วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ถลกหนัง …10 (หน้ากาก) คนดี !!


ถลกหนัง …10 (หน้ากาก) คนดี  !!


             “สุเทพ เทือกสุบรรณ” หัวหน้าม็อบกบฏ กปปส. ประกาศจัดทัพใหม่ เตรียมระดมพลใหญ่ เพื่อโค่นล้มรัฐบาลทุกวิถีทางอีกครั้ง หลังคนไทยฉลองเทศกาลสงกรานต์เสร็จเรียบร้อย พร้อมกับประกาศว่า “คราวนี้ไม่ชนะ ก็จะเข้ามอบตัวทันที”

           แม้จะฟังดู…“เชื่อไม่ได้” !!  เนื่องจากเป็นคำประกาศที่คล้ายคลึงกับที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เคยประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ และได้ “กลืนน้ำลาย” ไปเรียบร้อยหลายครั้ง

           แต่เมื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ได้ “พูด” ออกไป “องค์กรเครือข่าย” ต่างๆ ก็แสดง “ปฏิกิริยา” ตอบรับเพื่อให้เป็นไปในแนวทางที่ “หัวหน้าม็อบกบฏ” ประกาศทันที

           ล่าสุด “พล.อ.สายหยุด เกิดผล” และ “คณะรัฐบุคคล” ก็ออกมาแถลงข่าวเสนอให้ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไปเจรจากับองค์กรต่างๆ ทั้งตุลการและทหาร เพื่อร่วมกันหาหนทางที่จะนำไปสู่ “นายกฯคนกลาง” โดยอ้างว่า เพื่อเป็นทางออกจากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง !!

           ซึ่งแน่นอนว่า ความพยายามของคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะการกระทำในลักษณะเดียวกันนี้ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ที่มีการ “รัฐประหาร 19 กันยายน 2549” แล้วผลักดันคนอย่าง “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” ขึ้นมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” โดยอ้างว่าเป็น “คนดี”

           แม้หลังจากนั้น จะมีการเปิดเผยความจริงในเวลาต่อมาว่า “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” กลับเป็นผู้เข้าไปถือครอง “ที่ดินเขายายเที่ยง” จ.นครราชสีมา อย่างผิดกฎหมาย จนต้องขนย้ายข้าวของออกนอกพื้นที่ก็ตาม

          แต่ความพยายามของคนกลุ่มนี้ก็ยังไม่ลดละ ที่จะผลักดัน “คน” ที่อ้างว่าเป็น “คนดี” ขึ้นมาครองอำนาจทางการเมือง !!

            จึงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า คนกลุ่มคนผู้ผลักดัน “คนดี” เข้ามามีอำนาจเหล่านี้ ซึ่งก็มักจะอ้างว่าตัวเองเป็น “คนดี” มีคุณงาม “ความดี” มากกว่าคนอื่นๆนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร???

            ทีมงาน “พระนครฯ” ได้รวบรวม “10 บุคคล” ที่อ้างอภิสิทธิ์ “ความดี” เหนือปุถุชนคนทั่วไป เป็น “หน้ากาก” ในการ “ผูกขาด” ความเป็น “คนดี” เอาไว้เฉพาะตน-พวกตน-กลุ่มตน เพื่อปฏิบัติการทางการเมือง…

            โดยได้มีการจัดเรียงตามลำดับ “ความดี” เอาไว้ทั้งหมด ตามระดับ “ความหนา” ของหน้ากาก ของแต่ละบุคคล-กลุ่มคน เพื่อจะได้ช่วยกันระมัดระวังป้องกัน ไม่ให้บุคคลใกล้ชิดหลงเข้าไปวังวนของ “คนดี” เหล่านี้ ตลอดปี 2557 …


…เพราะอาจจะทำให้ “สังคม” สูญเสีย “ประชาธิปไตย” ไปได้ง่ายๆ

10.พล.อ.สายหยุด เกิดผล

                 อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด คนนี้เบียดเข้าสู่ตำแหน่ง “ท็อปเท็น”ในช่วงโค้งสุดท้าย ภายหลังออกมาเสนอแนวทางที่จะนำไปสู่ “นายกฯคนกลาง” ซึ่งได้ทำให้ผู้คนต่างๆ พากันเลิกพูดถึงที่มาที่ไปและคุณงามความดี ที่ “พล.อ.สายหยุด เกิดผล” เคยกระทำมาตลอดชีวิต สมัยที่ยังรับราชการ เนื่องจากทุกฝ่ายหันไปแสดงความคิดเห็นคัดค้านแนวคิดของ “พล.อ.สายหยุด เกิดผล” และ “คณะรัฐบุคคล” พร้อมเพรียงกันทั้งหมด
นอกจากนี้เมื่อไปค้นประวัติ “พล.อ.สายหยุด เกิดผล” ในหมวกที่เป็น “ประธานองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย” หรือ “พีเน็ต” กลับพบว่าเป็นองค์กรหนึ่ง ที่ได้รับงบประมาณไปจาก “คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)” ไปเป็นจำนวนมาก  ชำแหละ “พีเน็ต”องค์กรต้นสังกัด “สมชัย ศรีสุทธิยากร”..ปมปีนเกลียว กกต.2543 โชว์ตัวตน “ขาใหญ่” ผูกขาด “งบฯตรวจสอบเลือกตั้ง” ตะลึง “ขอ”แล้วไม่ให้ “ขู่ฟ้อง”เอาตาย!!


9.สุภา ปิยะจิตติ

          “รองปลัดกระทรวงการคลัง” ซึ่งเพิ่งได้รับการสรรหาจาก “คณะกรรมการสรรหากรรมการ ป.ป.ช.” ที่มีองค์ประชุมเพียงแค่ “ประธาน 3 ศาล” จากทั้งหมดที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ให้มีทั้งหมด 5 คน ให้เป็น “ป.ป.ช.” คนใหม่

          แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ภาพความหลังที่ “สุภา ปิยะจิตติ” ถูก ป.ป.ช.มีมติกล่าวหาและไต่สวนกรณีมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทำความผิดให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ในกรณีการประกวดราคาให้เช่าเนื้อที่โฆษณารถ ขสมก. โดยมิชอบ เนื่องจากมีการแก้ไขสัญญาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน ขณะดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารกิจการ ขสมก.เมื่อปี 2543

          ซึ่งทำให้สังคมเกิดความกังขาว่า ในวันที่ “สุภา ปิยะจิตติ” ได้เป็น “ป.ป.ช.” คดีที่ตัวเองถูก “ป.ป.ช.” ไต่สวนนั้นจะเป็นเช่นไร  ตะลึง!! ว่าที่ ป.ป.ช. “สุภา ปิยะจิตติ” ถูก “ป.ป.ช.” สั่งสอบปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ปมร่วมทุจริตประมูลโฆษณา ขสมก.ปี43 ส่อเอื้อประโยชน์เอกชน จับตาผ่าน “ลากตั้ง”ขึ้นเป็น “ป.ป.ช.”ได้..”หลุดคดี” หรือไม่ ?


8. สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย

             ฐานันดรที่ 4 ของสังคมที่ได้รับความน่าเชื่อถือจากสังคมมายาวนาน ต้องสั่นสะเทือนเมื่อ “สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย” ทำโครงการของบประมาณสนับสนุนจาก “สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ” หรือ “สสส.” นับ 100 ล้านบาทมาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งอ้างว่าเป็นโครงการเกี่ยวกับ “สุขภาวะ”   หลุด เอกสารประวัติรับทุน “สสส.”หึ่ง “สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อฯ”ผูกขาด 7ปีต่อเนื่อง อ้าง “สื่อสารสุขภาวะ”ถลุงไม่ต่ำ 96ล้าน จับตา “ขัดวัตถุประสงค์กองทุน”หรือไม่ ?




7. พุทธะอิสระ

            หนึ่งในแกนนำ กปปส. สาวกคนสำคัญของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อ้างผ้าเหลือง อ้างความเป็นพระ มาปฏิบัติการทางการเมือง ในการระดมพลชุมนุมเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่กลับพบว่าในอดีต “พุทธอิสระ” หรือ “นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ” เคยต้อง “สึก” จากความเป็นพระมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2544 เนื่องจากครหาเกี่ยวกับการ “โกงอายุพรรษา”

            โดยใน “ใบตราตั้งเจ้าอาวาส” กับเอกสารแต่งตั้งเป็น “เจ้าคณะตำบล” ที่มี “อายุ” คลาดเคลื่อนกันไปถึง 5 ปี และ “พรรษา” ต่างกัน 6 พรรษา ซ้ำร้ายยังฝันที่จะเป็น “พระพุทธเจ้าองค์ใหม่” ในอนาคต ฉีกหน้ากาก “เสือเหลือง อิสระ กปปส.” ย้อนประวัติ เอี่ยว “โกงพรรษา” ตะลึงเป้าหมายชีวิต พิชิต “พระพุทธเจ้า”ในอนาคต!!

6. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

          อีก 1 คนที่ที่สาวก กปปส.และ ปชป. เชิดชู ทั้งๆที่ “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)” คนนี้ ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี” โดยที่ประชาชนไม่ได้เลือก “พรรคประชาธิปัตย์” ให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเป็นอันดับที่ 1

          ซ้ำร้ายยังเป็น “นายกรัฐมนตรี” ในขณะที่มีการออกคำสั่งให้สลายการชุมนุมของประชาชน ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธและใช้กระสุนจริง ในเหตุการณ์ความรุนแรงเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีประชาชนเสียชีวิตกว่า 100 รายและได้รับบาดเจ็บกว่า 2,000 ราย นอกจากนี้ในการชุมนุมของม็อบ กปปส. ซึ่งแกนนำม็อบ ล้วนแต่เป็น “อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์” และ “ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์” เป็นจำนวนมาก แต่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ยังพูดได้ตลอดเวลาว่า การชุมนุมดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ !!


5. วิชา มหาคุณ

            กรรมการ ป.ป.ช. อันเป็นองค์กรอิสระ ที่มีบทบาททางการเมืองมากที่สุดในขณะนี้ โดยเฉพาะกรณีการดำเนินการกับคดีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้สังคมกังขาอย่างมาก เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการดำเนินการอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการดำเนินการกับ “คดีทุจริตโครงการประกันรายได้เกษตรกร” และ “คดีทุจริตโครงการระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาล” ยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2552 ที่จนขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า

           นอกจากนี้ยังถูกตรวจสอบพบว่า “วิชา มหาคุณ” ได้เปิดเผยที่มาที่ไปของตำแหน่ง ป.ป.ช. ที่ตัวเองได้มานั้นมาจากการทาบทามกันภายใน ของกลุ่มคนไม่กี่คน หลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยิ่งทำให้สังคมได้เห็นถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังได้ชัดเจนมากขึ้น  ตะะลึง “วิชา มหาคุณ”แฉเอง “มีวันนี้เพราะคมช.ให้”เปิดปากสารภาพ หลังรปห. “มีชัย ฤชุพันธุ์” จัดโผ ป.ป.ช.โยงวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์-อุดม เฟื่องฟุ้ง มีชื่อเข้าคิวนั่ง องค์กรอิสระคณะปฏิวัติ!!




4.สมชัย ศรีสุทธิยากร
           “กรรมการการเลือกตั้ง” ที่มีบทบาทมากที่สุดใน 5 กกต.ทั้ง 5 คน เพราะด้วย “หน้าที่ กกต.” ที่จะต้อง “จัดการเลือกตั้ง” ให้ “บริสุทธิ์-ยุติธรรม” ตามที่กฎหมายกำหนด แต่กลับปรากฏว่า หลายครั้งได้แสดงความคิดเห็นให้มีการ “เลื่อนการเลือกตั้ง” ออกไป ซึ่งขัดแย้งกับ “หน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง” ของ “กกต.”

           ซึ่งเมื่อตรวจสอบย้อนหลังไปสมัย “สมชัย ศรีสุทธิยากร” ยังอยู่ภายใต้สังกัด “องค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย” หรือ “พีเน็ต” อันเป็นองค์กรที่ส่งเสริมการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย กลับเคยประกาศร่วม “บอยคอตเลือกตั้ง ปี 2549” ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์มาแล้วครั้งหนึ่ง
เมื่อเอาคนที่เคย “บอยคอตการเลือกตั้ง” มา “จัดการเลือกตั้ง” …วันนี้จึงเป็นเช่นนี้ !!
แฉชัดๆ “สมชัย ศรีสุทธิยากร”แนวร่วม “มาร์ค”บอยคอตเลือกตั้ง’49 พฤติกรรม-คำพูดมัด “กกต.”พ้องเสียง ปชป.!!

3.ประมนต์ สุธีวงศ์

            “ประธานองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น” ที่มีผลงานเด่นในการประกาศแนวทางต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นมากมาย ในช่วงการชุมนุมของม็อบ กปปส. ก็ออกสปอตโฆษณา “อย่าให้คนโกงมีที่ยืน” จนเป็นที่ฮือฮา แต่กลับปรากฏข้อมูล “บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด” ซึ่ง “ประมนต์ สุธีวงศ์” เป็น “ประธานบริษัท” สำแดงภาษีนำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ โตโยต้า พรีอุส ไม่ถูกต้องตามพิกัดอัตราภาษีศุลกากร และถูกศุลกากรเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมนับหมื่นล้านบาท  ตะลึง “บริษัท”ประธานต้านคอรัปชั่น จ่อ “โกง”ซะเอง! เอกสารศุลากรมัด “โตโยต้าไทย”ที่ “ประมนต์ สุธีวงศ์”เป็นประธาน ส่อเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์พรีอุส 1.1หมื่นล้าน!!


2.จรัญ ภักดีธนากุล

           “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ซึ่งถูกกล่าวขานถึงความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มากที่สุดคนหนึ่ง โดยหลังเหตุการณ์รัฐประหาร ก้าวข้ามห้วยจาก “เลขานุการประธานศาลฎีกา มารับเก้าอี้ “ปลัดกระทรวงยุติธรรม” จากนั้นร่วมเป็น “กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550” และขึ้นเป็น “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ”ในเวลาต่อมา
เป็นอีก 1 คนในแวดวงตุลาการที่มีบทบาทอย่างยิ่งต่อการเมืองไทย แต่กลับถูกค้นพบว่า ศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษาเลขที่ 435/2556 เมื่อ 22 มกราคม 2556 ให้ภรรยาของตุลาการคนดัง คืนที่ดินจำนวน 51 แปลงที่มีการปลอมเอกสารขึ้นมาโอนที่ดินไม่อย่างถูกต้อง
เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา เมียจรัญ ภักดีธนากุล โกงที่ดิน 51แปลง ปลอมหนังสือ หลอกโอนที่ดินเป็นของตัวเอง ศาลสั่งโอนคืน/ชดใช้ค่าเสียหายอ่วม 45 ล้าน


1.สุเทพ เทือกสุบรรณ

          อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ที่เคยมีคำสั่งให้สลายการชุมนุมของประชาชน จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 100 ศพ บาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน ผู้ซึ่งเคยกล่าวหาว่าการชุมนุมของประชาชนนั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมีผู้ก่อการร้ายแฝงตัวอยู่ในการชุมนุม กลับกลายมาเป็นแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. ที่ปิดถนนสาธารณะ บุกสถานที่ราชการ สร้างสถานการณ์และทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมไปถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก

             ซ้ำร้ายยังกล่าวหาเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าเป็นผู้ที่ทำร้ายกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งๆที่ปรากฏอย่างชัดเจนว่ากลุ่มผู้ชุมนุมกปปส.นั้นมีอาวุธสงครามร้ายแรงอยู่ในการชุมนุมจำนวนมาก

             นอกจากนี้ยังปรากฏว่าในการชุมนุม “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ได้มีการปราศรัยกล่าวหานักการเมืองฝ่ายตรงข้ามจำนวนมากว่าทุจริตคอรัปชั่น ทั้งๆที่ตัวเองนั้นมีมลทินติดตัวมากมาย ตั้งแต่ กรณีที่ดิน สปก.4-01 สมัยที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมาถึงกรณีโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทน ในยุคที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงยังมีกรณีที่บุตรชาย ที่ชื่อ “แทน เทือกสุบรรณ” ก็โดนคดีบุกรุกที่ดินเขาแพง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี อีกด้วย

            จึงนับว่าเป็น อันดับ 1 ที่ถือครอง “(หน้ากาก) คนดี” ได้แนบเนียน ชนิดประวัติชีวิตตัวเอง ที่เต็มไปด้วยมลทิน …ไม่เคยมี กปปส. คนใดพูดถึงแม้แต่น้อย!!

เปิดเส้นทางชีวิต “หัวหน้าคณะจรกาธิปไตย” ตำนานอมตะ “สุเทพ-เมียเพื่อน” !!!
ม็อบฝ่อ-กปปส.แผ่ว..เดิมพัน “สุเทพ”สะเทือนถึง “ลูก” แทน เทือกสุบรรณ คดีบุกรุกเขาแพง แขวนบนเส้นด้าย เป็น-ตาย ลุ้นเหนื่อย!
เปิดตำนาน ปชป.ปล้นคนจน “เทือก”เขมือบคลาสสิค โกงที่ดิน สปก 4-01 !

'ทหาร-กสทช.' เดินหน้า 'ตรวจ-ค้น-ยึด-ปิด' วิทยุชุมชนต่อเนื่อง


 
31 พ.ค. 2557 ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ร.ท.บุญญฤทธิ์ แจ้งแสงทอง ผู้บังคับหมวด กองพันทหารม้าที่ 12 ค่ายพระยาไชยบูรณ์ พร้อมด้วยนายธีรัตน์ เพ็ชรหิน เจ้าพนักงานปฏิบัติการระดับสูง รักษาการผู้อำนวยการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เขต 3 ลำปาง และ พ.ต.ท.มานพ ใจอุ่น สารวัตรป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจภูธรเมืองแพร่ พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตุ้ยบุญมา พนักงานสอบสวน สภ.เมืองแพร่ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจยึดสถานีวิทยุชุมชนที่ฝ่าฝืนประกาศฉบับที่ 32/2557 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
       
โดยได้เข้าตรวจสอบที่สถานีวิทยุชุมชน E-Radio Station Phrae ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทรูเลิฟ สเตชั่น 2013 ที่บ้านเลขที่ 102 หมู่ 7 ต.นาจักร อ.เมืองแพร่ ออกอากาศคลื่นความถี่ 89.5 Mhz กำลังส่ง 364 วัตต์ แต่ไม่ได้ขออนุญาต และมีการตรวจพบว่า ลักลอบออกอากาศอยู่ จึงได้ยึดเครื่องส่ง พร้อมอายัดสายอากาศส่งพนักงานสอบสวน ส่วนอีกความถี่คือ 87.5 Mhz นั้นไม่ได้ออกอากาศ แต่มีใบอนุญาต
       
นอกจากนี้ ยังได้ตรวจสอบสถานีวิทยุชุมชนอีกจำนวน 6 แห่ง ที่อยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองแพร่ ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับอนุญาต หรืออยู่ระหว่างการขออนุญาต และทดลองออกอากาศ แต่เนื่องจากสถานีเหล่านี้ไม่ได้ออกอากาศ

 
ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 13 เรียกผู้ประกอบการวิทยุชุมชนรับทราบข้อปฏิบัติ
 
31 พ.ค. 2557 กรุงเทพธุรกิจรายงานว่าพล.ต.ชัยกร ประเสริฐสุข ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 13 จังหวัดลพบุรี ในฐานะผู้รับผิดชอบงานคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท และจังหวัดอ่างทอง ได้เรียกประชุม ผู้ประกอบการสถานีวิทยุชุมชน เคเบิ้ลทีวี ทุกแห่ง ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ทั้งที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมประชาสัมพันธุ์ และยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน รวม60 สถานี พร้อมทั้งเจ้าของสถานบันเทิงทุกแห่ง ในพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อชี้แจ้ง ข้อปฏิบัติ และสั่งการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคง ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช.) โดยเน้นย้ำขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการสถานีวิทยุชุมชน ทุกแห่งงด การออกอากาศไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง เนื่องจากขณะนี้ ตรวจสอบพบว่ายังมีบ้างสถานีฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ คสช.ซึ่งจากนี้ไปหากตรวจพบสถานีใด ยังดำเนินการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตาม จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด สั่งปิดสถานีในทันที ส่วนสถานบันเทิงทุกแห่ง ขอให้ปิดตามเวลาที่ คสช. ได้ประกาศเคอร์ฟิวไว้ ก่อนเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้มีเวลาในการเดินทางกลับเข้าสู่เคหะสถานของตนเองตามเวลาที่กำหนด
 
คสช.ไม่อนุญาตวิทยุชุมชนกาฬสินธิ์เผยแพร่สัญญาณ
 
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2557 ที่ผ่านมาแนวหน้ารายงานว่าพ.อ.จักรพงษ์ กระจ่างพุ่ม รอง ผอ.กอ.รมน.จังหวัด, พ.อ.ฉกาจพงษ์  หงส์ทอง รองผู้บังคับการกรมทหารม้าที่ 6, พ.อ.จิรัตน์กฤษณ์ เหลืองจินดา เสนาธิการกองกำลังรักษาความสงบจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้เชิญสื่อมวลชน ผู้ประกอบการวิทยุชุมชน เคเบิลทีวี 120 คน รับฟังแนวทางการทำงาน คสช. ที่เดินหน้านำความสงบกลับคืนสู่ประเทศชาติ โดยระบุ คสช.ยังไม่อนุญาตให้วิทยุชุมชนในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ทำการกระจายเสียง เพราะพบว่าการตั้งเสาสัญญาณ 130 แห่ง ได้รับอนุญาตเพียง 42 ราย อีก 80 รายไม่ได้รับอนุญาต มีการลักลอบกระจายเสียงเปิดช่องทางให้มีการปลุกระดมสร้างความปั่นป่วนให้ประชาชนหลงเชื่อข้อมูลอันเป็นเท็จ
 
บุกตรวจสอบวิทยุชุมชนราชบุรี พร้อมยึดเครื่องไปตรวจสอบ
 
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2557 ที่ผ่านมา ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าพ.อ.วินิจ สว่างเนตร เสนาธิการจังหวัดทหารบกราชบุรี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจตำบลหน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี บุกเข้าตรวจค้นที่บริเวณสถานีวิทยุชุมชน ชื่อ ทีพีเอ็ม เน็ตเวิร์ด (ราชบุรี) ซึ่งตั้งอยู่ในซอยเพชรเกษม 9 ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี
       
หลังได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่า ยังไม่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. มีเพียงใบอนุญาตให้ทดลองออกอากาศ ซึ่งการตรวจสอบก็พบว่า สถานีวิทยุชุมชนแห่งนี้เป็นวิทยุชุมชนประเภทธุรกิจใช้การลิงก์สัญญาณจากกรุงเทพฯ มาออกอากาศ และประกาศขายน้ำสกัดจากสมุนไพรเท่านั้น
       
โดยนายนิเวศ มณีแมน ซึ่งเป็นผู้ดูแลสถานีวิทยุแห่งนี้ได้นำเอกสารในการขออนุญาตจาก กสทช.มาให้ดู โดยอ้างว่า ได้ทำเรื่องขออนุญาตไปทาง กสทช.แล้ว แต่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตกลับมา ทางเจ้าหน้าที่ที่เข้าตรวจสอบนั้นยังไม่ปักใจเชื่อ โดยขอให้ทางนายนิเวศ ได้นำเอกสารที่ได้ยื่นเรื่องขออนุญาตที่ กสทช.มาให้ดูก่อนจึงจะอนุญาตให้เปิดสถานีได้ แต่ในเบื้องต้นได้ทำการตรวจยึดเครื่องส่งรับสัญญาณออกอากาศ รวมทั้งอุปกรณ์ทั้งหมดไปก่อน จนกว่าจะมีใบอนุญาตไปยืนยันจึงจะสามารถขอรับเครื่องคืนได้ทั้งหมด
 
ทหารระยองเรียกวิทยุชุมชนแจงระงับออนแอร์
 
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2557 ที่ผ่านมาโพสต์ทูเดย์รายงานว่าพ.ค.ร.อ.โกเมศ พินิจมนตรี รรก. นยก. พัน ร.7 กรม ร.3 พล.นย. ได้เรียกผู้ประกอบการสถานีวิทยุชุมชนในจังหวัดระยองแจงระงับการเผยแพร่คลื่นสถานีวิทยุชุมชนชั่วคราว ที่ค่ายมหาสุรสิงหนาท (พัน ร.7) ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อป้องปรามไม่ให้มีปัญหาปลุกระดมหรือขัดแย้งปัญหาทางการเมืองตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช.) ให้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด 
 
ด้านน.ส.สุมาลี อินนา ประธานชมรมวิทยุชุมชนจังหวัดระยอง กล่าวว่า สถานีวิทยุชุมชนจ.ระยองได้ปฏิบัติตามที่ประชาสัมพันธ์จังหวัดระยองให้ระงับการกระจายเสียงของสถานีวิทยุชุมชนไว้ก่อน ขณะที่ คสช.ได้ประกาศกฎอัยการศึก เพื่อไม่ให้มีปัญหาการปลุกระดมหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และในการประชุมครั้งนี้ได้ขอร้องและขอความร่วมมือจากสมาชิกวิทยุชุมชนให้ระงับการเผยแพร่กระจายเสียง ปิดคลื่นสถานีวิทยุชุมชนทั้งหมด 
 
นอกจากนี้ให้ยื่นเอกสารการจัดตั้งวิทยุชุมชนที่ถูกต้องมาแสดงให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทหารได้นำเสนอ คสช. เพื่อให้เปิดใช้คลื่นวิทยุชุมชนได้โดยไม่ให้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือปลุกระดมชาวบ้าน ซึ่งขณะนี้ทางคลื่นวิทยุชุมชนต่างๆนั้นได้รับความเดือดร้อนจากการลงโฆษณาสินค้าทำให้วิทยุชุมชนนั้นขาดรายได้และไม่สามารถจะเลี้ยงดูบุคลากรในสถานีวิทยุชุมชนได้ จึงอยากให้ทาง กสทช. ช่วยเร่งติดตามในเรื่องนี้ด้วย

ถอนกำลังอนุสาวรีย์ชัยหลังไม่มีผู้ชุมนุม ขอความร่วมมือฉายแอลซีดีบันทึกทหารช่วยน้ำท่วมปี 54


31 พ.ค. 2557 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่าบรรยากาศที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิว่าตำรวจและทหาร เริ่มถอนกำลัง หลังจากเข้าดูแลพื้นที่ในการป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมต้านรัฐประหารเข้ามมชุมนุม โดยได้ทยอยถอนกำลังจากจุดที่มีความเสี่ยงน้อย ซึ่งตลอดการเข้ารักษาความสงบตั้งแต่เวลา 16.00 น. ไม่ปรากฏพบบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่แสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการเข้าควบคุมอำนาจของ คสช. และตลอดระยะเวลา 2 ชม.ที่ตำรวจและทหารเข้าดูแลพื้นที่ได้มีประชาชนนำน้ำดื่ม อาหาร ของใช้จำเป็นต่างๆ มามอบให้ รวมถึงมีการขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
 
นอกจากนี้ยังพบว่ามีการติดตั้งจอแอลซีดีขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ มีการนำวีดีโอ การปฏิบัติงานของทหาร ทั้งการฝึกซ้อมในหน่วยต่างๆ รวมถึงการช่วยเหลือภัยพิบัติปี 2554 ซึ่งทางกองทัพบก ได้ขอความร่วมมือภาคเอกชนนำเสนอวีดีโอดังกล่าวในช่วงเวลา 16.00-18.00 น. อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ก็จะยังคงเข้าตรึงกำลังดูแลพื้นที่เช่นเดียวกับวันนี้

จับตากลุ่มต่อต้านรัฐประหาร 2 กลุ่ม วอนเชื่อมั่น คสช. เร่งแผนสร้างสมานฉันท์


31 พ.ค. 2557 พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกลุ่มต่อต้านรัฐประหาร ว่า ขณะนี้มีกลุ่มต่อต้านรัฐประหารอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและออกมาต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการด้านกฏหมายและสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งอยากจะขอความวิงวอนพี่น้องประชาชนขอให้ช่วยกันห้ามปราม และขอให้เชื่อมั่นการทำงานของ คสช.ที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนตามที่หัวหน้า คสช.ชี้แจงไป สำหรับผู้ที่ทำความผิดที่ผ่านมามีจำนวน 14 คน ซึ่งทาง สน.พญาไท ได้ออกหมายจับแล้ว และจับมาได้ 1 คนแล้ว อย่างไรก็ตาม ทาง คสช.จะบังคับใช้กฏหมายให้มีประสิทธภาพต่อไป
ส่วนกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ต่อต้านและแสดงความรู้สึกผ่านสื่อออนไลน์ และโซเซียลมีเดีย ซึ่งถือว่าเป็นส่วนน้อยซึ่งเราก็จะติดตามอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้เข้ารายงานตัวกับ คสช.ตามคำสั่ง คสช.นั้น ซึ่งกลุ่มต่างๆเหล่านี้ได้ให้ความร่วมมือและหาทางออกร่วมกันให้กับประเทศชาติ โดยหลายคนได้สะท้อนความรู้สึกภายหลังเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์ โดยได้สะท้อนกลับมาในเชิงบวก และมีความเห็นตรงกันในการทำเพื่อประเทศชาติไม่ได้ทำเพื่อใคร ส่วนใหญ่มีความเห็นดีขึ้น 
 
เร่งแผนสร้างสมานฉันท์คนในชาติ ปรับทัศนคติคน 3 กลุ่ม
พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังหารือนโยบายด้านกระทรวงสาธารณสุข โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง ว่า การหารือวันนี้ (31 พ.ค.) เพื่อติดตามการดำเนินงานทั่วไปภายในกระทรวง ทั้งแบบระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ในปีงบประมาณ 2558 และยังรวมถึงงานที่ค้างอยู่ตั้งแต่ก่อนยุบสภา เน้นเรื่องการปรับปรุงระบบบริการในเขตสุขภาพทั้ง 12 เขต บรรจุบุคลากร 7,500 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ ยังเน้นการแก้ไขปัญหาแบบเร่งด่วนในเรื่องการสร้างความสมานฉันท์และปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ โดยนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้ของกระทรวงสาธารณสุขเข้ามาใช้ ปรับทัศนคติความเชื่อ ความคิดที่แตกต่าง แก้ปัญหาในคน 3 กลุ่ม 1.ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้บาดเจ็บ หรือญาติของผู้เสียชีวิต 2.ผู้มีความขัดแย้ง ความเชื่อที่แตกต่าง และ 3.ประชาชนทั่วไป โดยมอบให้ทางศูนย์ปรองดองระดับจังหวัดดูแล ซึ่งจะมีการหารือเตรียมความพร้อมและรายละเอียดการทำงาน ในวันจันทร์ที่ 2 มิถุนายนนี้
ด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น ต้องอาศัยกลไกความร่วมมือทุกระดับ ใช้บุคลากรสาธารณสุขร่วมกับภาคประชาชน เน้นการรับฟังพูดคุย สำรวจความคิดเห็นก่อน ในเชิงสังคมจิตวิทยา จากนั้นประเมิน และต้องอาศัยสื่อมวลชนในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน

ออสเตรเลียแถลงเพิ่ม งดฝึกปฏิบัติการทหารร่วมกับไทย เรียกร้องกลับสู่ปชต.-หลักนิติธรรมโดยเร็ว


ทางการออสเตรเลียออกแถลงการณ์ถึงสถานการณ์รัฐประหารในประเทศเพิ่มเติมโดยระบุว่าจะมีการลดความสัมพันธ์กับกองทัพไทย อีกทั้งยังเรียกร้องให้เคารพในหลักเสรีภาพขั้นพื้นฐาน โดยยกเลิกการจับกุมผู้คนตามอำเภอใจและให้ปล่อยตัวนักโทษการเมือง

31 พ.ค. 2557 จูลี บิชฮอป รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลียและวุฒิสมาชิก เดวิด จอห์นสตัน ออกแถลงการณ์ร่วมกันกรณีรัฐประหารในไทยโดยมีเนื้อหาเพิ่มเติมจากแถลงการณ์ฉบับก่อนหน้านี้
ทางการออสเตรเลียแถลงการณ์เพิ่มเติมเมื่อวันเสาร์ (31 พ.ค.) ว่า หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ทางการออสเตรเลียได้แสดงความกังวลในเรื่องนี้ผ่านทางเอคอัครราชทูตออสเตรเลียในไทย และต่อสถานทูตไทยในออสเตรเลีย อีกทั้งยังมีการลดระดับความสัมพันธ์กับกองทัพไทย
"จากความกังวลของพวกเรา ทางการออสเตรเลียขอลดระดับความร่วมมือทางการทหารกับไทย และจะลดระดับความสัมพันธ์กับผู้นำทหารของไทยด้วย" ทางการออสเตรเลียระบุในแถลงการณ์ล่าสุด
แถลงการณ์ระบุอีกว่า ทางการออสเตรเลียได้สั่งเลื่อนกิจกรรม 3 อย่างที่มีแผนดำเนินการร่วมกันกับไทย คือหนึ่ง การฝึกอบรมปฏิบัติการทางทหารตามหลักสูตรกฎหมายให้กับเจ้าหน้าที่ทหารไทย สอง การฝึกปฏิบัติการลาดตระเวนเพื่อกอบกู้วัตถุระเบิดที่ทำขึ้นเอง สาม การฝึกปฏิบัติการลาดตระเวนเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย โดยทางการออสเตรเลียยังจะพิจารณากิจการด้านการกลาโหมและกิจกรรมอื่นๆ ที่มีแผนดำเนินการร่วมกันกับไทย
นอกจากนี้รัฐบาลออสเตรเลียยังมีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้นำการรัฐประหารเดินทางเข้าประเทศออสเตรเลีย รวมถึงเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวด้วยเหตุผลทางการเมืองและยกเลิกการจับกุมผู้คนตามอำเภอใจ
"รัฐบาลออสเตรเลียยังคงเดินหน้าเรียกร้องให้กองทัพไทยวางแนวทางเพื่อนำประเทศกลับคืนสู่ประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงขอให้ยกเลิกการจับกุมผู้คนตามอำเภอใจ ให้มีการปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมตัวด้วยเหตุผลทางการเมือง และให้เคารพในสิทธิมนุษยชนและหลักการเสรีภาพขั้นพื้นฐาน" ทางการออสเตรเลียระบุในแถลงการณ์
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 23 พ.ค. รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลียได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อสถานการณ์รวมถึงกล่าวเตือนชาวออสเตรเลียที่อยู่ในไทยให้ระมัดระวัง รวมถึงหวังว่าประเทศไทยจะสามารถหาทางออกได้ด้วยวิธีการหารือและบอกว่าเสถียรภาพทางการเมืองไทยจะยั่งยืนกว่าถ้าหากมีการคืนอำนาจให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

เรียบเรียงจาก
Australia'​s response to Thailand's coup, Australia's Minister for Foreign Affairs, 31-05-2014
http://www.foreignminister.gov.au/releases/Pages/2014/jb_mr_140531.aspx

นักอ่านนัด 'ต้านรัฐประหาร' ครั้งที่ 3




31 พ.ค.2557 เวลา 17.20 น. ประชาชน 9 คน นัดมานั่งอ่านหนังสือที่สกายวอล์คบีทีเอสช่วงหน้าวัดปทุมวนาราม เป็นเวลาราว 1 ชั่วโมง เพื่อแสดงออกถึงการต้านรัฐประหาร โดยไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ทหาร ทั้งนี้ได้แรงบันดาลใจจากการยืนอ่านหนังสือประท้วงในตุรกี โดยวันนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ด้านผู้จัดกิจกรรมยืนยันว่าจะมีกิจกรรมเช่นนี้อีกในสัปดาห์หน้า แต่ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาและสถานที่
หนังสือที่มีการนำมาอ่านวันนี้ ได้แก่ 1984 นวนิยายของจอร์จ ออร์เวล, “พลังแห่งสันติวิธี” เขียนโดย ปีเตอร์ แอ็คเคอร์แมน และ แจ็ค ดูวาลล์ เนื้อหาของหนังสือกล่าวถึงการใช้สันติวิธีในการต่อต้านหรือต่อรองกับอำนาจไม่ว่ารัฐหรือทุน โดยยกกรณีตัวอย่างในประเทศต่างๆ เช่น เอลซัลวาดอร์ที่ก็มีการใช้สันติวิธีในการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ หรือกรณีตัวอย่างที่ชนชั้นกรรมกรใช้สันติวิธีในการต่อต้านนายทุน
เล่มต่อมาคือ “ข้อเขียน มุมมอง ความเห็นของ M.FETHULLAH GULEN” หนังสือรวมบทความของ M.FETHULLAH GULEN ซึ่งผู้เข้าร่วมเกี่ยวกับกิจกรรมได้เลือกบทความ “เปรียบเทียบอิสลามกับประชาธิปไตย” เขาเล่าว่าบทความที่เขากำลังอ่านอยู่นี้กล่าวถึงความเหมือนและความต่างระหว่างศาสนาอิสลามและประชาธิปไตย โดยมีการให้ภาพว่าศาสนาอิสลามนั้นสามารถอยู่ร่วมกับศาสนาอื่นๆ ได้ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับประชาธิปไตย และในคำสอนของศาสนาอิสลามเองก็มีส่วนที่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยอยู่ด้วย แต่คนทั่วไปมักจะมองว่าศาสนาอิสลามสอนให้คนใช้ความรุนแรง
อีกเล่มหนึ่งคือ Thailand the politics of despotic paternalism เขียนโดย ทักษ์ เฉลิมเตียรณ ผู้อ่านเล่าว่าเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ช่วงการปกครองแบบเผด็จการของ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถนอม กิตติขจร มีการพูดถึงโครงสร้างสังคมไทยว่าทำไมระบบการเมืองไทยไม่พัฒนามากขึ้น และอธิบายถึงการกลับมามีอิทธิพลในสังคมอีกครั้งของกลุ่มอำนาจเก่า

ศาลให้ประกันสาวศธ.พ่นสีรถทหารที่อนุสาวรีย์ พร้อมสั่งห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง




          เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 31 พ.ค. ที่สน.พญาไท ตำรวจควบคุมตัว น.ส.พรรณมณี ชูเชาวน์ อายุ 42 ปี เจ้าหน้าที่กลุ่มงานเทคโนโลยีเผยแพร่พัฒนาบุคลากร กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ เลขที่ ก1/2557 ลงวันที่ 30 พ.ค.57 ข้อหาร่วมกันฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่7/2557 ห้ามมิให้มั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานฯ นำตัวฝากขังที่ศาลทหารกรุงเทพ เนื่องจากน.ส.พรรณมณีได้ใช้สีสเปรย์พ่นใส่กระจกรถฮัมวี่ของทหารจนเสียหาย ระหว่างเหตุชุลมุนที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา

        ทั้งนี้ น.ส.พรรณมณี มีสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมชู 2 นิ้ว ให้สื่อมวลชนบันทึกภาพ หลังจากถูกจับกุมมาแถลงเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า เมื่อคืนนอนหลับปกติ ไม่ได้คิดอะไรมากนัก และได้คุยกับญาติแล้ว ญาติได้ปรึกษากันเรื่องประกันตัวขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของศาล แต่ก็ยังไม่ทราบว่าจะได้ประกันตัวหรือไม่

         ต่อมา ศาลทหารกรุงเทพ อนุญาตให้ประกันตัวชั่วคราวแก่ น.ส.พรรณมณี โดยตีวงเงินประกันเงินสด 40,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไข ห้ามชุมนุมและแสดงความคิดเห็นใดๆ ทางการเมือง และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

เตรียม 38 กองร้อยรับมือชุมนุม 8 จุดพรุ่งนี้ ปิดแยกราชประสงค์ 4 ด้าน BTS งดจอด 3 สถานี หลายห้างปิด 1 วัน


31 พ.ค. 2557 สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์รายงานว่าพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มต่อต้านการควบคุมอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมีกระแสข่าวว่า จะรวมตัวกัน 8 จุด ในวันพรุ่งนี้ ได้แก่
 
  • 1. บริเวณแยกราชประสงค์
  • 2. อนุเสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช
  • 3. สี่แยกเทพารักษ์
  • 4. อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • 5. อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย
  • 6. อนุเสาวรีย์ปราบกบฏหลักสี่
  • 7. ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลบางนา
  • 8. ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์
 
               โดย พลตำรวจเอกสมยศ กล่าวว่า จะใช้กำลังตำรวจ-ทหาร รวม 38 กองร้อย ดูแลทั้ง 8 จุด พร้อมจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว หากมีการชุมนุมในจุดอื่น ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่จะปิดการจราจรแยกราชประสงค์ทั้ง 4 ด้าน คือ แยกเฉลิมเผ่า แยกเพลินจิต แยกหน้า Big C ราชดำริ และ แยกหน้า AUA ราชดำริ ส่วนประชาชนที่จะสัญจรผ่านย่านราชประสงค์ จะต้องแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ ยกเว้น แขกที่จะเข้าพักโรงแรม ให้จัดเจ้าหน้าที่ของโรงแรมประจำจุดตรวจ คอยอำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าพัก และปิดการสัญจรบน Skywalk ตั้งแต่ เวลา 09.00 น. จนเสร็จสิ้นภารกิจ 
 
          ส่วนรถไฟฟ้า BTS งดจอดสถานีชิดลม เพลินจิต และราชดำริ ขณะที่ ห้างสรรพสินค้าอัมรินทร์พลาซ่า ประกาศปิดทำการ 1 วัน
 
ศูนย์การค้าย่านราชประสงค์แจ้งเวลาให้บริการ
 
           ด้านสำนักข่าวไทยรายงานว่าศูนย์การค้าเกษร ศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า และศูนย์การค้าเอราวัณ แบงค็อก แจ้งปิดศูนย์การค้าในวันพรุ่งนี้ 1 วัน และเปิดให้บริการปกติในวันที่ 2 มิ.ย. ส่วนศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เปิดให้บริการในวันพรุ่งนี้ ระหว่างเวลา 14.00-22.00 น. ส่วนเดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ ยังเปิดให้บริการตามเวลาปกติในวันจันทร์ อังคาร พฤหัสบดี ศุกร์ เวลา 09.00-20.00 น. และวันพุธ เสาร์ อาทิตย์ เวลา 08.00-20.00 น. ติดตามข้อมูลได้ที่ www.facebook.com/heartofbangkok และ Instagram : Ratchaprasong


นักข่าวนิวยอร์กไทมส์ ชี้คืนเงินจำนำข้าวไม่สามารถกลบความไม่พอใจเรื่องรัฐประหาร


โทมัส ฟูลเลอร์ นักข่าวนิวยอร์กไทมส์รายงานกรณีจ่ายเงินจำนำข้าวโดยการสัมภาษณ์ชาวบ้านในพื้นที่ภาคอีสาน พบว่าหลายคนยังรู้สึกไม่พอใจต่อการรัฐประหารและแม้จะไม่ได้วิจารณ์กองทัพโดยตรงแต่ก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชมเช่นที่พยายามสร้างภาพแต่อย่างใด
30 พ.ค. 2557 นักข่าวนิวยอร์กไทมส์ โทมัส ฟูลเลอร์รายงานจากอำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ในกรณีที่รัฐบาลจากการรัฐประหารของไทยสั่งจ่ายเงินจำนำข้าวให้กับชาวนา โดยฟูลเลอร์รายงานว่ามีชาวนาจำนวนมากเดินทางไปที่ธนาคารของรัฐเพื่อรับเงิน อย่างไรก็ตามชาวนาในภาคอีสานของไทยไม่ได้รู้สึกขอบคุณรัฐบาลทหาร ตรงกันข้ามพวกเขายังรู้สึกไม่พอใจการรัฐประหาร และคิดว่าเงินก้อนนี้พวกเขาควรได้รับมานานแล้ว
"ผมยังคงรู้สึกโกรธอยู่ในใจ" ไมตรี วิชาภา กล่าว เขาเป็นชาวนาที่รับงานช่างไม้เป็นงานเสริม เขาเดินทางไปรับเงินค่าจำนำข้าว 27,000 บาทพร้อมกับลูกเมีย ไมตรีกล่าวอีกว่า "พวกเราควรได้รับเงินนี้มาตั้งนานแล้ว"
ก่อนหน้านี้กองทัพไทยอ้างว่าเรื่องเงินจำนำข้าวของชาวนาเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก โดยได้สั่งให้มีการแจกเงินค่าจำนำข้าวให้กับชาวนาเป็นวงเงิน 92,000 ล้านบาท ซึ่งฟูลเลอร์รายงานว่าเป็นวงเงินจำนวนมากกว่างบประมาณประจำปีของหน่วยงานตำรวจไทย อีกทั้งยังเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าราคาข้าวในตลาดถึงสองเท่า
ฟูลเลอร์รายงานว่ารัฐบาลก่อนหน้านี้พยายามจ่ายเงินค่าข้าวแก่ชาวนาแต่ไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากกลุ่มที่ถูกจัดตั้งในกรุงเทพฯ อ้างว่าเป็นการให้เงินอุดหนุนที่สูญเปล่าและเป็นแผนการทุจริต แต่รัฐบาลทหารได้สั่งการให้มีการจ่ายเงินแก่ชาวนาโดยกู้เงินจากธนาคารของประเทศ
ฟูลเลอร์รายงานอีกว่า กองทัพไทยยังได้สร้างโฆษณาชวนเชื่อของตัวเองขึ้นมาโดยได้ความช่วยเหลือจากสื่อไทยซึ่งส่วนใหญ่กลายเป็นผู้รับใช้รัฐบาลทหารหลังจากการรัฐประหาร ซึ่งสื่อเหล่านี้จะรายงานว่าชาวนาไทยรู้สึกยินดีที่ได้รับเงินค่าจำนำข้าวรวมถึงมีป้ายขอบคุณ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีการถือป้ายเดินขบวนไปตามท้องถนนในจังหวัดภูเก็ต ลพบุรี และอุบลราชธานี ซึ่งแต่ละจังหวัดห่างกันมาก แต่ในเชียงยืน ชาวนาที่ได้รับทราบข่าวพวกนี้แอบหัวเราะเบาๆ
"ชาวนาตัวจริงเขาไม่ออกไปทำอะไรแบบนี้หรอก ชาวนาตัวจริงเขามีงานยุ่ง" เดือน ดวงจันทร์ศรี กล่าว เขาเป็นชาวนาผู้ไปรับเงิน 280,000 บาท เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
เดวิด สเตรกฟัสส์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองไทยกล่าวว่ากองทัพคงไม่สามารถเอาชนะใจผู้คนในพื้นที่แถบภาคอีสานได้ง่ายๆ ด้วยเงินค่าข้าว
"แค่การจ่ายเงินให้กับประชาชนซึ่งพวกเขาติดค้างอยู่ก่อนแล้ว ไม่สามารถทำให้กองทัพได้รับความนิยมหรือสามารถสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองได้" สเตรกฟัสส์กล่าว
สเตรกฟัสส์ยังได้ย้ำว่าสิ่งที่กองทัพควรทำคือการคืนความเชื่อมั่นในประเด็นด้านประชาธิปไตยให้กับประชาชนไทย
ฟูลเลอร์รายงานว่าชาวนาในเชียงยืนไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์กองทัพเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บางคนก็บอกว่าพวกเขาเห็นกองทัพเป็นฝ่ายที่เป็นกลาง แต่พวกเขาก็ยืนยันว่าการจัดให้มีการเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญ และพวกเขาก็มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยที่ถูกรัฐประหารโค่นล้มไปจะชนะการเลือกตั้งได้อีก
สเตรกฟัสส์กล่าวว่ากลุ่มจัดตั้งในกรุงเทพฯ มองเห็นประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่เปลืองเงินภาษีสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่เห็นว่ามีนโยบายอะไรของรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ให้ประโยชน์กับพวกเขา แต่ประชาชนที่ยากจนกว่าได้รับประโยชน์จากนโยบายเหล่านั้นจึงคิดว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ใช้การได้จริงสำหรับพวกเขา
ฟูลเลอร์กล่าวถึงมุมมองต่อเรื่องการให้เงินจำนำข้าวว่าเป็นความพยายามของผู้นำทหารในการแสดงด้านที่ดูมีความเห็นอกเห็นใจคนยากจนในต่างจังหวัดที่ถูกลิดรอนสิทธิเลือกตั้งจากการรัฐประหาร แต่เผด็จการทหารก็ยังคงแสดงท่าทีแข็งกร้าวออกมาอยู่ในวันที่บุกจับจาตุรนต์ ฉายแสง ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย และบอกว่าจะให้เขาขึ้นศาลทหาร อีกเหตุการณ์หนึ่งเมื่อมีผู้สื่อข่าวไทยพยายามถามพล.อ. ประยุทธ์ เรื่องการเลือกตั้ง พล.ต.พลภัทร วรรณภักตร์ โฆษกของกองทัพก็บอกว่า  “การตั้งคำถามเชิงรุกไม่เป็นสิ่งที่ควร"
บุญศรี ภูคงชนา อดีตผู้ใหญ่บ้านในอำเภอเชียงยืนกล่าวว่าเขารู้สึกผิดหวังที่รายการพูดคุยในสถานีวิทยุท้องถิ่นระงับไม่ให้คนโทรเข้าไปในรายการเนื่องจากการรัฐประหาร และเพื่อนบ้านของเขาหลายคนรู้สึกไม่พอใจที่ต้องขออนุญาตเพื่ออยู่ในงานเลี้ยงได้จนถึงดึกเนื่องจากมีเคอร์ฟิว

เรียบเรียงจาก
Anger Over Coup Trumps Payouts to Thai Farmers, Thomas Fuller, The New York Times, 27-05-2014
http://www.nytimes.com/2014/05/28/world/asia/thailand-farmers-get-rice-payments-as-military-steps-up-propaganda.html

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Foreigner arrested for buying T-shirt stating “Peace Please”



Around 6.05 p.m. A Belgian man was arrested by the military after he was found buying a T-shirt stating “Peace Please” at Victory Monument, and then held it. He was taken away by soldiers along with the other two Thai women, who were holding placards with anti-coup messages. 
The soldiers said the man would be taken to the Royal Thai Army Club
Earlier around 5.10 p.m. a large number of soldiers have seized control of the roads near Victory Monument, following the spreading of news about calls for anti-coup protests there.

เกลียดใครกันแน่


เห็นภาพจาตุรนต์ ฉายแสง ถูกนำไปขึ้นศาลทหารแล้วเศร้าใจ ไม่ใช่เศร้าใจแทนจาตุรนต์ เพราะจาตุรนต์คงภาคภูมิใจและพร้อมรับผล ไม่ใช่จะต่อต้านหรือวิจารณ์ คสช.และศาลทหาร เพราะเป็นอำนาจของท่าน
แต่เศร้าใจกับเสียงก่นประณามสมน้ำหน้าตามโลกออนไลน์จากคนคิดตรงข้าม "ผู้มีการศึกษา" ไม่เว้นกระทั่งสื่อบางส่วน
คุณเกลียดจาตุรนต์ขนาดนั้นหรือ เกลียดเพราะอะไร
ก่อนรัฐประหาร 49 จาตุรนต์เป็นที่ยอมรับในฐานะนักการเมือง "น้ำดี" หนึ่งในน้อยคน เริ่มต้นที่พรรคประชาธิปัตย์ แตกมากับ 10 มกรา จนมาอยู่ความหวังใหม่และไทยรักไทย ไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาว แม้หลังปี 49 คตส.ก็เอาผิดอะไรไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นที่รู้กันว่า จาตุรนต์เป็นตัวของตัวเอง ไม่เคย "ตามก้น" ใคร ในยุคทักษิณเหลิงอำนาจ จัดการปัญหาภาคใต้รุนแรงจนเกิดกรือเซะ ตากใบ จาตุรนต์ก็ไม่เห็นด้วย เพียงแต่หลังรัฐประหาร ไม่เหลือใคร ก็มีแต่จาตุรนต์รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ยืนสู้จนถูกยุบและถูกตัดสิทธิไปด้วย เพิ่งได้กลับมาเป็นรัฐมนตรีศึกษาฯ
แต่รายชื่อสมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เมื่อ 2 ก.พ. ก็ไปอยู่ลำดับที่ 39 โน่น
บางคนย้อนว่าทำไมไม่ออกมาเสียล่ะ ออกไปไหนครับ ในเมื่อมันคือการต่อสู้ทางความคิด 2 ขั้ว เช่นถ้าไม่เอาเลือกตั้งก็คือเอากับกำนัน เราต่อสู้กันมา 8 ปีแล้ว สมัย 49 เพื่อนพ้องพันธมิตรก็เรียกร้องให้ลาออก แต่จาตุรนต์ยืนยันว่าออกไม่ได้ เพราะยุบสภาแล้ว ถ้าออกก็เปิดช่องให้มีการเปลี่ยนแปลงนอกวิถีประชาธิปไตย
จาตุรนต์กลับกลายเป็นที่เกลียดชัง ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์นักการเมืองทุจริต ไม่อยู่ในข่ายโกงจำนำข้าว กระทั่งซื้อ แท็บเล็ตก็เข้ามายกเลิกบางส่วน แถมไม่ได้กร่างวางอำนาจ อย่างเฉลิม หรือปลอดประสพ
ใช่หรือเปล่าว่าเพราะจาตุรนต์ยึด "หลักการ" จนถูกเกลียดชังว่า "หลักการ" นี่แหละเป็นตัวค้ำ "ระบอบทักษิณ"
นี่ไม่ต่างจาก สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือนักวิชาการอย่าง อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์, อ.สาวตรี สุขศรี, อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล หรือสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งไม่เคยได้ประโยชน์อะไรจาก "ระบอบทักษิณ" พูดได้ว่าแทบจะทุกคนเคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยรักไทยอย่างหนักหน่วง
แต่ตอนนี้บางคนเกลียดยิ่งกว่า ส.ส. รัฐมนตรี ที่ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วด้วยซ้ำ
สมบัติก่อตั้งมูลนิธิกระจกเงา ทำงานด้านเด็ก ชาวเขา ช่วยผู้ประสบภัยสึนามิ ฯลฯ โดดออกมาต้านรัฐประหาร 49 ด้วย "หลักการ" ทั้งที่ไม่เคยข้องแวะพรรคไทยรักไทย สมบัติกลายเป็น "แกนนอน" แต่เป็นอิสระจาก นปช.ซึ่งผูกติดพรรคเพื่อไทย ล่าสุด เมื่อทักษิณดันนิรโทษสุดซอย ก็สมบัตินี่แหละนัดรวมพลร้านฟาสต์ฟู้ดราชประสงค์ ต่อต้านอย่างแข็งขัน (ในขณะที่นักการเมืองหรือแกนนำบางคนได้แต่พูดว่าครับผม)
อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และนิติราษฎร์ ก็วิพากษ์ร่างพ.ร.บ. นิรโทษสุดซอย แต่ดูเหมือนไม่มีใครจำ อ.วรเจตน์ วิพากษ์ศาลรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่คดีซุกหุ้น วิจารณ์รัฐบาลไทยรักไทยร่วมกับสุรพล นิติไกรพจน์ แต่กลายเป็นที่ไม่พอใจของขบวนการ "โค่นระบอบทักษิณ" ตั้งแต่คัดค้านมาตรา 7 เมื่อปี 2549 จนกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐธรรมนูญ 2550 และตุลาการภิวัฒน์
วรเจตน์ถูกมองว่าปกป้อง "ระบอบทักษิณ" ทั้งที่ต้องการปกป้องหลักกฎหมาย เขาพูดเสมอว่า ตามตำนานกรีกโบราณเทพีแห่งความยุติธรรมมีผ้าปิดตา มือซ้ายถือตราชู มือขวาถือกระบี่ "ผ้าปิดตา" คือกฎหมายไม่สนใจหน้าคน ไม่ว่าใครก็ต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน (ฉะนั้น อย่าใช้กฎหมายเพื่อเป้าหมายทางการเมือง)
การที่นักคิด นักเคลื่อนไหว นักวิชาการ ยึดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หลักนิติศาสตร์ หลักรัฐศาสตร์ ตามที่ตัวเองสอน แล้วมันไปเข้าทางนักการเมืองจากการเลือกตั้ง เป็นความผิดร้ายแรงหรือครับ ทำไมกลับถูกเกลียดชังว่า "อุ้มคนโกง" กระทั่งบางคนเกลียดชังเสียยิ่งกว่า "นักการเมืองโกง"
ถือเป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะมันแสดงอารมณ์สังคมที่เบาปัญญา ไร้เหตุผล เมื่อไม่สามารถถกเถียงไม่สามารถต่อสู้ด้วยปัญญาและเหตุผล ก็ปลุกอารมณ์เกลียดชังเข้าใส่
อยากบอกคนเหล่านี้ว่าการโค่นล้มนักการเมือง หรือกระทั่งโค่นทักษิณ ไม่ได้ยากนักหรอกครับ สมมติจับ "เจ๊" ได้พร้อมเงินเต็มเซฟแล้วยัดคุก ก็ไม่มีใครว่าอะไร ต่อให้แดงแค่ไหนก็ไม่ได้โง่ จนไม่รู้ว่านักการเมืองทุจริต มวลชนที่เลือกพรรคเพื่อไทยเขารู้เต็มอกว่านักการเมืองเป็นอย่างไร แต่เขาเลือกด้วยนโยบาย ด้วยเหตุผลหลายประการ
แต่กับนักคิด นักวิชาการ นักการเมืองที่ยึดหลักประชาธิปไตย มันต่างกัน พวกเขามีคนที่รัก เชื่อมั่น อย่างจริงใจ แม้แต่คนเห็นต่างบางส่วนยังเคารพ
คุณโค่นทักษิณได้ คุณโค่นเพื่อไทยได้ แต่คุณไม่สามารถโค่นนักวิชาการตัวเล็กๆ ที่มีแต่มือเปล่า กับปัญญาและเหตุผล ไม่มีอำนาจใดสามารถโค่นความถูกต้อง ถ้าไม่ตระหนักข้อนี้ ก็ไม่มีวันสร้างประเทศขึ้นใหม่