วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554


พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก ; รมช. คมนาคม
ชี้..ทำไม...ไม่ยอมให้น้ำท่วม กทม. ด้านใน
น้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยปี ๒๕๕๔ กลายเป็นอุทกภัยประวัติศาสตร์

อยู่ในขั้น “สาหัสสากรรจ์” หรือวิกฤตน้ำท่วมขั้นรุนแรงอย่างยิ่ง [Danger Flooding]ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในยุคกรุงรัตนโกสินทร์เจริญรุ่งเรือง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นับประเทศไทยมีตึกรามบ้านช่อง เต็มเมืองหลวง หน่วยงานราชการเต็มไปด้วย “สมองกล” เราไม่เคยถูกน้ำท่วมใหญ่ขนาดนี้เลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็น
ดังนั้น การแก้ปัญหาน้ำท่วมในคราวนี้ จึงมีความยากลำบากแทบว่าจะอธิบายไม่ออก ?
แต่ด้วยมีจิตที่ “หยั่งรู้” เบื้องหน้าเบื้องหลังลึกๆว่าถ้าปล่อยให้น้ำ “ท่วมลึก” เข้ามาใน ๒๐ เขต ณ กลางใจมหานคร จะทำให้เกิดความวิกฤตกระทบไปทุกกระบวนการอย่างแน่นอน เช่นการขนส่งการคมนาคม ตลาดร้านค้า และเครือข่ายบริหารประเทศจะชะงักอยู่กับที่
บ้านเรือนจมที่อยู่ในมวลน้ำ (ไม่ใช่ไต้น้ำ) จนกระดิกตัวไม่ได้– กินวงกว้าง

จะเกิดความโกลาหล หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นปล้น สดมภ์แย่งชิงอาหาร

ความเลวร้ายจะไม่หยุดอยู่แต่นี้ มันจะกระโดดเข้างับศูนย์โทรมนาคมศูนย์ “สมองกล”ของประเทศในทุกกระทรวงทบวงกรม ตลอดทั้งจะทะลวงเข้าหา “องค์กรทางการเงิน” จะทำให้สถาบันการเงินของประเทศเป็นง่อย สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสถานีโทรทัศน์ ทุกช่องจะตกอยู่ในสภาวะต้อง“หยุด” ออกอากาศ ไม่มีข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้องเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ ประเทศไทยทั้งประเภทจะมีสภาวะเสมือนถูกข้าศึกยึดประเทศ

การบริหารราชการ หรือการ “ควบคุม” ประเทศจะตกอยู่ในสภาพตายไปครึ่งตัว

ถ้าปล่อยให้น้ำไหลเข้ากรุงเทพ..นับแต่วินาทีนั้น บ้านเมืองจะตกอยู่ในสภาวะมืดบอดไปทั่วแผ่นดินจะมีสภาพไม่แตกต่างจากการถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

ตรงนี้เองที่คณะรัฐมนตรีของรัฐบาล “ฯพณฯ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” มีจิตหยั่งรู้ร่วมกันว่าน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ “มีเรื่องน่ากลัวฝังลึกอยู่ในปัญหา” ถ้าแก้ไม่ตกจะเป็นปัญหาที่หนักหน่วงเกินที่จะวินิจฉัยได้ จึงฮึดสู้ถวายด้วยชีวิต โดยใช้ สติปัญญาที่รอบคอบ มีสมาธิ ไม่อ่อนไหว ไม่ให้ความหวาดกลัวเข้าครอบงำ 

คณะรัฐมนตรีได้ใช้วิธีการหลากหลายเข้ามาแก้ ทั้งประเภทถูกวิธีตามหลักการ “การผันน้ำ” รวมทั้ง “ไม่ถูกวิธี” ก็ต้องนำเอามาใช้

เช่นการผันน้ำไปยังพื้นที่ย่านบางปะกง-ที่สูงกว่าก็จำเป็นต้องทำ เพราะต้อง “เลี่ยง” หรือเบี่ยงสายน้ำไม่ให้ผ่าน ๒๐ เขตสมองกลอันเป็น “กล่องดวงใจ” ที่รัฐบาลตระหนักอยู่ก่อนแล้ว

ความหมายของ ๒๐ เขตสมองกล หมายถึงถิ่นที่ตั้งของ “กลไกบริหารประเทศชาติ”ทั้งประเภทกองอำนวยการใหญ่ที่ “ควบคุมศูนย์กลางอำนาจของประชาชน” และศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ อันถือเป็นหัวใจที่เทียบเท่ากับ “กล่องดวงใจ” ที่จะต้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต

การรักษาจึงเข้มข้น ไม่ต้องหลับนอน มีการเฝ้าเวรยาม และทำงานโดยคณะรัฐมนตรี คณะทำงาน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่เลือกสี ไม่เลือกว่าจะเป็นพวกพันธมิตรหรือคนเสื้อแดง 

แต่ด้วยเหตุที่คนเสื้อแดงดูจะมีบทบาทมากกว่า เพราะได้ใช้ “เสื้อแดง” นำหน้า และยกไปเป็นกองคาราวาน ซึ่งเป็นรูปแบบชนิดเดียวกับที่เคยปฏิบัติเมื่อครั้งชุมนุมใหญ่ เมื่อปฏิบัติจนเคยชินก็ส่งผลมาสู่การเคลื่อนขบวนในครั้งนี้ไม่อาจทิ้งเสื้อสีแดงได้

                เสื้อสีแดง จึงมองเห็นในพื้นที่น้ำท่วมได้ในหลายจังหวัด

                ทว่า...ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีแดง เสื้อหลากสี หรือรัฐบาล ต่างก็ประสบกับความยากลำบากที่จะเข้าถึง “หมู่บ้าน” เพราะการกั้นกำแพงไม่ให้น้ำเข้า เป็นเหตุให้เข้าไม่ถึง ผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือจึงสุดแสนจะทุลักทุเลมาจนถึงวันนี้

วันนี้ พีเพิ่ล ออน ไลน์ ขอกราบเรียนว่า เราได้ “ถอดข้อความ”ดังที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดมาจากการสัมภาษณ์ “พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๔.๓๐ น.

การสอบถาม และการขอความเห็นจากรัฐมนตรี “สายตำรวจ” ที่จัดได้ว่าเป็น “ตำรวจเสื้อแดง” เต็มตัว ทำให้เราได้รับรู้อย่างเป็นกันเอง ไม่มีการซ่อนเร้นข้อมูล ไม่ปิดปังประชาชน คำให้สัมภาษณ์ทั้งหมดที่พีเพิ่ล ออน ไลน์ ได้รับมา ถือได้ว่าเป็นการบอกกล่าวเล่าถึงปัญหาและความในใจว่ามีอะไรซ่อนลึกอยู่ในความรู้สึก ตลอดทั้งการใช้คำว่า “มีจิตหยั่งรู้” นับว่าเป็น “ปริศนาธรรม” ที่คนเสื้อแดงสามารถตีความว่าหมายถึงอะไร

เราได้สอบถาม “จำนวนมวลน้ำ” จากท่านรัฐมนตรีชัจจ์ ท่านบอกว่ามี “มวลน้ำ”มหาศาลไหลลงมาจากเหนือ พุ่งเข้าท่วมนครสวรรค์ ยากที่จะบอกตัวเลข เพราะจะขัดแย้งกับข้อมูลของกรมชลประทาน แต่เราสามารถที่จะประมาณเอาจากขนาดความกว้างใหญ่ของพื้นที่และขนาดของเขื่อนที่มีความจุแน่นอน ก็จะได้ตัวเลขมากกว่า ๑,๗๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร

มวลน้ำขนาดนี้ สามารถจมเมืองทั้งเมืองได้ในพริบตา !

แต่เนื่องจากประเทศไทย มีพื้นที่ราบกว้างใหญ่ตั้งแต่จังหวัดนคสวรรค์ลงมา ผ่านชัยนาท สุพรรณบุรีอุทัยธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง มาถึงปทุมธานี จึงทำให้ “มวลมหาศาล” ถูกแผ่ออกอย่างกว้างใหญ่ ถึงกระนั้น..มวลน้ำก็ยังท่วมหลายนิคมฯจมมิดหลังคา

พูดไปน่าขนลุก..กล่าวถือ ถ้าเป็นเมืองอยู่ในหุบเขาจะไม่พ้น “จมไปทั้งเมือง” อย่างแน่นอน หรือว่าถ้า “ปล่อย” ให้กระแสน้ำไหลไปตามธรรมชาติของน้ำ-น้ำก็จะไหลท่วมสองฝั่งทางก่อนไหล ลงสู่ทะเล โดยมีจุดจบอยู่ที่ “กรุงเทพ” โดยมี ๒๐ เขต (ชั้นใน) เป็นแอ่งน้ำยักษ์

          ในจำนวน ๒๐ เขตชั้นในนี้แหละคือสถานที่ตั้งของสมองกลทุกชนิด

                พูดให้มองเห็นภาพ ก็คือ “มวลน้ำ ล้าน-ล้านลูกบาศก์เมตร” จะไหลท่วมศูนย์กลางสมองกลอย่างไม่ปราณีปราศรัย จะทำให้อะไรบ้างพังพินาศ ลองนึกดูเอาก็แล้วกัน

       มาถึงวันนี้ รัฐบาลแสนจะขอบคุณ “พ่อแม่พี่น้อง” ต่างจังหวัดที่ยอมสูญเสียเพื่อจะรักษาเส้นทางเศรษฐกิจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ อันเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงว่าคนไทยจะเข้าใจในปัญหาของชาติได้รวดเร็วขนาดนี้

      พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก บอกเล่าให้พีเพิ่ล ออน ไลน์ ได้รับฟังชัดถ้อยชัดคำ
      ต่อคำถามว่า อีกนานไหม น้ำจะหมดไป ก็ได้รับคำตอบว่า “ท่านนายกรัฐมนตรีหญิง”ของเรา พณฯ น.ส. ยิงลักษณ์ ชินวัตร ทำงานรอบคอบ รับฟังปัญหาจากคณะรัฐมนตรี และที่ปรึกษาอย่างถี่ยิบ เพื่อจะไม่ให้ตกหล่นตอนนี้สีหน้าท่านดีขึ้น ดูสีหน้าก็พอจะเดาออก

      สรุปแล้ว ต้องรออีกนิด..(ไม่เกิน ๔-๕ วัน) ก็จะได้เห็นของจริง

       พีเพิ่ล ออน ไลน์ สอบถามเดินหน้าว่า หลังจากน้ำลดแล้ว มีงานแก้ไขอย่างไรบ้าง ?

      รัฐมนตรีฯ ชัจจน์ กุลดิลก ตอบว่าในส่วนของถนนหนทาง ถ้าเป็นในกรุงเทพ เป็นหน้าที่ของท่านผู้ว่า กทม. (ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพตร)แต่ถ้าเป็นพื้นที่นอกกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดไหน เป็นหน้าที่ของกระทรวงคมนาคมจะต้องรีบซ่อมแซมทันทีทันใด

       ต้องใช้งบประมาณอย่างต่ำ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท จึงจะแก้ไขได้ในระดับหนึ่ง เงินมากมายขนาดนี้ ไม่รู้จะเอาจากที่ไหน ? นี้เป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องคิด ถ้าจะรองบประมาณตามระบบ ก็ต้องรอถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ คืออีก ๓ ถึง ๔ เดือนจะรอไหวหรือ ?

          ถนนที่จะซ่อมแบ่งเป็น “ถนนหลวงชนบท” ๑ ส่วน(ถนนลาดยาง)
          ถนนหลวงแผ่นดิน ๓ ส่วน(อาจเป็นทั้งคอนกรีตและลาดยาง)
          นอกจากถนนต่างๆ ยังมีสะพาน ท่อระบายน้ำใต้ถนน และอื่นๆอีก
ประวัติ (ย่อ) พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก

        พลตำรวจโทชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมซึ่งได้ลาออกจากการเป็น ส.ส. (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ) พอใจที่จะรับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเพียงตำแหน่งเดียว เพื่อจะเปิดโอกาสให้ผู้สมัครได้เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.

พลตำรวจโทชัจจ์ กุลดิลก จึงกลายเป็นอดีต ส.ส. ไปโดยปริยาย

ในช่วงการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นที่สะพานผ่านฟ้า หรือเวทีราชประสงค์ ซึ่งประดา “แกนนำ” คนสำคัญจะยึดเอา “ใต้เวที” เป็นที่หลับนอน ไม่ว่าจะเป็นนายวีระ มุสิกพงศ์ นายรัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ หรืออีกหลายคน- แม้แต่แกนนำหญิง พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก็หลบเข้าไปนอนใต้เวที

มีคำถามว่าทำไมต้องนอนใต้เวทีด้วย ก็มีคำตอบว่า “การชุมนุมของคนเสื้อแดง” มันไม่ใช่งานสมัครเล่น แต่เป็นงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ประดาแกนนำ จึงมอบหัวใจให้ ถวายด้วยชีวิต ตัวของพล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก จึงเป็น “แดงเต็มร้อย” ไม่แตกต่างจากนิสิต สินธุไพร วิภูแถลง วัฒนภูมิไท หมอเหวง โตจิราการ เป็นต้น

     
 วันนี้ได้เป็นรัฐมนตรีในสาย “คนเสื้อแดง” ที่ต่อสู้มาด้วยชีวิต ในขณะการต่อสู้ดังกล่าว ตัวเองอยู่ในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีอดีตเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และที่ปรึกษาหนังสือพิมพ์มหาประชาชนฉบับความจริงวันนี้
ชัจจ์ กุลดิลก เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนพ.ศ. 2486 เป็นบุตรของนายใช้ กับนางเซี้ยม กุลดิลก จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สาขารัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิต (รป.บ.) มีบุตรสาวเป็น ส.ส. ได้แก่ ส.ส. ดร. จารุพรรณ กุลดิลก ซึ่งเป็น ส.ส. สายนักวิชาการ กลุ่มอาจารย์ตุ้ม อาจารย์หวาน ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น ดีเจ ฝีปากกล้าของสถานีวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ ซอย ๓ ถนนวิภาวดี

พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก เคยดำรงตำแหน่งสูงสุดในราชการตำรวจ คือ ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) ต่อมาจึงได้เข้ามาทำงานการเมืองร่วมกับพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย

ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ได้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยลำดับที่ 11และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นสมัยแรก ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อจากนั้นในวันที่ 25 สิงหาคมพ.ศ. 2554 ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สมัครในบัญชีรายชื่อลำดับถัดได้เลื่อนลำดับขึ้นมาแทนดังที่กล่าวแล้ว

ก่อนหน้านั้น พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก ถูกศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้จำคุก เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2549 ในกรณีที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นโจทย์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 80 ล้านบาท ฐานหมิ่นประมาท โดยการพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุก 3 เดือน ปรับ ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา ๒ ปี

ก่อนจบการให้สัมภาษณ์ พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก กล่าวว่า อย่าด่วนสรุปว่าน้ำจะไม่ก่อปัญหาให้หนักใจอีก เพราะว่าวันนี้ หลายอย่างยังไม่เรียบร้อยดี รอดูอีก ๔-๕ วัน ก็จะได้พบกับความจริงว่า “มวลน้ำมหาศาล” ที่ค้างอยู่ทางด้านเหนือของกรุงเทพ จะระบายลงสู่ทะเล โดยไม่ให้ผ่านกรุงเทพด้านในได้จริงหรือไม่ ..? 

ฟังแล้วยังไม่หายสะดุ้ง ต้องแบกหัวใจเอามาลุ้น ..ลุ้นสุดตัว !

 พีเพิ่ล ออน ไลน์ ขอมอบเนื้อหาสาระการขอสัมภาษณ์ให้ท่านผู้อ่านได้ตรวจสอบข้อมูล โดยขอเรียนให้ทราบ เรามีเป้าหมายที่จะ “สัมภาษณ์” กระทรวงต่างๆ เพื่อจะเป็นกระจกให้พ่อแม่พี่น้อง “ที่อยู่ต่างแดน” จะได้รับรู้อนาคตของแผ่นดิน.

                                                             สอาด จันทร์ดี     
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น