคำพูดในเอกสารนั้นนั่นแหละแม้ว่าดูยังไงก็ยังไม่ใช่ซุนวูแท้ๆนัก เพราะตัดตอนมาเพียงบางส่วนของคำพูดไม่ใช่หลักกลยุทธ์ซุนวูมาให้ทหารเองอ่านอีกทีว่า “สรุปได้ว่า ความสำเร็จทางยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางการเมือง ตั้งแต่ระดับนโยบาย คือ คณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ความมีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ การที่ทหารสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ทางทหารที่ชัดเจนได้ก็เนื่องจากการเมืองของรัฐบาลที่ชัดเจน และที่สำคัญดังที่ซุนวูกล่าวไว้ว่า"ชัยชนะย่อมเกิดจากฝ่ายตรงข้ามหรือข้าศึกตกอยู่ในสถานการณ์พ่ายแพ้เอง"นั่นคือสภาพการแตกแยกทางความคิดของกลุ่มแกนนำหลัก และการสูญเสียมือวางแผนระดับเสนาธิการ ทำให้สถานการณ์ของกลุ่ม นปช.เริ่มเพลี่ยงพล้ำทางยุทธศาสตร์มาตามลำดับ” ลองคิดอีกที ใครกันแน่เพลี่ยงพล้ำทางยุทธศาสตร์ คิดผิด คิดใหม่ได้ แต่ยังไงก็จะขอเฉลย เพราะเชื่อโดยสนิทใจหลังจากอ่านเอกสารแล้วว่า ทหารไม่มีความรู้ทาง ยุทธศาสตร์ ยุทธการหรือยุทธวิธี อะไรเลย จัดกลุ่มพวกแยกยุทธศาสตร์ ยุทธวิธียังไม่เป็น ใช้แต่คำศัพท์หรูๆ แบบดีแต่พูดเท่านั้น ขอเรียนว่า ยุทธศาสตร์ประชาธิปไตยย่อมชนะยุทธศาสตร์เผด็จการเสมอทั่วทั้งโลก “การต่อสู้ด้วยธรรมะคือสู้เพื่อคนส่วนมาก ชนะการสู้เพื่ออธรรมคือผู้ปกครองส่วนน้อยเสมอ” ส่วนการไล่ฆ่าประชาชนนั้นเป็นการปฏิบัติการทางยุทธการ และยุทธวิธีเสริมอำนาจให้กับยุทธศาสตร์ฝ่ายเผด็จการเท่านั้น ยุทธวิธีฝ่ายเผด็จการอาจชนะได้เรื่อยๆ แต่สุดท้าย ท้ายสุดจะพ่ายแพ้อย่างหมดรูป เพราะใช้ยุทธศาสตร์ที่ผิด.. อธิบายแค่นี้ไม่ทราบจะรู้เรื่องหรือเปล่า ยังสงสัย บทความในวารสารเสนาธิปัตย์นี้ อาจมีการสั่งให้เขียนก็ได้ (ความจริงมีบอกอยู่ว่านายทหารยศพลโทสั่งให้เขียน)สาระสำคัญคือดึงเอาผู้สั่งการคือรัฐบาล(ซึ่งไปๆมาๆจะลากผู้อยู่เบื้องหลังมาด้วย)มาร่วมรับผิดชอบโทษฐานเอาดีใส่ตัวลูกเดียว ตัดตอนผู้บังคับหน่วยทหาร คือบรรดานายพลทั้งหลายออกจากการรับผิด และให้ความผิดไปจบอยู่แค่ระดับผู้ปฏิบัติ คือเหล่าสไนเปอร์แ ละหน่วยทหารระดับพื้นที่ทั้งหลาย แต่เจตนานี้จะบรรลุผลหรือไม่เนื้อหาของบทความนี้ก็คงชัดเจนแล้ว สุดท้ายนี้อยากจะสรุปด้วยคำพูดเล่นๆที่ได้มาจากสงครามโลกครั้งที่สองสักเล็กน้อยว่า “โง่แล้วขยันนี่ เยอรมันยิงทิ้งเรียบ” เพราะมันอันตรายอย่างนี้ นี่เอง ************* เรื่องเกี่ยวเนื่อง:เอกสารทหาร2ฉบับมัดมาร์คแน่น โฆษณาชวนเชื่อขอใบอนุญาตฆ่า91ศพ รบเต็มอัตรากระสุนจริง-Sniper | |
http://redusala.blogspot.com |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น