วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555


Let it Beช่างแมลงสาบเถอะ
 
Let it Beช่างแมลงสาบเถอะ

         ช่วงสงกรานต์หยุดยาว การเมืองไทยไม่อาจปฏิเสธได้ว่าศูนย์ กลางไปรวมอยู่ที่การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ลาวและกัมพูชา ทั้งยังถือเป็น “ปรากฏการณ์” ที่สะท้อนถึงบารมีและอิทธิพลของ พ.ต.ท.ทักษิณในทางการเมืองอย่างชัดเจน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มอำมาตย์ และบรรดาสลิ่มต้องคิดหนักหากจะกำจัด พ.ต.ท. ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งก่อนสงกรานต์ก็มีกระแสข่าวการวางแผนลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวจริง ข่าวปล่อย หรือข่าวลวงก็ตาม ล้วนแสดงให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยังเกรงกลัวบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างชัดเจน แม้แต่การปรากฏตัวผ่านสไกป์ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ

         โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาคัดค้านทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการพยายามสร้างความปรองดอง เพราะกลัวแค่คนคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับบ้าน อย่างตัวเป็นๆ ไม่ใช่ “ผี” หรือ “ปิศาจ” อย่างที่พยายาม ปลุกระดมให้คนเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณกว่า 5 ปีที่ผ่านมา
           จนมีการตั้งคำถามว่า “ศูนย์กลางของวิกฤตการเมือง” คือ พ.ต.ท.ทักษิณ กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ตั้งโจทย์จับเข่าคุยกัน?


ความรักและศรัทธา


         นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ @oak_ptt เมื่อวันที่ 16 เมษายนหลังกลับจากเสียมเรียบ โดยกล่าวขอบคุณคนเสื้อแดงที่เดินทางไปร่วมงานรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณที่กัมพูชา ซึ่งนอกจากมีความสุขตามประสาลูกที่ได้เจอพ่อแล้ว ยังประทับใจอย่างยิ่งกับพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่หลั่ง ไหลเข้าไปในกัมพูชาเพื่อร่วมรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณ


           “ทราบจากทาง ตม.กัมพูชาว่าเฉพาะผู้ที่ข้ามพรมแดนและแจ้งว่าไปร่วมงานรดน้ำดำหัวที่เสียมเรียบนั้นมีมากถึง 38,000 กว่าคน นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่มีการเปิดด่านเลยครับ ถ้างานนี้จัดที่เมืองไทยในขณะที่คุณพ่อผมมีตำแหน่งทางการเมือง คนมาร่วมงานเยอะขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่เกือบ 6 ปีแล้วที่คุณพ่อถูกปฏิวัติและต้องพ้นจากตำแหน่ง พ่อแม่พี่น้องก็ยังให้ความรักและศรัทธาในตัวคุณพ่อผมอยู่ ยังให้ความเมตตาอย่างไม่เสื่อมคลาย ผมต้องขอกราบขอบพระคุณจากใจจริงครับ”


            นายพานทองแท้เขียนอีกว่า “ภาพที่ผมเห็น เสียม เรียบเต็มไปด้วยพี่น้องคนไทยกว่าครึ่งแสน เป็นการยืนยันความเชื่ออันนี้ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผมและครอบครัวมีแรงและกำลังใจในการยืนต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและเพื่อปากท้องของพี่น้องประชาชนไปได้อีกนาน ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองนะครับ แต่ในรูปแบบใดๆก็ตามที่สามารถช่วยพี่น้องเป็นการตอบแทนได้ มีพี่น้องหลายท่านก่อนกลับได้ยืนยันกับผมว่าไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็จะขอมาร่วมงานอีกทุกๆปี ก็อยากจะบอกว่าครอบครัวผมยินดีและซึ้งใจในไมตรีจิตของทุกๆท่าน แต่อยากจะขอภาวนาให้สงกรานต์หน้าจัดที่ประเทศไทยได้ไหม เพราะผมคิดถึงคุณพ่อ


สงครามจิตวิทยา


             “เราถือว่าเป็นปีมหามงคลที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา ซึ่งถือว่าเป็นรอบที่สำคัญ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา จึงรู้สึกว่าเป็นปีที่ดี ก็น่าจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้น ไม่ได้มีความหมายเชื่อมโยง เราเป็นคนพุทธก็พยายามคิดในสิ่งที่เป็นมงคล”


            คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่พูดกับคนเสื้อแดงและสื่อนับร้อยที่ไปทำข่าว โดยอ้างเป็นปีมหามงคลว่ามีความหวังจะได้กลับบ้านในปีนี้ จึงเหมือนเป็นการทำสงครามจิตวิทยาให้พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอำมาตย์ยิ่งเก็บกดและจินตนาการไปต่างๆนานา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณออกตัวว่าถ้ากลับปีนี้ไม่ได้ก็อาจกลับหลังปี 2556 อย่างที่โหราจารย์หลายสำนักทำนาย


            ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ปล่อยโอกาสที่จะดึงสถา บันเบื้องสูงที่เป็น “จุดอ่อน” ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาโจม ตีทันทีว่าเป็นการกระทำที่มิบังควร เพราะเหมือนเป็น การกดดันสถาบัน และยังพาดพิงถึงสถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ถ้ามีกระบวนการยุติธรรม ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และมีกระบวนการที่เป็นสากลยุติธรรม ใครก็รับได้และไม่กลัวอยู่แล้วถ้าไม่ได้ทำผิด นี่บังเอิญว่าเราเป็นภาคียูเอ็น (สหประชาชาติ) ที่ว่าไม่รับศาลเดียว แต่เราก็ตั้งศาลเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศอยู่แล้ว”


เกมของ “ทักษิณ”


          การพูดถึงสถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรม ก็ไม่ต่างกับเรื่องสถาบัน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีว่าจะเกิดปฏิกิริยาอย่างไรตามมา แต่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการเล่นเกมนี้เองมากกว่า เหมือนการเดินทางไปพบผู้นำประ เทศและนักธุรกิจระดับสูงในประเทศต่างๆ การให้สัมภาษณ์อะไร หรือแม้แต่ทำธุรกิจ ฝ่ายตรงข้ามจึงได้แต่จินตนาการด้วยความหวาดระแวงและวิตกจริต แล้วนำมายึดโยงกับการเมืองเกือบทุกเรื่อง ทั้งที่บางครั้งแทบไม่มีข้อมูลเลยก็ตาม


         พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ใช่ “ศูนย์กลางของปัญหา” แต่ เป็น “ศูนย์กลางของการเมือง”  ตั้งแต่ปรากฏการณ์สนธิ (ลิ้มทองกุล) ที่รับหน้าเสื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อปลาย ปี 2548 และลงทุนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพียง เพื่อกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณและระบอบทักษิณให้สิ้นซาก


        อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำให้ยังต้องเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนเร่ร่อนไปมาเหมือนเจ้าไม่มีศาล ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องปลดล็อกโทษจำคุก 2 ปีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ได้ว่าไม่ชอบธรรมและไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมตามหลักสากล แม้จะไม่ได้ทรัพย์สินจำนวน 46,000 ล้านบาทคืนก็ตาม


          ส่วนอีก 4 คดีที่รอการพิจารณาในศาลนั้น ฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อว่าแทบเอาผิด พ.ต.ท. ทักษิณไม่ได้เลย


นิรโทษกรรม-ปรองดอง


           พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ยอมรับว่าเป็นนักโทษหลบหนีคุกและหมายจับ แต่พร้อมจะกลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้หากไม่มีการออกกฎหมายเพื่อล้มล้างผลพวงรัฐประหารทั้งหมดที่จะมีผลให้ทุกคดีของคณะกรรมการตรวจสอบการกระ ทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นโมฆะ แต่ไม่ใช่การนิรโทษกรรมหรือ พ.ร.บ.ปรองดองที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามสร้างกระแสให้เป็นเรื่องเดียวกัน เหมือนพยายามบิดเบือน กรณี “ไอ้โม่งชุดดำ” ให้เป็น “แพะ” เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถาน การณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ให้การฆ่าประชาชนเกือบร้อยและบาดเจ็บพิการเป็นความชอบธรรม ที่วันนี้ “คนสั่งยังลอยหน้า และคนฆ่าก็ยังลอยนวล”


          ปัญหาการปรองดองจึงไม่ได้อยู่ที่การนิรโทษกรรม ให้ “ฆาตกร” หรือคนผิด แต่ต้องค้นหา “ความจริง” ให้ได้ก่อนนิรโทษกรรม เพื่อสร้างความปรองดองและให้สังคมนำไปเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดหายนะกับบ้านเมืองอีก แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ค้านหัวชนฝา แม้กระทั่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่หลายประเด็นขัดกับหลักนิติรัฐและทำลายการเมืองตามระบอบประชา ธิปไตยเยี่ยงอารยประเทศ


ประชาธิปัตย์ด่าไปเสี้ยมไป


            อย่างล่าสุดที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณีพรรคเพื่อไทยเดินหน้าสร้างความปรองดองว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใครทั้งพรรคเพื่อไทยหรือ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมท้าให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินหน้าต่อไปหากมั่นใจว่าสิ่งที่ทำถูกต้องและไม่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งสถานะของประเทศไทยวันนี้มีหลายวิบัติคือ


             1.มนุษย์วิบัติ ไม่เคารพต่อคำพิพากษา ถ้าประชาธิปัตย์ไม่ดำเนินการใดๆเพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบนิติรัฐ นิติธรรมแล้ว คำว่า “ช่างแม่มัน” อาจจะเกิดขึ้นจริง


             2.ตรรกะวิบัติ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณร้องเพลง Let it Be สะท้อนให้เห็นถึงความอำมหิตในใจ เพราะให้สัมภาษณ์ที่ลาวว่ามารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด ต้องยอมรับการนิรโทษกรรมและเสียสละในฐานะเป็นคนส่วนน้อยเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเล่นสงกรานต์ในประเทศไทยปีหน้า


            3.นิติรัฐวิบัติ การจ้องล้มล้างกระบวนการต่างๆที่ตัดสินความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ


            4.ประชาธิปไตยวิบัติ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยอ้าง 15 ล้านเสียง เหมือนกับว่าประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยเพื่อให้นำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน


            ไม่ต่างกับนายอภิสิทธิ์ที่อภิปรายถึงการสร้างความปรองดองก่อนหน้านี้ว่าติดขัดเรื่องการนิรโทษกรรมและคดีของ คตส. จึงจำเป็นต้องตอบโจทย์ พ.ต.ท. ทักษิณให้ได้ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะปั่นป่วนต่อไป ประ เด็นสำคัญอยู่ที่หลักของบ้านเมืองจะเสียหรือไม่ ส่วนที่มีการสร้างวาทกรรมว่าถ้าไม่ปรองดองกับผู้ก่อการร้ายก็จะไม่ปรองดองกับฆาตกรนั้น อยากให้ระวัง เพราะทั้งผู้ก่อการร้ายและฆาตกรเป็นคนเดียวกัน ทั้งท้าให้นิรโทษกรรมทุกคน ยกเว้นคน 3 คนคือ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยพร้อมจะรับผิดชอบต่อประชาชนและประเทศ


            “ผมต่อให้ 2 ต่อ 1 ผมกับคุณสุเทพ 2 คน ไม่รับการนิรโทษกรรม แลกกับคุณทักษิณไม่นิรโทษกรรมคนเดียว ที่เหลือนิรโทษให้หมด อย่างนี้ประชาชนไม่ต้องเดือดร้อน และคุณทักษิณกลับมาสู้คดีเลย วันนี้อย่าลากสภาไปรองรับการตอบโจทย์ของใคร ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาของบ้านเมืองอย่างแท้จริง อย่าทำให้คำว่าปรองดองถูกปล้น และอย่าให้นายปรองดองถูกลักพาตัวแล้วไปเอาเสื้อนิรโทษกรรมมาคลุมใส่ พวกผมไม่ได้เรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้ และพร้อมที่จะสนับสนุนหากกระบวนการนั้นจะทำให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริง” นายอภิสิทธิ์กล่าว


             แต่อาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการกลับบ้านแบบเท่ๆของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นการอาศัยการเจรจาใน พ.ร.บ.ปรองดองที่ดำเนินการกันอยู่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางกลับมาได้โดยที่ไม่ต้องถูกจับหรือชดใช้โทษที่ถูกตัดสินไป ส่วนกรณีนายอภิสิทธิ์ท้าให้นิรโทษกรรมทุกคน ยกเว้นตัวเองกับนายสุเทพและ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.กรณี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคดีที่สิ้นสุดแล้ว จะให้นิรโทษกรรมไม่ได้ ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย และ 2.กรณีของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นปัญหาที่มาจากการสลายการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ต้องมีการฟ้องร้องต่อไป จะเอามาแลกกันไม่ได้ เพราะเป็นวาระที่ต่างกัน แต่นายอภิสิทธิ์พูดจนเกิดความสับสนไปหมด ซึ่งทั้ง 2 กรณีมีความเสียหายที่ต่างกัน ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณคนที่เสียหายคือรัฐ ส่วนฝ่ายนายอภิสิทธิ์คนที่เสียหายคือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่สูญเสียญาติหรือครอบครัว ซึ่งต้องถามประชาชนส่วนใหญ่ว่าจะยอมแลกด้วยมั้ย


เพื่อไทยเดินหน้าการปรองดอง


          ด้านพรรคเพื่อไทย นายเสนาะ เทียนทอง ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมว่า คงทำในนามพรรค ไม่ใช่ในนามรัฐบาล และจะทำแน่นอน เพราะ บรรยากาศปรองดองทั่วไปดีหมดแล้ว กองทัพกับรัฐบาล ก็ดี แนวทางคงยึดรูปแบบของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษาการสร้างความปรองดองฯของสภาผู้แทนราษฎร หากมีการนิรโทษกรรมคงไม่มีปัญหาแรงต่อต้านอะไร ไม่เห็นใครมีปัญหาอะไร เหลือแค่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ปรองดองก็ “ช่างศีรษะมัน” ไม่ต้องไปสนใจ


          นายเสนาะเสนอให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เรียกร้องที่จะเอาเงิน 46,000 ล้านบาทคืนด้วย โดยให้คิดว่าเป็นการบริจาคเพื่อการกุศล พ.ต.ท.ทักษิณจึงจะกลับมาหลังออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ส่วนนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าจะกลับประเทศในปีนี้ว่า เข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณพูดในบริบทของคนที่คิดถึงบ้านมากจึงอยากกลับประเทศให้เร็วที่สุด เรื่องการปรองดองเป็นเรื่องของนักการเมือง เป็นเรื่องของรัฐสภาที่จะทำหน้าที่ออกกฎหมายปรองดอง ซึ่งเหลือเวลาอีก 8 เดือนจะสิ้นปี จึงไม่ถือว่าเร่งรัดอะไร
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้จะนำเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งอาจผ่านทางนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่จัดทำร่วมกับความคิดเห็นต่างๆออกมาเป็นข้อเสนอแนะ แล้ว ครม. จะนำมาพิจารณาว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความปรองดอง เชื่อว่าภายใน 3-4 เดือนน่าจะออกมาเป็นกฎหมายได้ เพราะเห็นว่าไม่มีอะไรติดขัด


          ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ไม่ได้รอ พ.ร.บ. หรือกฎหมายฉบับไหนเป็นพิเศษ หวังแต่เพียงการหาทาง ออกจากวิกฤตนี้ให้ได้ และไม่ควรมีใครหากำไรกับความขัดแย้งนี้ โดยเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ต้องการความปรองดองเพื่อให้ทุกคนในประเทศได้ประโยชน์ ส่วนใครจะได้รับผลพลอยได้และได้รับความยุติธรรมเป็นเรื่องรอง


ให้อภัยไม่ใช่ให้ลืม


          แต่นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ศาสตราจารย์ประ จำภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้ศึกษาและคลอดตำราแนวทางสันติวิธีและความสมานฉันท์ มองเส้นทางสู่ความปรองดองท่ามกลางกองไฟความขัดแย้งว่า คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) เคยให้หลักการไว้ว่า 1.ต้องหาความจริงให้ชัด แต่เปิดเผยหรือไม่นั้นมีคำถามได้ 2.พอมีความจริงแล้วต้องนำไปสู่ความยุติธรรม และ 3.มีสิ่งที่เรียกว่าความพร้อมรับผิด แปลว่าถ้าคุณเป็นคนทำร้ายผู้อื่น ทำผิดอะไรต้องรับความผิดนั้น แต่ความพร้อมรับผิดไม่แน่ว่าจะนำไปสู่การลงโทษ โมเดลการสมานฉันท์จึงไม่ใช่เรื่องการลงโทษ แต่ต้องให้อภัยที่ต้องมาพร้อมความรับผิด


           ดังนั้น การให้อภัยไม่ได้อยู่ที่การลืม แต่เงื่อนไขการให้อภัยจะต้องจำ แต่จำแล้วให้อภัย การทำเรื่องความสมานฉันท์ เรื่องปรองดองจึงมีความเสี่ยง เช่น พอพูดความจริงแล้วทนรับได้หรือไม่ เพราะสังคมไทยน่าเกลียดน่ากลัว จะทนได้หรือไม่หากพวกที่ยิงกันในความขัดแย้งครั้งก่อนๆเป็นพวกเดียวกันเอง


ช่างแม่มัน...แมลงสาบ


            ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่เวทีลานศูนย์ วัฒนธรรมเสียมเรียบ ท่ามกลางคนเสื้อแดงที่มาให้กำลัง ใจหลายหมื่นคนเมื่อคืนวันที่ 14 เมษายน ซึ่งไฮไลท์ของ งาน พ.ต.ท.ทักษิณได้ร้องเพลง “Let it Be” โดยมีการแปลง เนื้อร้องบางท่อนเป็นภาษาไทยว่า “ช่างแม่มัน” ใครขวางปรองดอง ช่างแม่มัน พรรคไหนขวางแก้รัฐ ธรรมนูญ ช่างแม่มัน และจะเป็นจะตายก็ช่างแม่มัน


            นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังกล่าวอีกว่า ตั้งแต่ถูกปฏิวัติก็ไม่เคยหยุดคิดทำงานให้บ้านเมืองและประชา ชน กระทั่งประชาชนเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย และน้องสาวคนนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นึกไม่ถึงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะทำงานได้ดีขนาดนี้ และที่ดีกว่าตนเองมากคือมุ่งมั่นทำงาน ไม่ตอบโต้ฝ่ายค้าน แตกต่างจากตนที่ซัดมาก็ซัดไป ทั้งยังให้กำลังใจน้องสาวผ่านผู้สื่อข่าวว่า so far so good อย่าตกใจทางการเมืองที่ชอบเอาเรื่องไม่จริงมาพูด ขอให้อดทนและนิ่งเข้าไว้ แต่ที่สอนนี่ตัวเองก็ทำไม่ได้ นายกฯยิ่งลักษณ์นิ่ง แต่ตนไม่นิ่ง เป็นคนสมองไวอย่างเดียวไม่พอ ปากไวด้วย


           “วันนี้ต้องก้าวข้ามผมให้ได้ การเมืองก็ไปไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนสักที ก้าวข้ามผมสิ เขย่งนิดเดียวก็พ้นแล้ว มันยุติธรรมหรือไม่ ถ้ายุติธรรมแล้วจะเข้ามา ตอนนี้มันเหมือนต้นไม้ที่เป็นพิษ ต้นเหตุเกิดจากการปฏิวัติ แล้วตั้ง คตส. และกระบวนการยุติธรรม เมื่อต้นไม้เน่าทั้งต้นก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ไม่กลัว เอาเลย ยินดี”


           ดังนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาว นานมากว่า 5 ปี จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการปลดล็อกวิกฤตของบ้านเมือง ซึ่งไม่ใช่ “ศูนย์กลางของปัญหา” แต่อยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำ การปรองดองจึงต้องอยู่กับฝ่ายกระทำเป็นสำคัญ โดยเฉพาะ “อีแอบ” ที่อยู่เหนือกลุ่มอำมาตย์ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดและรอดพ้นจากการถูกยุบพรรคได้อย่างปาฏิหาริย์จนถูกตั้งฉายาให้เป็น “พรรคแมลงสาบ”



            อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าปรากฏการณ์รดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเขย่าเพื่อให้ได้กลับบ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นเกมเหนือชั้นของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำให้สื่อและประชาคมโลกไม่ลืมวิกฤตการเมืองไทยที่ยังจมปลักอยู่กับการรัฐประหารและอำนาจนอกระบบ ขณะที่ประเทศต่างๆพยายามก้าวออกสู่วังวนอุบาทว์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศอาหรับ หรือแม้แต่พม่าที่ปิดประเทศมากว่าศตวรรษ

            คนไทยหลายหมื่นคนทั้งที่ลาวและกัมพูชาที่ไปรดน้ำดำหัว พ.ต.ท.ทักษิณท่ามกลางการอารักขาและให้ความ สะดวกอย่างเต็มที่ของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ขณะที่กัมพูชาขัดแย้งกับไทยในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อย่างรุนแรงถึงขั้นใช้อาวุธยิงถล่มกันเมื่อปีที่ผ่านมานั้น วันนี้กลับมีแต่รอยยิ้มและมิตรภาพ นักวิชาการจึงมองอีกแง่ว่า “ปรากฏการณ์ทักษิณ” เหมือนเป็นการเปิดประตูอาเซียนที่ประกาศให้ปี 2558 เป็นเขตการค้าเสรีอาเซียนสู่ความเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันอย่างแท้จริง


           น่าแปลกใจที่ “ทักษิณ” สามารถทำตัว “เท่” เดินทางไปได้ทั่วโลก และเข้าเยี่ยมเยือนประมุขของประเทศต่างๆในประเทศอาเซียน และได้รับการต้อนรับราวกับว่าเป็นบุคคล ที่มีตำแหน่งสำคัญจากประเทศไท


         จะมีก็เพียงแต่ “ราชอาณาจักรไทย” เท่านั้น...ที่ยังกลับเข้ามาอย่าง “เท่” ไม่ได้!


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 356 

วันที่  21 - 27 เมษายน พ.ศ. 2555 
หน้า 18-19 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น