วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554


112 ปักเข่า
           เอ้า เร่เข้ามาๆ เรียงหน้าขายความเขลา รอบสัปดาห์นี้เป็นที่เฮฮายิ่ง เมื่อบรรดา Idols ฝ่ายจารีตนิยม ออกมาปกป้อง ม.112 ด้วยเหตุผลข้างๆ คูๆ ธนูปักเข่า แบบว่าไม่ต้องถึงมืออาจารย์กฎหมายอย่างนิติราษฎร์ ชาวบ้านชาวช่องผู้รักประชาธิปไตยในเฟซบุคก็ยกเหตุผลมาโต้ได้เป็นชุดๆ


ภาพ : ที่มาของสำนวน"ธนูปักหัวเข่า" จากเกมคอมพิวเตอร์ "SKYRIM" (Bethesda Game Studios)

          ยกตัวอย่าง “เมธ เฟอร์รารี” ผู้ได้รับการยกย่องน้องๆ ปราชญ์ ยังพูดซี้ซั้ว "เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เพื่อนมาเล่าให้ฟังมีคนแต่งโคลงกลอนล้อประธานาธิบดี ถูกติดเข้าคุกเลย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นมาตราอะไร ของฝรั่งเขา ผมไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่เขาก็โดนลงโทษ ที่ไหนในโลกนี้เขาก็มีกันทั้งนั้น"

          ท่านฟังเขาเล่าว่า แล้วเอามาพูดโดยไม่ศึกษาหาความจริง อย่างนี้ก็มีด้วย ท่านเป็นเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนานะครับ ไม่ใช่แม่ค้า เผลอๆ แม่ค้ายังรู้มากกว่าท่านว่า ไอ้เรื่องที่อ้างว่าคนเขียน “กลอนล้อประธานาธิบดี” ติดคุกน่ะ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โต้สุริยะใส กตะศิลา และ ASTV ในเฟซบุคไว้หลายวันแล้วว่าไม่ใช่ล้อ ไม่ใช่หมิ่นประมาท แต่เป็นกลอนขู่ฆ่า จึงติดคุก 3 ปี ส่วนที่ด่าว่าประธานาธิบดีแบบ Stupid Idiot (หรืออาจจะถึงฟักกลิ้ง) เขาถือเป็นเรื่องธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย

          ชาวบ้านรู้กันทั่วแล้ว ท่านยังฟังเขาเล่าว่าอยู่เลย รู้จักเอาหลักพอเพียงมาใช้กับตัวเองบ้างสิครับ แสดงความเห็นแต่พอเพียง รู้จักประมาณตนเสียบ้าง

          รายแรกที่เสนอหน้าออกมา “ผู้แพ้แห่งปี” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครั้งก่อนเรียกร้องไม่ให้เลือกคนเลว จ้องล้มสถาบัน แล้วเป็นไง แพ้ถล่มทลาย ครั้งนี้ออกมาไล่คนที่ต้องการแก้ ม.112 ให้ออกไปอยู่ต่างประเทศ

          ถามแบบสำบัดสำนวนคือ นี่จะไล่อานันท์ ปันยารชุน ด้วยหรือเปล่า เพราะอานันท์ก็บอกว่าควรแก้ไข โทษหนักเกินไป

          ถามแบบมีหลักการคือ ประยุทธ์ไม่ได้ไล่คน “จ้องล้มสถาบัน” แต่ไล่หมด ไม่ว่าคนอยากแก้ไขหรืออยากยกเลิก 112 ในสายตาประยุทธ์คือพวกเดียวกัน ไล่หมด เป็นศัตรูหมด จะเอาอย่างนั้นหรือ ฉลาดแท้ ขอให้จำเริญๆ เถอะ พระเอกลีลาศสวนลุม

          กล่าวในหลักประชาธิปไตย หลักสิทธิเสรีภาพ ประยุทธ์พูดอย่างนี้ รัฐบาลประชาธิปไตยมีเหตุผลเพียงพอที่จะสั่งปลด เพราะการเสนอแก้ไขกฎหมาย การวิพากษ์วิจารณ์กฎหมาย ไม่ว่ามาตราใด ถือเป็นสิทธิเสรีภาพ ผบ.ทบ.ก็มีสิทธิแสดงความเห็น เห็นด้วยไม่เห็นด้วย พูดอย่างเป็นเหตุผล แต่ไม่ใช่ใช้สถานะของผู้ควบคุมกองกำลังอาวุธ มาข่มขู่ ขับไล่ คุกคามสิทธิเสรีภาพของคนเห็นต่าง

          แต่อย่างว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกลับป๊อด ขณะที่องค์กรด้านกฎหมาย ด้านสิทธิมนุษยชนของเราก็พึ่งไม่ได้

          คำพูดของประยุทธ์ยังสะท้อนจิตสำนึกที่เลื่อมใสในราชาธิปไตยมากกว่าประชาธิปไตย เพราะระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ให้เสรีภาพที่จะถกเถียงกันในเรื่องโครงสร้างบทบาทของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ตราบใดที่ไม่ดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้าย สมมติเช่น ถกเถียงกันว่ารัฐธรรมนูญยังควรให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจ Veto กฎหมายหรือไม่ การถกเถียงเรื่อง ม.112 ก็อยู่ในเรื่องโครงสร้างบทบาท ประเด็นอยู่ที่การตีความระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษ้ตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ว่าประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ท้วงติงบทบาทของสถาบันฯ เพื่อประโยชน์ของประชาธิปไตยหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะได้หรือไม่

          ประชาธิปไตยให้เสรีภาพที่จะถกเถียงกันได้ แต่ราชาธิปไตยไม่ให้เสรีภาพ เพราะราชาธิปไตยอำนาจอยู่ที่กษัตริย์เพียงผู้เดียว ใครไปถกเถียงว่ากษัตริย์ควรมีอำนาจน้อยลงอย่างนั้นอย่างนี้ มีโทษเป็นกบฎตัดหัว 7 ชั่วโคตร

          ขุนพลประยุทธ์คงมองอย่างนั้น ประยุทธ์อยากเป็นขุนพลในระบอบราชาธิปไตย ไม่ได้อยากเป็นผู้บัญชาการทหารบกที่กินเงินเดือนจากภาษีประชาชนภายใต้อำนาจอธิปไตยของปวงชน (ฉะนั้นก็ควรไปให้พ้นๆ เสีย)

           รายที่ขี้เกียจพูดถึงเพราะสะท้อนความคิดหลุดโลก ราชานิยมตกขอบ จนชาวบ้านฮากลิ้ง (แต่เจ้าตัวคงซาบซึ้งเสียเต็มประดา) คือวสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งแต่งนิยาย “สารวัตรเถื่อน” ภาคสุดท้าย ปลุกระดมพวกไฮเปอร์รอแยลลิสต์ให้ต่อสู้กับอเมริกาและสหประชาชาติ ด่ากราดเหมาโหลไปหมดว่าคนที่คิดจะปรับโครงสร้างให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความก้าวหน้าและยั่งยืน เป็นพวกอกตัญญูเนรคุณ

          นี่ถ้าพูดถึงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแบบอังกฤษ แบบยุโรป ที่เขาเปิดให้พวกนิยมสาธารณรัฐ (พวกไม่เอาเจ้า) เคลื่อนไหวได้อย่างมีเสรีภาพเต็มที่ คนอย่างวสิษฐ สุเมธ ประยุทธ์ คงอกแตกตาย เพราะคนพวกนี้มองไม่เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์สามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์

          ส่วนรายที่ตะแบงได้สุดๆ สมเป็นเนติบริกรตัวพ่อ คือมีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งอ้างว่าต้องยอมรับประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ เหมือนอเมริกาต้องยอมรับโทษเฆี่ยนตีของสิงคโปร์ (ใครว่ายอมรับ องค์กรสิทธิมนุษยชนเขาก็วิพากษ์วิจารณ์อยู่ตลอด) แบบนี้ก็เท่ากับมีชัยยอมรับรัฐอิสลามที่ลงโทษผู้หญิงมีชู้ด้วยการปาก้อนหินจนตาย ยอมรับการที่ตาลีบันระเบิดพระพุทธรูปโบราณทิ้ง

          ส่วนที่มีชัยอ้างเรื่องอเมริกากลัวผู้ก่อการร้ายจนตรวจค้นคนขึ้นเครื่องบินโดยไม่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพ เป็นการ “มั่ว” เอาแพะมาสวมแกะ เพราะนั่นเป็นการกระทำเพื่อปกป้องชีวิตทรัพย์สินของผู้โดยสารโดยรวม แล้วมีชัยก็ยกเรื่องอเมริกายิงจรวดฆ่าคนผิด อ้างว่าไม่เห็นใครตำหนิ อ้าว ถ้าองค์กรสิทธิมนุษยชนเขาไม่ตำหนิ ไม่เผยแพร่ข่าว แล้วท่านจะรู้ได้ไง ท่านพยายามจะสร้างตรรก คุณชั่วได้ผมก็เลวได้ อย่างนั้นหรือ

          มีชัยบิดเบือนตั้งแต่แรกว่า 112 ก็เหมือนหมิ่นคนธรรมดา ถ้าอย่างนั้น เอางี้ไหมครับ ยกเลิก 112 แล้วไปบัญญัติมาตรา 326 เพิ่มอีกวรรค ว่าถ้าเป็นการหมิ่นประมาทที่กระทำต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้เพิ่มโทษอีก 2 เท่า 3 เท่า หรือ 5 เท่าเลยเอ้า

          ก็ถ้าท่านบอกว่าเหมือนหมิ่นคนธรรมดา บัญญัติอย่างนั้นก็ได้เหมือนกัน แต่นี่มันไม่เหมือน ตั้งแต่อัตราโทษที่สูงกว่า 15 เท่า แถมกำหนดโทษขั้นต่ำ 3 ปี การกำหนดให้อยู่ในหมวดความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ซึ่งใครก็แจ้งความได้ ที่สำคัญกว่านั้นคืออุดมการณ์ในการตีความและบังคับใช้ ซึ่งเป็นอุดมการณ์สลิ่มไฮเปอร์ มองสถาบันเป็นเทวราชที่แตะต้องไม่ได้ ไม่ใช่เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ความเขลาสร้างความรุนแรง
          ถ้าจำแนกท่าทีของฝ่ายจารีตนิยม หรือฝ่ายที่เคยสนับสนุนกลุ่มพลังราชาชาตินิยมอย่างพันธมิตรฯ จะเห็นว่าอานันท์ ปันยารชุน, คำนูณ สิทธิสมาน, ไชยันต์ ไชยพร, กิตติศักดิ์ ปรกติ หรือแม้แต่พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ต่างก็แสดงท่าทีว่า 112 มีปัญหา จำเป็นต้องแก้ไขบ้าง แม้บางคนอาจไม่ต้องการให้แก้ตามข้อเสนอนิติราษฎร์ โดยอาจจะอยากแก้แค่ 2 ประเด็นคือ อัตราโทษ กับป้องกันไม่ให้ใครก็แจ้งความได้

          แต่การ “แสดงพลัง” ของ Idio… เอ๊ย Idols ดังกล่าว ไม่ว่ามีใบสั่งหรือพ้องกันโดยมิได้นัดหมาย ก็แสดงปฏิกิริยาของขั้วล้าหลัง ขวาสุดโต่ง ที่จะไม่ยอมให้มีการปรับเปลี่ยนแม้แต่น้อย (บอกแล้วว่าประยุทธ์ไล่อานันท์ด้วย)

          การปลุกกระแสสุดโต่งเช่นนี้ไม่ได้ใช้เหตุผล แต่ละคนที่ออกมาพูดล้วนตื้นเขิน โต้ง่าย แต่อาศัยพลังของการครอบงำความคิดข้างเดียวมายาวนาน สร้างตรรกแบบ “ถ้าไม่คิดจะล่วงเกินสถาบันทำไมต้องกลัวผิดกฎหมาย” นอกจากนี้ยังอาศัยการรายงานข่าวข้างเดียวของสื่อกระแสหลัก มีกองทัพและตุลาการเป็นเครื่องมือปราบปรามฝ่ายตรงข้าม

          การปลุกพลังไร้สติเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถดึงเสียงข้างมากให้เห็นด้วย เพราะผู้จงรักภักดีจำนวนหนึ่ง ก็อาจเห็นด้วยกับอานันท์ ว่าควรแก้ไขบ้าง แต่การปลุกพลังไร้สติ บวกกับการคุกคามของกองทัพและความอำมหิตของตุลาการ เป็นการกดสังคมไว้ด้วยความกลัว ด้วยความเชื่อว่าทำอย่างนี้แล้วจะอุดรูหายใจของฝ่ายที่ต้องการแก้ไขได้ทั้งหมด

          แต่คนพวกนี้ประเมินพลังทางสังคมผิด สังคมไทย 2555 ไม่ใช่หลัง 6 ตุลา 2519 คนพวกนี้ไม่เคยขึ้นแท็กซี่ เหมือนผมขึ้นแท็กซี่ขับตามหลังรถ ร.ย.ล.ซึ่งอันที่จริงก็ขับปาดบ้างตามประสาคนชั้นกลางทั่วไป (ขับดีกว่าผมเยอะ) แต่แท็กซี่จ้องจับผิด “ร.ย.ล.แปลว่าอะไร ทำไมไม่กลัวตำรวจ”

          พวกเขากำลังจะอุดแรงดันของหม้อน้ำที่ใกล้เดือดพล่าน แทนที่จะเปิดช่องทางให้ไอน้ำระบายในทิศทางที่ควบคุมได้ อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่ทราบนะครับ ภายใต้เงื่อนไขที่กำลังจะต้องมีความเปลี่ยนแปลงเสียด้วย พลังไร้สติเผชิญกับพลังที่เดือดพล่าน แรงระเบิดมันจะไปกี่ทิศทาง

          บอกตามตรงว่าตอนแรกผมกลัวเสียด้วยซ้ำว่า กระแสแก้ 112 จะถูก “สลาย” ด้วยฝ่ายพิราบอย่างอานันท์ จากที่เราเรียกร้องกัน 4-5 ข้อ ถ้ามีการแก้ไขแค่ลดอัตราโทษ กับให้มีหน่วยงานกลางรับผิดชอบดำเนินคดี กระแสก็จะตก ข้อเรียกร้องที่เหลือก็ไม่มีใครสนใจอีก

          สมมติต้นปีหน้า มีการเคลียร์คดี 112 ที่เหลือแล้วทุกคนได้รับพระราชทานอภัยโทษ ไม่มีการรุกไล่เอาผิดใครอีก รัฐบาลตั้งหน่วยงานกลางขึ้นมาดูแล ผู้ใกล้ชิดสถาบันซักรายออกมา“แสดงเมตตาธรรม” เสนอให้แก้กฎหมายลดโทษจาก 3-15 เป็นไม่เกิน 5 ปี

          ถามจริงว่าจะเหลือประเด็นอะไรให้เคลื่อนไหวอีก ที่เหลือก็จะเป็นแค่ข้อเรียกร้องทางทฤษฎีโต้กันในแผ่นกระดาษ

         แต่เมื่อเห็นกระแสเหยี่ยวอย่างนี้ ผมก็ไม่ต้องกลัวแบบเดิมแล้วครับ เพียงแต่กลัวเจอแบบใหม่ คือจะกลายเป็นการแตกหักแบบโง่เขลา รุนแรง ควบคุมไม่ได้ทั้งสองข้าง (พวกไฮเปอร์คงอยากเห็นอย่างนั้น แต่ผมไม่อยากเห็นเพราะคราวนี้ประเทศไทยจะโดนธนูปักเข่าจริงๆ)

          รัฐบาลยิ่งลักษณ์เองก็ขาหัก เมื่อออเหลิมมารับปากว่าจะไม่แก้ 112 นี่คือความป๊อดของรัฐบาลที่ประชาชนเลือกไป ซึ่งผมไม่ได้เรียกร้องว่ารัฐบาลต้องเป็นหัวหอกแก้ 112 แต่รัฐบาลต้องไม่ปิดทาง ต้องบอกว่าแล้วแต่ความคิดเห็นในสังคม เพียงแต่ตนเองจะไม่ริเริ่ม ที่สำคัญกว่านั้นคือรัฐบาลมีหน้าที่ต้องชี้แจงสังคมด้วยว่า การแก้ 112 ไม่ใช่ความผิดคิดร้าย ไม่ใช่ล้มสถาบัน แต่รัฐบาลกลับเอาตัวรอดง่ายๆ โดดหนี ราวกับว่าการแก้ 112 เป็นเรื่องที่น่าเกลียดน่ากลัว

          ผมก็ไม่เข้าใจว่ารัฐบาลนี้จะกลัวสลิ่มไปไย เอาใจสลิ่มไปไย เพราะคุณทำได้แค่เอาตัวรอดไปวันๆ พวกเขาก็สรรหาเรื่องมาด่าทอโจมตีอยู่ดี เหมือนทำยึกยักไม่กล้าแก้รัฐธรรมนูญ กลัวข้อหาแก้เพื่อคนคนเดียว แต่ยังไม่แก้รัฐธรรมนูญแล้วดันไปออกพาสปอร์ต ไปตั้งท่าจะนิรโทษกรรม ไม่เล่นตามระบบ ไปเล่นซิกแซ็ก เดี๋ยวก็โดนเขาโค่นอยู่ดี

          ถ้าแก้รัฐธรรมนูญตามข้อเสนอนิติราษฎร์ ปลายปี 56 ทักษิณก็ได้กลับบ้าน แม้อาจนานหน่อยและต้องมาขึ้นศาลใหม่ แต่ถ้ามัวซิกแซ็ก หวังพึ่งออเหลิม เจรจา ต่อรอง เกี้ยเซี้ย นิรโทษกรรม เผลอๆ จะโดนเขาโค่นโดยมวลชนสมน้ำหน้า เบื่อหน่าย หมดศรัทธา หมดโอกาสรอบนี้เห็นทีต้องรอชาติหน้ากว่าได้เหยียบแผ่นดินไทย

ค.อ.ป๊อด
          ขอพูดถึงรายงาน คอป.หน่อย เพราะค้างคาใจ มัวแต่พูดเรื่อง 112 ไม่ทันได้วิพากษ์กัน

          รายงาน คอป.ฉบับที่ 2 สรุปผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนที่สอง 17 ม.ค.ถึง 16 ก.ค.ที่จริงมีประเด็นให้พูดถึงหลายประเด็น แต่สื่อกระแสหลักจับประเด็นเดียว การละเมิดหลักนิติธรรมเกิดขึ้นตั้งแต่คดีทักษิณซุกหุ้น

          อันที่จริงถ้าดูกรอบเวลา จะเห็นว่านี่ควรเป็นรายงานเสนอรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่ใช่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งเพิ่งชนะเลือกตั้งเมื่อ 3 ก.ค. ข้อเสนอของ คอป.เช่น ให้ตรวจสอบว่ามีการตั้งข้อหารุนแรงเกินควรหรือไม่ ให้ผู้ต้องหาและจำเลยได้รับการประกันตัว ให้จัดสถานที่ควบคุมผู้ต้องขังทางการเมือง ให้ใช้หลักความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ รวมถึงให้เยียวยาผู้ถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม และข้อเสนอต่างๆ เกี่ยวกับมาตรา 112 นั้น อันที่จริงควรเสนอต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ เสนอต่ออัยการ และศาล ให้มีผลทางปฏิบัติตั้งแต่ก่อนหน้านี้

          แต่ผลที่เกิดขึ้นคืออะไร เอ้า ยกตัวอย่าง คอป.เสนอให้ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว คอป.สรุปเมื่อเหตุการณ์พฤษภาอำมหิตผ่านไป 1 ปี 2 เดือน แล้วมาออกรายงานเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป 1 ปี 7 เดือน ถามว่าช่วยใครได้บ้างไหม เมื่อเร็วๆ นี้ศาลเพิ่งตัดสินยกฟ้อง 6 นปช.ที่ต้องหาเผาเซ็นทรัลด์เวิลด์ แต่จำคุก 6 เดือนฐานฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน โดยพวกเขาติดคุกฟรีมาปีครึ่ง

          ประเด็นที่สื่อควรตั้งคำถามมากกว่าคือ ตั้งคำถาม คอป.ว่าทำไมไม่รีบทำข้อเสนอส่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ อัยการ และศาล เพื่อให้มีผลโดยเร็ว นอกจากนี้ยังควรตั้งคำถามต่อศาลว่า เห็นด้วยและยอมรับ “หลักความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์” ตามข้อเสนอของ คอป.หรือไม่ เพราะผมเห็น “หลักความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์” คดีเดียวคือ คดีพันธมิตรขับรถไล่ชนตำรวจ

          เมื่อ 2 วันก่อน ศาลจังหวัดปัตตานีเพิ่งตัดสินยกฟ้องคดีก่อการร้าย เพราะศาลไม่เชื่อคำให้การซัดทอดช่วงที่พยานถูกควบคุมตัวโดยกฎอัยการศึกและ พรก.ฉุกเฉิน ตัดสินอย่างนี้สิ น่าปรบมือให้ แต่ท่านใช้มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศหรือเปล่า ท่านปฏิบัติกับ “ผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง” เหมือน “ผู้ก่อการร้ายภาคใต้” หรือเปล่า

          สิทธิการประกันตัวเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่การวินิจฉัยของผู้พิพากษาคนเดียว ทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนสูญเสียไป โดยไม่มีใครสามารถตรวจสอบอำนาจวินิจฉัยนั้น ว่าทำตามหลักกฎหมาย หรือทำตามอำเภอใจ ทำด้วยความเกลียดชัง ทำด้วยอคติทางการเมือง แล้วก็ไม่มีใครสามารถเรียกร้องให้รับผิดชอบได้ นี่คือการใช้อำนาจโดยไม่ต้องรับผิดชอบ

           ประเด็น 112 คอป.ก็ป๊อดนะครับ เพราะเสนอเพียงแค่แนวทางบังคับใช้ให้ผ่อนปรน แต่ไม่กล้าเสนอให้แก้ไข ทั้งที่คณิต ณ นคร เป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายอยู่ด้วย เป็นหน้าที่โดยตรงของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่ควรจะเสนอแก้ไข ท่านเพียงให้สัมภาษณ์ยักไว้ว่า เดี๋ยวจะแสดงความเห็นเรื่อง 112 อีกทีหนึ่ง

          แต่ที่สำคัญก็คือประเด็นสุดท้าย ที่ คอป.อ้างว่ารากเหง้าของความขัดแย้งมาจากการละเมิดหลักนิติธรรม ในคดีซุกหุ้น ซึ่งปฏิบัติผิดหลักกฎหมาย เรื่องนี้พูดอีกก็ถูกอีก แต่ คอป.พูดไม่หมด หรือพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เสี้ยวเดียว (ยืมวัฒนธรรมแมลงสาบ)

          สื่อหลายสำนักเอาประเด็นนี้ไปวิพากษ์วิจารณ์กันมันปาก แถมยังพาดพิงว่านักกฎหมายที่คัดค้านรัฐประหารควรมองให้เห็นที่มาอย่างนี้บ้าง ไอ้พวกบิดเบือน พยายามจะลบเลือนประวัติศาสตร์ที่ อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ หรือนักประชาธิปไตยทั้งหลายที่คัดค้านรัฐประหาร ล้วนแล้วแต่วิพากษ์วิจารณ์คดีซุกหุ้นกันมาแล้วทั้งนั้น (ขณะที่ตอนนั้นสนธิ ลิ้ม และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการอยู่ข้างไหน ทำเป็นจำไม่ได้)

          สื่อบางรายฟันแท้เพิ่งขึ้นสมัยไล่ทักษิณ แล้วทำอหังการ์ บอกว่าตัวเองกล้าท้าทายอำนาจ ที่จริงโหนกระแสครับ คนที่เขากล้าคัดค้านทักษิณตอนเรืองอำนาจ และกล้าคัดค้านรัฐประหารตอนเรืองอำนาจ กล้าสวนกระแสฉาบฉวยของคนชั้นกลาง จึงเป็นของจริง

          “รากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งส่วนหนึ่งมาจากกระบวนการที่ละเมิดหลักนิติธรรม กระบวนการประชาธิปไตย กระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่ทุกๆ อย่างมีความอ่อนแอและขาดประสิทธิภาพ จนนำไปสู่กระบวนการใช้อำนาจนอกระบบในการแก้ไขปัญหา โดยการรัฐประหารซึ่งเป็นการละเมิดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง ซึ่งแทนที่จะเป็นการแก้ปัญหา แต่ในท้ายที่สุดกลับสร้างปัญหามากยิ่งขึ้น”

          ภาพรวมตรงนี้ คอป.สรุปถูกต้อง แต่พอขยายความกลับไปพูดถึงเฉพาะคดีซุกหุ้น ไม่พูดถึงการใช้อำนาจตุลาการภิวัตน์หลังรัฐประหาร ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ตั้งแต่การยุบพรรคไทยรักไทยแล้วตัดสิทธิโดยใช้กฎหมายย้อนหลัง การร่างรัฐธรรมนูญวางกลไกกับดักรัฐบาลจากการเลือกตั้ง นายกฯ ทำกับข้าวตกเก้าอี้เพราะศาลเปิดพจนานุกรม การล้มรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมา โดยอาศัยการวางยาตามมาตรา 237 หรือการตีความกฎหมายแบบ “ไม่ทุจริตแต่ติดคุก”

          ข้อสรุปของ คอป.มองอีกแง่ยังยึดติดกับตัวบุคคล ทำนองว่าถ้าคดีซุกหุ้นตัดสิทธิทักษิณเสีย ไม่ได้เป็นนายกฯ ปัญหาทั้งหลายคงไม่บานปลาย แต่อันที่จริงมันเป็นความขัดแย้งของพลังทางสังคม เหมือนที่เกษียร เตชะพีระ อธิบาย “ระบอบทักษิณ” ว่าคือกลุ่มทุนใหม่ที่ได้อานิสงส์จากโลกาภิวัตน์ ได้อำนาจจากคนจนคนชนบทโดยให้ประโยชน์ตอบแทนเชิงนโยบาย

           ถามว่า คอป.เข้าใจไหม ผมว่าเข้าใจ แต่งานนี้ “ป๊อด” เสียมากกว่า ไม่กล้าสรุปให้ชัดเจนเป็นที่ระคายเคือง เดี๋ยวจะโดนชนชั้นนำและชนชั้นกลางรุมถล่มเอา เดี๋ยวจะหาว่าโอนอ่อนตามอำนาจ กลายเป็นเครื่องมือทักษิณ

           ฉะนั้นก็ต้องไว้เชิงกันบ้าง ด้วยการแถมท้ายอัดคดีซุกหุ้น เพื่อเอาคะแนนว่ายังเป็นกรรมการอิสระอยู่นะ ข้อ 5 ก็เลยเป็นวิธีการเล่นเกมการเมืองของกรรมการอิสระ ซึ่งท้าพนันเลยว่าเพิ่งจะยัดเข้ามาในช่วงเปลี่ยนรัฐบาลนี่เอง

                                                                                             

                                                                                                ใบตองแห้ง
                                                                                                24 ธ.ค.54
ขอขอบคุณ Blog Voice TV Website

หมายเหตุ : การนำเสนอข้อมูลนี้ มีจุดประสงค์ เพื่อเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสาร บทความ ที่ผู้นำเสนอ (ผู้จัดทำเวบไซท์) เห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม และประชาธิปไตย มิได้มุ่งหวังผลประโยชน์ตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น 
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น