วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ย้อนอ่านบทความธงชัย วินิจจะกูล: ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยม



หมายเหตุ: มาจากส่วนสุดท้ายของบทความ "ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยม: จากยุคอาณานิคมอำพราง สู่ราชาชาตินิยมใหม่หรือลัทธิเสด็จพ่อของกระฎุมพีไทยในปัจจุบัน" เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 (อ่านบทความฉบับเต็มที่พิมพ์ในศิลปวัฒนธรรม) โดยนำมาเผยแพร่อีกครั้งในช่วงที่ คสช. และกระทรวงศึกษาธิการ เสนอให้ปรับปรุงตำราประวัติศาสตร์

วัฒนธรรมประวัติศาสตร์ของไทย
เราได้ยินเสมอว่าคนไทยไม่สนใจประวัติศาสตร์
คนรุ่นหนึ่งห่วงใยว่าคนรุ่นหลังจะไม่ใส่ใจซาบซึ้งเพียงพอ พวกเขาต้องการให้มีการค้นคว้าถึงทุกเหลี่ยมทุกมุมของประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม
เป็นไปได้ไหมว่าความทรงจำแบบนี้ซึมอยู่ในทุกเซลล์สมองจนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นให้ต้องคิดกันอีก
คนไทยรู้จักประวัติศาสตร์ชนิดนี้ดีโดยไม่จำเป็นต้องสนใจทุกเหลี่ยมมุม ถึงไม่รู้รายละเอียดคนไทยก็สามารถดื่มด่ำปลาบปลื้มกับประวัติศาสตร์ได้
ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม กล่อมประสาทเราสนิทจนไม่เหลืออะไรน่าตื่นเต้นสำหรับคนรุ่นหลัง
ในขณะที่เราเรียกร้องให้ระบบการศึกษาผลิตคนที่คิดเป็น เรากลับเรียกร้องให้เยาวชนเสพประวัติศาสตร์เป็นยากล่อมประสาทหนักเข้าไปอีก
ทางออกจึงไม่ใช่การโทษครู แล้วหวังว่าการฝึกฝนครูจะช่วยสอนให้เด็กรู้จักคิด นั่นเป็นการคิดแบบปลายเหตุ (พูดอย่างอาจารย์ประเวศก็ได้ว่าเป็นทางออกแบบแยกส่วน)
เพราะประวัติศาสตร์แบบยากล่อมประสาทเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไทย เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนความเป็นไทยสมัยใหม่ตลอด 100 ปีที่ผ่านมา จะคาดหวังให้ครูเติบโตมาเป็นแบบอื่นได้ยังไง
ทำไมวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ (hisorical culture) แบบไทยต้องการความรู้ประวัติศาสตร์แบบยากล่อมประสาท?
คัมภีร์โบราณที่บันทึกเรื่องอดีตมีหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของการสถาปนาและรักษาระเบียบของโลก (สังคม) เชื่อกันว่าคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่บันทึกเรื่องราวได้ถูกต้องตามสัจจะ จะช่วยทำให้ระเบียบของโลก (สังคม)เข้ารูปเข้ารอยไปด้วย เพราะการสร้างคัมภีร์คือการถ่ายทอดจำลองโลกลงเป็น text และอักษรอันศักดิ์สิทธิ์ แต่สัจจะมีคุณค่าควรบันทึกในการสร้างคัมภีร์หมายถึงความรู้ที่ตอกย้ำสัจจะตามแบบฉบับที่เชื่อว่าเป็นความจริงอย่างอกาลิโก อาจบไม่ใช่ข้อมูลเรื่องราวที่ตรงตามความจริง (factuall correct) อย่างที่เราคาดหวังกับประวัติศาสตร์สมัยใหม่
ความรู้ประวัติศาสตร์แบบคัมภีร์ไม่ได้มีไว้ให้ถกเถียง แต่มีไว้ให้รู้ การชำระคัมภีร์ประวัติศาสตร์อย่างพระราชพงศาวดารเกิดขึ้นต่อเมื่อเชื่อว่าคัมภีร์นั้นวิปริตผิดเพี้ยน จึงต้องอาศัยปรมาจารย์ผู้รู้จัดการตรวจสอบเพื่อปรับให้เข้ารูปเข้ารอย นี่ไม่ใช่การถกเถียงตีความโดยคนรุ่งหลัง
วัฒนธรรมประวัติศาสตร์ (historical culture) แบบจารีต และมรดกของความรู้ประวัติศาสตร์แบบคัมภีร์ไม่เคยถูกปะทะแบบถึงรากถึงโคน ไม่เคยมีการปฎิวัติภูมิปัญญา ไม่มีการปฎิวัติศาสนา ไม่มีอิทธิพลของวัฒนธรรมประวัติศาสตร์แบบวิพากษ์วิจารณ์ ญหาของวัฒนธรรมประวัติศาสตร์แบบยากล่อมประสาท ไม่ใช่เพราะตามก้นฝรั่งมากเกินไปแต่ตรงข้าม (นี่อาจจะเป็นปัญหาของวัฒนธรรมการแสวงหาความรู้และการศึกษาของไทยโดยรวมเลยก็ได้)
ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมทั้งเก่า ใหม่จึงเป็นเรื่องเล่าด้วยภาษาสมัยใหม่ภายใต้มรดกทางวัฒนธรรมประวัติศาสตร์แบบเก่ากล่าวคือมีหน้าที่ตอกย้ำความรู้แบบฉบับ และสัจจะอันจริงแท้แน่นอน เพื่อค้ำจุนระเบียบสังคมแบบราชาชาตินิยม
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์จึงมีหน้าที่ผลิตซ้ำตอกย้ำความรู้ตามแบบฉบับ ไม่ใช่เพื่อการสร้างปัจเจกบุคคลที่เป็นตัวของตัวเองสูง
ดังนั้นเมื่อคนไทยบอกว่าหาบทเรียนทางประวัติศาสตร์ จึงพบบทเรียนเดิมๆ ที่ท่องบ่นได้เป็นสูตรสำเร็จ ได้แก่ ความสามัคคี ความภาคภูใจในบรรพบุรุษ ความสำนึกในบุญคุณของพระมหากษัตริย์ เป็นต้น
คนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องอ่านประวัติศาสตร์จริงๆ จังๆ ไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียด เพราะแบบแผนความทรงจำและบทเรียนสูตรสำเร็จซึมซาบในชีวิตของเราแล้ว
นี่คือความรู้ประวัติศาสตร์ที่สังคมไทยคาดหวัง
ประวัติศาสตร์แบบที่ "ไม่ต้องคิด" เป็นส่วนหนึ่งของจารีตประเพณีอันดีงามของไท
ประวัติศาสตร์ที่บอกว่ารัฐก่ออาชญากรรม ความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทำให้คนบ้าคลั่งเสียสติเหมือนคนเสพยาบ้า แล้วฆ่าคนอื่นได้อย่างทารุณ ประวัติศาสตร์แบบนี้ผิดจารีต
การศึกษาประวัติศาสตร์ตามจารีตของไทยไม่ได้มีไว้เพื่อยกระดับการคิดการใช้สมองของประชากรไม่ได้มุ่งหมายผลิตปัจเจกชนที่อิสระ หัวแข็ง ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ความรู้อดีตตามจารีตเดิมมีไว้เพื่อสถาปนาระเบียบ ไม่ใช่เวทีของการโต้แย้ง
การสร้างปัจเจกชนที่คิดวิพากษ์ย่อมหมายถึงการก้าวข้ามพ้นวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์แบบไทยๆ ที่เป็นมาแต่เดิม และย่อมต้องท้าทายประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม
สังคมไทยต้องการอย่างนั้นจริงหรือ?

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ26 สิงหาคม 2557 เวลา 17:33

    ถ้าคิดว่าประวัติศาสตร์เป็นยากล่อมประสาท คุณคงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าบรรพบุรุษของคุณเป็นใครมาจากไหน เกิดมาแล้วก็ดำเนินชีวิตไปตามวิถีของชีวิตแล้วก็ตายดับไป คุณคงไม่มีความจำเป็นต้องไปอบรมสั่งสอนลูก ๆ ของคุณให้รู้จักตัวคุณ หรือ บรรพบุรุษของคุณ เพราะเดี๋ยวลูกของคุณจะติดยากล่อมประสาท มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม เรามีเผ่าพันธุ์ ชาติพันธุ์ เรามีความภูมิใจ เพราะเรามีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทุกชาติพันธุ์ในโลกเค้าก็ภูมิใจในความเป็นชนชาติของเค้าก็เพราะประวัติศาสตร์ เราไม่ใช่ไส้เดือน, กิ้งกือ ที่ไม่จำเป็นต้องรู้ประวัติศาสตร์ หรือคิดว่าประวัติศาสตร์เป็นยากล่อมประสาท แล้วที่ไอ้ทักษิณมันโกงชาติบ้านเมือง แล้วเอาเงินมาจ้างพวก ไอ้ตู่ ไอ้เต้น ให้มากล่อมประสาทพวกใส่เสื้อแดง อย่างนี้เค้าเรียกว่ายาอะไร ?

    ตอบลบ