Posted: 21 Mar 2013 08:32 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาทไทย)
I
สามัญมนุษย์โดยทั่วๆย่อมโยกย้ายสถานะความเป็นอยู่เพื่อความอยู่รอด หรือความเหมาะสม เช่นเคลื่อนย้ายสถานะของตนเองให้สูงส่งขึ้นทางอำนาจหรือทรัพย์ศฤงคาร หาไม่ก็อพยพโยกย้ายจากถิ่นเดิมไปยังถิ่นใหม่ ที่สะดวกกับการครองชีพยิ่งกว่าดำรงคงอยู่ในสถานที่เดิม ด้วยความเต็มใจหรือจำใจ เพราะถูกบังคับให้อพยพเคลื่อนย้าย
ที่อ้างว่าชนชาติไทยย้ายถิ่นฐานดั้งเดิมจากแถบภูเขาอัลไตในมองโกเลีย เรื่อยมาจนถึงสิบสองจุไทและสิบสองพันนาทางใต้ของจีน แล้วถูกจีนบังคับขับไสให้ต้องอพยพมาตั้งรกรากอยู่ในสยามประเทศในบัดนี้นั้น เป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์ชาตินิยมอย่างหลวงวิจิตรวาทการเสกสรรปั้นขึ้น จากข้อมูลผิดๆของนายดอด มิชชันนารีที่เคยอยู่เมืองจีนแล้วเขียนเรื่อง The Thai Race ขึ้น ผนวกกับการที่หลวงวิจิตรเคยไปพบชุมชนไตในประเทศเวียดนาม ที่เรียกว่าไทดำไทแดง และไปพบไทใหญ่ในพม่า ทั้งๆที่เขาไม่เคยไปหรือพบไทยอาหมในแคว้นอัสสัมของอินเดียเอาเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ช่วยยุให้เกิดความคลั่งชาติขึ้น จนเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย หรือ Thailand แม้จนบัดนี้แล้ว เราก็ยังถูกสะกดให้รับเอาข้อเท็จมากกว่าจริง มาสมาทานเป็นสัจจะ ดังเพลงชาติที่ถูกกำหนดให้คนที่อยู่ในเมืองไทยทุกคนต้องยืนขึ้นเคารพธงทุกเช้าค่ำ เริ่มด้วยคำว่า ประเทศไทยรวมล้วนเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย อันเป็นคำเท็จ เพราะคนในเมืองไทย จะมีแต่ชนชาติไทยเท่านั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ พวกเราแต่ละคนมีทั้งเชื้อชาติจีน เชื้อชาติมอญ ฯลฯ ดังคำย่อของสุจิตต์ วงษ์เทศที่ว่า จปล คือเจ๊กปนลาว ผสมปนเปกับเชื้อชาติไทย หากเพลงนี้เป็นเครื่องมือในการปลุกปั้นให้เกิดความคิดในเรื่องชาตินิยม ซึ่งเป็นอันตรายยิ่งนัก ดังในบัดนี้คนที่อ้างตัวว่าเป็นชนชาติไทย ยังเอาเปรียบชนชาติมลายูในสามจังหวัดภาคใต้อยู่ มิใยต้องเอ่ยว่าคนไทยในภาคกลางก็ดูถูกคนไทยในชนบทที่ห่างไกลออกไป โดยเฉพาะก็คนลาวในภาคอีสาน racism เป็นอันตรายอันร้ายกาจ ซึ่งโยงมาถึงกรณีของเสื้อเหลืองและเสื้อแดงในบัดนี้ด้วย ถ้าตีประเด็นนี้ไม่แตก ความเป็นไทยจะเข้ามากล้ำกรายความเป็นมนุษย์อย่างน่าสลดใจ
ยิ่งความเป็นไทยในบัดนี้ด้วยแล้ว โยงมาถึงคำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จนกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็เป็นเครื่องมืออย่างดีที่มีไว้สำหรับกำจัดคนที่ไม่มีความเป็นไทยเพียงพอ หนังสือของข้าพเจ้าเรื่อง ค่อนศตวรรษของประชาธิปไตยไทย ซึ่งเต็มไปด้วยขวากหนาม ถูกตำรวจยึดเอาไป ข้าพเจ้าได้ฟ้องและแพ้ที่ศาลปกครองมาแล้ว เพราะตำรวจเห็นว่าข้าพเจ้ามีความเป็นไทยไม่พอ ดังข้าพเจ้าได้ยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุดด้วยแล้ว ถ้าศาลนี้เห็นคุณค่าของสัจจะว่าเป็นมนุษย์ สำคัญกว่าความเป็นไทยที่โยงใยกับความกึ่งดิบกึ่งดี ที่มีอนุสนธิมาจากหลวงวิจิตรวาทการและคึกฤทธิ์ ปราโมช ข้าพเจ้าก็อาจชนะคดีได้
II
สำหรับชาวไทยหรือไตลาว คือคนที่พูดภาษาดังกล่าว
ซึ่งรวมถึงไทใหญ่ในพม่า ไทอาหมในอัสสัม รวมถึงไทแดงไทดำในเวียดนาม
และไตลื้อในมณฑลญยูนนานของจีน ทั้งหมดนี้มีเอกลักษณ์ร่วมในทางภาษา และอาจมีวัฒนธรรมหลักบางประการที่คล้ายคลึงกัน หรือมีวิวัฒนาการมาแต่เดิมอย่างมีขนบเดียวกัน โดยจะอ้างว่าเป็นชนชาติเดียวกันนั้น ยังพิสูจน์ไม่ได้ การอ้างเรื่องชนชาติหรือเชื้อชา
ติ ที่สืบสายเลือดมา จนถึงกับว่ามีเลือดบริสุทธิ์
ถ้าไม่มีเชื้อชาติอื่นมาปน เป็นเรื่องของนาซีเยอรมัน
ที่ถึงซึ่งกาลอวสานไปแล้ว โดยขจัดชนชาติอื่น ที่ถือว่าเป็นศัตรูอย่างเลวร้ายไป คือพวกยิว จนคนพวกนี้ถูกสังหาร ด้วยการทรมานต่างๆเป็นล้านๆคน
ชนชั้นนำของไทยก็หลงในทฤษฎีนี้แต่รัชกาลที่ 6 ซึ่งเสนอว่าชาวจีนคือยิวแห่งบูรพาทิศ แล้วคตินี้ขยายกลายไปเป็นเลวร้ายอย่างสุดๆในสมัยป.พิบูลสงครามกับ Thailand ของเขา โดยมีวิจิตรวาทการเป็นสดมภ์หลัก และความยึดถือของชนชั้นปกครองในสมัยนั้นเห็นว่าประเทศไทย ควรมีขอบเขตขยายออกไปเพื่อรวมชนชาติไท/ไตทั้งหมดเข้าด้วยกัน โดยเราอาจรับเอาชนชาติไทหรือไตในอาณาบริเวณอื่นๆมาผนวกเข้าเป็น Greater Thailand ด้วย ดังรัฐบาลในสมัยนั้นได้ประกาศสงครามกับรัฐบาลฝรั่งเศสในอินโดจีน และยึดเอาลาวและพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ จากกัมพูชาคืนมาได้ แม้ในเขตของกัมพูชาดังกล่าวจะมีคนพูดไทยหรือที่อ้างว่าเป็นเชื้อชาติไทยได้น้อยนักก็ตามที ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นมาเอื้ออาทรให้รัฐบาลเผด็จการสำเร็จสมปรารถนา โดยที่ญี่ปุ่นก็เป็นรัฐที่เน้นในเรื่องชาตินิยมอย่างเลวร้ายสุดๆอีกด้วย ญี่ปุ่นปฏิเสธแม้จนบัดนี้ว่าต้นราชวงศ์ของพระจักรพรรดิมาจากเกาหลี ทั้งๆที่ญี่ปุ่นรับวัฒนธรรม ศาสนธรรม และอารยธรรมจากเกาหลีและจีนมาอย่างเต็มที่ แต่ก็ตอบแทนสองประเทศนั้น ด้วยการกรีฑาทัพไปยึดครองทั้งสองประเทศ แถมปู้ยี่ปู้ยำประชาชนพลเมืองและศิลปวัฒนธรรมของสองประเทศนั้นอย่างเลวร้ายยิ่งนัก
นอกจากญี่ปุ่นจะอุดหนุนให้ไทยได้ลาวและบางส่วนของเขมรคืนมาจากฝรั่งเศสแล้ว ญี่ปุ่นยังคืนรัฐไทรบุรี กลันตัน และปลิส ในมลายู จากอังกฤษมาให้ไทย พร้อมๆกับนำพากองทัพไทยไปยึดเชียง
ตุง ซึ่งเป็นไทใหญ่ มาไว้ในอาณัติของรัฐไทยอีกด้วย แม้รัฐต่างๆทางมลายูนั้น
มีคนไทยน้อยเต็มทีก็ตาม และแล้วทั้งหมดนี้ รัฐบาลไทยก็ต้องคืนให้เจ้าของเดิมเขาไป เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม
ถ้าไม่เข้าใจข้อมูลดังกล่าว จะเข้าใจไม่ได้ว่าทำไมคดีที่กรือแซะจึงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ทักษิณนำมาใช้อย่างได้ประโยชน์อย่างยิ่งในระยะสั้น เพราะคนมลายูนั้นถูกเรียกว่า ‘มัน’ คือไม่ใช่พวก ‘เรา’ ทั้งยังปลุกระดมคนไทยในถิ่นอื่นๆรวมทั้งที่ในภาคอีสาน ให้เห็นดีเห็นงามกับการทำทารุณกรรม
กับคนมลายูนั้นๆอีกด้วย เฉกเช่นเมื่อนายสมัคร สุนทรเวช และนายอุทิศ
นาคสวัสดิ์กับนายอุทาร สนิทวงศ์ ปลุกระดมให้ทหารและประชาชนเข้าไปเข่นฆ่านักศึกษาในธรรมศาสตร์ ก็เพราะอ้ายพวกนั้นเป็นญวนคอมมูนิสต์
หมายความว่าถ้าไม่ใช่พวกเราแล้ว ฆ่ามันได้ รังแกมันได้
ในทุกๆทาง ดังเช่น ประธานาธิบดีศรีลังกา ซึ่งอ้างว่าเป็นชาวพุทธชั้นนำ
สั่งฆ่าทมิฬในประเทศนั้นกว่าห้าหมื่นคน แม้คนพวกนั้นจะยอมแพ้แล้ว รัฐบาลสั่งให้เรือบินทิ้งระเบิดโรงพยาบาลและโรงเรียน ทั้งๆที่รู้ว่าเขายอมแพ้แล้ว เด็กและผู้หญิงพากันตายไปเป็นเบือ ที่ถูกจับไป ก็ถูกทรมานด้วยประการต่างๆ ความข้อนี้มีศาลประชาชนที่กรุงดับลินตัดสินลงโทษแล้วว่าประธานาธิบดีศรีลังกา เป็นฆาตกรที่มีความผิดในทางฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างผิดมนุษยธรรมด้วยประการทั้งปวง แม้ศาลประชาชนจะไม่มีอำนาจในทางนิติศาสตร์สากล แต่ก็เป็นศาลแห่งมโนธรรมสำนึก ดังสหประชาชาติกำลังพิจารณาคดีที่ว่านี้อยู่ ประธานาธิบดีศรีลังกาออกจะสั่นสะเทือนพอสมควร แต่ไทยไม่เห็นกรณีนี้เป็นเรื่องเสียหาย เมื่อปีกลาย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เชิญบุคคลคนนี้ให้มาแสดงปาฐกถานำที่วิทยาเขตวังน้อยของมหาวิทยาลัย เนื่องในโอกาสฉลองพุทธชยันตี ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และแสดงปฐมเทศนา กับทรงตั้งคณะสงฆ์ได้ 2600 ปี ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะอธิการบดีที่นั่นก็ถูกข้อกล่าวหาว่ามีเพศสัมพันธ์กับอิสตรี ทั้งยังมีความฉ้อฉลทางเงินทองอีกมิใช่น้อย ซึ่งถ้าเป็นจริงตามข้อกล่าวหา อธิการบดีก็หมดความเป็นพระ แต่ถ้าข้อหาดังกล่าวนั้นเป็นเท็จ คณะสงฆ์ก็ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของท่านให้ปรากฎ และฟ้องร้องคนกล่าวหาในฐานหมิ่นประมาท แต่นี่ไม่มีการดำเนินงานใดๆสิ้น คือปล่อยให้ทุกอย่างอึมครึมไปหมด ที่ต้องการก็คือคณะสงฆ์ที่ไม่โปร่งใส ดำรงทรงไว้ซึ่งพรหมจรรย์ได้ละหรือ
อนึ่ง ปีนี้ ทางศรีลังกาก็ร่วมกับนิกายสยามวงศ์แห่งประเทศนั้น จะจัดฉลอง 2600 ปีที่นิกายดังกล่าวไปตั้งคณะสงฆ์ขึ้นใหม่ในลังกาทวีป โดยพระอุบาลีเป็นประธานไปจากกรุงศรีอยุธยา
ในแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ รัฐบาลลังกาเชิญน.ส.ยิ่งลักษณ์
ชินวัตรไปเป็นประธานฝ่ายไทย เพื่อฉลองมงคลกาลดังกล่าว ณ
วันวิสาขบูชาที่นครแคนดี ราชธานีเก่าของประเทศ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดบุปผารามหรือวัดมัลวัตถีกับวัดอัสคิรี ซึ่งเป็นอารามของมหาสังฆนายกทั้งสองของนิกายนี้ รวมทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วอีกด้วย
กล่าวคืออะไรๆซึ่งเป็นไปในทางรูปแบบและพิธีกรรม ที่ไม่มีเนื้อหาสาระในทางมนุษยธรม ย่อมได้รับการประโคมให้ครึกครื้นอย่างสนั่นหวั่นไหว แล้วจะเข้าหาสาระในทางศาสนธรรมได้อย่างไร
III
ขอกลับมาพูดถึงการย้ายถิ่นอีกครั้ง คือนอกจากการโยกย้ายด้วยความเต็มใจแล้ว ยังมีการโยกย้ายเพราะความจำเป็นบังคับ เช่น ชาวอังกฤษที่หนีการกดขี่ทางศาสนาไปยังโลกใหม่ ซึ่งกลายมาเป็นสหรัฐอเมริกา หรือชาวไอร์แลนด์ที่หนีความอดอยากยากไร้ไปโลกใหม่ในเวลาไล่ๆกัน แต่ครั้นคนผิวขาวพวกนี้ไปยึดครองดินแดนที่อ้างว่าเป็นโลกใหม่ได้แล้ว ก็เข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนพื้นเมืองเดิมจนเกือบหมด เพื่อแย่งที่ทำมาหากิน ครั้นได้ที่ดินอย่างมโหฬารแล้ว แรงงานของพวกตนมีไม่พอ ก็ต้องไปกว้านซื้อทาสกรรมกรจากอาฟริกามาเป็นประชาชนชั้นสองในโลกใหม่ ซึ่งต้องต่อสู้กับพวกชนชั้นบนทุกๆทาง กว่าจะได้ตัวแทนของชนชาติตนมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอยู่ในบัดนี้ โดยที่คนผิวดำในสหรัฐส่วนใหญ่ก็ยังถูกกดขี่ ถูกเอารัดเอาเปรียบ ยิ่งกว่าคนผิวขาวอยู่อีกไม่น้อยเลย แม้จนบัดนี้แล้วก็ตาม
ชาวไทอาหมที่อพยพโยกย้ายจากพม่าไปอยู่ในรัฐอัสสัมของอินเดีย ก็เพราะทนความเบียดเบียนบีฑาของชนชั้นปกครองในพม่าไม่ได้นั้นแลเป็นประการสำคัญ ดังมอญที่อพยพมาเมืองไทยก็เพราะทนความทารุณโหดร้ายของชนชั้นปกครองในพม่าไม่ได้นั้นแล แม้มอญที่ยังอยู่ในพม่าก็ถูกเอารัดเอาเปรียบในทางภาษา ในทางวัฒนธรรม และในทางเศรษฐกิจการเมือง ทั้งๆที่พม่าได้ศาสนธรรมและอารยธรรมไปจากมอญเป็นประการสำคัญ
ที่มอญอพยพมาอยู่เมืองไทย ดูจะได้อิสระเสรีภาพมากกว่าที่พม่า จนมาสมรสร่วมวงศ์กับชนชั้นปกครองของสยาม ถึงกับเกิดราชวงศ์ในปัจจุบันนี้เป็นตัวอย่าง โดยชนชั้นปกครองของสยามในอดีตถือตามจักรวรรดิวัตร คือพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา ซึ่งประกาศตนเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมต้องอุดหนุนเจ้าประเทศราช และผู้ที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ให้ได้รับการรักษาป้องกันและคุ้มครองอันชอบธรรม โดยพระราชาธิราชย่อมต้องไม่ก้าวก่ายกับการปกครองภายในของปเทศราชา ให้ประเทศราชนั้นๆรักษาศาสนธรรม วัฒนธรรมของเขาอย่างเป็นอิสระเสรี รวมถึงมฤคปักษีก็ควรได้รับการดูแลอย่างสมควร
มอญที่อพยพมาในสยามแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แม้จนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระภิกษุสงฆ์ล้วนได้รับความอุปถัมภ์บำรุงจากราชสำนัก ไม่แพ้พระไทย โปรดให้ห่มแหวกได้อย่างมอญ สอบเปรียญเป็นภาษามอญ และโปรดตั้งพระราชาคณะมอญให้ปกครองตนเอง จนเพิ่งมาปลาสนาการไป เมื่อชนชั้นปกครองของไทยถูกถอนกำพืดเดิมจากศาสนธรรมและวัฒนธรรมดั้งเดิมจนเกือบจะหมดสิ้น
ยังพระราชาของไทยที่ปกครอง
ประเทศราชมลายู ก็โปรดให้รายามลายู ทั้งที่ไทรบุรี กลันตัน ปลิส และปัตตานี
ปกครองตัวเอง โดยรักษาลัทธิศาสนา วัฒนธรรม และภาษา
ตลอดจนพิธีกรรมตามภูมิธรรมดั้งเดิม ดังเพิ่งมาเกิดการสั่นสะเทือนในทางนี้ เมื่อราชอาณาจักรสยามรวมศูนย์อำนาจไว้ที่กรุงเทพฯ จนถึงกับถอดรายาปัตตานี นำไปขังไว้ที่นครสวรรค์เอาเลย
เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 แล้ว นายปรีดี พนมยงค์ เสนอให้ตั้งตำแหน่งจุฬาราชมนตรีขึ้นใหม่ ให้เป็นตัวแทนของลัทธิศาสนาอิสลาม และกำหนดให้สามสี่จังหวัดภาคใต้ปกครองตนเอง ใช้ภาษายาวี ให้มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าภาษาไทย ให้ใช้กฎหมายอิสลามในทางแพ่งและครอบครัว ให้มีโรงเรียนอิสลามที่ไม่ด้อยไปกว่าโรงเรียนรัฐซึ่งมักจะอ้างความเป็นพุทธ
นี่คือเนื้อหาของการพัฒนาหรือการปกครองบ้านเมืองที่ใช้ได้กับคนต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา และต่างวัฒนธรรม ถ้าปราศจากมติดังกล่าว ไม่มีทางพัฒนาไปสู่ความสงบสุขหรือความยุติธรรมได้เลย
ขอกลับมาเอ่ยถึงชนชั้นนำของมอญในสยามอีกครั้ง เมื่ออังกฤษรบกับพม่านั้น ได้เสนอให้ชนชั้นนำของมอญในบางกอกกลับไปตั้งรามัญประเทศขึ้น โดยขอสถาปนาให้เจ้าพระยามหาโยธา ต้นตระกูลคชเสนี เป็นพระเจ้ากรุงหงสาวดี แต่ท่านปฏิเสธ คือพอใจในการพัฒนาความเป็นมอญในสยาม ยิ่งกว่ากลับไปเสี่ยงกับความเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในพม่า
กรณีของมอญในสยาม ดูจะเป็นการอพยพโยกย้ายมาพัฒนาตนเอง อย่างควรแก่การภาคภูมิใจ ผิดกับพวกไทลื้อ ในยูนนาน ซึ่งไม่ต้องการอพยพโยกย้ายไปอยู่เชี
ยงใหม่ แต่พระเจ้ากาวิละ ซึ่งเพิ่งตั้งเชียงใหม่ขึ้น
หลังจากที่ได้รับเอกราชจากพม่า ในขณะที่เชียงใหม่เป็นเมืองร้าง
พระเจ้าเชียงใหม่จึงมีคติที่ต้อง “หาผักใส่ช้า หาข้าใส่เมือง” ด้วยการกรีฑาทัพไปสิบสองปันนา สิบสองจุไท แล้วถามว่าใครสมัครใจจะอพยพไปเมืองไทยบ้าง พวกที่สมัครใจให้โกนหัวเสีย พวกไม่สมัครใจ ให้คงผมยาวไว้ ผลก็คือท่านสั่งให้มัดผมของพวกที่ไม่สมัครใจทั้งหลาย แล้วฉุดกระชากลากไปเชียงใหม่เป็นอันมาก จนมีข้าเต็มเมืองสมประสงค์ แต่ก็ทรงปกครองบ้านเมืองตามหลักจักรวรรดิวัตรอย่างน่าสังเกต แม้ชาวเขา ชาวเผ่าต่างๆ เช่น กะเหรี่ยงและม้ง เมื่อถึงหน้าเอื้องหลวงบาน พวกนี้จะเอาดอกเอื้องและไพลกับยาสูบมาถวาย เจ้าหลวงเชียงใหม่จะรับบรรณาการนั้นๆแล้วเคี้ยวไพลและถ่มลงกับพื้นท้องพระโรง ซึ่งเป็นดินเหนียว และสูบยา พร้อมกับทัดดอกเอื้อง แล้วรับสั่งว่า ตราบใดที่พวกสูเอาบรรณาการมาถวายเรา เราก็สัญญากับพวกสูให้ได้อยู่กินอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่ให้ท้าวเพี้ยพญาลาวไปเบียดเบียนบีฑาพวกเจ้าได้ และก็ขอให้พวกเจ้าดูแลต้นหมากรากไม้ และมฤคปักษีให้อยู่ดีมีสุขด้วยเช่นกัน
นี้คือคุณธรรมดั้งเดิม ที่อาจนำมาประยุกต์ใช้ได้กับชนกลุ่มน้อยต่างๆ ไม่ว่าจะเพิ่งย้ายเข้ามา เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจหรือการเมือง บังคับขับไสเขา เช่นจากอินเดีย พม่า บังคลาเทศ ในบัดนี้ หรือกะเหรี่ยงและม้ง ที่ตั้งรกรากอยู่ก่อนพวกคนไทยจะย้ายมาตั้งภูมิลำเนาในสยาม เมื่อยังไม่ถึงพันปีมานี้ เขาควรมีสิทธิและศักดิ์ศรีไม่แพ้คนไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะก็คนที่ตั้งตนเป็นชนชั้นสูง ซึ่งได้เปรียบทางเศรษฐกิจ การเมือง และทางวัฒนธรรม
ขอแถมอีกนิดว่าชาวไตลื้อที่ยังคงอยู่ในเมืองจีนจนบัดนี้ ได้รับการดูแลด้วยดีจากพรรคคอมมูนิสต์จีน จริงละหรือ หรือถูกจีนกลืนเป็นจีนไปมากแล้ว ดังจีนพยายามทำเช่นนี้กับธิเบตด้วยเหมือนกัน อย่างโหดร้ายเลวทรามยิ่งกว่าที่สิบสองพันนาเป็นไหนๆ
IV
จักรวรรดินิยมเป็นตัวแปรที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการย้ายถิ่นของมหาชนคราวละจำนวนมากๆ เพราะคนผิวขาวที่ขยายอาณานิคมออกไป ล้วนต้องการแรงงานมารับใช้ลัทธิทุนนิยมของตนด้วยกันทั้งนั้น คนพวกนี้เห็นว่าคนพื้นเมืองไร้สมรรถภาพ ทำการงานไม่ทันความต้องการของชนชั้นปกครอง จึงโยกย้ายฝูงชนจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง คราวละมากๆ เช่น อังกฤษ อพยพคนทมิฬจากอินเดียใต้เข้าไปไว้ในลังกาทวีป เพื่อปลูกชาและเก็บใบชามาป้อนโรงงาน โดยที่เดิมคนสิงหฬกับคนทมิฬอยู่ด้วยกันมานาน แม้จะกระทบกระทั่งกันบ้างก็เป็นเรื่องของชนชั้นปกครอง ชาวไร่ชาวนา พ่อค้าม้าขาย ต่างมีอาชีพพอเลี้ยงตนตามอัตภาพ แต่คนอังกฤษเห็นว่าลังกาเหมาะกับกรปลูกชาเท่านั้น จึงทำลายการกสิกรรมอย่างอื่นๆเกือบหมด และใช้ชาวสิงหฬไม่ได้ดังใจ จึงอพยพชาวทมิฬเข้าไปอย่างมากมาย จนก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆต่อมาจนบัดนี้
เมื่ออังกฤษยึดพม่าได้ ก็เห็นว่าชาวพื้นเมืองเฉื่อยชาเกินไป จึงอพยพชาวอินเดียเข้าไปทำงานในพม่ามากต่อมาก เพราะคนอินเดียคุ้นเคยกับเจ้านายอังกฤษมาก่อน ย่อมรับใช้ชาวผิวขาวได้ดีกว่ |