วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554


ตำแหน่งทางการเมือง vs พิษวาทกรรมล้มเจ้าฯ
โดย เพ็ญ พรหมแดง
            การที่แกนนำคนเสื้อแดงบางคนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่นเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีเลขานุการรัฐมนตรีเป็นต้นแล้วได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากบางคนบางฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยว่าไม่เหมาะสมโดยอ้างว่ายังต้องคดีต่างๆเช่นคดีล้มเจ้าหรือคดีผู้ก่อการร้ายเป็นต้น

            การไม่เห็นด้วยนี้ถ้าเพียงพูดกันทั่วไปพอหอมปากหอมคอตามสภากาแฟหรือที่ใดๆก็ตามก็ไม่น่าจะผิดปกติอะไรแต่นี่พูดกันในการประชุมสภาผู้แทนฯโดยนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกันและถ่ายทอดโทรทัศน์ให้ประชาชนได้ดู

            มันก็เหมือนเชียร์มวยหรือเชียร์ฟุตบอลนั่นแหละค่ะฝ่ายใครฝ่ายมัน คนฝ่ายไหนก็ถือหางคนฝ่ายนั้น

            ใช่! นั่นเกมกีฬาแต่การเมืองไม่น่าจะเหมือนเกมกีฬาถ้าจะเหมือนก็น่าจะเหมือนตรงที่ถ้าแพ้ก็ยอมรับถ้าชนะก็ยอมรับ (แต่ไม่หยามฝ่ายแพ้) อย่างที่เรียกกันว่าใจนักกีฬา

            แต่สมัยนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้นนะเพราะในเกมกีฬาก็มีการพนันขันต่อเล่นเอาเงินกันมันเป็นเรื่องอบายมุขหรือปากเหวแห่งความเสื่อม

            เกมการเมืองถ้าเป็นเช่นเกมกีฬาเช่นนั้นมันจะเสียเสียหายหนักเข้าไปอีกเพราะเล่นอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยนักการเมืองที่กินเงินเดือนมหาศาลจากเงินภาษีของประชาชน

            การจะตั้งใครให้ดำรงตำแหน่งอะไรในประเทศนี้หรือประเทศไหนคงหนีไม่พ้น 2 ระบบคือระบบอุปถัมภ์กับระบบคุณธรรม

            แต่ละระบบย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย (จุดแข็งและจุดอ่อน) เพราะมนุษย์ปุถุชนเป็นพวกกิเลสหนา


ที่รักโกรธหลงและกลัวอยู่ในกมลสันดาน

        ถ้าการใช้ 2 ระบบนี้แต่พอดี (ไม่ว่าใช้ระบบเดียวหรือ 2 ระบบ) ก็ย่อมเป็นผลดีแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความพอใจความลงตัวของฝ่ายต่างๆถ้าไม่พอใจไม่ลงตัวก็จะก่อเรื่องเป็นเรื่องใหญ่โตบานปลายไปไม่มีสิ้นสุดไม่ต้องทำการทำงานกันจากการได้ตำแหน่งนั้นๆและส่งผลกระทบต่อสังคมโดยภาพรวมแน่นอนประเทศชาติประชาชนเดือดร้อนวุ่นวายไม่มีจบ

            กรณีที่กำลังพูดถึงนี้เพียงเห็นส.ส. ในสภาฯโต้เถียงทะเลาะกันด้วยเรื่องเดิมๆเช่นคดีล้มเจ้าคดีก่อการร้ายฯลฯซึ่งคาราคาซังกันมาไม่มีทางลงเอยอย่างยุติธรรมและสันติอย่างคดีทั่วไปเพราะมันเป็นคดีการเมือง 

            คำว่าการเมืองมีนัยยะว่าไม่จริง (เช่นป่วยการเมืองแสดงว่าไม่ป่วยจริง) จริงไม่จริงก็เห็นกันทั้งบ้านทั้งเมืองและทั้งโลกแล้วว่าไม่ว่าคดีก่อการร้ายยึดสนานบินหรือทำเนียบรัฐบาลหรือเผาบ้านผาเมืองเผารถเมล์ฯลฯจิปาถะยุติกันได้เสียเมื่อไหร่ทั้งๆที่ถ้าเป็นคดีธรรมดาสามารถหาหลักฐานมาจัดการได้ไม่ยาก

            การเอาเรื่องคดีการเมืองมาเป็นเครื่องมือวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งให้ใครดำรงตำแหน่งอะไรนั้นมันเป็นเรื่องขี้แพ้ชวนตีหรือเป็นการหาเรื่องมากกว่าไม่ว่าฝ่ายไหนจะยกขึ้นมากล่าวเพราะแต่ละฝ่ายก็มีเหตุผล (ข้ออ้าง) ที่จะยกขึ้นมาอ้างได้ทั้งสิ้น

            ถ้าการเมืองไทยยังเป็นอยู่อย่างนี้แสดงว่าเราไม่ยอมรับบทเรียนในอดีตความเจ็บปวดการตายของประชาชนเพราะเรื่องการเมืองไม่มีผลทำให้นักการเมืองได้คิดที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความเจ็บปวดเหล่านั้นเกิดขึ้นอีกมันกลายเป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่โหดเหมือนหมามันดุกัดกันให้ตายไปข้างก็จะเข้าภาษิตจีนที่ว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” 
         วาทกรรมแง่ลบว่าล้มเจ้า” ล้มสถาบันหรือก่อการร้ายน่าจะเลิกพูดกันได้แล้วถ้ามีจริงก็ลากคอมาดำเนินคดีโดยศาลสถิตย์ยุติธรรมที่เป็นกลางจริงๆเถอะค่ะ...//

http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น