15 ก.ย. 2558 เมื่อเวลา 11.00 น. ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)พร้อมด้วย พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. ร่วมกันแถลงถึง การเชิญตัวบุคคลมาปรับทัศนคติ ยืนยันว่า การเชิญตัวดังกล่าวเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจ โดยเฉพาะการให้ข้อมูลที่พาดพิงบุคคลและองค์กร ซึ่งมีผลต่อความขัดแย้ง ทำให้ความเชื่อมั่นขององค์กรลดลง โดยการเสนอข้อมูลต่างๆยังไม่มีข้อพิสูจน์และความชัดเจน ทำให้เกิดความสับสน จนนำไปสู่ความขัดแย้ง สร้างความไม่สงบเรียบร้อย ทั้งนี้ การเชิญกลุ่มคนมาปรับทัศนคติ จะใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน โดยเจ้าหน้าที่ยังเน้นการใช้วิธีแลกเปลี่ยนความคิดทำความเข้าใจเป็นหลัก จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ใด ตลอดจน พิชัย นริพทะพันธุ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยทุกอย่างขึ้นอยู่กับการให้ความร่วมมือ ขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการ
4 ข้อเชิญกลุ่มคนปรับทัศนคติ ไม่ได้เลือกอาชีพ-สาขา
ด้าน พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า หลักเกณฑ์ในการพิจารณาเชิญตัวกลุ่มคนมาปรับทัศนคติของ คสช.นั้น ดูที่ 1. พฤติกรรม 2. ทำผิดข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ 3. ให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน 4. สร้างความเสียหายต่อองค์กร ทั้งนี้การพิจารณาไม่ได้มุ่งเน้นว่า บุคคลนั้นจะทำอาชีพใด สาขาใด จึงอยากให้แยกแยะ เพราะ คสช. ดำเนินการกับคนทุกกลุ่มทุกฝ่ายบนบรรทัดฐานที่เท่าเทียมกัน ส่วนข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอขององค์กรทั้งในและต่างประเทศ ในเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น ขอเรียนว่า ประกาศและคำสั่งของ คสช. ถือเป็นกฎหมาย ใครไม่ปฏิบัติตาม เจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปดำเนินการ เป็นหลักการเดียวกันที่ทุกประเทศยึดถือ ยืนยันว่าการเนินการของ คสช. ไม่ได้ใช้อำนาจหรือสิทธิเกินขอบเขต ทุกอย่างอยู่บนฐานกฎหมาย
ไม่ทราบรายละเอียดปมคุมตัวประวิตร ส่วน 'พิชัย-เก่ง'หากพูดอีกอาจฟ้อง
ส่วนกรณี ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารเรียกไปรายงานตัวเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ตนยังตอบไม่ได้เพราะไม่ทราบรายละเอียด ไม่เหมือนกรณี พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่มีเรื่องการพาดพิงองค์กรโดยเฉพาะการที่เอามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญครั้งที่แล้วมาเชื่อมโยงกับ คสช. ซึ่งไม่ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรในการตัดสินใจซึ่งเรื่องนี้มีโอกาสถูกฟ้องร้องสูง ทั้งนี้ พิชัยได้นำเสนอผ่านสื่อว่ามีการเชื่อมโยงกันทำให้สังคมเข้าใจคลาดเคลื่อน ดังนั้นหากนายพิชัยเสนอข่าวอะไรไปแล้วไม่มีข้อมูลเพียงพอพิสูจน์อะไรไม่ได้ก็ถือเป็นเรื่องอันตรายดังนั้นต้องระมัดระวัง อย่างไรก็ตามกรณีของ การุณ โหสกุล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานครตนไม่มั่นใจว่าจะมีกรณีอื่นๆ ร้องเรียกเพิ่มขึ้นหรือไม่ นอกเหนือจากพฤติกรรมส่วนตัวหรือการให้ข้อมูลในลักษณะให้ร้ายบุคคลทั้งในทางตรงหรือทางอ้อม รวมถึงต่อประเทศ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ที่มีหลักฐานทั้งหมด อย่างไรก็ตามหาก พิชัยหรือ การุณยังทำผิดอีกครั้งก็มีโอกาสฟ้องร้องสูง
กรณีภูมิธรรมขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง
สำหรับกระแสข่าวการเรียกตัว ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทยมาปรับทัศนคตินั้น พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังอยู่ว่าจะพิจารณาอย่างไร แต่ส่วนใหญ่เราจะใช้วิธีไปพบถึงบ้านไม่ได้มีการควบคุม อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากมีการโหวตไม่รับประชามติทหารเรียกนักการเมืองมาปรับทัศนคติบ่อยขึ้นนั้นความจริง คสช. ทำมาอย่างต่อเนื่อง หลายคนที่ถูกเรียกมาปรับทัศนคติต่างถูกเตือนมาแล้วหลายครั้ง
ตอบรถทหารส่องบ้านณัฐวุฒิ อาจเป็นห่วงอยากให้ได้รับความปลอดภัย
สำหรับกรณี ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่ามีรถทหารมาจอดสังเกตการณ์อยู่ที่บ้านพักเป็นเวลา 4 วันแล้วนั้น พ.อ.วินธัย กล่าวว่า แล้วแต่ว่าเราจะมองจากมุมไหน ทหารไปจริงหรือไม่ ความจริงแล้วการไปสังเกตการณ์ของทหารจะเป็นไปตามมาตรการรักษาความปลอดภัยตามปกติในทุกพื้นที่ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องทำพื้นที่ใดบ้านใคร ที่ผ่านมาจากการสังเกตก็ไม่มีใครมีปัญหากับทางเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติลักษณะนี้
“ณัฐวุฒิเป็นบุคคลที่แสดงออกทางสังคมอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ก็อาจเป็นห่วงอยากให้ได้รับความปลอดภัยทุกคนอยู่แล้วไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร หากไม่ได้เข้าข่ายสร้างความแตกแยกก็ไม่มีปัญหา แล้วยิ่งอาจไปในทางสร้างสรรค์ยิ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดี” พ.อ.วินธัย กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น