วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554


แผนลับวอร์รูมสี่เสาจำใจฆ่าปชป.บูชายัญ


นี่เป็นฉากจำลองตัวแบบอีกแบบหนึ่งที่War room สี่เสาและ กกต.สุมหัวไว้ หากข้อตกลงลึกลับระดับสูงไม่บรรลุผล แต่หากพรรคเพื่อไทยชนะแบบฟ้าถล่ม Land slide แผนการทั้งหมดต้องถูกยกเลิกในทันที

โดย หรี่ฟุน
30 มิถุนายน 2554

ข่าวทางลึกจาก War room สี่เสาและ กกต. มีดังนี้ครับ

- กรณีหากยุบพรรคเพื่อไทย บ้านเมืองจะบรรลัยจากการต่อต้านของมวลชนคนเสื้อแดง

- กรณีหากยุบพรรคประชาธิปัตย์ ความร้อนแรงของเหตุการณ์ทางการเมืองจะน้อยลง แต่......จะเกิดทางเลือกใหม่ นั่นคือ รัฐบาลแห่งชาติ

รัฐบาลแห่งชาติ ดังกล่าว เกิดจากความคิดของคนสองกลุ่มใน War Room สี่เสา คนกลุ่มแรกก็คือบรรดานายทุนนักธุรกิจ อีกกลุ่มหนึ่ง คือทหาร ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงนายทหารอาชีพที่เคารพรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย แต่หมายถึงทหารที่แทรกแซงการเมืองจนเป็นอาชีพ

ประเด็นสำคัญ แนวทางการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ของกลุ่มบุคคลชั้นสูง บุคคลในกองทัพ และจากฝ่ายการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ มีเหตุผลเพียงเพื่อ เตรียมการแก้โจทย์ใหญ่ เตรียมการรับมือภยันตราย จากบุคคลที่มองว่าเป็นมหันตภัย นั่นคือ “ทักษิณ”

แต่สิ่งที่สำคัญหรือหัวใจในการวางแผนครั้งนี้ มีข้อสรุปว่า หากพรรคเพื่อไทยประสบชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น นั่นย่อมหมายถึงแผนการทั้งหมดต้องถูกยกเลิกในทันที

ก่อนที่จะพูดถึงรายละเอียดแผนล้มการเลือกตั้ง หลังวันที่ 3 กรกฏา ผมขอท้าวความไปยังเหตุการณ์ในอดีต ที่กำลังจะนำมาใช้ในการเลือกตั้ง 54 ในครั้งนี้

ขอเริ่มจาก คดียุบพรรคการเมืองเนื่องจากการเลือกตั้ง 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ที่ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่พรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย ในคดีกลุ่มที่ 1 พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าในคดีกลุ่มที่ 2 ถูกฟ้องร้องเป็นจำเลยในข้อกล่าวหา เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย และกระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ

คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้ดำเนินการไต่สวนพยานครบถ้วนเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2550 ต่อมาตุลาการรัฐธรรมนูญแต่ละคน ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตนออกมาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 และคณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยกลางในช่วงบ่ายจนถึงเกือบเที่ยงคืนของวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 เริ่มจากคดีกลุ่มที่ 2 ในส่วนพรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า

โดยมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์และวิทยุตลอดการอ่านคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ สรุปว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิดในทุกข้อกล่าวหา ส่วนอีก 4 พรรคมีความผิดจริง จึงมีคำสั่งให้ยุบพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรคพัฒนาชาติไทย พรรคแผ่นดินไทย และพรรคไทยรักไทย รวมทั้งให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคทั้ง 4 พรรค มีกำหนด 5 ปี

เรื่องราวดังกล่าวเกือบจะเลือนหายไปจากความทรงจำของประชาชนอยู่แล้ว แต่มาเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ที่ส่งผลให้ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าตื่นตัวทางการเมือง หวงแหนประชาธิปไตย อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนจนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ
เมื่อ 10 ก.พ.2553 นายสุขสันต์ ชัยเทศ พยานสำคัญในคดียุบพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2550 ร่วมกับนายแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ จัดแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เพื่อเปิดเผยเส้นทางการเงินที่นายสุขสันต์ อ้างว่าเป็นเงินค่าจ้างที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี จ่าย เพื่อให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย เป็นเหตุให้พรรคไทยรักไทยถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรค

โดยนายสุขสันต์ ได้เปิดเผยรายละเอียดการรับเงินจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่าเริ่มได้รับเงินค่าจ้างครั้งแรกเมื่อวั นที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2549 เป็นเงินสามแสนบาท หลังจากนั้น นายสุเทพก็จะจ่ายเพิ่มมาให้เรื่อย ๆ โดยผ่านทางนางพรเพ็ญ เลขาส่วนตัวของนายสุเทพ ซึ่งเงินที่ได้รับทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 5,869,362 บาท ซึ่งตนมีหลักฐานการรับและโอนเงินไปยังบัญชีต่าง ๆ อย่างครบถ้วน

ส่วน สาเหตุที่ต้องออกมาแถลงข่าวในครั้งนี้ เนื่องจากก่อนหน้าที่จะเป็นพยานในคดียุบพรรคไทยรักไทยนั้น นายสุเทพ ได้สัญญากับตนไว้ว่าจะจ่ายเงินค่าจ้างให้เป็นเงิน 15 ล้านบาท พร้อมช่วยเหลือด้านคดีในคดีที่ตนปลอมแปลงบัญชีรายชื่อสมาชิกพรรค พัฒนาชาติไทย อีกทั้งยังสัญญาว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล จะมอบตำแหน่งเลขารัฐมนตรีให้ แต่นายสุเทพไม่ทำตามสัญญา ตนจึงเกิดความเจ็บแค้นจึงตัดสินใจออกมาเปิดเผยเรื่องทั้งหมด

อีกประการหนึ่งตนได้สำนึกผิดที่ได้ให้การใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยจนถูกยุบพรรคจึงยอมเปิดเผยเรื่องนี้ให้สังคมได้รับรู้ ว่าใครมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร โดยการแถลงข่าวในครั้งนี้ตนขอยืนยันว่าไม่มีผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์หรือ พรรคเพื่อไทยมีส่วนร่วมในการแถลงข่าวครั้ง นี้แต่อย่างใด โดยขณะแถลง ข่าวครั้งนี้นายสุขสันต์ ได้สวมใส่เสื้อเกราะกันกระสุน พร้อมยืนยันว่าถึงแม้จะถูกดำเนินคดีฐานให้ การณ์อันเป็นเท็จต่อศาลและตุลาการ รัฐธรรมนูญ ต้องติดคุก ตนก็พร้อม ซึ่งหลังจากที่ตนออกมาแฉเรื่องนี้ ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ ติดตามตนตลอดเวลาอีกด้วย

ติดตามรายละเอียดตามคลิปดังกล่าวhttp://77.nationchannel.com/playvideo.php?id=76601



ท่านเชื่อหรือไม่ว่า..?? เจ้าเทพเทือกจะไม่ใช้วิชามารแบบนี้อีก…?? (เรื่องนี้ผมอดเป็นห่วงแดงเทียม หรือลูกพรรคเพื่อไทยบางคนจะเผลอไผลไปขายตัวเข้า เงินเป็นสิบล้าน มันไม่เข้าใครออกใคร )

หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2553 กกต. ได้ยกคำร้องกรณีพยานกลับคำให้การคดียุบพรรคไทยรักไทย

นายภุชงค์ นุตราวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการการมีส่วนร่วม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 113/2553 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2553 ได้พิจารณากรณีที่ นายวุฒิ สุนทรเดช,พลตำรวจตรี มณเฑียร ประทีปวนิช และนายบุญมี วงศ์สีดา ได้ยื่นหนังสือร้องเรียน ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ข้อเท็จจริงใหม่ซึ่งอ้างว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญ ที่นำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทยไปแล้ว

กล่าวคือได้เปิดเผยว่า นายสุขสันต์ ชัยเทศ อดีตผู้อำนวยการพรรคชาติไทย และ นายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคชาติไทย ได้ออกมาเปิดเผยว่าข้อเท็จจริงที่ได้เบิกความต่อศาลและที่ได้ให้การต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เป็นความเท็จทั้งหมด โดยนายสุขสันต์ฯ และนายชวการฯ ได้รับการจ้างวานจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นผู้วางแผน ซึ่งในตอนแรกให้การว่ารับสินบนจาก พลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อันเป็นมูลเหตุให้มีการยุบพรรคไทยรักไทยในที่สุด โดยบุคคลทั้งสามดังกล่าวได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่างวาระกัน

ทั้งนี้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาแล้วเห็นว่าการยื่นเรื่องร้องเรียนของบุคคลทั้ง 3 เป็นประเด็นเดียวกันจึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยเรื่องคัดค้านและปัญหาข้อโต้แย้งคณะที่ 8 เป็นคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งได้มีกระบวนการ ไต่สวนโดยเชิญพยานผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำหลายครั้ง โดยคณะกรรมการไต่สวนได้มีความเห็นสรุปดังนี้

1. แม้คำให้การของนายสุขสันต์ โตสวัสดิ์ หรือ นายสุขสันต์ ชัยเทศน์ ที่ให้การต่อคณะกรรมการไต่สวนจะแตกต่างไปจากคำให้การต่อคณะอนุกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการการเลือกตั้ง และ ศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคไทยรักไทยก็เป็นเพียงกรณีที่พยานกลับคำให้การนอกศาลในภายหลังมิใช่พยานหลักฐานใหม่แต่อย่างใด

2. ยังไม่มีคำพิพากษาในคดีอาญาที่พิพากษาถึงที่สุดว่า นายชวการ โตสวัสดิ์ และนายสุขสันต์ ชัยเทศ ให้การเท็จต่อคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือเบิกความเท็จต่อศาลรัฐธรรมนูญจนเป็นเหตุให้ตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย

3. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมเป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ ตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 268 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และมาตรา 216 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 และไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่าให้ผู้ใดหรือองค์การใดสามารถอุทธรณ์ ฎีกา เปลี่ยนแปลง หรือรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้

คณะกรรมการไต่สวนจึงมีความเห็นว่าควรยกคำร้องของทั้ง 3 กรณี ที่ประชุม กกต. พิจารณาแล้ว มีความเห็นด้วยคะแนนเสียงข้างมากว่าพยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกร้องและพรรคประชาธิปัตย์กระทำการฝ่าฝืนตามข้อกล่าวหาอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 66 (2) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 ประกอบมาตรา 94 (3) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 จึงมีมติให้ยกคำร้องตามความเห็นของคณะกรรมการไต่สวน

แล้วท่านเชื่อหรือไม่ว่า..?? กกต.จะไม่ใช้วิธีพิจารณาคดีในลักษณะแบบนี้อีก หากพรรคเพื่อไทยเจอใบแดง หลังการเลือกตั้ง

เหตุการณ์ต่างๆดังกล่าวข้างต้น มันกำลังจะกลายเป็นวงจรอุบาทว์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวสาร การบ้านการเมือง คงจะนึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับแต่วันที่ นายอภิสิทธิ์ฯประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2554

ความผิดปกติประการแรก นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 22 พ.ค.54 การเข้าพบครั้งนี้จะมีจริงหรือไม่ เข้าพบด้วยเรื่องอะไร? มีการสั่งการอะไร? ไม่มีใครทราบได้ นอกจากตัวนายอภิชาตฯเท่านั้นที่ทราบ แต่ที่แน่ๆ เข้าพบจริง

แล้วท่านเชื่อหรือไม่ว่า..?? นายอภิชาตฯไม่ได้เข้าพบ พล.อ.เปรม

ความผิดปกติประการที่สอง นับเป็นปรากฎการณ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ที่พรรคการเมืองระดับเซียนของการวางแผนชั่ว จะมาเสียท่ากับไอ้เรื่องกระจอกๆในการแจกซีดีและเอกสารโจมตีพรรคเพื่อไทย จนกระทั่งถูกจับกุมพร้อมหลักฐานถึง 3 เหตุการณ์ ทั้งที่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวมันผิดกฎหมายเลือกตั้งถึงขั้นยุบพรรค
โดยเฉพาะการปราศรัยหาเสียงของพลพรรคประชาธิปัตย์ และการให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ นายชวน นายสุเทพ ที่ระบุว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์เล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ครอบครัวและปกป้องทักษิณนั้น ถือเป็นการใส่ความเท็จ ผิดมาตรา 53(5) พ.ร.บ.การเลือกตั้ง การที่ระบุว่าเลือกพรรคเพื่อไทยจะได้พวกเผาบ้านเผาเมือง เป็นพวกก่อการร้าย ก็เข้าข่ายการใส่ร้ายป้ายสี เนื่องจากข้อเท็จจริงแล้วยังไม่มีการพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมว่าใครเป็นคนเผาบ้านเผาเมืองมีความผิดฝ่าฝืนมาตรา 53(5) พ.ร.บ.เลือกตั้งเช่นกัน ที่สำคัญมีผลเกี่ยวโยงถึงมาตรา 237 ตามรัฐธรรมนูญ และมาตรา 94 ตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง มีโทษถึงขั้นยุบพรรค !

ประเด็นดังกล่าวฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้มีการแนะนำคนในพรรคประชาธิปัตย์ ว่าหากจะพูดถึงแกนนำคนเสื้อแดงในช่วงเลือกตั้งห้ามระบุว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ให้เลี่ยงไปใช้คำว่ามีพฤติการณ์เป็นผู้ก่อการร้าย เพื่อไม่ให้มีปัญหาฟ้องร้องตามมา ก็ตาม

แล้วท่านเชื่อหรือไม่ว่า..?? บรรดาแกนนำของพรรคประชาธิปัตย์เหล่านั้น มันโง่เง่าปัญญาควาย ถึงขนาดไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่พวกมันปราศรัยหาเสียง การให้สัมภาษณ์ตามสถานที่ต่างๆทั่วประเทศ รวมถึงการใช้ Face book ของนายอภิสิทธิ์ ที่ใช้โจมตี ใส่ร้ายป้ายสี พรรคเพื่อไทยและผู้สมัคร มันมีโทษทางกฏหมายมากน้อยแค่ไหน

ความผิดปกติประการที่สาม

หลังจากการปราศรัยที่ราชประสงค์ ที่หวังจะสร้างสถานการณ์รุนแรงแล้วโยนความผิดให้กลุ่มคนเสื้อแดงแต่แผนดังกล่าวถูกสั่งห้ามเสียก่อน กอปรกับเสียงตอบรับในการปราศรัยไม่ได้ส่งผลถึงคะแนนเสียงทีเพิ่มขึ้น ในพื้นที่ กทม.แต่อย่างใด เพราะครึ่งหนึ่งของจำนวนประชาชนที่มาฟังการปราศรัยในวันนั้น มันเป็นมวลชนจัดตั้งที่เดินทางมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฏร์ธานี

ความผิดปกติทั้งสามประการ กอปรกับผลโพลทุกค่ายและของพรรคประชาธิปัตย์เอง สรุปในแนวทางเดียวกันคือแพ้การเลือกตั้งอย่างย่อยยับ ดังนั้น มันจึงเป็นที่มาของแผน ยุบพรรค


ข่าวทางลึกจาก War room สี่เสาและ กกต. มีดังนี้ครับ

- กรณีหากยุบพรรคเพื่อไทย บ้านเมืองจะบรรลัยจากการต่อต้านของมวลชนคนเสื้อแดง

- กรณีหากยุบพรรคประชาธิปัตย์ ความร้อนแรงของเหตุการณ์ทางการเมืองจะน้อยลง แต่......จะเกิดทางเลือกใหม่ นั่นคือ รัฐบาลแห่งชาติ

รัฐบาลแห่งชาติ ดังกล่าว เกิดจากความคิดของคนสองกลุ่มใน War Room สี่เสา คนกลุ่มแรกก็คือบรรดานายทุนนักธุรกิจ อีกกลุ่มหนึ่ง คือทหาร ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงนายทหารอาชีพที่เคารพรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย แต่หมายถึงทหารที่แทรกแซงการเมืองจนเป็นอาชีพ

ประเด็นสำคัญ แนวทางการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ของกลุ่มบุคคลชั้นสูง บุคคลในกองทัพ และจากฝ่ายการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ มีเหตุผลเพียงเพื่อ เตรียมการแก้โจทย์ใหญ่ เตรียมการรับมือภยันตราย จากบุคคลที่มองว่าเป็นมหันตภัย นั่นคือ “ทักษิณ”

แต่สิ่งที่สำคัญหรือหัวใจในการวางแผนครั้งนี้ มีข้อสรุปว่า หากพรรคเพื่อไทยประสบชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น นั่นย่อมหมายถึงแผนการทั้งหมดต้องถูกยกเลิกในทันที

สรุป วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฏา ปวงประชาชาวไทย มวลชนคนเสิ้อแดง ที่รักความยุติธรรม หวงแหนประชาธิปไตยยิ่งชีวิต ท่านต้องออกถล่มทลายในการเข้าคูหาเพื่อกาบัตรเลือกตั้งหมายเลข 1 เท่านั้น

แผนชั่วทั้งหลายมันก็จะกลายเป็นกระดาษชำระในทันที ประชาชนจงเจริญ..........

*********
ข่าวเกี่ยวเนื่อง:ปูดข้อตกลงลับ3ฝ่าย พลังพิเศษยอมเพื่อไทยตั้งรัฐบาล แลกนิรโทษกรรมมาร์ค+ฆาตกร91ศพ-หยุดหมิ่น 
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น