วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เหตุผลทางปรัชญากับคุณค่าของสถาบันกษัตริย์


เหตุผลทางปรัชญากับคุณค่าของสถาบันกษัตริย์

นักปรัชญาชายขอบ
           ราวห้าโมงเย็นเศษๆ หลังจากแท็กซี่หลายคันตอบปฏิเสธ ผมตัดสินใจโบกมือเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง สังเกตเสื้อคนขับยังเปียกชุ่มเพราะฝนเพิ่งซาเม็ด ในชั่วโมงที่รถติดวินาศสันตะโรเช่นนั้น เขาพาผมซอกแซกไปตามช่องแคบต่างๆ บ้าง วิ่งขึ้นฟุตบาตบ้าง ท่าทางเขาเป็นคนอีสานที่ทิ้งบ้านเกิดมาเหมือนผม แต่อาจโชคดีน้อยกว่าผม เขาจึงสู้ชีวิตด้วย “ทักษะ” ล้วนๆ เป็นผมในสภาพจราจรแบบนี้คงขับมอเตอร์ไปไม่ถึงร้อยเมตรแน่ นึกตำหนิตัวเองว่าจากธรรมศาสตร์ถึงอนุสาวรีขัยฯ ไปต่อราคา 80 บาทได้ไง พอถึงที่หมายให้แบงก์ร้อยไป บอก “ไม่ต้องทอนครับ” ในใจนึกขอบคุณเพื่อนยากที่อุตส่าห์ลัดเลาะมาส่งทันเวลารถตู้หัวหินออกพอดี 

           เกริ่นนำแบบนี้ผมเพียงต้องการจะบอกว่า ที่จะพูดถึงนักวิชาการด้านปรัชญาต่อไปนี้ ผมไม่ได้พูดในความหมายว่าเขาเป็นบุคคลพิเศษ เป็นคนที่เราต้องคาดหวัง หรือคาดคั้นให้เขารับผิดชอบต่อสังคมอย่างเป็นพิเศษมากกว่าคนประเภทอื่นๆ แต่ผมกำลังพูดถึงในความหมายรวมๆ ว่า นักวิชาการด้านปรัชญาก็เหมือนคนในอาชีพอื่นๆ ที่ใช้ทักษะของตนเองให้เกิดประโยชน์แก่คนอื่นๆ และสังคมได้ เช่นเดียวกับคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนดูดส้วม คนกวาดถนน สื่อ นักวิชาการด้านอื่นๆ เป็นต้น

          หากจะมีอะไรพิเศษอยู่บ้างสำหรับนักวิชาการด้านปรัชญาก็คือความชำนาญเฉพาะด้านบางอย่าง เช่นเดียวกับที่นักวิชาการด้านอื่นๆ ก็มีในด้านของเขา และความชำนาญเฉพาะของนักวิชาการด้านปรัชญาก็คือทักษะการกำหนดประเด็นปัญหา การโต้แย้งถกเถียง หรือชักไซ้ไล่เรียงเหตุผลอย่างถึงที่สุดเพื่อทำความกระจ่างในประเด็นปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาในเชิงหลักการ อุดมการณ์ คุณค่าใดๆ ที่จำเป็นต้องอภิปรายเพื่อให้เห็นความมีเหตุผลรองรับอย่างรอบด้านและสมเหตุสมผล

           มีคำถามกันมานานว่า “ทำไมปรัชญาในบ้านเราจึงไม่ค่อยเชื่อมโยงกับสังคม?” ปัญหานี้คนในวงการเดียวกันก็ตั้งคำถาม นักศึกษาที่เรียนปรัชญาก็ตั้งคำถามว่า นี่เรากำลังเรียนไอ้ที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไรกัน หรือคนนอกอาจไม่รู้เลยว่าปรัชญามันคืออะไร มีประโยชน์อะไรแก่สังคม คนในวงการปรัชญาเขาทำอะไรกันอยู่ เป็นต้น อันที่จริงถ้าจะให้ความเป็นธรรม เราก็อาจตั้งคำถามทำนองเดียวกันนี้กับนักรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ นักวิชาการด้านอื่นๆ ได้เช่นกัน

            แต่ที่ตั้งคำถามนี้กับนักวิชาการด้านปรัชญา ก็เพราะในเมื่อเราต่างโปรกันในแวดวงของตนเองว่า พวกตนเองกำลังศึกษาวิชาที่พัฒนาทักษะการคิดเชิงหลักการ หรือการคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดีที่สุด “การนิ่งเงียบ” ของคนในวงการปรัชญาต่อปัญหาความขัดแย้งกว่า 6 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่มีปัญหาเชิงหลักการ เชิงอุดมการณ์ คุณค่า ความเป็นประชาธิปไตยสากล ประชาธิปไตยที่เหมาะกับวัฒนธรรมไทย หรือประเด็นปัญหาโครงสร้างสถาบันกษัตริย์กับการถูกอ้างอิงในทางการเมือง เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นประเด็น “ปัญหาทางปรัชญา” ที่ท้าทายให้ถกเถียงด้วยเหตุผลอย่างถึงที่สุดนั้น นับเป็น “ความนิ่งเงียบ” ที่น่าประหลาดใจอย่างเหลือเชื่อ

            อย่างไรก็ตาม บังเอิญผมได้พบการอ้างอิงของอาจารย์สมภาร พรมทา ในการแลกเปลี่ยนท้ายบทความ ว่าด้วยบักโฮมผีบ้า “เหยื่อ” ของความขัดแย้งทางการเมือง (คลิกเพื่ออ่าน) ในประชาไทที่พาดพิงงานของอาจารย์มารค ตามไท ซึ่งต้องถือว่าเป็นมุมมองของนักวิชาการด้านปรัชญาที่น่าสนใจ ดังนี้

            ข้อเสนอของท่านอาจารย์ (สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล-ผู้เขียน) เรื่องการจัดวางตำแหน่งของสถาบันกษัตริย์โดยรวมผมสนับสนุน แต่ในรายละเอียด ผมมีเรื่องจะเรียนปรึกษาว่า ท่านอาจารย์มีธงล่วงหน้าแล้วว่า เมื่อมีการจัดวางอย่างที่ว่าแล้ว สถาบันกษัตริย์จะเล็กลง ไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไรที่คนบางพวกจะใช้อ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ตน ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ ผมมองว่าสถาบันกษัตริย์อย่างที่เป็นอยู่นี้มีประโยชน์บางด้านที่ท่านอาจารย์อาจจะมองไม่เห็น และผมอยากชวนท่านอาจารย์มองเรื่องนี้ก่อน สำหรับผม หากมองเรื่องนี้แล้วบอกไม่มีน้ำหนักก็ไม่เป็นไร แต่หลายคนคิดว่ามีน้ำหนัก ผมขอยกตัวอย่างเลยก็แล้วกัน อาจารย์ผมที่ภาคปรัชญา จุฬา คือท่านอาจารย์มารค ตามไท ท่านเขียนบทความวิจัยที่แสดงว่าประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นมีข้อดีอย่างไร ซึ่งข้อดีนี้ท่านว่าไม่พบในประชาธิปไตยแบบอื่นเช่นที่อเมริกาหรือแม้แต่อังกฤษ ข้อดีที่ว่านั้นคือ สถาบันกษัตริย์ได้กลายเป็นสื่อกลางที่ทำให้คนไทยที่ไม่รู้จักกันเกื้อกูลกันโดยผ่านทางพระเจ้าอยู่หัว ท่านอาจารย์คงเคยเห็นโครงการประเภท "รักในหลวงห่วงลูกหลานต่อต้านยาเสพติด" สมมติว่าโครงการนี้เราทำเต็มที่ แม้ชื่อจะบอกเพื่อในหลวง แต่ในหลวงท่านก็ไม่ได้อะไรดอกครับ พวกเราด้วยกันนี่แหละได้ ผมเห็นด้วยกับท่านอาจารย์มารค เมื่อเห็นด้วยก็เลยอยากให้ท่านอาจารย์ช่วยทบทวนความคิดหน่อยได้ไหมครับว่า หากทำให้สถาบันเล็กลง อย่างเจ้าต่างประเทศ เราจะได้ประโยชน์อะไร นอกจากเห็นซากความรุ่งเรืองที่เวลานี้ไม่มีประโยชน์แล้ว


            ผมสนใจประเด็นที่อาจารย์สมภารพูดถึง จึงไปอ่าน มารค ตามไท.การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข.ใน สันติสุข โสภณสิริ (บรรณาธิการ). “วิถีสังคมไท: สรรนิพนธ์ทางวิชาการเนื่องในวาระหนึ่งศตวรรษ ปรีดี พนมยงค์ ชุดที่ 2 ความคิดทางการเมืองการปกครอง” (กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์, 2544), หน้า 40-42. ใจความสำคัญตามที่อาจารย์สมภารอ้างถึงคือ

            แง่ดีของระบบดังกล่าวไม่ใช่การเป็นศูนย์รวมของประชาชน การสร้างความสามัคคี เพราะบทบาทเหล่านี้การปกครองระบอบอื่นๆ ก็มีได้ แง่ดีของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของไทย ต้องเป็น “คุณค่าเฉพาะ” ที่เรามีไม่เหมือนใคร ได้แก่ การที่องค์พระมหากษัตริย์สามารถเป็นจุดส่งต่อความห่วงใยจากพลเมืองคนหนึ่งไปสู่พลเมืองอีกคน ถึงแม้ว่าจะไม่รู้จักกัน การที่พลเมืองรักองค์พระมหากษัตริย์ และการที่พระมหากษัตริย์ห่วงใยพลเมืองทุกคนในลักษณะที่ทำให้พลเมืองทราบอย่างชัดเจน คุณค่าพิเศษของระบอบนี้สามารถนำไปสู่สังคมที่คนในทุกส่วนของสังคมมองส่วนอื่นเป็นพวกเดียวกัน และต้องการให้มีชีวิตที่สงบสุขเช่นเดียวกันหมด คำขวัญที่ตรงกับประเด็นนี้คือ “รักในหลวง ร่วมกันห่วงใยเพื่อนร่วมชาติ” แต่คุณค่าพิเศษดังกล่าวนี้ของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ในรูปของศักยภาพที่จะทำให้เกิดสภาพที่พึงปรารถนาที่ว่านั้น ซึ่งการที่ศักยภาพจะกลายเป็นสภาวะจริงย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญ คือ พระมหากษัตริย์ต้องทรงประพฤติธรรม เช่น ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร

            จะเห็นว่า “ข้อดี” หรือ “คุณค่าพิเศษ” ที่อาจารย์มารคพูดถึง เป็นการพูดถึงในสองความหมายคือ (1) เป็นคุณค่าพิเศษที่อยู่ในรูปของศักยภาพ (potentiality) หรือสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ หมายความว่าไม่ใช่ยืนยัน “ข้อเท็จจริง”  และ (2) ศักยภาพนั้นจะแสดงตัวออกมาเป็นสภาวะจริง (actuality) ย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญ คือพระมหากษัตริย์ต้องทรงประพฤติธรรม เช่น ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร

            ปัญหาคือเวลาเราจะรู้ว่าบุคคลที่มีบทบาทสาธารณะมีจริยธรรมหรือจรรยาบรรณในวิชาชีพนั้นๆ หรือไม่ เช่น นักการเมืองมีจริยธรรมหรือไม่ เรารู้ได้เพราะวิจารณ์ตรวจสอบได้ แต่กับสถาบันกษัตริย์เราทำเช่นนั้นไม่ได้ ดูเหมือนอาจารย์มารคก็มองเห็นปัญหาบางประการอยู่ ดังที่เขาเขียนว่า

            แม้ระบอบนี้อาจมีปัญหาเรื่อง “ความเป็นอิสระทางศีลธรรม” แต่ก็แก้ได้โดยที่พระมหากษัตริย์ทรงให้โอกาสพลเมืองไตร่ตรองตัดสินเรื่องต่างๆ เชิงบรรทัดฐานซึ่งเกี่ยวกับวิธีอยู่ร่วมกันในสังคมโดยไม่ครอบงำ ในเรื่องเฉพาะแต่ละเรื่อง แต่ให้แต่ละคนคิดในกรอบใหญ่ของศาสนา หรือระบบจริยธรรมของตน

            แต่ข้อเสนอนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับ “พระมหากษัตริย์ทรงให้โอกาส” เหมือนเงื่อนไขเรื่องทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร ก็เป็นเงื่อนไขที่ขึ้นอยู่กับสถาบันกษัตริย์ในฐานะตัวบุคคล เพราะเงื่อนไขนี้จะเป็นเงื่อนไขเชิงสถาบันได้ ก็ต่อเมื่อมีการวางระบบให้วิจารณ์ตรวจสอบได้ เหมือนกับที่วิจารณ์ตรวจสอบจรรยาบรรณของบุคคลที่มีบทบาทสาธารณะอื่นๆ ได้เท่านั้น

           ในที่สุดก็หนีไม่พ้นประเด็นปัญหาทางหลักการที่อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล พยายามชี้ให้เห็น (อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะชี้แล้วชี้อีกๆๆๆ) ทั้งที่ปัญหานี้เป็นปัญหาทางหลักการตรงไปตรงมาง่ายๆ หรือ Common sense ที่สุดจนน่าแปลกใจว่าการถกเถียงทางปรัชญามองข้ามปัญหาเช่นนี้ไปได้อย่างไร (หรือละเลยที่จะถกเถียงปัญหานี้อย่างตรงไปตรงมาและเป็นสาธารณะได้อย่างไร) เพราะหากแก้ปัญหานี้ไม่ได้ข้อเสนอเชิงคุณค่าใดๆ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ล้วนแต่ไร้ความหมาย หรือไม่ make sense ทั้งนั้นเลย

           ข้อเสนอของอาจารย์สมศักดิ์ (ผมสรุปโดยเนื้อหา) ก็คือ เมื่อเรายืนยันว่าสถาบันกษัตริย์มีคุณประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างนั้นอย่างนี้ (เช่น ในหลวงทรงงานหนัก และฯลฯ) ข้อยืนยันของเราจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมีระบบกฎหมายที่ให้เสรีภาพในการเสนอข้อมูลด้านตรงข้ามได้ หรือวิจารณ์ตรวจสอบได้ พูดสั้นๆ คือต้อง Apply หลักการวิจารณ์ตรวจสอบนักการเมืองและบุคคลสาธารณะอื่นๆ กับการวิจารณ์ตรวจสอบสถาบันกษัตริย์ได้ในมาตรฐานเดียวกันนั่นเอง

            ไม่เช่นนั้นเวลาเราพูดว่า “...องค์พระมหากษัตริย์สามารถเป็นจุดส่งต่อความห่วงใยจากพลเมืองคนหนึ่งไปสู่พลเมืองอีกคน ถึงแม้ว่าจะไม่รู้จักกัน...” หรือว่า “...สถาบันกษัตริย์ได้กลายเป็นสื่อกลางที่ทำให้คนไทยที่ไม่รู้จักกันเกื้อกูลกันโดยผ่านทางพระเจ้าอยู่หัว ท่านอาจารย์คงเคยเห็นโครงการประเภท "รักในหลวงห่วงลูกหลานต่อต้านยาเสพติด" สมมติว่าโครงการนี้เราทำเต็มที่ แม้ชื่อจะบอกเพื่อในหลวง แต่ในหลวงท่านก็ไม่ได้อะไรดอกครับ พวกเราด้วยกันนี่แหละได้...” หากไม่ให้ประชาชนมีเสรีภาพเสนอข้อมูลด้านตรงข้ามมาเปรียบเทียบกัน (เช่น ถ้าคนพูดข้อมูลด้านที่เป็นความแตกแยก ความรุนแรงนองเลือดครั้งต่างๆ ที่ผ่านมาเพื่อนำมาโต้แย้งแล้วพวกเขาต้องติดคุก เป็นต้น) เราจะรู้ได้อย่างไรว่าที่พูดมานี้คือความจริง หรือว่ามีเหตุผล มีน้ำหนักควรแก่การยอมรับ

             ยิ่งความเห็นของอาจารย์สมภารที่ว่า “...ผมเห็นด้วยกับท่านอาจารย์มารค เมื่อเห็นด้วยก็เลยอยากให้ท่านอาจารย์ช่วยทบทวนความคิดหน่อยได้ไหมครับว่า หากทำให้สถาบันเล็กลง อย่างเจ้าต่างประเทศ เราจะได้ประโยชน์อะไร นอกจากเห็นซากความรุ่งเรืองที่เวลานี้ไม่มีประโยชน์แล้ว...”ก็ยิ่งดูเหมือนว่าอาจารย์สมภาร (หรือคนจำนวนมากที่คิดเหมือนอาจารย์สมภาร) มีข้อสรุปกับตัวเองอยู่ก่อนแล้วว่า สถาบันกษัตริย์ตามที่เป็นมาและเป็นอยู่นี้มีประโยชน์ต่อสังคมไทยมากกว่าสถาบันกษัตริย์ในต่างประเทศอยู่แล้ว หรือถ้าหากทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นเหมือนอังกฤษ ญี่ปุ่น เป็นต้น สังคมไทยจะไม่ได้รับประโยชน์ที่ควรจะได้ดีกว่าตามที่เป็นอยู่นี้ ข้อสรุปทำนองนี้จึงยังติดคำถามเดิมนั่นแหละว่า “รู้ได้อย่างไร?”

             ฉะนั้น การใช้ทักษะทางปรัชญา หรือการอ้างเหตุผลใดๆ เพื่อยืนยันคุณค่า ประโยชน์ของสถาบันกษัตริย์ ถ้าหากไม่ใช่การอ้างเหตุผล หรือยืนยันไปพร้อมๆ กับการยืนยันให้ประชาชนมีเสรีภาพวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ การอ้างเหตุผลหรือการยืนยันนั้นๆ ย่อมไร้ความหมาย คือไม่มีข้อพิสูจน์หรือเหตุผลสนับสนุนเพียงพอว่าเหตุผลหรือข้อยืนยันนั้นๆ เป็นความจริงหรือมีความน่าเชื่อถือ

            ปล. ผมกราบขออภัยอาจารย์สมภารอย่างสูง ที่ผมนำเรื่องแลกเปลี่ยนกันในบทความก่อนมาพูดต่อข้างเดียว แต่ผมมุ่งไปที่ “ความคิด” ไม่ได้มุ่งที่ “ตัวตน” อาจารย์สมภารเองก็บอกทำนองว่า คนเรานั้นไม่ว่าใครก็คิดถูกคิดผิดได้ และคิดใหม่ได้ ที่ผมนำมาเขียนต่อนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าตนเองคิดถูก หรือความคิดที่ตนเห็นด้วยถูกที่สุดแล้ว เพียงแต่อยากชวนให้ท่านผู้อ่านช่วยกันคิดต่อ หรือซักไซ้ไล่เรียงเหตุผลกันหลายๆ แง่ให้ตลอด เพราะปัญหายากๆ ของสังคมเรา คงต้องช่วยกันคิดกันอีกยาว 

             ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น