วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รายงาน : ข้อเท็จจริงเบื้องต้น และ เสียงญาติผู้เสียชีวิต นศ.ราม-เสื้อแดง

รายงาน : ข้อเท็จจริงเบื้องต้น และ เสียงญาติผู้เสียชีวิต นศ.ราม-เสื้อแดง

ฟังเสียงญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะย่านรามคำแหง พร้อมข้อเท็จจริงเบื้องต้น สูญเสียทั้งสองฝ่าย เป็นความสูญเสียของสังคมไทย แต่กลับมีการปั่นความเกลียดชัง แชร์ว่อนเฟซบุ๊คผู้เสียชีวิตเป็นฝ่ายหนึ่งทั้งหมด และกล่าวหาว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้กระทำ 
เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในคืนวันที่ 30 พ.ย. ต่อเช้าวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา บริเวณมหาวิทยาลัยรามคำแหงและราชมังคลากีฬาสถาน มีผู้เสียชีวิตจำนวน 4 รายและผู้บาดเจ็บอีกจำนวนไม่น้อย เวลานั้นข่าวคราวต่างๆ เป็นไปอย่างสับสน ฝุ่นตลบ และจนถึงเวลานี้ข้อมูลในโซเชียลเน็ตเวิร์กที่แชร์กันต่อเนื่องเป็นจำนวนมากยังคงรายงานว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นนักศึกษารามคำแหง บางส่วนมีการปลุกปั่นสร้างความเกลียดชังเคียดแค้นโดยการกล่าวว่าเป็นการกระทำของฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดต่างก็เป็นความสูญเสียของสังคมไทย ขณะเดียวกันหากดูการรายงานของสื่อมวลชนโดยทั่วไปก็ระบุถึงผู้เสียชีวิตเป็นเพียงตัวเลข และยกชื่อกรณีนักศึกษารามคำแหงเพียงคนเดียว ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้รับสารได้เช่นกัน
จากการตรวจสอบของประชาไทพบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่เสียชีวิต มีจำนวน 1 คน  คือนายทวีศักดิ์ โพธิ์แก้ว นักศึกษาชั้นปี 1 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งยิงบริเวณชายโครงขวาจนเสียชีวิต ในช่วงเวลาประมาณ 19.30 น.ของวันที่ 30 พ.ย. ส่วนที่เหลืออีก 4 คน หากดูจาก
ผู้เสียชีวิต 4 คน แบ่งเป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดง 3 คนซึ่งมาร่วมชุมนุมกับ นปช. ซึ่งขณะนั้นยังปักหลักชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถาน ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยรามคำแหง และปักหลักมาก่อนที่การก่อตัวของนักศึกรามฯ ซึ่งไม่พอใจการชุมนุมของนปช.จะเกิดขึ้น ส่วนอีก 1 คนที่พบเพียงโครงกระดูกในรถบัสที่ถูกเพลิงไหม้เหลือแต่ซาก ทราบภายหลังว่ารถดังกล่าวเป็นรถที่ขนเสื้อแดงมาจากต่างจังหวัด เนื่องจากวัน 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา Nation Channel รายงานด้วยว่า คนขับรถบัสคันดังกล่าวเข้าแจ้งความ พร้อมระบุได้ขับรถมาส่งคนเสื้อแดงเข้าร่วมชุมนุม ก่อนถูกชายฉกรรจ์จี้บังคับจนมาประสบเหตุไฟไหม้ ศพบนรถดังกล่าวยังไม่สามารถระบุตัวตนผู้เสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวข่าว 3 รายงานเมือวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า นางนฤมล คำพยัคฆ์ ได้มาดูหลักฐานจากแหวน และหัวเข็มขัดยืนยันว่าเป็นศพนายสุรเดช คำแปงใจ อายุ 17 ปี ลูกชายของเธอ ตำรวจอยู่ระหว่างตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันความถูกต้อง ส่วน เว็บไซต์เรื่องเล่าเช้านี้รายงานเพิ่มเติมว่า นางนฤมลทราบข่าวจากเพื่อนบ้านที่ได้ชมรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เมื่อดูภาพข่าวเห็นซากเคสเครื่องโทรศัพท์ หัวเข็มขัด กุญแจบ้าน เมื่อมาดูหลักฐานก็พบว่าเป็นของลูกชายจริง นอกจากนี้ในที่เกิดเหตุยังพบแหวนหัวมังกรที่ลูกสวมไว้เป็นประจำจึงยิ่งมั่นใจ ด้านมติชนออนไลน์รายงานถึงปากคำนางนฤมลว่า ช่วงเช้าวันที่ 1 ธ.ค.นายสุรเดชโทรศัพท์มาบอกว่าจะออกไปกินข้าวกับเพื่อนก่อนจะหายตัวไป
สำหรับผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวประกอบด้วย
- พลทหารธนสิทธิ์ เวียงคำ อายุ 22 ปี ถูกยิงเข้าที่ศีรษะ หลังมหาวิทยาลัยรามคำแหง บริเวณซอยรามคำแหง 24 แยก 14 เวลา 01.55 น. ของวันที่ 1 ธ.ค. มีกำหนดฌาปนกิจวันที่ 4 ธ.ค. นี้ ที่วัดยาง อ่อนนุช23 เวลา17.00น.
- นายวิโรจน์ เข็มนาค อายุ 43 ปี ชาวตำบลพิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี กลุ่มแดงพิมลราช ถูกยิงเข้าที่หน้าอกด้านซ้าย บริเวณทางขึ้นประตู N สนามราชมังคลา เวลาประมาณ 04.00 น. ของวันที่ 1 ธ.ค. มีกำหนดฌาปนกิจวันที่ 7 ธ.ค. นี้  ที่วัดท่ามะขาม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
- วิษณุ เภาพู่ อายุ 26 ปี ถูกยิงด้านหลังทะลุอกด้านซ้าย กระสุนตัดขั้วหัวใจ บริเวณหน้าการกีฬาแห่งประเทศไทย ถนนรามคำแหง (กกท.) ช่วงเช้ามืดของวันที่ 1 ธ.ค. มีกำหนดฌาปนกิจวันที่ 12 ธ.ค.นี้ ที่วัดลานบุญ ลาดกระบัง
คลิปขณะเสื้อแดงเข้าช่วยเหลือ วิโรจน์ เข็มนาค

สัมภาษณ์แม่เสื้อแดง เหยื่อกระสุนที่คนมองไม่เห็น

สุดารัตน์ เภาพู่ อายุ 50 ปี มารดาของ วิษณุ เภาพู่ ผู้ถูกยิงที่หน้า กกท.
สุดารัตน์เล่าว่า วิษณุอายุ 26 ปี เป็นช่างในบริษัทแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดสมุทรปราการ เพิ่งแต่งงานเมื่อปีที่แล้ว โดยวันที่ 30 พ.ย.นั้น ตัวเธอพร้อมด้วยสามีและลูกชาย 2 คนคือ วิษณุ และน้องชายวิษณุอายุ 10 ขวบ มาร่วมชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถาน ครอบครัวของเธอมาร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช. เป็นครั้งแรก ต่างจากวิษณุที่เข้าร่วมชุมนุมและเคลื่อนไหวกับ นปช. ตั้งแต่ปี 2552 และมาร่วมชุมนุมที่ราชมังคลาฯ หลายวันแล้ว
“วิษณุเขาไปกับเพื่อนเขานอนอยู่กับเพื่อน ตอนตี 4 – 5 เขานอนอยู่ตรงประตูราชมังคลาฯ เมื่อตนตื่นมาก็ไม่เป็นวิษณุแล้ว เพราะเขาเดินออกไปข้างนอกแล้ว แต่ช่วงกลางคืนวันที่ 30 นั้น วิษณุไม่ได้ออกไปนอกสนามกีฬา แต่จะขึ้นไปดูด้านบนและเดินรอบๆ สนามด้านใน”
“แม่ตี 5 กลับบ้านได้แล้วนะ”  สุดารัตน์ เล่าถึงคำพูดสุดท้ายของลูกชายที่กล่าวกับเธอ โดยที่ขณะนั้นพ่อของวิษณุตอบไปว่ายังกลับไม่ได้เพราะออกไม่ได้ แกนนำไม่ให้ออกอ้างเรื่องความปลอดภัย ทำให้เธอและคนอื่นๆ นั่งรอไปจนถึง 6 โมงเช้า หลังจากนั้นมีน้องของเพื่อนวิษณุไปหาที่บ้านเพื่อจะแจ้งข่าววิษณุถูกยิง เพราะคิดว่าเธอกลับมาบ้านแล้ว
“พี่แต๋ว (สุดารัตน์) อยู่ที่ไหนนี่ รู้หรือเปล่าว่าไอ้เอ้ (วิษณุ) โดนยิง” เสียงโทรศัพท์จากอาของวิษณุที่อยู่บ้านโทรมาแจ้งเธอพร้อมบอกว่า ตอนนี้วิษณุนั้นกำลังถูกปั้มหัวใจอยู่ เธอไม่เชื่อจึงได้โทรศัพท์ไปยังเบอร์ของลูกชาย เพื่อนของลูกชายรับแทนและกล่าวยืนยัน  
“ตอนนั้นใจคิดว่าลูกคงไม่รอด” สุดารัตน์ เล่าถึงความรู้สึกหลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนลูกชาย เมื่อได้ยินข่าวจึงเดินไปที่รถเพื่อขอออก แต่กลับถูกปฏิเสธและให้รอออกพร้อมกับผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ทำให้ตนเองต้องรอจนกระทั่ง 8 โมงกว่า จากนั้นมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลรามคำแหงเพื่อไปดูลูก ญาติที่ไปก่อนแจ้งว่าลูกชายเสียเลือดมาก หมอก็บอกว่าหลังจากปั้มหัวใจแล้วไม่ดีขึ้น คาดว่าเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนมาถึงโรงพยาบาลแล้ว
ภาพสวดพระอภิธรรมศพวิษณุ ภาพโดยเฟซบุ๊ก Jittra Cotchadet
แม่ของวิษณุเล่าว่า เพื่อนลูกชายเล่าให้เธอฟังว่าวิษณุถูกยิงด้วยปืนจากด้านหลัง เนื่องจากรูกระสุนด้านหลังเล็ก แต่มันบานข้างหน้า บริเวณอกข้างซ้าย ตัดขั้วหัวใจ เกิดเหตุบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เนื่องจากเดินทางไปดูว่าเกิดอะไรในบริเวณนั้น โดยเดินไปกับผู้ชุมนุมเสื้อแดงหลายคน วิษณุไม่ได้ใส่เสื้อแดงแต่ใส่เสื้อยีนส์แขนยาว
สุดารัตน์ ยืนยันว่าลูกชายของเธอไม่ได้เป็นการ์ดเสื้อแดง เป็นผู้ชุมนุมธรรมดาและต้องทำงานเป็นเสาหลักของครอบครัว
“เป็นอะไรก็เป็นกันในวันนี้ ถ้าตายก็ขอให้ตายในหน้าที่เสื้อแดงอย่างสมเกียรติ” สุดารัตน์กล่าวถึงสิ่งที่ลูกชายพูดกับเธอก่อนมาชุมนุมวันที่ 30 พ.ย.
“เอ้เป็นเด็กเรียกร้อย เด็กดีมาก ชอบช่วยเหลือเพื่อนฝูง รักครอบครัว แล้วก็ตอนนี้ก็ส่งบ้าน ส่งที่ดินที่พึ่งซื้อ เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว แถมยังมีน้อง 10 ขวบอีกที่เอ้ส่งเรียนหนังสือต่ อจากนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ”

“รู้สึกเสียใจและไม่คิดว่าจะเกิดกับลูกเรา  อยากให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินคดีกับผู้ที่ยิงลูกตนเองให้ได้” แม่วิษณุกล่าว

ภาพสวดพระอภิธรรมศพพลทหารธนสิทธิ์  ภาพโดยเฟซบุ๊ก ธิดา ถาวรเศรษฐ

พลทหารเสื้อแดง 

พลทหารธนสิทธิ์ เวียงคำ อายุ 22 ปี เสื้อแดงอีกคนที่ร่วมชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถาน ก่อนที่จะถูกยิงเสียชีวิต เมื่อเวลา 01.55 น.ของวันที่ 1 ธ.ค. บริเวณซอยรามคำแหง 24 แยก 14 โดยนิค นอสติทซ์ ช่างภาพอิสระชาวเยอรมันรายงานว่า ขณะที่กลุ่มการ์ดเสื้อแดงเข้าสำรวจพื้นที่หลังเหตุปะทะระหว่างคนเสื้อแดงกับผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้าน นปช. ยุติลง ได้มีเสียงปืนดังขึ้น 6 นัดและกลุ่มการ์ดเสื้อแดงได้แบกร่างของการ์ดคนหนึ่งที่ไม่ได้สติออกมาจากในซอย นำส่งขึ้นรถของมูลนิธิร่วมกตัญญู  โดยชายเสื้อแดงไม่ทราบชื่อดังกล่าวมีบาดแผลจากการถูกกระสุนปืนยิงทะลุหมวกกันน็อคเป็นบาดแผลบริเวณศีรษะ
ต่อมา โพสต์ทูเดย์ดอทคอม รายงานว่าทราบชื่อจากแฟนสาวผู้เสียชีวิตที่อยู่ในอาการโศกเศร้าว่า ชายคนดังกล่าวชื่อ พลทหารธนสิทธิ์ เวียงคำ อายุ 23 ปี เป็นทหาร อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เดินทางมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง และไม่ได้ทำหน้าที่การ์ดควบคุมการชุมนุมแต่อย่างใด ทั้งนี้ศพได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลพญาไท 1 แล้ว
ผู้สื่อข่าวโพสต์ทูเดย์รายงานเพิ่มเติมจากการสอบถามกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ร่วมเหตุการณ์ปะทะเปิดเผยว่า ฝ่ายตรงข้ามได้เดินมาบริเวณซอยรามคำแหง  24 แยก 14 ด้านหลังสนามราชมังคลาฯ โดยโห่ร้องและตะโกนด่าคนเสื้อเเดง จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนรวมถึงผู้เสียชีวิตจึงหยิบไม้และขวดแก้วเป็นอาวุธออกไปต่อสู้ในซอยดังกล่าว ปรากฏว่าฝ่ายตรงข้ามได้ใช้อาวุธปืนยิงสวนมายังพลทหารธนสิทธิ์ นัดแรกไม่โดน จากนั้นได้ยิงนัดที่สองเข้าศีรษะทะลุหมวกกันน็อคจนเสียชีวิตคาที่ ทำให้ผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงแตกกระเจิง จากนั้นผ่านไปสักระยะทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้รีบไปนำร่างผู้เสียชีวิตออกมา 

ข้อมูลคลาดเคลื่อน (บิดเบือน?) ในโซเชียลมีเดีย

ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบในโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างเฟซบุ๊ก พบว่า ผู้ใช้ชื่อ “โบว์ จ้า” ระบุว่าพลทหารธรรมสิทธิ์เสียชีวิตเพราะฝีมือกลุ่มคนเสื้อแดง พร้อมทั้งนำภาพเหตุการณ์ที่ไทยคม ซึ่งเป็นการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมเสื้อแดงกับเจ้าหน้าที่ทหาร (กรณีผู้ชุมนุมพยายามเข้าไปภายในรั้วสถานีเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเชื่อมสัญญาณสถานีโทรทัศน์พีเพิล ชาแนล หรือ พีทีวี เมื่อวันที่ 9 เม.ย.53) มาโพสต์ประกอบคำอธบายการเสียชีวิตของพลทหารธรรมสิทธิ์ (ดูภาพเหตุการณ์วันที่ 9 เม.ย.53 ที่ ประมวลภาพเหตุการณ์ ปฏิบัติการสายฟ้าแล่บ "เสื้อแดง" ยึดสถานีดาวเทียมไทยคมใน 15 นาที !! (โดยเฉพาะภาพที่ 39) http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1270807997)

 
ที่สำคัญ ภาพดังกล่าวถูกแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ “โบว์ จ้า” ยังเผยแพร่ภาพสวดอภิธรรมศพพลทหารดังกล่าวนั้น จากการตรวจสอบพบว่าเป็นภาพเดียวกับภาพที่ปรากฏอยู่ในเฟซบุ๊ก ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. ที่เข้าร่วมงานสวดอภิธรรมศพเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา 

 

อันที่จริงมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊คจำนวนไม่น้อยและได้รับการแชร์ต่อๆ กันหลายร้อยจนถึงหลายพันแชร์ เช่น การแชร์ภาพ 6 ศพวัดปทุมฯ (19 พ.ค.53) โดยระบุว่าเป็นภาพการเสียชีวิตของนักศึกษารามคำแหง ของเพจกองทัพนิรนาม ซึ่งเป็นเพจต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ต่อมาเจ้าของเพจได้ลบภาพดังกล่าวไป หรือการที่เพจชมรมค่ายอาสาพัฒนามหาวิทยาลัยรามคำแหง เพจ youlike south - คลิปใต้หรอยๆ ฯลฯ เผยแพร่รายชื่อของผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.โดยระบุว่าเป็นนักศึกษารามคำแหงทั้งหมด 4 ราย คือ นายทวีศักดิ์ โพธิ์แก้ว นายฉัตรชัย ดำประสงค์ นายเสน่ห์ จันเกิด และ นายจีระพงศ์ ครชาตรี
ภาพการโพสต์รูป 6 ศพวัดปทุมฯ ที่ถูกยิงเมื่อ 19 พ.ค.53 ของเพจกองทัพนิรนาม เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา

 
การโพสต์ของเพจดังกล่าวส่งผลให้มีผู้กดไลค์และแชร์จำนวนมากทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเสียชีวิตหมดทั้ง 4 คน
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเปรียบเทียบกับรายชื่อของศูนย์เอราวัณล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. พบว่ารายชื่อที่ตรงกันว่าเสียชีวิตนั้นมีเพียง 1 ราย คือ นายทวีศักดิ์ ขณะที่ นายฉัตรชัย นั้นเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. เวลา 11.00 น. ซึ่งเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น เนชั่น รายงานว่าได้เตินทางมากับ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. เพื่อมาร่วมตัวสอบกับสื่อมวลชนในที่เกิดเหตุ โดยนายฉัตรชัย กล่าวด้วยว่า ตนเองพร้อมเพื่อนอีกสามคนพบเห็นผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ แต่ตนนั้นได้ถูกลูกหลง ถูกกระสุนยิงเข้าบริเวณขาขวา โดยกระสุนมาจากฝั่งตรงข้ามหลังรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง และเพื่อนของตนก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ แต่ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว
ขณะที่ นายเสน่ห์ จันเกิด และ นายจีระพงศ์ ครชาตรี ศูนย์เอราวัณ รายงานตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.แล้วว่าได้รับบาดเจ็บ โดยเสน่ห์ จันทร์เกิด ถูกกระสุนที่แขนขวา 1 นัด ส่วนนายจีระพงศ์ ครชาตรี ซึ่งศูนย์เอราวัณรายงานว่านามสกุล คลองชาตรีพงศ์ นั้น ถูกกระสุนที่ขาขวาเหนือเข่า 1 นัด
นี่เป็นเพียงเพจจำนวนหนึ่งที่เผยแพร่ข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อน ความเร็วและง่ายของการแชร์ข้อมูลในโซเชียลเน็ตเวิร์กซึ่งผู้คนมักไม่ตรวจสอบ อาจสามารถเปลี่ยนเจตนาจากความต้องการเผยแพร่ความจริง ให้กลายเป็นการปลุกปั่นความเกลียดชังอย่างไม่ควรจะเกิดขึ้นได้เพียงแค่ปลายนิ้วคลิ๊ก

พ่อแม่รับศพ นศ.รามฯ ลูกชายคนเดียวที่เสียชีวิต วอนอย่าให้เกิดซ้ำ

ขณะเดียวกันความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับศึกษารามคำแหงนั้น เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา ผู้จัดการออนไลน์ รายงานความรู้สึกของพ่อและแม่ของนายทวีศักดิ์ คือ นายนราเมศวร์และนางสุรีย์ ธีระรังสิกุล ว่า ครอบครัวยังรู้สึกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ต้องการให้นำกรณีการเสียชีวิตของบุตรชายมาเป็นประเด็นทางการเมืองหรือหยิบยกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายและขอให้บ้านเมืองสงบสุขโดยเร็ว ไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น
พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา สบ10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้เข้ามาพูดคุยกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และนำหลักฐานที่พบในตัวนายทวีศักดิ์ คือลูกกระสุนขนาด 11 มม.ให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตดู และรับปากว่าจะให้ความเป็นธรรม คลี่คลายปัญหา ขณะที่พ่อของผู้เสียชีวิตระบุว่า ที่ผ่านมาถูกกดดันให้เลือกข้าง แต่ขอยืนยันว่าผู้เสียชีวิตไม่มีฝ่าย ทั้งนี้ ทางญาติจะเคลื่อนศพของนายทวีศักดิ์ ไปยังวัดหัวว่าว จ.สิงห์บุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิด
โพสต์ทูเดย์รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนางสุรีย์ผู้เป็นแม่ว่า ทวีศักดิ์เป็นบุตรคนเดียวของครอบครัว ปกติเป็นคนสนใจติดตามข่าวสารบ้านเมืองและพูดคุยกับพ่อแม่อยู่เสมอ โดยยึดหลักยืนอยู่ข้างความถูกต้องมาโดยตลอด และออกมาร่วมชุมนุมบ้างบางครั้งในระยะหลัง ทางครอบครัวให้อิสระทางความคิดกับลูกในการตัดสินใจว่าจะทำอะไร ซึ่งทวีศักดิ์นั้นอยู่หอบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง และจะกลับบ้านเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนตัวเธอนั้นทำงานอยู่ที่ จ.กาฬสินธุ์ หากมีอะไรก็จะโทรคุยกัน รวมทั้งกรณีจะไปร่วมชุมนุมหรือจะไปไหนก็จะโทรคุยกันด้วย
วันเกิดเหตุนั้นทวศักดิ์ไม่ได้โทรศัพท์มาบอกเธอว่าจะไปร่วมชุมนุม ประกอบกับวันดังกล่าวเธอเดินทางไป จ.อุบลราชธานี เมื่อทราบว่ามีการปะทะกันที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงก็รู้สึกใจคอไม่ดีเพราะผู้ตายอยู่แถวนั้น จึงโทรไปหาลูกตอนประมาณ 19.00 น. แต่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ จนกระทั่งเกือบ 21.00 น. ก็ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่าลูกชายเสียชีวิตแล้ว
ครอบครัวเห็นไปในทิศทางตรงกันว่าอันไหนถูกต้องและยืนยันต้องอยู่ข้างความถูกต้อง แม้จะไม่เห็นด้วยกับสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ไม่ถึงกับสนับสนุนการออกไปชุมนุม เพราะให้อิสระทางความคิดซึ่งกันและกัน และเธอปลูกฝังเรื่องนี้มาโดยตลอดเพราะเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องยึดถือความซื่อสัตย์ ที่ผ่านมาเพื่อนเคยมาชวนร่วมชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน แต่ก็ไม่ได้เข้าร่วมเพราะต้องกลับจังหวัดกาฬสินธุ์
สุรีย์กล่าวด้วยว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่ามาตรการป้องกันเหตุไม่ให้เกิดการปะทะกันมีความหละหลวมมาก จึงอยากเรียกร้องไปถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องว่าอย่าให้เรื่องนี้เกิดแล้วหายไป แต่ต้องหาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตก็จะสูญเปล่าไปเรื่อยๆ เป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น