วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

องค์การพิทักษ์สยาม‘เพื่อเผด็จการ’แห่งชาติ


 องค์การพิทักษ์สยาม‘เพื่อเผด็จการ’แห่งชาติ
การเคลื่อนไหวระดมมวลชนเพื่อชุมนุมใหญ่ของ กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “องค์การพิทักษ์สยาม” ประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าต้องการโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยกเลิกระบบการเมืองแบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง แทนที่ด้วยระบอบการปกครองแบบแต่งตั้งเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี ที่เรียกว่า “แช่แข็งประเทศไทย”

        สื่อมวลชนกระแสหลักก็ช่วยกันประโคมโหมข่าว ทำให้การเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ดูเหมือนยิ่งใหญ่ ทรงพลัง และน่าหวาดหวั่น ราวกระทั่งว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงเหลือเวลาอยู่รอดได้อีกเพียงไม่กี่วัน แม้แต่แกนนำรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ยังแสดงความวิตกอย่างเห็นได้ชัด

     ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าหลังจากผ่านความขัดแย้งมายาวนาน ทุกฝ่ายทุกคนต่าง “รู้เช่นเห็นชาติ” กันหมดแล้วว่าความขัดแย้งอันยืดเยื้อในวันนี้เป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 พลังหลักในสังคมไทยคือ เผด็จการจารีตนิยม กับพลังประชาธิปไตยเสรีนิยม เป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 ระบอบการเมืองคือ ระบอบจารีตนิยมที่ครอบงำรัฐไทยมาตั้งแต่รัฐประหาร 2500 กับระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง สิ่งที่เหลืออยู่ก็เพียงแต่ว่าใครจะเลือกข้างฝ่ายไหนเท่านั้น

      แต่ทว่าเนื้อในของกลุ่มคนที่เข้าร่วมกับ “องค์การพิทักษ์สยาม” นั้น ไม่มีอะไรใหม่เลย ก็คือบรรดากลุ่มคนที่อยู่เบี้องหลังรัฐประหาร 2549 และการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 โค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลพรรคพลังประชาชนมาแล้วนั่นเอง ตั้งแต่กลุ่มสี่เสา กลุ่มประชาธิปัตย์ นักวิชาการ และพวกคนเดือนตุลาที่หันไปรับใช้เผด็จการ กลุ่มผู้นำสหภาพแรงงานขวาจัด กลุ่มลัทธิสันติอโศก ไปจนถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

        การเคลื่อนไหวขององค์การพิทักษ์สยามก็คือการรุกใหญ่ครั้งใหม่ล่าสุดของคน พวกนี้ หลังจากที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 และหลังจากที่การรุกใหญ่ครั้งสุดท้ายเมื่อมิถุนายน-กรกฎาคม 2555 กรณีศาลรัฐธรรมนูญรับตีความการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ได้หยุดชะงักกลางคันไปเสียก่อน

        การรุกครั้งนี้ดูเหมือนซ้ำรอยกับการเคลื่อนไหวทุกครั้งในช่วง 6 ปีมานี้ การโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยปี 2549 และการโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนปี 2551 คือการใช้ “สี่ขาหยั่ง” ประสานกันอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มต้นจากการใช้มวลชนจัดตั้งออกมาชุมนุมขับไล่ ให้กลุ่มอันธพาลการเมืองติดอาวุธก่อความรุนแรงบนท้องถนน ให้พรรคประชาธิปัตย์ขัดขวาง ก่อความวุ่นวายไร้ระเบียบในสภา ให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญใช้กฎหมายทำร้ายนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ท้ายสุดคือใช้ทหารเข้าแทรกแซงทั้งโดยวิธีแฝงเร้นหรือรัฐประหารอย่างเปิดเผย ตามมาด้วยการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นพียงหุ่นเชิดของพวกจารีตนิยม

        คนพวกนี้เติบโต สั่งสมประสบการณ์ และครองอำนาจอยู่ในยุคเทคโนโลยีอนาล็อกที่มีโครงสร้างเครือข่ายลักษณะศูนย์ เดี่ยว และเป็นเส้นตรง ทำให้รัฐสามารถรวมศูนย์ทรัพยากร ขุมกำลังการเมือง ทหาร เศรษฐกิจ และข้อมูลข่าวสาร แต่โลกในศตวรรษที่ 21 ได้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ที่มีลักษณะตรงข้าม คือเป็นเทคโนโลยีดิจิตอลที่มีโครงสร้างเครือข่ายแบบหลายศูนย์ และเป็นวงกลม พวกจารีตนิยมไม่สามารถรวมศูนย์ผูกขาดข่าวสารข้อมูลได้อีกต่อไป และไม่สามารถควบคุมความคิดของประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ

       ความพยายามขององค์การพิทักษ์สยามสะท้อน “ภาวะอับจนและร้อนรน” ของพวกจารีตนิยมอย่างชัดเจน ที่ไม่อาจปล่อยให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่บริหารประเทศต่อไปได้ ด้วยตระหนักว่าความเข้มแข็งและภาวะผู้นำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของนายก รัฐมนตรี ตลอดจนความนิยมทั้งในประเทศและประชาคมโลก เกิดขึ้นพร้อมกับความเสื่อมในสถานะครอบงำทางการเมืองและอุดมการณ์ของพวกเขา ความอับจนดังกล่าวสะท้อนออกมาหลายด้าน

       ประการแรก รัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรียังคงได้รับความนิยมอย่างสูงมาก และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายต่อต้านไม่มีความชอบธรรมใดๆในการขับไล่รัฐบาล ทั้งแกนนำและมวลชนจึงมีแต่พวกปฏิกิริยาสุดขั้ว มีสถานะโดดเดี่ยว และไม่ได้รับการสนับสนุนแม้แต่จากคนชั้นกลางในเมืองที่ไม่นิยมพรรคเพื่อไทย

      ประการที่ 2 แกนนำในการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการเปิดเผย “แก่นแกนที่แท้จริง” ของฝ่ายเผด็จการ คนกลุ่มนี้เคย “ซุ่มซ่อน” อยู่ข้างหลังขบวนการล้มรัฐบาลตลอดมา แต่วันนี้ถึงคราวต้องแสดงตนในที่แจ้ง คือ “กลุ่มสี่เสา” หนุนช่วยด้วยแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ และตามด้วยมวลชน 3 ส่วนคือ มวลชนจัดตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มสันติอโศก และกลุ่มเสื้อเหลือง โดยมีกองกำลังติดอาวุธนอกระบบของกลุ่มเหล่านี้สนธิกำลังกัน

     ประการที่ 3 คนพวกนี้ยังคงใช้วิธีการเดิมๆที่เคยได้ผลเลิศทุกครั้ง ซึ่งก็คือการสร้างสถานการณ์ที่ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่มาวันนี้วิธีการนี้กลับไร้ซึ่งพลานุภาพใดๆอีกแล้ว

     ประการที่ 4 เป็นครั้งแรกที่คนพวกนี้ประกาศเป้าหมายทางการเมืองของตนออกมาอย่างเปิดเผย ไม่เป็น “อีแอบ” อีกต่อไป คือต้องการยกเลิกระบบรัฐสภาและการเมืองแบบเลือกตั้งทั้งหมด แทนที่ด้วยระบอบ “คุณธรรมแต่งตั้ง” ซึ่งก็คือระบอบเผด็จการที่ปกครองด้วย “คนดี” ที่แต่งตั้งมาจากพวกจารีตนิยมนั่นเอง

     ประการที่ 5 พวกเขาปฏิเสธการเมืองแบบเลือกตั้งและมุ่งฟื้นการปกครองแบบเผด็จการเต็มรูป นี่เป็นการฝืนกระแสโลกาภิวัตน์และกระแสประชาธิปไตยในสากลโดยสิ้นเชิง ถึงวันนี้ประชาคมโลกได้เรียนรู้แล้วว่าต้นตอแห่งปัญหาความขัดแย้งในประเทศ ไทยคืออะไร ต้นเหตุอยู่ที่ไหน ใครคือผู้บงการที่แท้จริง ในปัจจุบันคนพวกนี้จึงอยู่ในสถานะ “เปลือยล่อนจ้อน” ต่อหน้าสายตาชาวโลก พวกเขาจึงอยู่ในสถานะโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก

ทั้งหมดนี้ทำให้การพยายามโค่นล้มรัฐบาลในคราวนี้เป็นการเคลื่อนไหวใน เงื่อนไขแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย และไม่เป็นคุณอย่างยิ่งต่อพวกจารีตนิยม การที่พวกเขาตัดสินใจฝืนกระแสประชาธิปไตยในประเทศและต่างประเทศ ดื้อดึงก่อการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ จึงสะท้อนถึงสถานการณ์อับจนที่แท้จริงของพวกเขา

         ขุมพลังของฝ่ายเผด็จการยังคงเข้มแข็ง พวกเขาอาจโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยลงได้สำเร็จ เหมือน 2 ครั้งที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้พวกเขาจะเผชิญกับการต่อต้านที่รุนแรงและยืดเยื้อยาวนานยิ่ง กว่า ทั้งจากพลังประชาธิปไตยในประเทศและจากประชาคมโลก เขาอาจได้รัฐบาลและอำนาจบริหารกลับคืนไป แต่ก็เพื่อที่จะ “สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี” ในที่สุด
นักปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า “ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำสอง เหตุการณ์ครั้งแรกเป็นโศกนาฎกรรม แต่ครั้งที่สองเป็นละครน้ำเน่า” ในแง่นี้ รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็เป็นโศกนาฏกรรมอย่างแท้จริง แต่รัฐประหารครั้งที่ 2 ปี 2555-2556 จะเป็นละครน้ำเน่าที่ผู้ชมเบื่อหน่าย สะอิดสะเอียนที่จะนำไปสู่จุดจบของผู้สร้างและผู้เขียนเรื่องทั้งหมด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น