วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

สึนามิการเมือง...ตอบโจทย์สถาบัน...จุดเริ่มของแรงปะทะ


          นับตั้งแต่จบการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ก็มีกระแสทางการเมืองที่รุนแรงเกิดขึ้นต่อเนื่องกันหลายด้าน ทันทีที่ทราบผลการเลือกตั้งอดีตนายกทักษิณก็ Skype เข้ามายังการประชุมพรรคเพื่อไทยแสดงความไม่พอใจต่อแนวทางการหาเสียงการเลือก ตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครในครั้งนี้ และยังได้ส่งสัญญาณค่อนข้างชัดเจนว่า 

http://images.voicecdn.net/contents/640/330/horizontal/13590.jpg

    ให้ ส.ส. ในพรรคทำงานอย่างแข็งขัน และแข็งกร้าวมากขึ้น.. ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับฝ่ายตรงข้ามต่อไป รวมถึงให้กลับมาพิจารณาถึงมวลชนคนเสื้อแดงที่เริ่มถอยห่างจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งจำเป็นต้องเร่งรัดในการทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของคนเสื้อแดงให้ มากขึ้น” 

http://www.siamintelligence.com/wp-content/uploads/2011/08/%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A0%E0%B8%B2_%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C.jpg    รวมถึงคาดโทษของตัวแทนพรรคทั้ง ส.ส. ส.ก. ส.ข. ว่าต้องให้ทำงานด้วยการลงพื้นที่ และจะร่วมวางแผนการทำงานกับพรรคในทุกสัปดาห์

        ไม่นานต่อมา นายเกษม นิมมลรัตน์ ส.ส. พรรคเพื่อไทย จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างถึงเรื่องสุขภาพ และความชำนาญในการทำงานในระดับท้องถิ่นมากกว่า เป็นที่คาดหมายว่าการลาออกจากความเป็น ส.ส. ครั้งนี้ก็เพื่อเปิดทางให้ นางเยาวภา วงษ์สวัสดิ์ น้องสาวแท้ๆ ของ อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ได้กลับมาทำงานการเมือง เพื่อควบคุมดูแล ส.ส. และผู้ร่วมงานของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าลักษณะเฉพาะตัวของการทำงานระหว่างนายกยิ่งลักษณ์ กับคุณเยาวภา วงษ์สวัสดิ์ มีความแตกต่างกันอย่างมาก การส่งคุณ คุณเยาวภา วงษ์สวัสดิ์ เข้ามาร่วมทำงานทางการเมืองในครั้งนี้ หลายฝ่ายคาดหมายว่าสัญญาณนี้คือการประกาศท้ารบชนิดชิงธงของอดีตนายกทักษิณ นั่นเอง

.... แต่สถานการณ์ที่บ่งชี้เช่นนี้แสดงให้เห็นถึงเจตจำนงของอดีตนายกทักษิณ ที่จะต่อสู้เช่นนั้นจริงหรือ ??

http://images.voicecdn.net/contents/640/330/horizontal/65501.jpg

           ก่อนหน้าประเด็นร้อนของรายการ “ตอบโจทย์” ที่พูดถึงเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ออกมายอมรับว่า “คำวินิจฉัยในคดีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีการจัดรายการ “ชิมไปบ่นไป” ว่าเป็นคำวินิจฉัยที่ใช้ไม่ได้ เพราะนำข้อกฏหมายขึ้นก่อนทั้งที่จริงแล้วการเขียนคำวินิจฉัย ต้องระบุก่อนว่านายสมัคร รับจ้างจริงหรือไม่??” 

http://www.matichon.co.th/online/2012/06/13387825021338782654l.jpg

        การออกตัวมาพูดเสมือนยอมรับผิดของ “สถาบันศาลรัฐธรรมนูญ” เช่นนี้ทำให้เกิดคำถามที่ตามมาอย่างมากมายว่า “สิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้กระทำผิดพลาดและก่อให้เกิดความเสียหายไปแล้วนั้นจะรับผิดชอบอย่างไร??”  

       และที่สำคัญกว่านั้นก็คือสถาบันศาลรัฐธรรนูญถูกก่อตั้งขึ้นโดยคณะรัฐประหาร คมช. และพิจารณาอรรถคดีที่เกี่ยวข้องกับการตีความตามรัฐธรรมนูญภายใต้พระปรมาภิ ไทย ซึ่งหมายความว่าภายใต้พระปรมาภิไทยนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินอรรถคดีด้วยความผิดพลาดและบกพร่องจนก่อให้เกิดความ เสียหายต่อประชาชนผู้เป็นประชากรของประเทศนี้ “กระนั้นหรือ?”

           และหลังจากที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ได้ออกมายอมรับความผิดพลาดของคำวินิจฉัย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาร่วมกันด้วยคะแนนเสียง 9 : 0 นั้น ก็มิได้มีท่าทีหรือการแสดงความรับผิดชอบใดๆ จากผลแห่งการกระทำผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทำให้คำถามที่เกิดขึ้นในความรู้สึกของผู้คนจำนวนมากนั้นก็คือ “การกระทำภายใต้พระปรมาภิไทย” นั้น จะสามารถกระทำสิ่งที่ผิดพลาดและบกพร่องจนก่อให้เกิดความเสียหาย หรือสูญเสียแก่ใครก็ได้ เช่นนั้นหรือ?? 


         ซึ่งคำถามที่ดังก้องอยู่ในจิตใจของผู้คนจำนวนมากนี้แต่กลับไม่มีใครที่กล้า จะพูด หรือกล้าถามออกมาดังๆ ทำไม??  

         รายการตอบโจทย์.. สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งออกอากาศจำนวน 5 ตอนทางไทยพีบีเอส ระหว่างวันที่ 11 – 18 มีนาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะ 2 ตอนสุดท้ายคือวันที่ 14 และ วันที่ 18 มีนาคม 2556 ได้กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองชนิดเดือดพล่าน เพราะเป็นการปะทะกันทางความคิดต่างขั้วอย่างรุนแรงในประเด็นเรื่อง “สถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์..ในระบอบประชาธิปไตย..ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ผลที่ตามมาของประชาชนผู้ติดตามรายการนี้ก็คือ การเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจำกัดบทบาทและสถานะในทางการเมืองของสถาบันพระมหา กษัตริย์

         ปฏิเสธไม่ได้ว่า “การลงพระปรมาภิไทยยอมรับการรัฐประหารของคณะ คมช.” เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นการรับรองและยอมรับว่า คณะรัฐประหารของ คมช. นั้นได้เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องโดยการใช้กำลังยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือก ตั้งของประชาชนทั้งประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ

        คณะรัฐประหาร คมช. ได้ดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ (พระปรมาภิไทย) ออกมาเป็นกันชน มิให้ประชาชนในประเทศและรัฐบาลอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร และ คณะรัฐมนตรี ขณะนั้น ลุกขึ้นต่อต้านการใช้กำลังยึดอำนาจที่เป็นการ “กบฏ” ต่อรัฐบาลของประชาชน ซึ่งส่งผลให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายสืบเนื่องต่อมาอีกอย่างมากมายจนกระทั่งถึงกับมีการ “ล้อมสังหารประชาชนกลางเมืองหลวง” เสียชีวิตและบาดเจ็บนับพัน
  




ถ้าใช้วิธีการตัดสินโดยศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะมีคำถามย้อนกลับมาว่า “เป็นการพิจารณาที่ถูกต้องเที่ยงธรรมเพียงพอแล้วหรือ?” เพราะมีตัวอย่างมาจากคดีของอดีตท่านนายกสมัคร สุนทรเวช และที่สำคัญถ้าพรรคเพื่อไทยหรืออดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ยอมรับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ล้มรัฐบาลท่านนายกยิ่งลักษณ์ อย่างไม่ยุติธรรมในครั้งนี้ ก็จะสูญเสียการนำมวลชนอย่างไม่สามารถนำกลับคืนมาได้อีกเลย

ถ้าใช้วิธีล้มรัฐบาลด้วยการรัฐประหารโดยใช้กำลังทหาร การลุกฮือต่อต้านก็จะเกิดขึ้นจากประชาชนในประเทศอย่างกว้างขวาง ซึ่งคงจะนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มารับรองให้การรัฐประหารเป็นสิ่งถูกต้อง อีกคงไม่ได้ต่อไป รวมถึงจะถูกปฏิเสธการรับรองจากนานาชาติทำให้อาจจะถูกโดดเดี่ยวในสังคมโลก

แต่อย่างไรก็ดีเป้าหมายของเผด็จการอมาตย์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ “ทำลายประชาธิปไตยไม่ให้เกิดขึ้นในประเทศนี้โดยทุกวิถีทาง โดยยังคงอำนาจเผด็จการแบบสมบูรณ์แบบเอาไว้”
 
ดังนั้นการทำลายการความผู้นำทางจิตใจคืออดีตท่านนายกทักษิณ ชินวัตร โดยการโจมตีว่าทอดทิ้งประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย และหันไปร่วมมือกับฝ่ายอมาตย์...
การทำลายการนำขององค์กรประชาธิปไตยอย่าง นปช. โดยกล่าวหาเรื่องความขัดแย้งภายในการคอรัปชั่นและผลประโยชน์ทับซ้อน ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นการกระทำที่ส่งผลให้ความเข้มแข็งของฝ่ายประชาธิปไตยลดลง และขาดความเป็นเอกภาพ

ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริงและยังไม่สามารถสรรหาผู้นำ ทางความคิด จิตใจ ที่จะรวมศูนย์ความศรัทธาของประชาชนได้เท่ากับอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร และตราบใดที่ยังไม่มีองค์กรนำที่สามารถรวบรวมผู้คนได้ดีไปกว่า นปช. ก็เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว สนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อต่อสู้กับอำนาจอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายเผด็จการอมาตย์ที่พยายามทำลายประชาชน ฝ่ายประชาธิปไตยในทุกวิถีทางขณะนี้

ถ้าท่านอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และ นปช. พ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ ประชาชนไทยจะต้องถูกกดขี่อยู่ภายใต้การกดขี่ของเผด็จการอมาตย์ไปอีกหลายสิบ ปี และกว่าประเทศไทยจะได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงก็คงจะต้องประสบกับการสูญเสีย กันอีกมากมาย ดังนั้นเวลานี้ ขณะนี้ ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเท่านั้นจึงจะนำชัยชนะมาสู่ประชาชนได้อย่างแท้จริง

ปูนนก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น